green and brown plant on water

ทรงฌานในอุเบกขารมณ์ควบในอารมณ์วิปัสสนา

เวลาอ่าน : 3 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”

วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม 2565

เรื่อง ทรงฌานในอุเบกขารมณ์ควบในอารมณ์วิปัสสนา

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

กำหนดรู้ในความรู้สึกตัวทั่วพร้อมทั่วร่างกายของเรา ผ่อนคลายร่างกายทุกส่วนพร้อมกับอารมณ์จิตที่ตั้งไว้ว่าเราปล่อยวางร่างกายขันธ์ 5 ทั้งหมด ผ่อนคลายคือปล่อยวางร่างกายในอากับกิริยาอาการในการกำหนดรู้ตัวทั่วพร้อมทั่วร่างกายนั้น กำหนดรู้เพื่อผ่อนคลายและปล่อยวาง กำหนดจิตก่อนที่จะปฏิบัติสมาธิ กำหนดว่าเราปล่อยวางเรื่องราวความกังวลทั้งหมดออกไปจากจิตใจของเรา ภาระหน้าที่การงานทั้งหลายก็ดี กิจการทั้งหลายที่ทำคั่งค้างอยู่ก็ดี ความห่วงใยในบุคคลทั้งหลาย คนใกล้ชิดคนที่รักทั้งหลายก็ดี โดยไม่ต้องไปพูดถึงบุคคลที่เราเกิดความขัดเคืองใจกระทบใจ ปล่อยวางในทุกสิ่งทุกอย่าง ยิ่งฝึกปล่อยวางได้เร็วมากเท่าไหร่ สังโยชน์เครื่องร้อยรัด ปลิโพธเครื่องห่วงเครื่องกังวล ความเกาะความยึดในภพในวัฏฏะทั้งหลายก็ยิ่งปล่อยวางลงง่ายตามเหตุปัจจัยแห่งการฝึกฝนในการปล่อยวางของจิตมากเท่านั้น 

ธรรมชาติของปุถุชนย่อมมีความเกาะความยึด กอดกับสิ่งที่เราต้องการยึดเหนี่ยว กอดกับสิ่งที่เรารู้สึกว่าเป็นที่พึ่งพิง  กอดด้วยอารมณ์จิตไว้กับสิ่งที่ตัวเองรู้สึกว่าเป็นที่รัก ยิ่งกอดยิ่งเกาะยิ่งรักมากเท่าไหร่ ความยึดมั่นถือมั่นก็ยิ่งเพิ่มพูนลงในจิตของเรามากขึ้นเพียงนั้น ยิ่งกอดยิ่งกำแน่นมากเท่าไหร่ การปล่อยวางก็ยิ่งยาก ปล่อยวางไม่ได้ ปล่อยไม่ลงปลงไม่เป็น ดังนั้นการที่เราฝึกฝนในการปล่อยวาง ผ่อนคลายคือการปล่อยวางร่างกาย กำหนดจิตปล่อยวางความเกาะเกี่ยวความห่วงใยออกไปจากจิตใจให้หมด แล้วก็ให้เราสังเกตดูอารมณ์จิตของเรา เมื่อไหร่ที่เราปล่อยวาง ความสบาย ความเบาของจิตยิ่งปรากฏ 

ผู้ที่ปล่อยวางได้ถึงในระดับลึกลงไปในอารมณ์จิตที่มันละเอียด เราจะค้นพบว่าเมื่อปล่อยวางลงได้หมด จิตจะรวมลงสู่ฌานได้โดยอัตโนมัติ เป็นฌาน 4 มีความเบา มีความสงบ ดังนั้นจุดนี้เป็นจุดหนึ่งที่สำคัญ เป็นเคล็ดลับในการปฏิบัติ ซึ่งเมื่อฝึกและมีความเข้าใจ เราจะได้ผล 2 อย่างในการฝึกง่ายๆเพียงครั้งเดียวคือ ได้ทั้งในส่วนของวิปัสสนาญาณ คือการปล่อยวางการเจริญปัญญาในการละ ตัดวางกิเลส 

2 คือการที่เราเข้าถึงฌาน เข้าถึงความสงบ เข้าถึงการแยกรูปแยกนาม เข้าสู่สมาธิในตัวสมถะฌานสมาบัติได้เร็วขึ้น 

ดังนั้นในจังหวะที่เราเข้าสู่อิริยาบถที่เราตั้งใจจะปฏิบัติสมาธิ จะเป็นอิริยาบถนั่งก็ดี นอนก็ดี กึ่งนั่งกึ่งนอนก็ดี หรือแม้แต่ในขณะที่เรายืนก็ดี กำหนดปล่อยวาง ผ่อนคลายร่างกายพร้อมกับปล่อยวาง จิตเข้าสู่ความสงบ กำหนดรู้ในความสงบของจิต อยู่กับความสงบ ปล่อยวางทุกสิ่ง กำหนดรู้อยู่ในความนิ่ง ในเอกัคคตารมณ์ ในอุเบกขารมณ์ กำหนดรู้ที่จะตั้งจิตไว้อยู่กับอุเบกขารมณ์นี้ เมื่อจิตเป็นอุเบกขาเป็นกลางตั้งมั่น อารมณ์อุเบกขาที่เราฝึกปฏิบัติจงมีความเที่ยงตรงมั่นคง ก็จะเป็นฐานต่อยอดไปสู่ สังขารุเปกขาญาณ คืออารมณ์อุเบกขาในอารมณ์ที่ละเอียดในภาคระดับของความเป็นพระอริยะเจ้าในระดับที่สูงขึ้นไป ยิ่งอุเบกขาในทุกสรรพสิ่งได้มากเท่าไหร่ อุเบกขานั้นมีตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียดไล่ขึ้นไป

