green and brown plant on water

การกลั่นกายทิพย์

เวลาอ่าน : 5 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน” 

วันอาทิตย์ 5 มกราคม 2568

เรื่อง การกลั่นกายทิพย์

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ผ่อนคลายร่างกายกล้ามเนื้อทุกส่วน พร้อมกับความรู้สึกที่เราปลดปล่อยความเกาะ ความยึด ความเชื่อมโยงกับขันธ์ห้าร่างกาย ผ่อนคลายเพื่อทิ้งกาย ตัดร่างกายจากกระแสความรู้สึกของเรา  จากนั้นจึงกำหนดปล่อยวางที่ใจ วางภาระความห่วงความกังวลทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นกิจการงาน ไม่ว่าจะเป็นภาระความห่วงในบุคคล ปล่อยวางความห่วงภาระของใจออกไป จดจ่ออยู่กับความสงบ สติกำหนดรู้ตื่นเต็มรอบ

จากนั้นจึงจินตภาพจินตนาการ ให้เห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหม พลิ้วผ่านเข้าออกในกาย ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ละเอียด สว่าง ระยิบระยับ แพรวพราว สติกำหนดนึกรู้ เห็นลมตลอดทั้งสายทั้งกองลมนั้น ลมหายใจละเอียดก็รู้ว่าละเอียด ลมหายใจเบาสบาย ก็กำหนดรู้ว่าลมหายใจของเราเบาสบาย พร้อมกับกำหนดรู้ในอารมณ์ใจที่สบาย ลมปราณสัมพันธ์จิตใจ ยิ่งลมหายใจละเอียดเบา จิตยิ่งสงบเบาสบาย 

ทรงอารมณ์ในความมีสติรู้ในลมหายใจ อารมณ์จิตที่เบาสบาย ประคับประคองทรงอารมณ์ความสงบในอานาปานสตินี้ไว้ จนเป็นฌาน คือความเคยชินกับความสงบเบา ความละเอียดของลม ระงับความฟุ้งซ่าน ความวิตกกังวล ความซัดส่ายของจิต อยู่กับลมหายใจสบาย สติรู้รอบ รู้ลมหายใจ 

รู้อารมณ์ใจ คือ รู้เวทนา 

รู้จิต คือ รู้ความสงบของจิต

ทรงสมาธิ ทรงสภาวะแห่งความสงบของใจเราไว้ 

เมื่อจิตของเราสงบดีแล้ว กำหนดหยุดจิต นิ่งหยุดรวมเป็นเอกัคคตารมณ์ สงบ นิ่ง หยุด การปรุงแต่ง หยุดความซัดส่ายความวุ่นวายทั้งหลาย สำรวมจิตเป็นหนึ่ง นิ่งหยุด เมื่อรวมจิตได้แล้ว เราก็กำหนด ณ จุดที่รวม จินตภาพน้อมนึกให้ปรากฏจุดที่หยุด จุดที่เข้าถึงเอกัคคตารมณ์ ปรากฏจากจุดขยายขึ้นเป็นดวงแก้วสว่าง กำหนดรู้ว่าเรากำลังเดินจิตสู่สมถะสมาธิในกสิณ 

จิตคือกสิณ กสิณคือจิต ภาพนิมิตเป็นหนึ่งเดียวกับจิตของเรา ภาพนิมิตคือดวงจิต ยิ่งสว่างใส ใจเรายิ่งสงบ ใจเรายิ่งสว่าง ใจเรายิ่งเย็น

กำหนดน้อมนึกให้เห็นจิตเป็นดวงแก้วใสสว่าง มีความสว่างจากภายใน  

จากดวงแก้วที่สว่างปรากฏกลายเป็นเพชรประกายพรึก คือเป็น “ปฏิภาคนิมิต” มีความระยิบระยับแพรวพราว มีความสว่างเจิดจ้าเจิดจรัส มีเส้นแสงรัศมีสว่าง ทรงสภาวะทรงอารมณ์ของกสิณ

จิตคือกสิณ กสิณคือจิต เมื่อไรที่ทรงสภาวะของกสิณ จิตเกิดจิตตานุภาพ มีกำลังแห่งความเป็นทิพย์ มีกำลังแห่งอภิญญาจิต ยิ่งภาพของกสิณทั้งสว่าง ทั้งมีความแพรวพราวมากเท่าไร อารมณ์ใจเรายิ่งเป็นสุข มีความเอิบอิ่ม มีความยินดี มีความสุข 

ภาพนิมิตสัมพันธ์กับอารมณ์ใจ สัมพันธ์กับกำลังแห่งความเป็นทิพย์อภิญญาจิต ยิ่งเป็นสุขมากเท่าไร ความเป็นทิพย์ของจิตยิ่งมีสูงขึ้นเพียงนั้น ยิ่งสว่างมากเท่าไร ยิ่งปรากฏรัศมีแห่งจิตสว่างมากขึ้นเพียงนััน 

ทรงสภาวะที่จิตของเรามีความสว่างเจิดจ้าเจิดจรัสแพรวพราว ทรงอารมณ์ไว้ ทรงสภาวะไว้ พร้อมด้วยความรู้สึกที่จิตเราเป็นสุขอย่างยิ่ง ในขณะที่ทรงฌานก็กำหนดรู้ ว่าเมื่อจิตเราอยู่กับแสงสว่าง จิตก็สะอาดจากความโลภโกรธหลงไป ในขณะที่เราทรงอารมณ์จิตในกสิณ ในปฏิภาคนิมิต จิตกำลังประภัสสรเต็มกำลัง จิตก็ว่างจากกิเลสในขณะที่เราทรงอารมณ์ สว่าง เป็นสุข ผ่องใส เปี่ยมพลัง  

เมื่อเราทรงอารมณ์จิตจนเป็นปฏิภาคนิมิต คือมีความสว่างเต็มอัตรา เราก็กำหนดน้อมอธิษฐาน ขอบารมีพระพุทธองค์เมตตาสงเคราะห์ ให้จิตเราเกิดกำลังของมโนมยิทธิ เราก็กำหนดให้ภายในดวงจิตเรา ปรากฏองค์พระสว่าง องค์พระเป็นเพชรประกายพรึกอยู่ภายในดวงจิตของเราที่เป็นเพชรประกายพรึกนี้ กำลังแห่งพุทธานุภาพยิ่งทำให้ดวงจิตเราสว่างยิ่งขึ้น องค์พระสว่างเจิดจ้าอย่างยิ่ง จิตเป็นสุขอย่างยิ่ง

จิตคือพุทธ พุทธคือจิต

จิตจงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

เป็นผู้รู้ คือ รู้จะละกิเลสทั้งหลายจากใจของตน

เป็นผู้ตื่น คือ ตื่นในกุศล ละอกุศลทั้งปวง

เป็นผู้เบิกบาน คือ จิตมีความผ่องแผ้ว มีความเป็นทิพย์ จิตมีความผ่องใส จิตมีความสุขอย่างยิ่ง 

กำหนดความรู้สึกในจิตของเรา องค์พระยิ่งสว่างขึ้นสว่างเจิดจ้า เมื่อความสว่างเกิดถึงที่สุด เราก็กำหนดจิตอธิษฐาน ขอบารมีกำลังแห่งพุทธานุภาพของพระพุทธองค์ เมตตาทรงยกจิตของข้าพเจ้าขึ้นไปบนพระนิพพาน อยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐม พร้อมด้วยมหาสมาคม คือ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆ พระองค์บนพระนิพพาน รวมถึงครูบาอาจารย์ ท่านทั้งหลายที่เมตตาสั่งสอนข้าพเจ้าในธรรม นับตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน 

