green and brown plant on water

สภาวะจิตเดิมแท้อันเป็นประภัสสร

เวลาอ่าน : 3 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน 2565

เรื่อง สภาวะจิตเดิมแท้อันเป็นประภัสสร

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

ผ่อนคลายปล่อยวางร่างกาย กำหนดจิตทรงสมาธิจดจ่ออยู่กับลมหายใจ กำหนดรู้ในลมหายใจสบาย วางอารมณ์ใจให้เบาๆ สงบ สว่าง ผ่องใส ทรงอารมณ์ที่ผ่องใสเบาสงบไว้ จิตเราเป็นเหมือนกับหยาดน้ำที่ใสบริสุทธิ์ ที่ไหลกลิ้งอยู่บน  ใบบัว มีความใส มีความเบา มีความละเอียด ไม่เกาะติดในอารมณ์ใด สงบนิ่ง ใส ทรงอารมณ์ไว้ 

ทรงฌาน ทรงอารมณ์อยู่ในความสงบ ผ่องใส เบาสบาย ยิ่งเราทรงอารมณ์จนจิตมีความชินในอารมณ์ของความสงบ ของกรรมฐาน ของความเบา ความผ่องใส การปล่อยวาง อารมณ์ของกรรมฐานนี้ก็จะเป็นวิหารธรรม คือที่พักของจิตเราจากความวุ่นวายภายนอก ความวุ่นวายของโลก ความวุ่นวาย ความกระทบ ความเร่าร้อนจากอารมณ์ของบุคคลอื่น หรือสถานการณ์ต่างๆที่บีบคั้นมาในทางโลก เราพักจิตของเราอยู่กับความสงบ ปล่อยวางเรื่องราวความกังวลทั้งหลายออกไป ความห่วง ความกังวล ความวุ่นวายทั้งหลาย มีศัพท์ในการปฏิบัติที่เรียกว่า “ปลิโพธ” เราละ เราตัด เราวาง ความกังวลทั้งหลายออกไป อยู่กับใจที่สงบนิ่ง อุเบกขา ผ่องใส เบาสบาย ปล่อยวาง ยิ่งปล่อยวางได้มากเท่าไหร่ กุศลผลบุญ สิ่งดีๆต่างๆ ก็สามารถที่จะหลั่งไหลเข้ามาสู่ชีวิต เข้ามาสู่ดวงจิตของเราได้ง่ายเพียงนั้น

ให้เราพิจารณาจดจำในพระพุทธวจนของพระพุทธองค์ที่ทรงตรัสไว้ว่า จิตเดิมแท้ทุกดวง ล้วนเป็นจิตอันประภัสสร คือมีความผ่องใส มีแสงสว่าง มีความเป็นประกายพรึก  แต่ครั้นความวุ่นวายกิเลสอุปกิเลสอารมณ์ที่จรมากระทบ เป็นเหมือนกับเมือก เป็นเหมือนกับเปลือก เป็นเหมือนกับความขุ่นมัวที่มาพอกมาทับมาฉาบมาทามาห่อหุ้มจิตเดิมอันเป็นประภัสสรของเราให้จิตนี้มันมีความหนักมีความทึบมีความเศร้าหมอง ดังนั้นจิตที่แท้จริงของเราคือจิตที่เป็นประกายพรึก จิตที่เป็นประภัสสร  เป็นธรรมชาติอันเดิมแท้ของจริง ไม่ใช่การปรุงแต่งใดๆ อันที่จริงสภาวะที่จิตเราเป็นเพชรประกายพรึก มีรัศมี มีความสว่าง เป็นธรรมชาติเดิมแท้ของจิตทุกดวงอยู่แล้ว เพียงแต่เรามีความฉลาดรู้เท่าทัน ทำความสะอาด ขัดสีฉวีวรรณให้จิตที่มีกิเลสมีความเศร้าหมองมีความทุกข์มีความหนักให้มันกลับมาใสอีกครั้งหนึ่ง

ดังนั้นจงจำไว้ว่า เข้าถึงสภาวะจิตเดิมแท้อันเป็นประภัสสรของเราได้เสมอ จิตนี้คือสภาวะเดิมแท้จริงแท้ของจิตเรา เมื่อพิจารณาได้ดังนี้แล้วก็กำหนด จิตของเราเป็นเพชรสว่าง มีรัศมีเป็นเส้นแสงออกมาโดยรอบ จิตของเราเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง เมื่อเราเข้าถึงสภาวะที่จิตเราเป็นจิตเดิมแท้อันเป็นประภัสสร ใจของเรามีความเอิบอิ่ม มีความชื่นบาน มีความยินดี มีความอิ่มใจ ให้พิจารณาในอารมณ์ประดุจกับเราได้ค้นพบแก้วมณีเพชรอันมีค่าที่เราเคยลืมเลือนหรือทำหายไป เพชรแก้วมณีดวงนี้กลับมาเป็นของเราอีกครั้งหนึ่ง ของที่มีคุณค่ายิ่งที่เราลืมเลือนไป ใจเรามีความอิ่ม มีความสุข มีความยินดี พบของรักของหวงที่อาจจะห่างเหินกันไปนาน เรากำหนดจดจ่อรำลึกถึง 