อุเบกขาในสมถะกรรมฐาน คืออุเบกขารมณ์ 

อุเบกขาในพรหมวิหาร 4 คืออารมณ์ของพรหม 

อุเบกขาที่เป็นสังขารุเปกขาญาณ คืออารมณ์ของพระอริยะเจ้า 

กำหนดรู้พิจารณาควบรวมอารมณ์อุเบกขาในระดับทั้งสามนี้รวมเป็นหนึ่งเดียว 

อุเบกขาเมื่อไหร่อุเบกขาทั้งสามส่วนเป็นหนึ่งเดียว 

อุเบกขาต่อสิ่งที่มากระทบทางอายตนะ อุเบกขาในพรหมวิหาร 4 อุเบกขาในร่างกายสังขารุเปกขาญาณ อาการที่ปรากฏขึ้น สภาวะความแก่เฒ่า ความเจ็บป่วยไม่สบาย สังขารุเปกขาญาณ กำหนดจิตรวมเป็นหนึ่ง นิ่ง สงบ อุเบกขา ไม่ปรุงแต่งต่อการกระทบ อุเบกขาไม่สนใจอาการแปรปรวนเจ็บป่วย อาการที่เกิดขึ้นทั้งหมดในร่างกาย กำหนดนิ่ง ผ่องใสไว้ อารมณ์ทรงไว้ในฌานในสมาธิที่ตั้งมั่นและละเอียดลึก ทรงภูมิแห่งวิปัสสนาญาณไว้ในกรรมฐานที่เราเจริญไว้ดีแล้ว

“ในสมถะมีวิปัสสนา ในวิปัสสนามีความสงบแห่งสมถะ” ทั้ง 2 ส่วนแห่งกองกรรมฐานรวมเป็นหนึ่งเอกัคคตารมณ์

เป็นหนึ่งในจิตของเรา ในสมถะความนิ่งมีวิปัสสนาญาณ ในปัญญาแห่งวิปัสสนาญาณมีความสงบนิ่ง คือ อุเบกขาในร่างกาย ในสังขาร จิตปราศจากการปรุงแต่งต่อสิ่งที่มากระทบทางอายตนะทั้งปวง ทรงอารมณ์ให้สงบนิ่งไว้ 

ในความสงบนิ่ง พิจารณาต่อในศีล พิจารณาว่าเมื่อไหร่เราทรงฌาน ทรงความสงบ ทรงอุเบกขารมณ์ไว้ อุเบกขารมณ์นั้น ในความนิ่งสงบ จิตของเราปราศจากความโลภ ความโกรธ ความหลง และในขณะเดียวกันพิจารณาต่อไปว่า เมื่อไหร่ที่เราทรงฌาน ทรงสมาธิ ทรงจิตที่ผ่องใส ศีลโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศีลพื้นฐานคือศีล 5 ของเรามีความบริสุทธิ์ 

การรักษาศีลคือการตั้งกำลังใจ ตั้งกำลังจิตที่มีจิตเจตนางดเว้นการละเมิด การเบียดเบียน การผิดศีล การรักษาศีลคือการตั้งใจที่จะไม่ละเมิดผิดศีล เราพิจารณาให้ละเอียดลึกลงสู่จิตของเราต่อว่า แล้วเหตุใดเล่าจึงเกิดการละเมิดหรือการผิดศีลนั้นในแต่ละข้อ 

ศีลข้อที่ 1 คืออะไร ศีลข้อที่ 1 คือปาณาติปาตา การพราก การทำลายชีวิต การพรากชีวิต การฆ่า พิจารณาดูว่าถ้าจิตเราปราศจากความโกรธ ความโมโห ความขัดเคืองใจ ความเกลียดชัง ความอาฆาตพยาบาท ความคิดที่จะไปปรุงแต่งว่าเราจะฆ่าเขา จะทำลายเขา จะทำร้ายเขามันก็ไม่มีในจิตเรา กำหนดรู้แล้วก็พิจารณาว่าจิตเราอุเบกขาสงบนิ่ง ใจที่ปรารถนาในการทำร้ายทุบตี ทำลายชีวิตผู้อื่น ทำลายชีวิตสัตว์อื่น ไม่มีในจิตเรา ศีลข้อที่ 1 ของเราบริสุทธิ์หมดจด

พิจารณาต่อไป อทินนาทานา การละเมิด การเบียดเบียนในการลักทรัพย์ การเบียดเบียนการลักทรัพย์ พิจารณาว่าเมื่อจิตเรามีอุเบกขารมณ์ การวางเฉยไว้ ปราศจากความโลภ ไม่มีความอยากได้ ไม่มีความเพ่งปรารถนาจะเป็นคนโกง โลภ ไม่มีขึ้นในจิต ความคิดที่จะไปลักทรัพย์ ไปเบียดเบียน ไปฉ้อฉลบุคคลอื่นก็ไม่มีในจิตของเรา กำหนดจิตพิจารณาว่าจิตของเราทรงไว้ในอุเบกขา