อธิษฐานให้จิตของเรา จากดวงแก้วสว่าง ค่อยๆ ปรับภาพ ปรับสภาวะ จากดวงจิตดวงพลังงาน ที่เป็นดวงแก้วทรงกลม มาอยู่ในสภาวะแห่งกายพระวิสุทธิเทพ เป็นกายแสงสว่าง มีเครื่องประดับ มีความสว่างชัดแพรวพราว กำหนดรู้ในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพที่สว่างเจิดจ้าอย่างยิ่ง

กำหนดน้อมจิตค่อยๆ บรรจงกราบพระพุทธเจ้า สมเด็จองค์ปฐม พร้อมทั้งมหาสมาคมทุกท่านทุกๆ พระองค์ บนพระนิพพาน สภาวะจิตที่เราเห็นบนพระนิพพาน เราสามารถจะกำหนดทั้งเห็นกายพระวิสุทธิเทพของเรา เพียงองค์เดียวก้มลงกราบทุกท่านทุกๆ พระองค์ หรือจะสามารถที่จะใช้กำลังของอภิญญาจิต แยกอาทิสมานกายกายพระวิสุทธิเทพ เป็นจำนวนมากมายมหาศาลนับไม่ถ้วน แยกกราบเฉพาะแต่ละพระองค์ก็ได้ ตามกำลังตามกำลังใจที่เราสามารถพึงทำได้ หรือมีความคล่องตัวพอที่จะทำได้ 

เมื่อกราบเรียบร้อยแล้วเราก็กำหนดจิต อธิษฐานให้กายพระวิสุทธิเทพของเรา นั่งขัดสมาธิ ปฏิบัติเจริญพระกรรมฐานอยู่บนพระนิพพาน กายทิพย์นั่งอยู่บนรัตนบัลลังก์ดอกบัวแก้ว ลอยอยู่ จิตเบาสว่าง ดอกบัวแก้วที่เป็นอาสนะที่ลอยอยู่นั้น เรากำหนดจิตพิจารณา ว่าเมื่อเราปล่อยวางตัดกิเลส ก็ขอให้ดอกบัวที่เรานั่ง กายทิพย์ที่ปรากฏอยู่บนดอกบัวนั้น ยิ่งลอยสูงขึ้น เบาขึ้น คือ จิตมีความเบาขึ้นและก็สว่างขึ้น

จำไว้เสมอว่า เมื่อพิจารณาเจริญวิปัสสนา ยิ่งวางได้มากเท่าไร จิตยอมรับตามความเป็นจริงและปล่อยวางได้มากเท่าไร เรายิ่งสว่างขึ้นเบาขึ้นเพียงนั้น

อารมณ์ในการเจริญวิปัสสนา ไม่ใช่ว่ายิ่งพิจารณาแล้วยิ่งเครียด ยิ่งหนัก ถ้ายิ่งเครียดมากเท่าไหร่ ยิ่งหนักมากเท่าไหร่ ความเข้มความเคร่งเครียด ความกังวล ในการที่เราคิดพิจารณาธรรม ยิ่งหนักมากเท่าไหร่ ยิ่งบีบคั้นมากเท่าไหร่ มันกลายเป็นว่า มันจะเกิดวิปัสสนูปกิเลส เกิดอาการปวดหัวบ้าง เกิดความหนักบ้าง แต่ถ้าเราเจริญถูก ยิ่งพิจารณาและวางได้ คือ จิตมันยอมรับและวางและปล่อย ยิ่งละวางได้มากเท่าไหร่ จิตเรายิ่งเบา เหตุผลว่าเบาก็เพราะว่าจิตเป็นอิสระ จากความเกาะจากภาระที่เราแบกไว้ในใจที่เรายึดไว้ในใจ

วาง วางได้ 2 ประการ คือ 

  1. วางชั่วคราว ในขณะที่เราพิจารณา
  2. แต่ถ้าจิตเราเจริญวิปัสสนาญาณ จนเข้าถึงเขตของความเป็นพระอริยเจ้า การวางในแต่ละจุดในแต่ละขั้น จากหยาบไปสู่ละเอียด วางได้มากเท่าไหร่ การวางนั้นมันจะเป็นการวางอย่างถาวร คือ ไม่กลับไปเอาอีก ไม่ยึดอีก ไม่รับอีก

แต่ถ้า ละ วางเพียงชั่วคราว ละ วาง เฉพาะเวลาที่เราเจริญสมถะวิปัสสนากรรมฐาน ถ้าวางไว้ชั่วคราว ในยามที่เราปฏิบัติ เราก็รู้สึกว่าเราวาง แต่พอเราออกนอกสมาธิหรือกลับไปใช้ชีวิตประจำวันตามปกติ อารมณ์ความรู้สึกความเกาะความยึดต่างๆ ความห่วงมันก็กลับมาอีก แต่การวางชั่วคราวนั้น มันก็อุปมาเหมือนกับ การที่เรามีเชือกที่ร้อยรัดมัดตรึงโดยแน่นหนา แต่เราขยับขยายให้มันคลายตัวออกมาได้ พอมันคลายตัวออกมาบ่อยเข้านานเข้า มันก็หลวม จากที่มันเคยรัดจิตของเราแน่นหนา สังโยชน์ที่เป็นเครื่องร้อยรัดร้อยจิตเรา มันมัดแน่นจนเราขยับเขยื้อนไม่ได้ มันก็คลายลงคลายลง ยิ่งเจริญมากขึ้นบ่อยขึ้น ยิ่งวางได้ลึกมากเท่าไหร่ ก็เหมือนเราคลายเชือกให้มันคลายได้มาก ได้หลวมมากเพียงนั้น พอในที่สุดเมื่อเราคลายไปจนถึงที่สุด ในที่สุดมันก็ค่อยๆ หลุดออกไป จากที่มันรัดจิตเรา มันก็หลุดออกไปได้

กับอีกประเภทหนึ่งก็คือใช้กำลังฌาน ใช้กำลังใจ ใช้กำลังความเด็ดเดี่ยวของจิต พิจารณาว่าเราไม่เอาอีกแล้ว พอกันที ใช้กำลังเข้มข้นเหมือนกับหักดิบ อารมณ์จิตที่มีกำลังฌานตั้งแต่ฌาน 4 ขึ้นไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งพอใช้กำลังของอรูปสมาบัติมาตัด แต่จิตของเราหรือจิตของบุคคลที่พิจารณาตัดกิเลส มีความเด็ดเดี่ยว จนกระทั่งกิเลสมันขาดสะบั้นไปในที่สุด อันนี้ก็คือกำลังใจที่เรียกว่า ตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน 

แต่อันที่จริงแล้ว การปฏิบัติจริงๆ ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านก็ค่อยๆพิจารณาไปทีละน้อยทีละน้อย ไม่มีใครที่พิจารณาทีเดียวแล้วตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานได้ง่ายๆ ถ้าทำได้ก็คือในสมัยพุทธกาล หรือบุคคลที่มีบุญกุศลครบเต็มแล้ว ฟังธรรมเพียงครั้งเดียวก็ตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน

แต่สำหรับพวกเราเองจริงๆ ก็ค่อยๆ ทำค่อยๆ คลาย ผลของการปฏิบัติที่พบเห็นได้ก็คือ ความโกรธมันเบาลง อารมณ์ที่เมื่อก่อนเคยขึ้น แรง มันก็เบาลง จากจิตที่เคยซัดส่าย วุ่นวายฟุ้งซ่าน บังคับตัวดึงจิตให้กลับมาสงบดึงสติ ให้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวไม่ได้ มันก็สามารถที่จะรวมจิตหรือบรรเทาคลาย ความฟุ้งซ่านวุ่นวาย ความกระสับกระสาย ความสับสนของใจลงได้

อันนี้ก็ถือว่าเราขยับ จนกระทั่งสิ่งที่เคยร้อยรัดจิตเรา มันเริ่มคลาย มันหลวม มันเบาลงมากกว่าคนอื่นแล้ว

จำไว้ว่าขั้นตอนจริงๆ ก็คือค่อยๆ ทำให้มันคลาย ให้มันหลวม จนกระทั่งถึงที่สุดเมื่อไหร่บารมีเราเต็ม เราพิจารณาเอาเป็นเอาตาย ตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน เมื่อนั้นจิตเราก็สามารถตัดสังโยชน์ ในข้อที่ติดขัด ให้มันขาด ให้มันหลุดค่อยๆ ก้าวขึ้นตามลำดับได้

ตอนนี้ก็ให้เราค่อยๆ พิจารณาธรรม ทำพิจารณาปล่อยวางสิ่งที่เราห่วงที่สุด รักที่สุด ยึดมั่นถือมั่น เกาะที่สุด จะเป็นสามีจะเป็นภรรยา จะเป็นคนรัก จะเป็นพ่อแม่ จะเป็นลูก จะเป็นหลาน หรือจะเป็นวัตถุสิ่งของ บ้าน เคหะสถานที่ เราห่วง ที่เราหวง ของที่เราสะสมไว้ เวลาพิจารณาปล่อยวาง พอวางเสร็จ เราพิจารณาวางเสร็จ ถ้าเราวางได้ก็ขอให้อาทิสมานกายเราเบาขึ้น ลอยสูงขึ้น

พิจารณาไปเรื่อยๆ ให้จิตเบาขึ้น เบาขึ้น เป็นสุขขึ้น พิจารณาเป็นปัจเจกบุคคล คือ พิจารณาของเราเอง ว่าเราติดขัด ว่าเราขัดข้อง ว่าเราห่วงจุดใด เรื่องใด พิจารณาปล่อยวางไปทีละน้อย ทีละน้อย ให้จิตเราเบาๆ

สำหรับบางคนก็เป็นเรื่องของบุคคลที่เราห่วง บุคคลที่เราโมโห ที่เราขัดเคือง ที่เราคับแค้นปล่อยวาง วางไปแล้วให้จิตเรา กายทิพย์เราเบาขึ้น ลอยขึ้น เป็นสุขขึ้น กายทิพย์เมื่อปล่อยวาง จิตสะอาด กายทิพย์ทั้งเบา ทั้งลอยขึ้น ทั้งสว่างขึ้นทั้งเป็นสุขขึ้น ทั้งใสขึ้น กำหนดพิจารณาจนจิตของเราสว่าง ใส เป็นสุข ยิ่งบาง ยิ่งว่าง ยิ่งเบา ยิ่งสงบ ยิ่งสะอาดจากกิเลส จิตยิ่งเข้าสู่วิมุตติ ยิ่งลอยสูงมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งเข้าสู่วิมุติ ที่ละเอียดขึ้น

กำหนดจิตต่อไปนะ ก็รู้จิตของเราเองว่าจิตเป็นสุขไหม สว่างไหม ผ่องใสไหม พอจิตของเราสะอาดผ่องใสแล้ว สำหรับวันนี้เราก็มาฟังธรรมะ เป็นกระแสธรรม เป็นธรรมะที่อาจารย์ได้เดินทางไปกราบครูบาอาจารย์ทางภาคอีสาน คือพระอาจารย์หนุน วัดพุทธโมกข์ จังหวัดสกลนคร เพื่อกราบเรียนในเรื่องของการสร้างพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพาน ซึ่งได้กราบเรียนรายงานท่านว่า แผ่นทองตอนนี้ก็รวบรวมได้ประมาณ 9 หมื่นกว่าแผ่น ซึ่งจริงๆ ก็คิดว่าตอนนี้ก็เกือบครบเรียบร้อย เหลือแต่รอรวบรวม รอรับการส่งกลับมา แต่สิ่งสำคัญเวลาไปกราบครูบาอาจารย์ เราก็กราบเรียนขอข้อธรรม ข้อปฏิบัติท่าน ส่วนใหญ่ถ้าเราไปกราบเรียนกับครูบาอาจารย์ที่ท่านทรงอภิญญาจิต ทรงความดี หรือทรงในปฏิสัมภิทาญาณ ท่านก็จะแสดงธรรมตามภูมิธรรม ตามวาระจิตที่เรารับได้

ของพระอาจารย์ท่านก็เมตตาสอนในเรื่องของจุดสำคัญ ในการปฏิบัติ นั่นก็คือ เรื่องของความสว่าง ความผ่องใสของจิต ไปกราบเรียนถามท่านในเรื่องของวิชาพุทโธระเบิด ท่านก็กล่าวถึง ว่ากำหนดจิตให้จิตเราเข้าถึงเอกัคคตารมณ์ก่อน พอจิตรวมเป็นหนึ่งได้แล้ว หลังจากนั้นก็กำหนดในแสงสว่าง นั่นก็คือจริงๆ ก็คือกำหนดในจิต เห็นจิตเป็นแสงสว่าง

แต่จุดสำคัญที่ท่านเน้น ก็จะเป็นภาพที่ทางเราฝึกกัน สอนกัน ในเรื่องของการกลั่นจิต ท่านก็สอนอธิบายว่าเวลาที่เรากำหนดภาพแสงสว่างก็คือ อาโลกกสิณ เวลากำหนดในความสว่าง ความใส การกลั่นนั้นก็คือสว่างแล้วสว่าง อันนี้ก็คือถ่ายทอดคำที่ท่านตอบสว่างแล้วสว่างขึ้นไปอีก ใสแล้วใสขึ้นไปอีก สุขแล้วสุขขึ้นไปอีก

สุขนี้หมายความว่า จิตเป็นสุขตามภาพนิมิต นั่นก็คือเราต้องยกระดับให้สว่างขึ้นไปอีก ใสขึ้นไปอีก ชัดขึ้นไปอีก เปล่งประกายขึ้นไปอีก อารมณ์จิตในขณะที่ทรงอารมณ์ก็เป็นสุขยิ่งขึ้นไปอีก

อันนี้ก็ขออรรถาธิบายเพิ่มเติม จากที่ท่านสอนในเรื่องของการกลั่นจิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่บอกว่าภาพมโนมยิทธิเวลาที่เราฝึกมันไม่มีความชัดเจน เราก็ต้องฝึกให้มันใสขึ้นไปอีก คือเห็นภาพนิมิตแรกแล้ว เพิกภาพ จริงๆ เวลามันรวดเร็ว ก็คือปรับระบบของจิตเราในการกำหนดภาพ หรือการสร้างภาพของจิตให้มันใสขึ้นไปอีก สว่างขึ้นไปอีก