และตอนนี้เราพิจารณาว่าขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ เทพพรหมเทวาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายสงเคราะห์ รวมถึงกำลังจิตกำลังใจกำลังบารมีของเราเป็นที่ตั้ง ว่านับแต่นี้เราจะสามารถเข้าสู่สภาวะ เข้าถึงจิตเดิมแท้อันเป็นประภัสสรของเราได้ จิตที่เป็นแก้วสารพัดนึกของเราได้ จิตที่เป็นเครื่องนำพาเข้าสู่มรรคผลพระนิพพาน จิตที่มีญาณเครื่องรู้อภิญญาจิตทั้งหลาย กำหนดทรงอารมณ์ในสภาวะที่เห็นทั้งกายและจิต จิตเปล่งประกายแผ่แสงสว่างความเป็นประกายพรึกทะลุร่างกายขันธ์ห้า  กระแสความสว่างความผ่องใสฟอกชำระล้างธาตุขันธ์ ฟอกธาตุ ฟอกโรคภัยไข้เจ็บ ในกายของเราที่เป็นขันธ์ห้ากายเนื้อออกไปจนหมด จิตเดิมแท้อันเป็นประภัสสรที่ส่องสว่างเสริมเพิ่มพลังให้กายทิพย์อาทิสมานกายเรามีกำลังเพิ่มขึ้น จิตเดิมแท้อันเป็นประภัสสร เสริมให้ญาณเครื่องรู้ของเรามีความสว่างไสวชัดเจนเพิ่มขึ้น อภิญญาจิตกำลังจิตกำลังแรงอธิษฐานมีพลังเพิ่มขึ้น เพาะบ่มพลังจิตตานุภาพในจิตของเราไว้ ทรงอารมณ์ ทรงภาพนิมิต ทรงความรู้สึก จดจำความเชื่อมสัมพันธ์ ภาพนิมิตสัมพันธ์จิตใจสัมพันธ์อารมณ์ใจ จิตยิ่งเป็นประกายพรึกแพรวพราว  ยิ่งสว่าง จิตเรายิ่งเอิบอิ่มเป็นสุข จิตยิ่งเอิบอิ่มเป็นสุข จิตตานุภาพยิ่งเพิ่มพูนสูงส่งขึ้นเพิ่มพูนขึ้น 

กำหนดจิตแสงสว่างเข้มข้นแพรวพราวเป็นประกายพรึกชัดเจน แสงประกอบไปด้วยพลังงานและญาณเครื่องรู้ พลังงานแห่งอภิญญาจิตส่องสว่าง เมื่อแสงสว่างทะลุกายเนื้อก็พลอยให้เกิดสภาวะที่เห็นมองทะลุอวัยวะภายใน เห็นร่างกายใส อวัยวะภายในชัดเจนในจิต แผ่กำหนดรู้ในสิ่งใดก็รู้เห็นในอดีตังสญาณ อนาคตังสญาณ ปัจจุปปันสนังสญาณ หรือส่องไปที่ใดก็ปรากฏรู้เห็นในความเป็นทิพย์  เครื่องรู้กำหนดรู้ ทิพยจักษุญาณปรากฏ แสงรัศมีจากจิตอันเป็นแก้วประกายพรึกจิตเดิมแท้อันเป็นประภัสสรสว่างแผ่ออกไป ก็ควบอารมณ์ของเมตตาเป็นเมตตาอัปปันนาณฌาน แผ่ออกไปเป็นกระแสเมตตาได้อย่างไม่มีประมาณ แสงแห่งจิตอันเป็นประภัสสรเมื่อแผ่ออกไปพร้อมกับการกำหนดจิต การสวดมนต์ กระแสคลื่น กระแสบุญ กระแสกุศล กระแสจิตจากการสวดมนต์จะเป็นบทใดก็ตาม ก็ปรากฏอานุภาพแผ่กระจายออกไปได้ทั่วจักรวาล แผ่ไปได้ทั่วทุกภพทุกภูมิ รวมความว่านับแต่นี้ขอให้เราทุกคนเข้าถึงพลังแห่งจิตตานุภาพแห่งสภาวธรรมของจิตเดิมแท้อันเป็นประภัสสรของเรา สลายล้างอุปสรรคข้อขัดข้องทั้งทางโลกทางธรรมออกไป

ใครที่มีอาชีพในการดูในการพยากรณ์ในการเป็นหมอดู ก็ขอให้เราสามารถใช้กระแสจิตอันกระจ่าง จิตเดิมแท้อันเป็นประภัสสรเป็นลูกแก้วแห่งญาณหยั่งรู้ ใช้กำหนดดูกำหนดรู้ควบกับวิชาที่ครูบาอาจารย์ในสายพยากรณ์ที่เราได้เรียนได้รับประสิทธิ์ประสาทมา มาผนวกกับทิพยจักษุญาณ ญาณเครื่องรู้ทั้งหลาย สำหรับผู้ที่ศึกษาในเรื่องของการบำบัด การรักษาโรคด้วยคลื่นกระแสจิตต่างๆ จะเป็นวิชาใดก็ตาม ก็ขอให้คลื่นกระแสรัศมีแห่งจิตอันเป็นประภัสสรนี้มีกำลังในการฟอกธาตุขันธ์ มีกำลังในการกำหนดรู้พิจารณาวินิจฉัย กำหนดรู้เหตุแห่งโรคแห่งอาการเจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบาย หรือแม้แต่สภาวะของจิตเราที่ซึมเศร้า ที่มีสภาวะอารมณ์ใจของเราเสียพลังอยู่กับเรื่องที่กังวล อยู่กับเรื่องที่ทุกข์ใจ อยู่กับปัญหาชีวิต ก็ขอให้กำลังจิตอันเป็นประภัสสรสลายล้างความหนักอุปสรรคในชีวิตทั้งหลาย ให้เห็นทางกระจ่างแจ้งในการหาทางออก ขอให้เราทุกคนสามารถใช้งานจิต ฌานสี่ใช้งาน จิตเดิมแท้อันเป็นประภัสสร จิตที่เป็นแก้วประกายพรึกคือจิตที่มีสภาวะแห่งอริยะจิตตามที่ครูบาอาจารย์ท่านได้เมตตาสอนไว้ และจิตอันเป็นประภัสสรนั้นก็คือสภาวะซึ่งหากเราทรงกสิณ มีสภาวะภาพของนิมิตเป็นประกายพรึกระยิบระยับแพรวพราวสว่าง จิตเอิบอิ่มเป็นสุขอย่างยิ่ง นิมิตของจิตที่เป็นประภัสสรนั้นก็คือปฏิภาคนิมิต 