ข้อต่อมาคือกาเมสุมิจฉาจารา พิจารณาต่อไปว่า เมื่อจิตเราวางเฉยต่อร่างกายสังขารคือเกิดสังขารุเปกขาญาณ อุเบกขาต่อกายของเรา อุเบกขาต่อร่างกายของบุคคลอื่น จิตปราศจากการปรุงแต่งต่อสิ่งที่มากระทบทางอายตนะ ทางรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ความทะยานอยากทางอารมณ์ที่ปรารถนาจะไปล่วงเกินบุคคลเพศตรงข้ามทั้งหลายในเรื่องของกามารมณ์ก็ไม่มีในจิตของเรา ตาเห็นรูปก็สักแต่ว่าจะเห็น จิตเมื่อทรงไว้ในอุเบกขารมณ์แล้ว จิตอารมณ์ความคิดที่จะไปล่วงละเมิดในศีลข้อที่ 3 ก็ไม่มีในจิตของเรา

นิ่ง สงบ ผ่องใส

พิจารณาต่อไปในศีลข้อที่ 4 มุสาวาทา การโกหก การฉ้อฉล การหลอกลวง เราพิจารณาดูว่าหากจิตของเราที่จะไปหลอกลวง จะไปกล่าวเท็จหรือแม้แต่กรรมกริยาที่เราแสดงอาการกรรมออกไปผ่านทางวาจา ไม่ว่าจะเป็นการกระทบกระแทก การโกหก การด่าว่า การทำร้ายกันด้วยวาจาก็ไม่มีในจิตของเรา อุเบกขาต่อสิ่งที่มากระทบต่อเราทั้งหมด อุเบกขาปรากฏขึ้นในจิต การผิดศีลในข้อมุสาวาทาและวาจาทั้งหมด รวมไปถึงกรรมบทสิบทางวาจาก็ไม่มีในจิตของเรา ทรงอารมณ์ไว้ในความตั้งมั่นในฌานในอุเบกขารมณ์ 

ท้ายที่สุดสุราเมรยะ ศีลข้อที่ 5 ซึ่งควบรวมไปถึงการทำลายสติด้วยการใช้ยา สุรายาเสพติด สิ่งที่ทำลายสติทั้งหลาย การที่เราทรงสติ ทรงฌานอยู่ เมื่อไหร่ที่เราทรงฌาน นั้นแปลว่าจิตเรามีสติสัมปชัญญะ ความรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่สมบูรณ์พร้อม รู้กายรู้ตัวทั่วพร้อมตลอด สัมปชัญญะครบถ้วน สติเต็มบริบูรณ์ นั่นก็คือเราไม่ได้ทำลายสติสัมปชัญญะของเราด้วยเครื่องดองของเมา สุรายาเสพติดอบายมุขทั้งปวง ศีลของเราก็บริสุทธิ์

ดังนั้นการทรงจิต ทรงฌานในอุเบกขารมณ์ สงบนิ่งควบในอารมณ์วิปัสสนา ศีลของเราก็บริสุทธิ์หมดจดโดยอัตโนมัติทุกครั้งที่เราทรงฌานทรงอารมณ์ ไม่ต้องไปพูดถึงว่าเมื่อไหร่เราทรงอารมณ์ถึงปฏิภาคนิมิต ฌาน 4 ในกสิณ จิตยิ่งทั้งมีกำลัง ศีลบริสุทธิ์ ความเป็นทิพย์ปรากฏ ฐานแห่งอภิญญาจิตปรากฏ ไม่ต้องพูดถึงเมื่อไหร่เราทรงอารมณ์พระนิพพาน เมื่อไหร่เราทรงอารมณ์พระนิพพานนั้น เราถึงพร้อมทั้งศีล เราถึงพร้อมทั้งองค์แห่งฌานสมาบัติ เราถึงพร้อมแห่งสภาวะความบริสุทธิ์วิมุตหมดจด ตัดสังโยชน์ทั้งสิบในขณะจิตในขณะที่เราทรงอารมณ์อยู่บนพระนิพพาน องค์ธรรมภูมิธรรมกรรมฐาน ธรรมะทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์นั้นรวมที่ผลแห่งการปฏิบัติ คือการยกจิตถึงซึ่งพระนิพพาน อารมณ์จิตถึงซึ่งพระนิพพานเรียบร้อย 

กำหนดน้อมจิตของเรา เมื่อพิจารณาได้ดังนี้แล้ว ศีลก็บริสุทธิ์แล้ว ฌานก็มีกำลังแล้ว วิปัสสนาญาณในการตัดร่างกายตัดกิเลสก็ปรากฏขึ้นแล้ว จิตเราตั้งไว้ในความเคารพในคุณแห่งพระรัตนตรัย คือคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยะสงฆ์ น้อมจิตอธิษฐานขอบารมี พุทธเจ้าทรงสงเคราะห์ยกจิตอาทิสมานกายของข้าพเจ้าขึ้นไปบนพระนิพพานเบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐมพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอรหันต์ขีณาสพของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน กำหนดจิตน้อมยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพาน จากนั้นกำหนดในความเป็นกายแห่งพระวิสุทธิเทพ ตั้งกำลังใจทำความรู้สึกอธิษฐานจิตให้อาทิสมานกายเกิดความสว่าง ความใส ความผ่องใสเต็มกำลัง อารมณ์จิตมีความเอิบอิ่ม มีความแช่มชื่น มีความสว่าง อารมณ์จิตเข้าถึงสภาวะ “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง 