วิธีฝึก อย่างเช่นการเห็นความสว่างเพิ่มขึ้นไปอีก เราอาจจะเริ่มจากการที่ลองดูหลอดไฟที่มันมีระบบ dimmer คือปรับลดเร่งแสง จากแสงสลัวก็เหมือนมโนมยิทธิเราไม่ชัด เราค่อยๆ เร่งไฟขึ้น สว่างขึ้น สว่างขึ้น สว่างขึ้น ลองฝึกที่จะปรับแสงให้ดวงแก้วคือดวงจิตของเรานะ เหมือนกับหลอดไฟที่เร่งแสงได้ แต่คราวนี้เวลาที่เราฝึกจริง เวลาที่เราเร่งแสงของจิตให้สุด เรียกว่าแสงนั้นมันเกิดจ้า ขาว จนกระทั่งกลายเป็นแสงที่เจิดจ้าจนมองไม่เห็นสิ่งอื่นไปเลย สว่างแล้ว สว่างเต็มที่ ชัดแล้ว ชัดอีก อารมณ์จิตก็เหมือนกัน ต้องเร่งให้ความสุขเรา สุขเท่านี้ ต้องให้สุขจนกระทั่งพีคความสุข อารมณ์จิตที่เป็นสุขนั้นมันพุ่งขึ้นไปเต็มที่ อย่าลืมว่า ความเป็นทิพย์ของจิตเกิดขึ้นจากจิตที่เป็นสุขจากจิตที่เปล่งประกายแสงสว่าง

ดังนั้นสิ่งต่างๆ เหล่านี้ถ้าเราเข้าใจหัวใจ พอเราเร่งกำลังเข้ามาสูงสุด ก็อุปมาเหมือนจิตเรามันมีกำลัง ลองคิดเอาว่าจิตของบุคคลหนึ่ง เป็นแสงสลัวๆ กับจิตของอีกบุคคลหนึ่งเปล่งประกายสว่างอย่างกับดวงอาทิตย์ จิตดวงใดถึงมีพลังงานมากกว่ากัน คิดว่าจิตสลัวๆ หรือจิตที่มีกำลังสว่างเจิดจ้า อันนี้การที่เราปฏิบัติการที่เราฝึกการที่เราสว่างแล้ว สว่างขึ้นไปอีก เร่งกำลังขึ้นไปเรื่อยๆ มันเป็นการฝึกจิตให้มีกำลัง มีจิตตานุภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกสิณ อันนี้ก็คือหัวใจสำคัญของการปฏิบัติที่ท่านบอก

ดังนั้น คนที่มโนมยิทธิไม่ชัด ก็ต้องฝึกกำหนดจิตให้มีระบบการสร้างภาพ จากไม่ชัด ก็ชัดขึ้นมาอีก จากไม่ใสก็ใสขึ้นไปอีก ค่อยๆ ไต่กำลังขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วก็อย่าไปคิดว่าของเราทำได้เท่านี้ อันที่จริงหลายๆ คนที่ฝึกก็ไม่ใช่ว่ามีใครชัดมาตั้งแต่ครั้งแรก หรือก็ไม่ได้ชัดกันทุกวัน แต่ถ้าเมื่อไหร่เราฝึกจากไม่ชัด เราปรับเป็นชัดได้ ชัดแล้วชัดขึ้นไปอีกได้ สว่างแล้วสว่างขึ้นไปอีกได้ ไล่ระดับของความชัด ความสว่าง ความใส ความสุข ความเบิกบาน เร่งระดับได้มากกว่าคนอื่น นั่นก็คือ วสีความชำนาญในการปฏิบัติ ในการทรงอารมณ์จิต หรือแม้แต่บางคนเคยมีความสว่าง ความชัด ความคล่องตัวในมโนมยิทธิ บางคนเสื่อมไปบ้าง หายไปบ้าง เราจะย้อนทวน ฟื้นคืนกำลังสมาธิเรา เราก็ต้องฝึกแบบนี้ ค่อยๆปรับกำลังให้สว่างขึ้นไปอีก  เหมือนกับเราฝึกกายเช่นกัน เรายกน้ำหนักได้เท่านี้ เราค่อยๆ ฝึกยกเพิ่มน้ำหนักขึ้นไปอีก ยกหนักขึ้นไปอีก จนกระทั่งเราสามารถยกได้หนักกว่าคนทั่วไปที่เขาทำได้ อันนี้ก็เป็นเรื่องของจิต ฝึกจิตจากใสเล็กน้อย จากขุ่นมัวให้ใสขึ้นไปอีก ให้สว่างขึ้นไปอีก อันนี้ก็คือสิ่งที่พระอาจารย์ท่านเมตตาแนะนำ แต่ที่จริงก็คือเป็นการย้ำในสิ่งที่เราก็ฝึก เราก็เรียน แล้วก็สอนกันเป็นปกติอยู่แล้ว

จากนั้นท่านก็บอกว่า เมื่อจิตสว่างที่สุด เห็นแสงสว่าง สว่างที่สุด ก็พุ่งจิตของเราไปที่แสงสว่าง กำหนดว่าเราพุ่งไปหาแสงสว่าง ไปกราบพระพุทธเจ้า สภาวะที่จิตเราพุ่งไปหาแสงสว่าง นั่นก็จะหลุดออกไปเป็นมโนมยิทธิเต็มกำลัง อันนี้ก็คือวิชา พุทโธระเบิด ที่ท่านว่า อันที่จริงในความหมายของท่าน ก็คือใช้กำลังของสมถะให้สว่างขึ้น ชัดเจนขึ้น จนจิตเกิดแสงสว่างเจิดจ้า จนไม่มีสิ่งใดจะเปรียบปานได้ สว่างยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ทั้งหลายมารวมกัน สว่างจนทุกสรรพสิ่งขาวสว่าง เป็นแสงทั้งหมด แล้วก็พุ่งจิตไปที่แสงสว่างกำหนดอธิษฐาน เข้าสู่แสง กราบที่แสง ขึ้นไปบนพระนิพพาน อันนี้เราก็ลองกำหนดจิตดู จิตเราตอนนี้เราอยู่บนพระนิพพาน ให้กายทิพย์กายพระวิสุทธิเทพสว่างเต็มที่ สว่างเปล่งประกายจนกลายเป็นแสงของดวงอาทิตย์ สว่างยิ่งกว่าแสงของดวงอาทิตย์ ยิ่งเปล่งประกายแสงสว่างมากเท่าไหร่ จิตเรายิ่งเป็นสุขเพียงนั้น

แสงสว่าง ดับอวิชชา คือความมืดบอด ความมืดมิดของจิต

แสงสว่าง ดับความโลภ ความโกรธ ความหลง

จิตยิ่งสว่าง จิตยิ่งเป็นสุข เปล่งประกาย กายทิพย์ของเราให้สว่างเต็มที่ เจิดจรัสเต็มที่ สว่างเต็มที่ จิตสว่าง กายทิพย์สว่างเต็มที่

คราวนี้ต่อมา สิ่งที่เรากำหนดน้อมใจของเรา ฟังธรรมที่ท่านถ่ายทอดให้อีกเรื่องหนึ่งก็คือ เรื่องของการถ่อมจิต ความนอบน้อม ซึ่งอันนี้อาจารย์ก็ย้ำเป็นปกติอยู่แล้ว ความนอบน้อมที่ว่าก็คือ เวลาที่เรานึกถึงพระ เรานอบน้อม จิตเราต้องมีความนอบน้อมอย่างถึงที่สุด ด้วยเหตุผลที่เคยกล่าวไว้เสมอว่ายิ่งนอบน้อม จิตเรายิ่งเชื่อมโยงเชื่อมกระแสกำลังพุทธานุภาพได้มากกว่าจิตของบุคคลที่มีความหยาบ มีความกระด้าง