จงจำไว้ว่าพยายามฝึกฝนให้การทรงภาพจิตอันเป็นประภัสสรนั้น จงเป็นปฏิภาคนิมิตเต็มกำลัง คือมีความสมบูรณ์พร้อมทั้งภาพนิมิตที่เห็นดวงจิตเราเป็นเพชรสว่างระยิบระยับชัดเจน เส้นแสงพุ่งออกมาโดยรอบ 360 องศา เลยรอบครอบออกไป สภาวะสภาพแวดล้อมปริมณฑลโดยรอบอาณาบริเวณสถานที่ที่เราอยู่ ที่เราทรงสมาธิ ที่เรากำหนดเขต ก็ปรากฏความพร่างพรายเหมือนกับมีกากเพชรโปรยปรายระยิบระยับแพรวพราวอยู่ อารมณ์จิตยิ่งภาพนิมิตมีความสว่างไสวมากเท่าไหร่ กำลังใจของเรายิ่งเอิบอิ่ม ยิ่งมีความสุข ยิ่งเปี่ยมพลังมากเท่านั้น  จิตที่ยิ่งเปี่ยมพลังเอิบอิ่มมากเท่าไหร่ ยิ่งมีกำลังแห่งเมตตาฌาน แผ่เมตตาได้ออกไปไม่มีที่สุดไม่มีประมาณมากเพียงนั้นด้วยเช่นกัน เอาเป็นว่านับแต่นี้เราต้องทำจุดนี้ให้ได้จนเป็นปกติ  รู้สึกกำหนดถึงห้องที่เรานั่งสมาธิอยู่ทำสมาธิอยู่ขณะนี้หรือจะทั้งบ้านก็ตาม กำหนดเห็นแสงสว่างจากจิตที่เป็นประกายพรึกสว่างแพรวพราว สภาวะความเป็นทิพย์คลุมอาณาบริเวณทั้งห้องทั้งบ้านสถานที่สว่างแพรวพราวชัดเจน ทรงอารมณ์จิตคุมอารมณ์นี้ไว้ 

กำหนดว่าแสงสว่างที่ปรากฏขึ้นเกิดขึ้นจากบุญกุศล เกิดขึ้นจากจิตตานุภาพ เกิดขึ้นจากสิ่งสำคัญที่สุดก็คือกำลังแห่งพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ ยิ่งเรามีความเคารพศรัทธาในพระรัตนตรัยมากเพียงใด มีความเคารพในครูบาอาจารย์มากเพียงใด กระแสกำลังแห่งพุทธคุณ แรงครูบาอาจารย์ ยิ่งประสิทธิประสาทลงมา ให้จิตเราเกิดกำลังจิตตานุภาพ แผ่สว่างรัศมีความเป็นทิพย์ จิตอันมีความแพรวพราวระยิบระยับยิ่งปรากฏกำลังความเป็นทิพย์ สงบนิ่ง กำหนดรู้ คลุมสภาวะ คลุมปริมณฑลคืออาณาบริเวณไว้ ฝึกเพื่อให้จิตเกิดกำลังคงตัว แผ่สว่าง ในระหว่างที่กำลังจิตเราแผ่สว่างสภาวะความเป็นทิพย์คลุมแพรวพราวอยู่ก็กำหนดพิจารณาไปพร้อมกัน เนื่องในวาระเทศกาลกรานกฐินในปีนี้ เราได้ร่วมบุญจะมากบ้างน้อยบ้างตามกำลัง น้อมจิตรำลึกนึกถึงบุญแห่งกฐินและทาน ให้กำลังจิตเรายิ่งสว่างยิ่งเอิบอิ่ม หรือแม้แต่บุญที่เป็นโมทนาบุญ เปิดดูในโซเชียลเห็นเพื่อนเขาไปทำบุญ เห็นกฐินจะวัดใหญ่วัดเล็ก จะเป็นวัดสายที่เราเคารพนับถือหรือเป็นสายการปฏิบัติใดก็ตามจังหวัดใดก็ตาม กฐินกองเล็กก็ดีกองใหญ่ก็ดี ทุกกองที่ผ่านหูผ่านตา ที่รับรู้รับทราบ เห็นใบหน้าผู้ถวายมีความอิ่มมีความสุขใจ เราพลอยสุขใจอิ่มใจด้วย จิตเรายิ่งสว่างขึ้นไป ผ่องใสขึ้นไป จนรู้สึกว่ากำลังบุญเราแผ่จากปริมณฑลคืออาณาบริเวณที่เรากำหนดครอบคลุม คลุมบ้านอยู่ คลุมห้องอยู่ คลุมสถานที่ต่างๆอยู่ แผ่สว่างกระจายขึ้นไปถึงพระภูมิเจ้าที่ภพภูมิทั้งหลาย รุกขเทวดา ภุมมเทวดา อากาศเทวดาทุกชั้น พรหมทุกชั้น ทุกท่านล้วนโมทนาบุญ

กำหนดทรงอารมณ์ให้คลื่นกระแสจากจิตอันเป็นประภัสสรเราปรับคลื่นขึ้นมาเป็นเมตตา แผ่บุญกุศล ความสุข ความปรารถนาดี ความรัก ไปยังทุกดวงจิตทั่วทุกภพภูมิ สามภพภูมิ หนึ่งพระนิพพาน ใจยิ่งสว่างขึ้น เอิบอิ่มขึ้น สว่างขึ้น ความเป็นทิพย์ กำลังความรู้สึกที่มันเปี่ยมประจุอยู่ภายใน กำลังของบุญกุศลอิ่มล้นใจ รัศมีกายเรายิ่งสว่างขึ้น อาทิสมานกายเรายิ่งสว่างขึ้นชัดเจนขึ้น แผ่สว่างกระจาย 

กำหนดจิต กายพระวิสุทธิเทพทับซ้อนอยู่กับกายที่เป็นขันธ์ห้ากายเนื้อ กายพระวิสุทธิเทพยิ่งสว่างขึ้น เอิบอิ่ม มีแต่กระแสแห่งบุญกุศลเต็มกำลัง กำหนดจิตอธิษฐานว่าทาน ศีล ภาวนา ทานบารมี ถวายสังฆทานก็ดี บุญกฐินก็ดี สร้างพระพุทธรูปก็ดี  สร้างวิหารทาน สร้างโบสถ์ สร้างเจดีย์ มหาเจดีย์ทั้งหลายก็ดี ศีลที่เรารักษา ที่เราถือในเนกขัมมะบารมีก็ดี  ศีลห้า ศีลแปดก็ดี  กรรมฐานทุกกอง กรรมฐานสี่สิบกองทั้งสมถะและวิปัสสนา การเจริญพิจารณาปัญญา พิจารณาตัดกิเลส พิจารณาตัดขันธ์ห้า ขอ ทาน ศีล ภาวนา บารมีทั้งหลายที่เราเก็บเพาะบ่มสะสม จะเป็นบารมี 4 อสงไขยกำไรแสนกัปก็ดี แปดอสงไขยก็ดี สิบหกอสงไขยก็ดี