กำหนดจิตพิจารณาว่าจิตของเราไม่ปรารถนาไม่เกาะเกี่ยวอยู่ในภพใดภูมิใดต่อไป อารมณ์จิตที่ดึงดูดเกาะเราไว้กับสังสารวัฏไม่ปรากฏในอารมณ์จิตของเราอีกต่อไป จิตของเราจดจ่ออยู่จุดเดียวคือพระนิพพานเป็นที่สุด อาทิสมานกายของเราสว่างผ่องใส กำหนดทรงอารมณ์ อธิษฐานจิตให้กายพระวิสุทธิเทพขัดสมาธิเพชรอยู่บนรัตนบัลลังก์ดอกบัวแก้วบนพระนิพพานท่ามกลางพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ เรากำหนดจิตทรงฌาน ปฏิบัติธรรม เจริญสมาธิ เจริญพระกรรมฐาน อยู่บนพระนิพพาน เริ่มจากตัวเราเองแต่ละบุคคล พิจารณาในอารมณ์พระนิพพาน พิจารณาในคุณของพระพุทธเจ้า พิจารณาในคุณของพระนิพพาน พิจารณาในอารมณ์ของตน ค่อยๆน้อมพิจารณาไป กำหนดรู้สึกในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพพิจารณาบนพระนิพพาน 

พิจารณาทั้งอารมณ์พระนิพพาน พิจารณาทั้งอารมณ์ตัด ละ วาง ความห่วง ความเกาะ ความยึดในภพภูมิ ในสังสารวัฏ ในความเป็นมนุษย์ ในการเกิด ในภพภูมิทั้งปวง พิจารณาด้วยอารมณ์ที่ผ่องใส พิจารณาด้วยอารมณ์จิตที่ยินดีในพระนิพพาน

ใจสบายๆ ความรู้สึกถึงความเป็นกายพระวิสุทธิเทพชัดเจน ความรู้สึกที่เราอยู่ท่ามกลางพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอรหันต์ทุกพระองค์บนพระนิพพานชัดเจน กระแสของพระพุทธองค์ กระแสแห่งพระนิพพานซึมซาบเอิบอาบสู่อาทิสมานกายของเราจนรู้สึกได้ถึงความสว่าง ถึงความผ่องใส ความเป็นทิพย์ของจิตในอารมณ์อรหัตผล ซึมซาบซึมซับลงสู่กายทิพย์กายพระวิสุทธิเทพของเราทุกคน จิตยิ่งซึมซับกระแสแห่งพระนิพพาน จิตมีสภาพจำ จำอารมณ์พระนิพพาน จำสภาวะพระนิพพานโดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่จะเข้าถึงพระนิพพานอย่างแท้จริงต้องเข้าถึงด้วยอารมณ์พระนิพพาน อารมณ์พระกรรมฐาน ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ภาพจำ พิจารณาในสภาวะความรู้สึกว่าเราเป็นพระวิสุทธิเทพ 

ความแตกต่างกันระหว่างทิพยจักขุญาณและกำลังแห่งมโนมยิทธิคือ ทิพยจักขุญาณคือเห็นภาพเช่นเห็นภาพพระวิสุทธิเทพอยู่บนพระนิพพาน แต่หากเป็นกำลังของมโนมยิทธิ จะเป็นความรู้สึกว่าเราอยู่ในสภาวะแห่งกายทิพย์กายพระวิสุทธิเทพอยู่บนพระนิพพาน รู้สึกว่าเราเป็นกายพระวิสุทธิเทพอยู่บนพระนิพพานกับเห็นภาพมันจะมีความแตกต่างกัน ผัสสะความละเอียด ญาณเครื่องรู้ของการที่อาทิสมานกายเราอยู่บนพระนิพพานกับเห็นภาพ เห็นภาพมันจะเป็นแค่มิติของการเห็นด้วยจิตสัมผัสภาพในจิต แต่สภาวะของมโนมยิทธิที่มันมีกำลังที่สูงกว่าทิพย์จักขุญาณ เราจะสัมผัสได้ถึงแสงสว่าง สัมผัสได้ถึงความสงบเย็น สัมผัสได้ถึงกระแสพุทธเมตตาของพระพุทธเจ้าที่ซึมซาบลงสู่จิต ลงสู่กายทิพย์ของเรา ปฏิบัติธรรมด้วยจิตยิ่งประณีตมากเท่าไหร่เรายิ่งซึมซับรับทั้งกระแส กระแสที่เป็นพลังงานความรู้สึก ความเย็นความสงบและก็กระแสทานแห่งธรรม คือข้อธรรม ธรรมที่ผุดรู้ในจิตในขณะที่เราทรงอารมณ์อยู่บนพระนิพพานก็จะปรากฏขึ้น ผุดรู้ขึ้น กระจ่างขึ้น ยิ่งผุดรู้มากเท่าไหร่ คำตอบที่เราตั้งไว้ในจิตเกิดขึ้น  ภูมิรู้ภูมิธรรมปรากฏขึ้นในจิตจากการที่เราทรงอารมณ์บนพระนิพพาน ตรงนี้ก็คือเป็นบาทฐาน เป็นเหตุ ไม่ใช่เป็นเหตุอย่างเดียว เป็นผลก็คือผลที่ปรากฏ คือสภาวะเครื่องรู้ต่างๆ ผุดรู้โดยอัตโนมัติ รอบรู้ทุกอย่างนั่นก็คือปฏิสัมภิทาญาณ ญาณอยู่ในระดับของปฏิสัมภิทาญาณ เพราะอย่างการที่เราฝึกอย่างที่เราปฏิบัติกัน เราปฏิบัติผ่านกำลังแห่งอรูปสมาบัติกันมาเกือบทุกคนที่เคยฝึกกันมา กำลังแห่งอรูปสมาบัติเป็นบาทฐานของเมื่อไหร่เราปฏิบัติจนได้เข้าถึงธรรม เราจะอยู่ในวิสัยแห่งปฏิสัมภิทาญาณ 