ถ้านับระดับสเกลเลเวล ของเรื่องความนอบน้อม ความหยาบที่สุดก็คือ หยาบโลนตีเสมอ หยาบจนปรามาสพระรัตนตรัย หยาบจนกระทั่งเราไม่ได้มีความเคารพในพระรัตนตรัย หรือมีความเคารพในพระรัตนตรัย แต่เป็นการเคารพเพียงอาการ เช่นก็ยกมือไหว้ไป ส่งๆ ตามประเพณี แต่ใจเรานิ่งๆ เฉยๆ ไม่ได้มีความเคารพนบนอบสิ่งใด แต่พอถึงเวลาระดับที่สูงขึ้น ก็คือมีความนอบน้อม มีความเคารพ พอลึกขึ้นไปอีกก็มีความเคารพ มีความรักอย่างสุดหัวจิตหัวใจ พอถึงเวลาที่มันละเอียดในความนอบน้อมเข้าไปอีก ก็คือนอบน้อม เคารพรัก มอบกายถวายชีวิต ก็คือหมายความว่ายอมตายแทนพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ได้

ใจเรานอบน้อมจนกระทั่ง ถ้าเห็นพระพุทธเจ้า เราสามารถทอดกายลงกับพื้น แล้วก็ให้พระพุทธองค์ท่านเหยียบกายเรา เดินผ่านสิ่งที่เป็นของสกปรกหรือปฏิกูลได้ หรืออย่างทางพม่า ผู้หญิงเขาก็จะสยายผม คือถือว่าผมเป็นของสูง สยายผมให้พระแท่นเหยียบหรือเช็ดเท้า อันนี้ก็แสดงความเคารพนอบน้อมสูงสุด ก็คือละมานะทิฏฐิทั้งปวงของตน อันนี้เป็นเรื่องของเวลาที่เราจะเรียนวิชากับครูบาอาจารย์ทั้งหลายด้วย ยิ่งเรามีความเคารพนอบน้อมถึงที่สุดกับครูบาอาจารย์ กำลังครูบาอาจารย์ก็ช่วยเหลือสงเคราะห์เราได้ มากกว่าคนที่ยังมีความหยาบ ยังมีความรู้สึกดีเสมอ ยังไม่ได้มีความนอบน้อมเคารพอย่างแท้จริง อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ท่านอธิบายแนะนำมา เป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งควรจะอยู่ในจิตของบุคคลที่ประพฤติปฏิบัติธรรม อันนี้โดยคร่าวๆ ทั่วไปก็จะมี 2 จุดนี้ที่สำคัญที่ท่านกล่าวถึง

คราวนี้สำหรับเรื่องอื่น ก็มีครูบาอาจารย์อีกท่านหนึ่งที่อาจารย์ได้ไปกราบ คือหลวงปู่บุญมา ที่ถ้ำวัวแดง ที่ท่านก็เป็นอดีตเจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิ แล้วท่านก็มาอยู่ที่ป่า พอไปถึงก็เป็นจังหวะดีที่ไปกราบเรียนถามขอข้อธรรมท่าน ซึ่งตัวหลวงปู่บุญมานี้ เป็นพระซึ่งอาจารย์ได้เคยไปกราบในกาลก่อน แล้วก็มีเรื่องเล่าที่เป็นเรื่องเฉพาะเจาะจง คือมีบางช่วงเวลาที่อาจารย์เกิดนึกน้อยใจว่า ตัวเราเรียนกับครูบาอาจารย์ที่เป็นกายทิพย์ แต่เราไม่เคยมีครูบาอาจารย์ที่เป็นกายเนื้ออย่างชนิดที่จริงๆ จังๆ เลย ปรากฏว่าคืนนั้น วันนั้นนึกรำพึงรำพัน คืนนั้นก็ฝันว่าหลวงปู่บุญมา ท่านก็มาเข้าฝันบอกว่าฉันนี่แหละอาจารย์ของเธอ ท่านก็มาเข้าฝันเดี๋ยวนี้เลย ก็เลยมีความรู้สึกว่าจะต้องหาเวลาไปกราบเรียนถามขอข้อธรรมกับท่าน

พอถึงเวลาครั้งนี้ก็มีโอกาสได้ไปกราบเรียนท่าน ในเรื่องที่ท่านมาเข้าฝัน แล้วก็ขอข้อธรรมท่าน ท่านก็ดีใจบอกว่าปกติคนมาหาท่าน ก็จะมีแต่ขอให้ช่วยเรื่องทางโลก ขออย่างนั้น ขออย่างนี้ ขอเรื่องงาน ขอเรื่องอะไรต่ออะไร แต่ไม่ค่อยมีคนมาขอเรื่องธรรมะจากท่าน ท่านก็มีความยินดี ถึงเวลาท่านก็ถ่ายทอดธรรม ตามวิสัยของบุคคลที่มาขอธรรมจากท่าน อันนี้ท่านก็เน้นเป็นเรื่องเดียวกัน ก็คือเรื่องเอกัคคตารมณ์

สรุปแล้วทุกอย่างรวมย้ำในเรื่องเดิม เอกัคคตารมณ์ จิตต้องรวมเป็นหนึ่งให้ได้ ท่านก็บอกว่าต้องฝึกจิตแล้วรวมเป็นหนึ่งได้ไหม แล้วก็ต้องรวมให้ได้ทุกอิริยาบถ

จริงๆ เนื่องจากท่านเป็นครูบาอาจารย์สายหลวงปู่เทพโลกอุดร แล้วก็หลวงปู่เทพโลกอุดรก็มาสอนท่าน มาสอนกายเนื้อแล้วก็ให้ท่านมาอยู่ที่ถ้ำวัวแดงแห่งนี้ ดังนั้นท่านก็ฟังโดยตรงจากหลวงปู่เทพโลกอุดรในการปฏิบัติธรรม

  • หนึ่ง ในเรื่องเอกัคคตารมณ์ จิตต้องรวมเป็นหนึ่งให้ได้ พิจารณาตัดกิเลสจิต ต้องรวมเป็นหนึ่งให้ได้ก่อน
  • ส่วนอีกเรื่องหนึ่งก็เป็นเรื่องเดียวกัน แต่คราวนี้ท่านแสดงอาการให้ดู ก็คือเวลากราบ เวลากราบพระต้องกราบแบบนี้นะ แล้วท่านก็กราบพระให้ดู คือแสดงอาการกราบพระพุทธเจ้าให้ดู ท่านก็กราบด้วยความนอบน้อมกราบให้ถึงพระรัตนตรัย ก็ตรงกับที่อาจารย์สอนพวกเราตั้งแต่ต้นมาตลอด กราบให้ดูเป็นสิบๆ ครั้ง คือความรู้สึกท่านไม่มีความเบื่อในการกราบพระ กราบด้วยหัวใจ กราบแล้วกราบอีก กราบด้วยจิตอันเป็นสุข กราบด้วยจิตที่อิ่มเต็ม อันนี้ก็เป็นเรื่องของความนอบน้อมยิ่ง ความนอบน้อมในพระรัตนตรัยมากเท่าไหร่ พระท่านก็สงเคราะห์เรามากเพียงนั้น