ขอบารมีทั้งหลายบุญกุศลทั้งหลายจงเป็นปัจจัยเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุดของข้าพเจ้าด้วยเถิด 

อาทิสมานกายยิ่งสว่างขึ้น ชัดเจนขึ้น

กำหนดจิตพุ่งอาทิสมานกายของเราขึ้นไปบนพระนิพพาน กราบพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ที่เป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ในกาลก่อน น้อมจิตกราบทุกท่านทุกๆพระองค์ 

ตั้งจิตอธิษฐานขอกราบขมา กราบขมาลาโทษต่อพระรัตนตรัย

“สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ทวารัตเยนะ กะตัง

สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะเม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเต”

ข้าพเจ้าขอขมาลาโทษต่อพระรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย มีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยะสงฆ์ พ่อแม่ ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินด้วยเจตนาก็ดีไม่เจตนาก็ดี ระลึกได้ก็ดีระลึกไม่ได้ก็ดี ทำในอดีตชาติก็ดีในชาติปัจจุบันก็ดี ข้าพเจ้าขอกราบขมาลาโทษต่อทุกท่าน ขอท่านทั้งหลายโปรดเมตตาอโหสิกรรมให้กับข้าพเจ้า ขอกรรมทั้งหลายจงเป็นโมฆะกรรม ขอกรรมทั้งหลายจงบรรเทาเบาบาง ขอกรรมและวิบากทั้งหลายที่สามารถสลายตัวเป็นโมฆะกรรมเป็นอภัยทานได้ จงสลายตัวไปนับตั้งแต่บัดนี้ด้วยเทอญ

กำหนดจิตพิจารณากำหนดรู้กำหนดดู ให้ชีวิตเราราบรื่นขึ้นคล่องตัวขึ้น ใจสบายผ่องใส จากนั้นกำหนดจิตต่อไปนะ ว่าเราขอขมาพระรัตนตรัยแล้ว กำหนดจิตว่าเราปฏิบัติธรรม เราปฏิบัติด้วยกำลังใจที่เต็มที่พร้อมที่บริบูรณ์ เราปฏิบัติเพื่อมีพระนิพพานเป็นที่สุด จิตเจตนาในการปฏิบัติของข้าพเจ้ามีกำลังใจเข้มข้น ไม่ใช่เพียงการปฏิบัติเพียงแค่เป็นอุปนิสัยแต่เป็นการปฏิบัติเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง เมื่อจิตข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งพระนิพพานแล้ว ยกจิตด้วยกำลังของมโนมยิทธิขึ้นมาบนพระนิพพานได้แล้ว ข้าพเจ้าจะเป็นผู้ที่ไม่ประมาทในธรรม เมื่อขึ้นมาได้แล้วเราก็จะไม่เสียโอกาสที่จะเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาตินี้ให้ได้ด้วยเช่นกัน คิดพิจารณาด้วยปัญญาจนเห็นจริง เราจะเสียโอกาสไปทำไมในเมื่อเราเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้แล้ว สามารถที่จะจบกิจในชาตินี้ได้แล้ว ดังนั้นกำลังใจเรากำหนดพิจารณาด้วยสภาวะของกายพระวิสุทธิเทพ รวบรวมเพาะบ่มกำลังใจกำลังจิตของเรา “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

ข้าพเจ้าขอเข้าถึงซึ่งพระนิพพานให้ได้ในชาติปัจจุบัน ให้จิตเราซึมซับเกิดธรรมฉันทะพึงพอใจ รักในพระนิพพาน พอใจในพระนิพพาน เป็นหนึ่งเดียวอยู่กับพระนิพพานเป็นอารมณ์ ทรงอารมณ์เห็นกายพระวิสุทธิเทพของเราแต่ละคนอยู่ในวิมานของเราบนพระนิพพานสว่างชัดเจน ทรงอารมณ์ ทรงสภาวะ ทรงความรู้สึกในความเป็นอาทิสมานกายที่แผ่รัศมีกายออกไปไว้เช่นนี้ ทรงอารมณ์ไว้

กำหนดจิตพิจารณาไปด้วยว่าบุญทั้งหลายบารมีทั้งหลายแต่ละภพชาติ ทาน ศีล ภาวนา กุศลทั้งหลายในทุกภพทุกชาติทุกสถานที่ทุกกาลเวลา กำหนดเป็นแสงสว่างพุ่งขึ้นมารวมอยู่ที่กายพระวิสุทธิเทพของเรา บุญกุศลบารมีทั้งสามสิบทัศ ความดีทั้งหลายจะเล็กจะน้อยพุ่งขึ้นมารวมตัวกันที่อาทิสมานกายของเรา บุญรวมตัวเป็นหนึ่ง กุศลรวมตัวเป็นหนึ่ง บารมีสามสิบทัศรวมตัวเป็นหนึ่ง บุญอันเกิดขึ้นจากโมทนามัยรวมตัวเป็นหนึ่ง กายพระวิสุทธิเทพของเรายิ่งสว่างขึ้น ใสขึ้น ชัดขึ้น เต็มกำลังขึ้น ใจยิ่งเอิบอิ่ม จิตยิ่งมั่นคงอยู่กับพระนิพพาน กายทิพย์ของเรายิ่งสว่างยิ่งชัดเจนยิ่งผ่องใส จิตของเราขณะนี้ไม่ปรารถนาในภพอื่นภูมิใด ไม่เกาะเกี่ยวในภพอื่นภูมิใด จิตของเราสลายล้างความอาฆาตพยาบาทการจองเวรทั้งปวง สลายล้างสายใยแห่งความรักความหลงในบุคคลในความรักระหว่างเพศ จิตเราสลายล้างความเกาะความห่วงความอาลัยในทุกภพทุกภูมิในทุกสรรพสิ่ง จิตปล่อยและวางในทุกสรรพสิ่ง กายพระวิสุทธิเทพยิ่งสว่างขึ้นชัดขึ้น ทรงอารมณ์ใจของเราไว้ กายพระวิสุทธิเทพสว่างชัดเจน