ดังนั้นญาณเครื่องรู้ต่างๆที่มันผุดรู้ขึ้น เรายิ่งฝึกฝนยิ่งปฏิบัติให้มันมีความคล่องตัว ปฏิสัมภิทาญาณคือรู้ธรรมะที่มันมีความละเอียดลึกซึ้ง อธิบายธรรมะ เชื่อมโยงกระแส เชื่อมโยงเปรียบเทียบธรรมะให้ผู้ที่เขาฟังธรรมหรือตัวเราเองมีความเข้าใจอย่างง่ายดายขึ้น 

เหมือนอย่างเมื่อสักครู่ที่อาจารย์โพสต์ในห้องไลน์ก่อนที่จะมาสอน ภาพที่เปรียบเทียบ คำที่เปรียบเทียบ นั่นก็คือการตวัดกระบี่ 1 ครั้ง เรียกว่าชนะเพียงแค่ตวัดกระบี่เดียว ชนะในหมัดเดียว อันที่จริงการที่จะทำได้คล่องตัวขนาดนี้  เกิดขึ้นจากการฝึกฝนลับกระบี่ ฝึกฝนมาเป็น 10 ปี การอนุมานเปรียบเทียบกับข้อธรรมก็เช่นกัน นั่นก็คือ การที่เราฝึกยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพาน ฝึกทุกวัน ฝึกทุกครั้ง  ฝึกครั้งแล้วครั้งเล่า ร้อยครั้ง พันครั้ง หมื่นครั้ง แสนครั้ง  ยกจิตขึ้นพระนิพพานทุกวัน ก่อนนอนทุกวัน

เช้าตื่นมาปุ๊บ สติรู้ตัว ยกจิตขึ้นมากราบพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานทันที การฝึกสิบครั้งร้อยครั้ง จะกินข้าว ตั้งจิตหากุศโลบายคือหาเรื่องที่จะยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพาน หาเหตุที่จะขึ้นมาบนพระนิพพาน จะกินข้าวก็อธิษฐานเสกข้าว ยกข้าวถวายพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานก่อนกิน เจอพระพุทธรูปหาเหตุเห็นพระพุทธรูปจิตยกขึ้นมากราบพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน การที่เราหาเหตุในการฝึกฝนครั้งแล้วครั้งเล่า ก็เพื่อจิตสุดท้ายก่อนตายครั้งเดียว ยกจิตขึ้นพระนิพพานอย่างง่ายดาย เพราะเราฝึกซ้อมแล้ว ฝึกซ้อมซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อจะยกจิตขึ้นพระนิพพาน เพื่อกระบี่เดียวนั่นก็คือจิตสุดท้ายก่อนตาย พอเราเข้าใจการปฏิบัติแบบนี้แล้ว เราจะเข้าใจกุศโลบายต่างๆในการปฏิบัติ บางครั้งครูบาอาจารย์ท่านสอนโดยไม่ได้อธิบายกุศโลบายบ้าง คือให้ทำไป แต่ในยุคปัจจุบันมีความจำเป็นที่ว่าถ้ายิ่งอธิบายกุศโลบาย อุบายต่างๆที่ทำให้เกิดกุศล อธิบายอย่างชัดเจน การปฏิบัติก็จะเป็นเรื่องที่ยิ่งมีเหตุผลมีน้ำหนักหนักแน่นในการปฏิบัติ และผู้ที่ฝึกผู้ปฏิบัติก็จะรู้เป้าหมายรู้แนวทาง รู้ว่าทำทำไมเพราะอะไร ตรงนี้ก็จะกลายเป็นว่าเราปฏิบัติโดยยึดหลัก กาลามสูตร คือปฏิบัติโดยจิตเราสามารถพินิจพิเคราะห์ เกิดปัญญาพิจารณาเห็นจริงตามคำสอน พิจารณาเห็นประโยชน์ ดังนั้นความเต็มอกเต็มใจความเข้าใจในการปฏิบัติเราก็จะมีสูงมากกว่าผู้ที่ปฏิบัติโดยไม่เข้าใจไม่รู้ไม่ได้ซาบซึ้งถึงอุบายในการฝึก เมื่อจิตเรามีความละเอียดมีความเข้าใจลึกซึ้งความก้าวหน้าในการเจริญในการปฏิบัติพระกรรมฐานก็จะมีสูง มีเพิ่มพูน ก้าวหน้ารวดเร็ว รุดหน้ามากกว่าบุคคลทั่วไปภายนอก  เมื่อเข้าใจแล้วก็ทรงอารมณ์จิต ทรงอารมณ์พระนิพพานให้ผ่องใสสว่างที่สุดเต็มกำลัง ตอนนี้ให้เราแต่ละคนทรงอารมณ์พระนิพพานต่อ จากการพิจารณาไตร่ตรองเข้าใจ ทรงอารมณ์ความผ่องใส ทรงสภาวะความรู้สึกการเป็นกายพระวิสุทธิเทพบนพระนิพพาน 