อันนี้จำไว้เลยนะสำคัญมาก แล้วท่านก็เล่าให้ฟังว่า ถึงเวลาท่านมาอยู่ป่า หลวงปู่เทพโลกอุดรท่านเข้ามาสอน มาสอนด้วยกายเนื้อ มาปรากฏองค์ให้เห็น ถึงเวลาท่านก็แนะนำอาจารย์ว่า ถึงเวลาถ้าเราจะปฏิบัติจริง วิธีปฏิบัติท่านก็บอกว่าให้อยู่กับพระพุทธเจ้าให้มากที่สุด อย่าไปอยู่กับโทรศัพท์มือถือ อย่าไปอยู่กับกาแฟ อารมณ์จิตแรกที่นึกถึง นึกถึงพระพุทธเจ้าแล้วก็อยู่กับพระพุทธเจ้า

ดังนั้นอย่างการที่พวกเราฝึกยกจิตขึ้นไปกราบพระพุทธองค์ ขึ้นไปอยู่กับพระพุทธองค์ หรือฟังธรรมโดยตรงจากพระพุทธองค์ได้ ท่านก็บอกว่ายิ่งอยู่กับพระพุทธเจ้ามากเท่าไหร่ จิตเราก็ยิ่งห่างจากกิเลส ยิ่งห่างจากกิเลสนานเข้า บ่อยเข้ามากเข้า มากเท่าไหร่กิเลสมันก็ค่อยๆ หายค่อยๆ จางลง จนในที่สุดก็เข้าถึงวิมุติ ก็คือการบรรลุหลุดพ้น ปุถุชนส่วนใหญ่จิตเราอยู่กับความรัก โลภ โกรธ หลง พอเราปฏิบัติ เราก็เริ่มมีจิตที่อยู่กับพระมากขึ้น บ่อยขึ้น นานขึ้น แต่ถ้าหากเรามีความเพียรเพิ่ม อยู่กับพระมากขึ้น อยู่กับธรรมมากขึ้น อยู่กับกุศลมากขึ้น ทำไปจนกระทั่งกิเลสมันค่อยๆ ห่างหายไปจากจิต มันจืดไปจากจิต จนกระทั่งเราไม่เอา ไม่เอากิเลส เราอยู่กับพระ เราอยู่กับพระธรรม เราอยู่แต่กระแสของบุญกุศล นึกถึงก็นึกถึงแต่จะทำบุญ จะสร้างกุศล จะสร้างความดี นึกถึงเราก็นึกถึงจิตที่ทรงในความผ่องใส ในอารมณ์กรรมฐาน แล้วทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ แล้วทำจนกระทั่งเราไม่รู้ตัว กิเลสมันค่อยๆ หายไปค่อยๆ จางไป

ดังนั้นวันนี้ก็ขอสรุปให้เราฟังว่า สิ่งที่เราปฏิบัติ ทำไมอาจารย์พาฝึกกรรมฐานทุกครั้ง พายกจิตไปพระนิพพานทุกครั้งเราไปพระนิพพานก็เพื่อให้เราชิน ให้เราแนบ ให้เราใช้เวลาอยู่กับพระนิพพานมาก ให้จิตสว่างจากกิเลส คราวนี้เราก็ตั้งกำลังใจเราไว้เสมอว่า เมื่อไหร่เราอยู่กับพระพุทธองค์ จิตเราว่างจากกิเลส เมื่อไหร่เราอยู่บนพระนิพพาน จิตเราอยู่บนพระนิพพาน จิตเราก็ทรงในอารมณ์แห่งอรหันตผลชั่วคราว

ซึ่งนั่นก็คือ จิตเราก็ว่างจากกิเลส อยู่กับกุศล ทำมากเข้า บ่อยเข้า นานเข้า ใจเราก็ใกล้พระนิพพานมากเพียงนั้น สะอาดจากกิเลสมากเพียงนั้น ถ้าใจเราไปอยู่กับคนที่ทำให้จิตเราขุ่นเคือง ถ้าใจเราไปอยู่กับคนที่ทำให้จิตเราเศร้าหมอง ถ้าเราไปอยู่กับคนที่ทำให้จิตเราเกิดความโกรธ เกิดโทสะ เราก็เอาใจเราไปคลุกเคล้า ไปคลุกคลีกับความโลภ โกรธ หลง แต่ถ้าจิตเราไปอยู่กับพระ ไปอยู่กับกุศล เราก็เอาจิตเราไปคลุกเคล้ากับสิ่งที่เป็นเครื่องหอม เป็นมงคล

ดังนั้นตอนนี้ก็ให้เรากำหนดในใจเราว่า เราจะค่อยๆ ละ ค่อยๆ เลิก ค่อยๆ ห่าง จากสิ่งที่เป็นมลทินเครื่องเศร้าหมอง จากสิ่งที่เป็นอกุศล จากสิ่ง จากบุคคลที่เป็นมิจฉาทิฐิ เราอยู่แต่กุศล อยู่กับความผ่องใส พอพิจารณานี้ แล้วพิจารณาธรรมแล้ว เห็นจริง เห็นว่าเป็นประโยชน์ เราก็น้อมรวมลงสู่จิต น้อมนำมาปฏิบัติ

การปฏิบัติธรรม อันที่จริงถ้าเราเข้าใจหลักให้ดี มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก ค่อยๆ ปรับจากหยาบไปหาละเอียด จากมืดไปสู่สว่าง จากมัวหมองไปสู่ความผ่องใส จิตเรายกระดับขึ้น ตอนนี้ก็ให้เรากำหนดจิต ทรงอารมณ์ใจในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ สว่างขึ้น ใสขึ้น เครื่องทรง เครื่องประดับ สว่างขึ้น ชัดขึ้น จิตเป็นสุขขึ้น จิตยินดีในธรรมยิ่งขึ้น จิตแนบในพระนิพพานมากขึ้น จิตมีความนอบน้อม มอบกายถวายชีวิตต่อพระรัตนตรัยมากขึ้น

ดังนั้น คนที่สามารถปรับอารมณ์ใจ คือกลั่นจิตของเราให้ใสขึ้น กลั่นอาทิสมานกายให้ชัดขึ้น สว่างขึ้น ใสขึ้น การที่เราจะสามารถยกกำลังมโนยิทธิเรา จากครึ่งกำลังให้กลายเป็นมโนมยิทธิเต็มกำลัง ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ขึ้นอยู่กับความเข้าใจขึ้นอยู่กับความเพียร ขึ้นกับวิริยะ ขึ้นกับความขยันหมั่นเพียรในการฝึกฝนจิตของเรา สว่างขึ้น สว่างแล้วก็สว่างขึ้นไปอีก ทรงอารมณ์ให้กายพระวิสุทธิเทพของเราสว่างอย่างยิ่ง ชัดอย่างยิ่ง ผ่องใสอย่างยิ่ง และจิตเราในขณะที่ทรงอารมณ์ก็เป็นสุขอย่างยิ่ง นิ่ง หยุด สว่าง อยู่บนพระนิพพาน ใจเรายิ่งนิ่งยิ่งสว่าง จิตตานุภาพ กำลังบุญปรากฏ