กำหนดจิตอาราธนาบารมีพระท่านเมตตาสงเคราะห์ ขอให้เห็นชาติภพ อดีตชาติที่เราเกิดเป็นมนุษย์ ขอให้เห็นกายร่างกายที่ทับถมเกิดตายเวียนว่ายตายเกิดมากมายมหาศาล ร่างกายซากศพอสุภะกองสุมกันเป็นภูเขา เห็นภาพชาติภพต่างๆ เห็นความทุกข์ต่างๆ เห็นสภาวะที่ถูกบังคับ ถูกทำร้าย ถูกเบียดเบียน ถูกฆ่าฟัน เห็นสภาวะแห่งการแก้แค้นความพยาบาท ให้เรามองพิจารณาเหมือนกับเราดูหนังชีวิต แต่ทั้งหมดคือเรื่องราวในชีวิตชาติภพที่ผ่านมาของเราทั้งหมด พิจารณาด้วยจิตอันเป็นอุเบกขา พิจารณาให้เห็นธรรม ความไม่เที่ยงความทุกข์ การเบียดเบียนการแก้แค้นการพยาบาลดึงดูดให้มาพบมาเจอ มากระทบ สะท้อนกลับไปมา จนจิตของเราเกิดนิพพิทาญาณความเบื่อหน่าย ตราบที่ยังมีการเกิดก็ยังมีการกระทบ มีความอาฆาตแค้น มีความพยาบาท มีการจองเวรซ้ำแล้วซ้ำอีก กลับไปกลับมา ตราบที่เราหยุด คือหยุดเกิด หยุดพยาบาท หยุดวิบากกรรม หรือแม้แต่ความรักความหลง สัญญาผูกพันด้วยความรักมาพบมาเจอ พอมีความจืดความจาง จากที่รักก็กลายเป็นชัง เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา พบบ้างเจอบ้างเปลี่ยนคนบ้าง เวียนว่ายตายเกิดไปเจอคนนี้ รักมากหลงมากก็อธิษฐานว่าเราจะเจอกันตลอดไป พอจืดพอจาง รักก็ร้างห่างไกล จากรักก็กลายเป็นชัง เจอคนใหม่ก็อธิษฐานใหม่ เปลี่ยนไปมา ท้ายสุดแล้วพิจารณาดูให้เห็นว่า สัญญาอนิจจา สัญญารักนิรันดรทั้งหลาย สุดท้ายก็เป็นอนิจจัง

พิจารณาจนเห็นความไม่เที่ยงของทุกสรรพสิ่ง จากศัตรูเป็นมิตร จากมิตรเป็นศัตรู ทุกสิ่งไม่เคยเที่ยง จากเคยเป็นลูกก็กลับมาเป็นปู่เป็นพ่อเป็นแม่ เปลี่ยนสมมุติไม่เคยเที่ยง เกิดเป็นชายกลับมาเกิดเป็นหญิง เกิดเป็นหญิงกลับมาเกิดเป็นชาย เกิดเป็นเทวดาเพลิดเพลินหมดบุญร่วงหล่นจากสวรรค์ไปเสวยวิบากกรรมในนรก เกิดเป็นมนุษย์ผู้สูงเกียรติเผลอกำหนดจิตผิดกลับพลิกชีวิตไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน พิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยงของภพภูมิจนจิตเห็นชัดเจนว่าการเวียนว่ายตายเกิดนี้เป็นทุกข์เช่นไร มันไม่เที่ยงแท้แน่นอน มันเป็นอนิจจังในทุกสิ่งในทุกสมมุติ พิจารณาเราเคยเกิดเป็นพญานาคไหม เราเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิไปแล้วเท่าไหร่ ความเกาะความยึดทั้งหลาย ยึดหลงในภพทั้งหลาย พิจารณาจนมันคลายตัวออกไป พิจารณาให้เห็นโดยเรามองอยู่บนพระนิพพาน มองให้เห็นชาติภพเดิมของเรา พิจารณาจนกระทั่งจิตของเราเกิดนิพพิทาญาณความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดในการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ พิจารณาจนจิตของเรามีความยินดีพอใจในพระนิพพาน ญาณแห่งโลกุตระจงปรากฏขึ้นในจิต วิปัสสนาญาณจงพิจารณาให้เห็นสังขารุเปกขาญาณ ญาณอันเป็นเครื่องวางเฉยกับความเป็นไปในสังขารร่างกาย เกิดปัญญารู้เห็นในธรรมทั้งปวงอันเป็นเครื่องวิมุตหลุดพ้น

ตอนนี้อาทิสมานกายเราทุกคนก็อยู่บนพระนิพพานแล้ว เราจะกลับไปเวียนว่ายตายเกิดเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติอีกทำไม ญาณเครื่องรู้ในความเป็นทิพย์มีประโยชน์ที่ทำให้เราเห็นชัดเจนมากกว่าคิดพิจารณาหรือฟังเป็นสัญญาไป สิ่งที่เรากำหนดรู้เห็นในจิต บันทึกในจิต วางในจิต ดับอวิชชาในจิต ใช้ญาณเครื่องรู้ดับสรรพอวิชชาทั้งปวง สังโยชน์ทั้งสิบคลายตัวขาดสะบั้นจากใจของเรา อาทิสมานกายกายพระวิสุทธิเทพของเรายิ่งสว่างขึ้น จิตเรายิ่งมั่นคงชัดเจนในพระนิพพานมากขึ้น ทรงอารมณ์พระนิพพานไว้ สว่าง