จิตสงบ จิตสว่างผ่องใส จิตแนบอยู่กับพระนิพพาน ยินดีอยู่กับพระนิพพาน จิตหมดสิ้นความยินดีกับภพอื่นภูมิใด หมดความยินดีกับการเกิดมาเป็นมนุษย์ หมดความยินดีกับการไปจุติเป็นเทวดาหรือพรหม จิตยินดีอยู่จุดเดียวคือพระนิพพาน คือพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดทั้งปวง ทรงอารมณ์ความผ่องใสจนรู้สึกว่ารัศมีกายเราสว่าง จิตเป็นเพชรสว่าง ความพรั่งพรายรายรอบกายพระวิสุทธิเทพของเราชัดเจนสว่าง กระแสของพระพุทธองค์ กระแสพุทธเมตตา กระแสแห่งพระนิพพานซึมซาบมายังกายพระวิสุทธิเทพของเราทุกคน คลื่นกระแสจากกายพระวิสุทธิเทพของเราสอดประสานเป็นหนึ่งเดียวอยู่กับพระนิพพาน จิตเป็นเอกัคคตารมณ์อยู่กับพระนิพพาน จิตเข้าถึงสภาวะ จิตทัศนะ ญาณทัสนะของพระอรหันต์ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ สภาวะจิตหยั่งเข้าถึงสภาวะที่ปราศจากสรรพกิเลสทั้งปวงของทุกท่านทุกพระองค์บนพระนิพพาน เป็นหนึ่งเดียวอยู่กับพระนิพพาน เอกัคคตารมณ์สูงสุด คือเอกัคคตารมณ์จิตเป็นหนึ่งเดียวอยู่กับพระนิพพาน จิตแนบสว่างผ่องใสอยู่กับพระนิพพานอย่างยิ่ง ทุกวินาทีที่เราทรงอารมณ์อยู่บนพระนิพพาน จิตเรายิ่งห่างยิ่งจางจากสรรพกิเลสคือความโลภโกรธหลงทั้งปวง ทุกวินาทีที่เราทรงอารมณ์อยู่บนพระนิพพาน จิตเราเป็นอิสระจากเครื่องร้อยรัดสังโยชน์สิบทั้งปวง 

ทรงอารมณ์พระนิพพานไว้ จิตยินดีอยู่กับพระนิพพาน ปล่อยวางความอาฆาตพยาบาทจองเวรทั้งปวง ปล่อยวางความรักความหลงพันธะสัญญาทั้งหลาย ปล่อยวางความอาลัยความห่วงในบุคคลทั้งปวง จิตมีเพียงพระนิพพานเป็นที่สุด

จากนั้นเรากำหนดจิตอธิษฐานต่อพระพุทธเจ้าต่อทุกท่านบนพระนิพพาน กำหนดอาทิสมานกายกายพระวิสุทธิเทพ ประนมมือตั้งจิตอธิษฐาน “ข้าพเจ้าขอตั้งจิต ตายเมื่อไหร่จากร่างกาย จากอันตรภาค จากขันธ์ 5 ความเป็นมนุษย์ในชาตินี้ ข้าพเจ้าขอตั้งจิตเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ขอให้อารมณ์จิตแห่งพระนิพพานได้สะท้อนย้อนส่งผลให้จิตข้าพเจ้ายกขึ้นสู่พระนิพพานได้อย่างง่ายดายเพียงแค่ลัดนิ้วมือเดียว ตายเมื่อไหร่ไปพระนิพพาน จิตข้าพเจ้าในการฝึกในการเจริญพระกรรมฐาน ยกจิตขึ้นพระนิพพานร้อยครั้งพันครั้งหมื่นครั้งแสนครั้งก็เพื่อให้ชาตินี้จิตสุดท้ายเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในที่สุด ขอให้กำลังแห่งพระกรรมฐานร้อยครั้งพันครั้งหมื่นครั้งแสนครั้งจงรวมตัวในจิตสุดท้ายก่อนตายด้วยเทอญ ตายเมื่อไหร่ไปพระนิพพาน” อันนี้คือสิ่งที่เราฝึกและมีอธิษฐานบารมีกำกับว่าเราปฏิบัติกรรมฐานทำไมเพื่ออะไร เพื่อให้กรรมฐานทุกครั้งรวมตัวเป็นหนึ่งเดียว จิตสุดท้ายก่อนตายจิตยกพรึบขึ้นพระนิพพานทันที เข้าสู่อรหัตผลในจิตสุดท้ายก่อนตาย เพลงกระบี่ขั้นสูงสุด อันนี้เราทำด้วยเหตุด้วยปัจจัยด้วยกำลังอธิษฐานบารมี

คราวนี้เราเพิ่มให้มีความแน่นอนมั่นคงอีกชั้นหนึ่ง เราอยู่บนพระนิพพาน อยู่เบื้องหน้าพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกพระองค์  พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ เราก็ตั้งจิตอธิษฐาน “ด้วยเหตุด้วยปัจจัยแห่งการปฏิบัติ ข้าพเจ้าทำเหตุอันสมควรแก่ผลแล้ว แต่หากแม้นมีอุปสรรค หากแม้นมีวิบาก หากแม้นมีมารเข้ามาแทรกเข้ามาขวาง ทำให้ข้าพเจ้าอยู่ในสภาวะหรืออยู่ในเหตุอันสุดวิสัยที่ไม่อาจจะยกจิตขึ้นพระนิพพานได้ทัน ก็ขอให้พระพุทธองค์ ขอให้พระอรหันต์ ขอให้หลวงพ่อท่านเมตตามารับดวงจิตข้าพเจ้าและเป็นพยานแห่งการปฏิบัติ ผลแห่งการปฏิบัติของข้าพเจ้า ให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในที่สุดด้วยเถิด ขอให้ยานแห่งพระนิพพานได้เมตตามารับจิตสุดท้ายของข้าพเจ้าขึ้นสู่พระนิพพานด้วยเถิด”