อธิษฐานจิตโดยเฉพาะอย่างยิ่ง รวมบุญ รวมบารมี ทานทั้งหลาย สังฆทานทั้งหลาย มหาสังฆทานทั้งหลาย วิหารทานทั้งหลาย สิ่งที่เป็นวัตถุทานทั้งหลาย ขอจงกลั่นใสเป็นแสงสว่างแห่งบุญกุศล จงรวมตัวกัน ณ อาทิสมานกายของข้าพเจ้า ขอให้ทิพยสมบัติจากทานทั้งหลายอันสำเร็จ อันเป็นบุญจงเกิดความสว่างอันปราณีต กายทิพย์ยิ่งสว่างขึ้น กายพระวิสุทธิเทพยิ่งใสขึ้น

บุญ คือ ความสุข                 บุญ คือ แสงสว่าง

จิต คือ พลังงาน                 จิต คือ แสงสว่าง

กายทิพย์ อาทิสมานกาย ก็คือ กายแห่งแสงสว่าง ยิ่งสว่างขึ้น ชัดขึ้น กำลังบุญรวมตัวอยู่ในอาทิสมานกาย  กายพระวิสุทธิเทพนี้ บารมีทั้ง 30 ทัศทั้งหลาย รวมตัวอยู่ในอาทิสมานกาย  กายพระวิสุทธิเทพนี้ กำลังแห่งศีลทั้งหลาย สมาธิฌานสมาบัติทั้งหลาย เมตตาอันไม่มีประมาณ พรหมวิหาร 4 อันไม่มีประมาณทั้งหลาย รวมสู่แสงสว่างของอาทิสมานกาย กายพระวิสุทธิเทพนี้ กลั่นกายยิ่งใสขึ้น สว่างขึ้น

จากนั้นกำหนดจิตอธิษฐาน ขอให้แสงสว่างรัศมีกายของข้าพเจ้านี้ จงเป็นกระแสรัศมีกายแห่งกระแสเมตตา แสงสว่างยิ่งละเอียดปราณีต ยิ่งแผ่กระจาย ยิ่งเป็นแสงรัศมีแห่งความเย็น อธิษฐานจิตขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ กระแสพระพุทธเมตตา จงปรากฏในจิตข้าพเจ้า

แผ่เมตตาอันไม่มีประมาณจากพระนิพพานลงไปยังงภพภูมิทั้ง 3 ไตรภูมิ แผ่เมตตาจากพระนิพพานลงไปยังอรูปพรหมทั้ง 4 แผ่เมตตาลงไปยังพรหมโลกทั้ง 16 ชั้น แผ่เมตตาลงไปยังอากาศพระเทวดาทั้ง 6 ชั้น แผ่เมตตาลงไปยังบรรดารุกขเทวดา พรหมเทวดา ทั่วอนันตจักรวาล แผ่เมตตาลงไปยังโลก ยังจักรวาล สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั้งมนุษย์และบรรดาสัตว์ที่มีขันธ์ 5 ร่างกาย กายหยาบ กายเนื้อทั้งปวง แผ่เมตตาลงไปยังภพภูมิของโอปปาติกะสัมภเวสีทั้งหลาย ชาวเมืองบังบด ลับแลทั้งหลาย แผ่เมตตาลงไปยังภพของเปรตอสุรกายทั้งหลาย แผ่เมตตาลงไปยังบรรดาสัตว์นรกในทุกหลุมลึกลงไปถึงที่สุดคือโลกันตนรก

อธิษฐานจิตขออาราธนาบารมีสมเด็จองค์ปฐม เมตตาปรากฏเป็นปางสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องจักรพรรดิ เปิดโลก เปิด 3 ภพภูมิ แผ่เมตตาสว่าง เปิด 3 ภพภูมิ สว่างกระจ่างแจ้งด้วยกำลังแห่งพุทธานุภาพ ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายจงประสบแต่ความสุข พ้นจากความทุกข์ พ้นภัยจากวัฏสงสาร เข้าถึงกระแสแห่งธรรม ความดี บุญกุศล ความสุข ความเจริญทั้งหลาย มีพระนิพพานเป็นที่สุด เปิดโลก เปิดจักรวาล เปิด 3 ภพภูมิ ด้วยกระแสแห่งบุญ ด้วยกระแสแห่งพระนิพพานด้วยกระแสเมตตาไม่มีประมาณ

จากนั้นอธิษฐานต่อไป ขอกระแสแห่งพระนิพพานจงหลั่งไหลลงมายังโลกใบนี้ ก่อเกิดสันติสุข สันติภาพ ก่อเกิดยุคชาววิไล ความเจริญรุ่งเรือง ความสุขสงบสันติร่มเย็น ความเจริญของพระพุทธศาสนาที่รุ่งเรืองคล้ายสมัยพุทธกาลมากด้วยพระเจ้า พระสุปฏิปันโน พระโพธิสัตว์ ขอบุญนี้จงสำเร็จผล ขอความสุขร่มเย็นจงปรากฏ เมื่ออธิษฐานจิตดีแล้ว ก็น้อมกระแสจากพระนิพพาน ลงมายังวัดวาอาราม สถานปฏิบัติธรรม พระพุทธรูป พระธาตุ พระบรมธาตุ พระธาตุเจดีย์ พระบรมสารีริกธาตุ พระอัฐิธาตุ พระอรหันตธาตุ ตลอดรวมจนถึงวัตถุมงคลทั้งหลาย ขอจงมีแต่กระแสบุญ กระแสกุศลกระแสธรรม กระแสเมตตา กระแสโลกุตระ ขอจงสลายล้างอวิชาคุณไสย ที่มาสอดมาแทรก ที่มาบัง ขอจงสลายมิจฉาทิฏฐิทั้งหลาย คำสอนที่เป็นอวิชาทั้งหลาย คำสอนที่เป็นมิจฉาทิฐิ ธรรมอันบิดเบือนไปจากพระพุทธประสงค์ของพระพุทธองค์ ขอจงสลายไป ขอจงคลี่คลายไป ขอจงกระจ่างในธรรม อันตรงกับพระพุทธประวัติของพระพุทธเจ้า ที่ปรารถนาลื้อขนหมู่เวไนยสัตว์ เข้าสู่มรรคผลพระนิพพาน ขอธรรมจงปรากฏ ขอธรรมแท้จงปรากฏ

จากนั้นกำหนดจิตนะ น้อมกระแสจากพระนิพพาน เราตั้งจิตอาทิสมานกายเรากราบลาทุกท่านทุกๆ พระองค์ ด้วยความนอบน้อม กำหนดจิตว่านับแต่นี้ เรากราบถึงพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานทุกครั้ง เมื่อกราบลงแล้ว เราก็ลาอาทิสมานกายพุ่งกลับมายังกายเนื้อบนโลกมนุษย์ พร้อมกับอาราธนาแสงรัศมี บุญบารมี รัศมีกำลังฤทธิ์ของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ขอน้อมเป็นกระแสจากพระนิพพานลงมาชำระล้างฟอกธาตุขันธ์ กายเนื้อ กายทิพย์ อาบกระแสไฟแสงสว่างของพระนิพพาน ชำระล้างฟอกธาตุขันธ์ เป็นมงคล เป็นมหามงคล