ภพภูมิทั้งหลายเป็นทุกข์ การเกิดทั้งหลายเป็นทุกข์  การเวียนว่ายตายเกิดทั้งหลายเป็นทุกข์  สัญญามันไม่เที่ยงมันไม่ จีรัง เกิดมาสัญญาระหว่างบุคคล สัญญาทั้งสัญญาลูกผู้ชาย สัญญาว่าจะช่วยรบก็กลับไม่มาช่วย สัญญาความรักจะรักกันตลอดไปท้ายสุดก็เปลี่ยนแปลง คิดพิจารณาดูให้ดีว่าสุดท้ายทุกสรรพสิ่งล้วนไร้แก่นสาร เกียรติยศชื่อเสียงที่เราแบก  หัวโขนที่เราสวมใส่ สมมุติทั้งหลายสุดท้ายก็เป็นเหมือนกับพยับหมอกที่ระเหยหายไปในยามที่ตะวันขึ้นแรงกล้า ทุกสิ่งสลายแม้แต่ความจำของเราหากเราไม่ได้ใช้ญาณเครื่องรู้ที่เป็นอดีตังสญาณมาพิจารณาการเวียนว่ายตายเกิด ที่มีโมหะความหลงปิดสัญญาความจำการระลึกชาติของเราไว้ก็ทำให้เราหลงใหม่ไปเรื่อยๆ

การที่เราฝึกจนได้อดีตังสญาณก็ดี บุพเพนิวาสานุสติญาณก็ดี ทำให้เรารู้เห็นในชาติภพจะละเอียดก็ตาม จะหยาบก็ตาม แต่ก็ทำให้เราได้เห็นว่าเราเวียนว่ายตายเกิดมานานแค่ไหนมากแค่ไหน รู้เห็นได้อารมณ์ที่เป็นความทุกข์ความเกาะความเหนี่ยว ยามที่ถูกฆ่าล้างตระกูล ยามที่ถูกกล่าวโทษ ยามที่ถูกล้างแค้น ยามที่ถูกพยาบาท ยามที่ถูกคนบุคคลที่เป็นที่รักทรยศหักหลัง ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เป็นความทุกข์ ล้วนแต่เป็นเวทนา สิ่งที่เรายึดถือว่าจะเป็นของเราตลอดไป สิ่งที่เรายึดถือว่าจะเป็นคู่เราตลอดไป สิ่งที่เรายึดถือว่าจะเป็นเกียรติยศเป็นตำแหน่งของเราตลอดไป สุดท้ายทุกสรรพสิ่งล้วนแต่เป็นมายาสมมุติ ใจเราคลายตัวจากมายาสมมุติ จิตกระจ่างเกิดตาปัญญา เห็นรู้จริงในทุกสรรพสิ่ง ดวงตาแห่งธรรม ญาณอันเป็นเครื่องวิมุตหลุดพ้นคือวิมุตหลุดพ้นจากอวิชชา จากความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวงนี้ คลาย วาง ปล่อย ความทุกข์ทั้งปวง สมมุติทั้งปวง เหลือเพียงจิตอันเป็นประภัสสรบนพระนิพพาน ประภัสสรที่สุดก็คือหมดสิ้นธุลีแห่งสรรพกิเลสทั้งปวง บริสุทธิ์ ปราศจากเครื่องร้อยรัดของสังโยชน์ทั้งสิบ วิมุตติหลุดพ้นจากกระแสของสังสารวัฏ จิตรู้ตื่นเบิกบานอยู่บนพระนิพพาน ทรงอารมณ์จิตที่ผ่องใส ปัญญาเราเกิด อวิชชาเราดับ จิตเราเข้าถึงกระแสแห่งพระนิพพาน พิจารณาให้ลึกซึ้งดื่มด่ำ อาทิสมานกายของเรายิ่งสว่าง ยิ่งวางยิ่งเบา ยิ่งรู้ซึ้งถึงคุณแห่งพระนิพพาน

กำหนดจิตให้ถึงความผ่องใสสว่าง พิจารณารู้ในจิตของเรา จิตของเรามั่นคงในพระนิพพาน จิตของเราวางจากความเกาะยึดในภพทั้งหลาย จากความโลภโกรธหลงทั้งหลาย ตัวจริงๆที่เป็นเครื่องนำพาให้จิตเราอยู่ในสังสารวัฏตัวสำคัญจริงก็คือโมหะ ความหลงในสังสารวัฏ ความหลงว่าทุกสิ่งมันเที่ยง ความหลงว่าสังขารมันเที่ยง ความหลงว่าเราจะไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย ความหลงว่าตายแล้วเกิดมาเราก็ยังมีทรัพย์สมบัติเหมือนเดิม ยังหล่อยังรวยยังสวยเหมือนเดิม แต่ความจริงแล้วทุกสรรพสิ่งล้วนแปรเปลี่ยน เป็นอนัตตา ไม่มีความเที่ยงแท้ใดๆ กรรมเปลี่ยน วิบากเปลี่ยน ผลเปลี่ยน ทุกสรรพสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะแห่งวิบาก ไม่ว่าจะด้วยบุญก็ดี ไม่ว่าจะด้วยกรรมก็ดี พิจารณาให้เห็นความผันผวนปรวนแปรในสังสารวัฏ ในการเวียนว่ายตายเกิด ในชาติภพวัฏสงสาร พิจารณาจนจิตยิ่งเบายิ่งคลายตัวไป

เมื่อใจเราผ่องใสเป็นสุข จิตพิจารณาทุกข์และวางทุกข์ จิตก็เข้าถึงเอกบรมสุขคือพระนิพพาน เราไม่ต้องไปทุกข์ ไม่ต้องไปเวียนว่ายตายเกิด ไม่ต้องไปรับวิบากกรรมผลกรรมทั้งหลาย หนี้กรรมหนี้เวรทั้งหลายถูกสลายล้างบัญชีเป็นศูนย์ เป็นโมฆะกรรมอย่างแท้จริง เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายไม่อาจมาติดตาม กรรมทั้งหลาย ไม่อาจจะให้ผลได้อีกต่อไป วางทั้งกรรมดีและกรรมชั่ว คือกรรมที่นำพาให้ไปเกิดในทุคติภูมิอันได้แก่ นรกภูมิหรือภพของสัตว์เดรัจฉานเปรตอสุรกายเป็นโมฆะ แม้แต่กรรมฝ่ายกุศลคือบุญที่นำพาไปให้จุติไปเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชก็ดี เป็นมหาเศรษฐีก็ดี บุญที่ยังส่งผลให้เราไปจุติเป็นเทวดาในภพในชั้นต่างๆ หรือไปจุติเป็นมหาพรหมก็กลายเป็นโมฆะด้วยกันทั้งสิ้น วางกรรมดีวางกรรมชั่วทั้งหมด