จากนั้นอธิษฐานจิต ขอเห็นภาพ จะเป็นบุคคลใดท่านใดก็ตามในยามที่พระพุทธองค์ท่านทรงเสด็จมารับดวงจิตบุคคลนั้นขึ้นสู่พระนิพพาน ขอให้เราเห็นภาพปรากฏ ยานราชรถแห่งพระนิพพานอันเป็นแก้ววิจิตรบรรจงสว่าง ตัวพระราชยานนั้นสว่างและมีขนาดใหญ่อย่างยิ่ง พระพุทธองค์ทรงเสด็จมารับดวงจิตดวงนั้น ขอภาพนั้นจงจำรัสจารึกในจิตข้าพเจ้า ทรงอารมณ์จิตของเราให้มีความปีติ มีความผ่องใส มีความยินดี โมทนาสาธุ จิตมีความอิ่มเอม จิตมีความมั่นใจ จิตมีความมั่นคงในการปฏิบัติเพื่อพระนิพพานชาตินี้ อารมณ์จิตของเราไม่มีความลังเลสงสัยว่าชาตินี้เราจะมาพระนิพพานได้หรือไม่ได้ วิจิกิจฉาในการปฏิบัติเพื่อพระนิพพานในชาตินี้สิ้นสลายจากจิตของเราทุกคน จิตเรามีความมั่นคงต่อพระนิพพานอย่างยิ่ง มั่นคงศรัทธาในการปฏิบัติอย่างยิ่ง อารมณ์จิตที่จะถอยจากการปฏิบัติไม่มีในจิตของเราอีกต่อไป กำหนดเห็นภาพราชยาน ยานแห่งพระนิพพาน กำหนดรู้ กำหนดเห็นชัดเจน ความเป็นแก้วสว่างวิจิตรบรรจงแพรวพราว จิตทรงอารมณ์ไว้ น้อมดูจิตของเราเองแต่ละคนว่าใจเรามีความผ่องใสขึ้นไหม จิตเรามีกำลังใจขึ้นไหมในการปฏิบัติ กำหนดทรงอารมณ์ไว้

จากนั้นตั้งใจนะ กราบพระพุทธเจ้า ขอท่านเมตตา กราบเรียนท่านโดยตรง หากเหตุสุดวิสัยจริงๆก็ขอให้ท่านเมตตามารับ เราทำเหตุให้คู่ควรกับผลแห่งการปฏิบัติ คือยกจิตทุกวัน ทรงอารมณ์ทุกวัน นึกถึงพระพุทธเจ้าทุกวัน เราทำเหตุอันควรแก่ผลแล้ว ปฏิบัติทรงอารมณ์ยกจิตขึ้นมาอย่างฉับพลันทันใดรวดเร็วเพียงแค่ลัดนิ้วมือเดียว แต่เราทำสม่ำเสมอด้วยความเพียรด้วยความวิริยะทุกวัน  ยามที่ยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานก็พิจารณาใคร่ครวญอารมณ์พระนิพพานโดยละเอียด  พิจารณาด้วยอารมณ์อันประณีต เข้าถึงสภาวะอารมณ์พระนิพพานอย่างแท้จริง เข้าถึงสภาวะเอกัคคตารมณ์เป็นหนึ่งเดียวกับพระนิพพานอย่างแท้จริงทุกครั้ง เหตุสมควรแก่ผล จิตข้าพเจ้าคู่ควรกับการทรงเข้าไว้ซึ่งอรหัตผลในวาระจิตสุดท้ายก่อนตาย

กำหนดทรงอารมณ์นะ จดจำภาพพระราชยานแห่งพระนิพพานให้ชัดเจน หากแม้นเวลาถึงเวลา จิตเราใกล้ตาย มีอาการป่วย จิตกำหนดรู้เห็นว่าเราใกล้ถึงกาลกิริยาก็คือใกล้หมดบุญจากการเป็นมนุษย์จะดับขันธ์ นิมิตก็ขอจงปรากฏเป็นพระราชยานแห่งพระนิพพานที่มีความอลังการเป็นแก้วเป็นเพชรสว่างนี้มารับและจิตเราทรงขึ้นไว้บนพระนิพพาน จิตชัดเจนนะ แต่ทางที่ดีก็คือกำหนดขึ้นไปเลยไม่ต้องรอยานมารับ ถ้ายกจิตขึ้นไปได้ก็ขึ้นไปเลย ขึ้นไปให้เห็น แค่เห็นนิมิตแล้วก็ไม่ต้องรอว่าเขาจะมาจอด ยกจิตขึ้นพระนิพพานไปเลย หรือตั้งใจว่าเพียงแค่มีผู้บอกทางนิพพานสุขังปุ๊บ นิพพานสุขัง จิตเรายกขึ้นพระนิพพานทันที คนไม่ต้องบอกทางมาก 