ปีใหม่นี้ก็ขอให้มีแต่สุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง ฟอกร่างกายธาตุขันธ์ ขอให้มีแต่สิ่งดีๆ เข้ามา ขอให้มีแต่สิ่งที่เป็นมงคล มหามงคลเข้ามาสู่ชีวิต ขอให้มหาโภคทรัพย์ โชคลาภเงินทอง ความคล่องตัว หลั่งไหลเข้ามาสู่เราทุกคนแต่ละบุคคลในทุกทิศทุกทาง ขอให้ไปไหนก็มีแต่คนรัก คนเมตตา คนสงเคราะห์ ขอให้เทวดาพรหมผู้มีกำลังฤทธิ์ มีเมตตา เอ็นดูรักษาคุ้มครอง ช่วยเหลือเราเต็มกำลัง

กำหนดจิตอธิษฐานฟอกธาตุขันธ์ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง กลายเป็นแก้วใส สว่าง โครงกระดูกกลายเป็นแก้ว ใสสว่างหลอดเลือดเส้นเอ็นทั่วร่างกายกลายเป็นแก้วใสสว่าง กล้ามเนื้อทุกส่วน เซลล์ทุกเซลล์ อวัยวะอาการ 32 กลายเป็นแก้วใสสว่าง เซลล์ที่ผิดปกติสลายตัวไป เซลล์ทั่วร่างกายมีแต่ความสมบูรณ์ มีแต่พลังชีวิต มีความแข็งแรงสดชื่นผ่องใส เป็นสุข มีชีวิตชีวาด้วยกำลังแห่งการเจริญพระกรรมฐาน กำลังบุญที่เราปฏิบัติธรรม กายเนื้อ กายทิพย์ สว่าง บุญกุศลหล่อเลี้ยงห่อหุ้มคุ้มครองรักษา กระแสเมตตาแผ่ฉาบเป็นกระแสแสงจากใบหน้า จากรูปกายของเราทุกคน ราศีรัศมีบุญของความเป็นผู้มีบุญจงปรากฏขึ้นกับเราทุกคน จงมีแสงสว่าง บุญญราศีรัศมี กระแสแห่งความเย็น ความเมตตา ความเป็นที่รัก แผ่กระจายออกไปจากกาย จากจิตของเรา จากวาจาของเราทุกคน จิตเป็นสุข

จากนั้นอธิษฐาน ขออาราธนากระแสบุญกุศลจากพระนิพพาน หลั่งไหลลงมายังบ้านเรือนเคหะสถานของเรา ธุรกิจ กิจหน้าที่การงานของเรา มีแต่สายบุญ สายทรัพย์ สายสมบัติ หลั่งไหลเข้ามา ปีใหม่นี้มีแต่ความคล่องตัว เงินทองโชคลาภบุญบารมีวาสนาปรากฏขึ้นเต็มกำลัง

สำหรับวันนี้ เราค่อยๆ น้อมจิต ค่อยๆ ออกจากสมาธิช้าๆ

หายใจเข้าช้าๆ ลึกๆ พุทโธ  ครั้งที่ 2 ธัมโม ครั้งที่ 3 สังโฆ ถอนจิตช้าๆ จากสมาธิ

แล้วก็ทรงอารมณ์ใจของเรา ว่าเราขอโมทนาบุญกับเพื่อนๆ ที่ร่วมกันถวายมหาสังฆทานในวันนี้ โมทนาบุญกับบุญกุศลที่เราฝึกสมาธิกันทั้ง 78 ท่านเป็นอภิจิต อารมณ์จิตทุกคนทรงอารมณ์ถึงพระนิพพาน ก็ถือเป็นกำลังกรรมการกรรมฐานสูงสุด กำลังจิตวันนี้หลายคนก็ยกกำลังใจของเราให้เปล่งประกายสว่างที่สุด คือมีกำลังฌานสมาบัติสูงยิ่งยวด จิตมีความสว่างผ่องใสอย่างยิ่งยวด กำลังบุญก็ปรากฏอย่างยิ่งยวด เราโมทนาบุญเราก็ได้บุญมากด้วยเช่นกัน

ดังนั้นบุญก็สำเร็จจากการภาวนามัย เราตั้งใจว่าบุญทั้งหลาย เราก็ไม่ได้รับเฉพาะตน เราถวายเป็นพุทธบูชา เป็นปฏิบัติบูชา แต่ผลของกุศลก็เกิดขึ้นกับตัวเรา บุญเราแบ่งโมทนาบุญกับเพื่อน แบ่งบุญให้เพื่อน บุญก็เกิดขึ้นจากปัจจัยแห่งการโมทนามัยไปอีกชั้นหนึ่ง ดังนั้นบุญก็เกิดขึ้นหลายชั้น บุญที่เกิดขึ้นจากเรานำกำลังสมาธิ ฌานสมาบัติ มาเป็นกำลังเพื่อปฏิบัติสาธารณประโยชน์ คืออธิษฐานให้กับชาติบ้านเมือง ให้กับโลก ให้กับภพภูมิทั้งหลาย ก็เป็นบุญมหาศาลอีก ดังนั้นบุญของเรา บางคนก็ไม่รู้ตัวว่าบารมีเราค่อยๆ เต็ม ใกล้เต็มมากขึ้นเรื่อยๆ เราก็ตั้งใจนะว่า ปีนี้ยกชีวิต ยกจิตของเราขึ้น ให้บารมีของเราทุกคนเต็ม ให้ชีวิตมีการเปลี่ยนแปลง เปิดบารมีขึ้นเต็มกำลัง ชีวิตจากที่เมื่อก่อนเคยอาจจะมีความติดขัด มีวิบาก มาปีนี้ก็ขอให้พลิกชีวิตขึ้น รุ่งเรืองขึ้นจากหน้ามือเป็นหลังมือ รุ่งเรืองขึ้นผิดหูผิดตา คนที่รวย 10 ล้านแล้ว ก็ขอให้ขึ้นร้อยล้าน คนที่ขึ้น 800 ล้านแล้ว ก็ขอให้ขึ้นพันล้านได้ ขอให้ทุกคนมีความคล่องตัว ตั้งจิตขอพรกับพระพุทธองค์นะ

สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน ช่วงนี้ก็ขอแจ้งว่า อยากให้คนไหนที่เขียนแผ่นทอง คนไหนที่แจกแผ่นทองออกไปก็ฝากรวบรวม ฝากติดตามนำส่งแผ่นทองพระเจ้าแสนดวงจิตพระนิพพาน ส่งกลับมาได้แล้วนะครับ การส่งกลับก็จะได้รวบรวมนับ ซึ่งคาดว่าตอนนี้ถ้าส่งกลับครบทั้งหมด ก็น่าจะถึงหนึ่งแสนแผ่นเรียบร้อยแล้ว ก็ลำดับต่อไปก็จะได้ดำเนินการในการประชาสัมพันธ์แล้วก็จะสร้างต่อไป บุญกุศลที่เราขยันฝึกเป็นนิจ อันนี้ก็จะเป็นประโยชน์กับแต่ละบุคคลเอง คนไหนขยันมาก มีความสม่ำเสมอมาก มีความเพียรมาก คนนั้นก็ยิ่งเจริญในธรรมมากตามลำดับ

สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน พบกันใหม่สัปดาห์หน้าวันอาทิตย์ สำหรับวันนี้ขอให้ทุกคนมีความสุข ความเจริญทั้งทางโลกทางธรรม เป็นบุญรับปีใหม่ สวัสดี

ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย คุณสิริญาณี แลบัว

You cannot copy content of this page