ก็ในสภาวะที่เราเข้าถึงซึ่งพระนิพพานเพราะเราไม่ปรารถนาไปเกิดในภพใดภูมิใดอีกต่อไป กรรมทั้งหลายวิบากทั้งหลายสิ้น กิจทั้งหลายจบภาระทั้งหลายไม่มีในเรา จบกิจทางธรรมทั้งหมด เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน หน้าที่ทั้งหลายเราวางเราไม่อาลัยทั้งสิ้น เราไปพระนิพพานแล้ว เราไม่ต้องทำอะไร ขึ้นมาอยู่บนพระนิพพาน จิตมีเมตตาควบอุเบกขาและปัญญาเป็นกำลัง ปรารถนาดีโดยที่จิตเราไม่ทุกข์ไม่ห่วงไม่อาลัย เขาทำได้เท่าไหร่ เขาเจอวิบากเราช่วยด้วยจิตเมตตา ช่วยไม่ได้อุเบกขา ช่วยเต็มกำลัง แต่เราไม่จำเป็นต้องลงมาเกิด อันนี้ก็คืออารมณ์ของพระนิพพาน แต่ถามว่าเมื่อนิพพานแล้วสามารถมาได้ไหม พระพุทธเจ้าท่านก็ยังเมตตามาปรากฏเป็นพุทธนิมิตได้แม้ท่านจะเสด็จดับขันปรินิพพานแล้วก็ตาม หรือแม้แต่ปรากฏองค์เป็นกายทิพย์นิรมาณลงมาโปรดสรรพสัตว์ได้ไหม ก็สามารถเสด็จมาโปรดได้ แต่ท่านไม่ลงมาในลักษณะของการจุติเกิดอีกต่อไป เป็นการเสด็จมาด้วยกำลังแห่งพุทธานุภาพ ดังนั้นเมื่อถึงเวลาจริงๆ ถ้าเราเข้าถึงซึ่งพระนิพพานแล้วมีบุคคลที่เราพึงช่วย เราก็สามารถมาช่วยมาสงเคราะห์ได้ตามกำลังตามหน้าที่ตามเหตุตามปัจจัย 

แม้แต่หลวงพ่อฤาษีเอง ยามที่ท่านมรณภาพแล้วก็ปรากฏหลายครั้งที่ท่านมาปรากฏมาโปรดหลายบุคคลหลายวาระด้วยกายเนื้อให้เห็น เห็นด้วยกายได้ สัมผัสได้ ไม่นับที่ท่านมาโปรดในฝันก็ดีในนิมิตก็ดีอีกมากมายหลายร้อยหลายหมื่นหลายพันเหตุการณ์ ดังนั้นอันที่จริงแล้วบางคนไม่อยากไปพระนิพพานเพราะคิดว่าจะช่วยบุคคลที่เรายังรักไม่ได้ อันที่จริงสามารถช่วยได้ อย่างตัวอาจารย์เองก็ยังมีเรื่องราวที่เพื่อนที่เสียไปแล้ว ไปนิพพานแล้วก็ยังอุตส่าห์มาเข้าฝันบอกให้เพื่อนอีกคนมาฝึกสมาธิ อันนี้ก็สามารถช่วยได้ สงเคราะห์ได้ ดังนั้นถ้าไปพระนิพพานได้รีบไป ไม่ต้องห่วงไม่ต้องอาลัย ถึงเวลาถ้าจะช่วยช่วยได้ตามกำลังโดยที่ใจเป็นอุเบกขา 

เมื่อใจเราคิดพิจารณาแล้วก็ตั้งใจ อธิษฐานบนพระนิพพานว่า ขอการปฏิบัติทั้งหลายของข้าพเจ้าจงเป็นไปเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด ขอข้าพเจ้าเข้าถึงจิตเดิมแท้อันเป็นประภัสสร ขอให้นับแต่นี้ข้าพเจ้าทรงอารมณ์จิตทรงกำลังกรรมฐานได้เต็มกำลัง มีปัญญารู้จักใช้งานความเป็นทิพย์ ใช้งานจิตอันเป็นประภัสสรตามเหตุตามปัจจัยตามวาระที่ข้าพเจ้าพึงใช้ได้เสมอ กำหนดจิตอธิษฐานกับสมเด็จพระพุทธองค์ อธิษฐานกับองค์ปฐม อธิษฐานกับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน อธิษฐานกับครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระอรหันต์  เราตั้งใจกราบ

จากนั้นกำหนดจิตและพิจารณาในความเป็นทิพย์ วันนี้ก็เป็นวันที่มีกฐินใหญ่หลายวัด หลายวัดสำคัญมากๆ ทุกสายก็บังเอิญใจตรงกันจัดกฐินในวันนี้พอดี เราก็น้อมจิตนะไปดูที่สวรรค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ น้อมจิตดูว่าเทวดาทั้งหลายท่านมีจิตยินดีมีความสุขโมทนากับกองกฐินทั้งหลายมากมายเพียงใด กำลังใจของคนในการปฏิบัติในช่วงนี้ก็มีสูงขึ้นกว่าเดิมมาก ญาติโยมพุทธบริษัทก็มีความเข้าใจในเรื่องของบุญกุศล ในเรื่องของการปฏิบัติธรรมมากขึ้นมาก เราน้อมใจไปกราบท่านปู่ท่านย่าพระอินทร์ กำหนดจิตนะดูว่าท่านยิ้มแย้มไหม มีความสุขไหม ลูกหลานทั้งหลายสร้างบุญสร้างกุศลเยอะไหม ผู้คนบนโลกสร้างกุศลเยอะไหม เลือกดูเฉพาะฝ่ายกุศลก่อนเมื่อน้อมดูแล้วก็กำหนดจิตกราบท่านขอพรท่านว่าขอให้ข้าพเจ้าขอให้ลูกหลานแต่ละคนมีกำลังใจในการปฏิบัติเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด และก็ตราบที่เรายังมีชีวิตขอให้ข้าพเจ้ามีความคล่องตัวทั้งทางโลกทางธรรม มีกำลังแห่งธาตุขันธ์ที่พร้อมบริบูรณ์สมบูรณ์

แล้วก็ขอให้ท่านเมตตาสงเคราะห์ใช้ปลายนิ้วจี้ที่บริเวณอุณาโลมกลางหน้าผากของอาทิสมานกายเรา ขอให้เกิดความเป็นทิพย์ ขอให้เกิดอภิญญาจิต ขอให้เกิดญาณเครื่องรู้อันกระจ่างชัดถูกต้องตามความเป็นจริงทุกประการ ขอให้จิตมีพลังแห่งแรงอธิษฐานบารมีเต็มกำลัง ฌานสี่ใช้งานเต็มกำลัง อภิญญาจิตเต็มกำลัง มโนมยิทธิเต็มกำลัง กำหนดนะ ทรงอารมณ์นะ นิ่งอยู่กับสภาวะที่ท่านจี้ที่กลางหน้าผาก

กำหนดความรู้สึกที่สัมผัส แสงที่สัมผัส ความรู้สึกของกายอาทิสมานกายที่สัมผัสรู้ แล้วก็ใครรู้สึกสัมผัสรู้เห็นอะไรก็ขอให้นำมาบอกมาเล่าในห้องเมตตาภิรมย์กรรมฐานนะ 

จากนั้นเราก็น้อมจิตกราบ กราบลาท่านปู่ท่านย่า ตั้งใจว่าระหว่างมีชีวิตเราก็ตั้งใจทำบุญสร้างกุศลต่อไป

น้อมจิตของท่านโมทนามีส่วนร่วมในทุกกุศล ท้าวมหาราชทั้งสี่ ท่านอินทกะทั้งหลาย เทพพรหมเทวาทั้งหลาย ท่านปู่ท่านท้าวสหัมบดีพรหม รวมไปถึงลุงพุฒพระยายมราช และนายนิริยะบาลทั้งปวง

จากนั้นกราบข้ามภพข้ามภูมิ แยกอาทิสมานกายกราบทั้งบนพระนิพพานทุกพระองค์ สวรรค์ พรหม ภพพญานาค ภพที่เราเกี่ยวพัน กราบลุงพุฒ กราบเทวดาที่ท่านเป็นรุกขเทวดา ภุมมเทวดา พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระหลักเมือง ท่านผู้มีพระคุณ เทวดาพรหมที่รักษาคุ้มครองเราในขณะเจริญพระกรรมฐานหรือคุ้มครองเราขณะเดินทางไปในสถานที่ต่างๆก็ดี น้อมกราบถึงทุกท่านทุกพระองค์

จากนั้นพุ่งจิตลงมายังกายเนื้อ กำหนดน้อมกระแสจากพระนิพพานส่องสว่างคลุมกายเนื้ออาณาบริเวณปริมณฑลที่เราทำสมาธิ กระแสแห่งพระนิพพานฟอกธาตุขันธ์สว่าง สลายโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง เปิดสายสมบัติ มนุษย์สมบัติหลั่งไหลลงมาสู่ชีวิต ในยามที่มีชีวิตในโลกมนุษย์ก็ขอให้สายบุญสายทรัพย์สายสมบัติอันจับต้องได้ ใช้งานได้ ใช้การได้ หยิบจับต้องได้ จงหลั่งไหลเข้ามาให้ข้าพเจ้าได้สร้างบารมีความดีสืบต่อไป 

จากนั้นกำหนดอาทิสมานกายสว่างผ่องใสเต็มกำลัง จิตอันเป็นประภัสสรสว่างเต็มกำลัง

อธิษฐานจิตในขณะที่สว่างเอิบอิ่ม อธิษฐานในกำลังจิตกำลังกรรมฐานสูงสุด

จากนั้นตั้งจิตโมทนาสาธุกับเพื่อนกัลยาณมิตรที่ปฏิบัติธรรมด้วยกัน และผู้ที่มาฟังภายหลัง โมทนาสาธุกับผู้ที่บันทึกเสียงธรรมทาน ถอดไฟล์เสียงเป็นธรรมทาน และก็ตั้งใจว่าบุญกุศลขอให้ข้าพเจ้าเกิดปัญญารู้เห็นในธรรมเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ชาตินี้ และก็พยายามอธิษฐานเขียนแผ่นทองอธิษฐานพระนิพพานไว้เสมอทุกครั้งที่ยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพาน สร้างบุญสร้างบารมีสร้างกุศลสะสมบันทึกไว้

สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน ค่อยๆหายใจเข้าช้าๆลึกๆ ภาวนา พุทออกโท ครั้งที่ 2 ธัมโม ครั้งที่ 3 สังโฆ

น้อมจิตของเราสว่าง จิตเอิบอิ่มเป็นสุขอย่างยิ่ง  ใจเป็นสุขอย่างยิ่ง ชีวิตนับแต่นี้ต่อไปมีแต่ความคล่องตัว ผ่านพ้นวิบากอุปสรรค เวรกรรมทั้งหลายคลายตัวสลายตัวไปจนหมด มีแต่ความคล่องตัว จงเปิดให้วาระบุญส่งผลทันใจ บุญส่งผลทันใจ บารมีกลับฟื้นคืนมาทันใจ ก็เดี๋ยวยังไงก็ตามพบกันใหม่สัปดาห์หน้า สำหรับวันนี้ก็โมทนาบุญกับทุกคนด้วย ขอให้มีความเจริญในธรรมสืบต่อไปทุกคนครับ สวัสดี

ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย คุณ Be Vilawan

You cannot copy content of this page