อย่างอารมณ์จิต ยังมีบุคคลหนึ่งคือลุงยกทรง อาจารย์เคยไปเยี่ยมในช่วงใกล้วาระสุดท้ายของท่าน ท่านอยู่ที่โรงพยาบาลอาการป่วยหนัก เวทนาเกิดแรงกล้ามาก พอไปเยี่ยม อาจารย์ก็ทักว่าจำได้ไหม แกก็พยักหน้า แต่ทรงอารมณ์อยู่รู้เลย ไม่คุยด้วย ไม่ตอบด้วย แต่กัดฟันว่ายกจิตกอดพระบาทอยู่กับพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน ไอ้กายเนื้อเกิดเวทนาก็ไม่สน คนมาคุยด้วยก็ทักกันพอเป็นกริยาแต่จิตเกาะพระนิพพานแนบแน่น ไม่สนใจไม่หวั่นไหว อันนี้ก็คืออารมณ์จิตที่ท่านทรง อันนี้สิ่งสำคัญก็คือเรารู้อารมณ์จิตเพื่อจิตสุดท้ายก่อนตาย เอาเป็นว่าที่เราฝึกปฏิบัติกันในสำหรับวันนี้ เราก็ทั้งทำเหตุในความเข้าใจว่าเราฝึกยกจิตทรงอารมณ์พระนิพพานทำไม ต้องทำบ่อยทำไม ต้องทรงให้ละเอียดเต็มกำลังที่สุด แล้วก็อธิษฐานขอบารมี ขอพุทธเมตตา ขอให้ท่านเมตตาสงเคราะห์หากในกรณีที่พลาดจริงๆ รวมความแล้วว่าเหตุที่เราปฏิบัติกันนี้ โอกาสที่จะพลาดคลาดจากพระนิพพานแทบจะเป็น 0% แต่กระนั้นก็ขอให้เราทุกคนจงอย่าได้ประมาทในการปฏิบัติในการปรารถซึ่งความเพียร ยังทำสม่ำเสมอ ปฏิบัติสม่ำเสมอ ทรงอารมณ์จิต ทรงอารมณ์พระนิพพานไว้สม่ำเสมอ 

หลายๆคนในขณะนี้พอฝึกมโนมยิทธิในการทรงอารมณ์พระนิพพานจุดเดียว เราจะยิ่งรู้สึกได้เลยว่ากำลังแห่งมโนมยิทธินั้นไม่เสื่อม เริ่มเข้าสู่สภาวะแห่งโลกุตระอภิญญา ดังนั้นอารมณ์จะยิ่งมีความผ่องใส ยิ่งแนบแน่นขึ้น มีความเป็นทิพย์ขึ้น ความเป็นทิพย์เครื่องรู้ ญาณเครื่องรู้ของจิตก็ยิ่งปรากฏเพิ่มขึ้น เพิ่มพูนขึ้นตามลำดับ ทิพโสต การได้กลิ่นหอม เทวดามาเกื้อกูลสงเคราะห์ยิ่งปรากฏชัดเจน  ความเป็นทิพย์ของจิต ความคล่องตัวในการปฏิบัติยิ่งปรากฏชัดเจน ธรรมที่ผุดรู้ขึ้นมาในจิตปรากฏขึ้นบ่อยขึ้นละเอียดลึกซึ้งขึ้นตามลำดับ  ดังนั้นให้เราจงปรารภความเพียร ไม่ทอดทิ้งไม่ท้อถอยในการปฏิบัติ   เมื่อนั้นแล้วพระนิพพานก็อยู่ไม่ไกล อยู่ที่ใจอันมีศรัทธา มีความมั่นคง 

น้อมใจของเราตอนนี้ น้อมอาราธนากระแสจากพระนิพพานแผ่ลงมายังสังสารวัฏ ลงมายังภพภูมิทั้งปวง น้อมอาราธนากระแสจากพระนิพพานเป็นกระแสแห่งพระพุทธเมตตา กำลังแห่งพุทธคุณ  กำลังแห่งบุญกุศลเป็นเมตตาอันไม่มีประมาณ แผ่ลงมายังพรหมโลกทั้ง 4 อรูปพรหมทั้ง 4 พรหมโลกทั้ง 16 ชั้น สวรรค์ทั้ง 6 ชั้น  รุกขเทวดาทั้งโลกทั้งจักรวาลทุกดวงดาว ภุมมเทวดาทั่วจักรวาลทั้งโลกและทุกดวงดาว แผ่เมตตายังมนุษย์และสัตว์อันมีร่างกายเนื้อขันธ์ 5 ทั้งโลกนี้และทั่วจักรวาล สัตว์อันมีกายเนื้อจะมีสองขาสี่ขาแปดขาหกขา จะไม่มีขา อันเป็นว่าสัตว์ที่มีกายเนื้อ มนุษย์อันมีกายเนื้อ จะอยู่รูปลักษณ์ใดก็ตาม แผ่เมตตาให้ทุกทั่วถ้วนจักรวาล แผ่เมตตาน้อมกระแสจากพระนิพพานลงมายังสรรพสัตว์ที่เป็นโอปปาติกะสัมภเวสี ดวงจิตดวงวิญญาณเร่ร่อนปะปนในภพภูมิในจักรวาลในโลก แผ่เมตตาลงไปยังภพของสัตว์เดรัจฉานเปรตอสูรกาย แผ่เมตตาลงไปยังสัตว์นรกทั้งปวง 

จากนั้นน้อมจิตต่อไป อาราธนากระแสพุทธคุณ กระแสจากพระนิพพาน กระแสธรรมอันเป็นสัมมาทิฏฐิ อันเป็นบุญเป็นกุศล เป็นสรรพมงคล เป็นอุดมมงคล เป็นโภคทรัพย์ เป็นมหาโภคทรัพย์ ขอน้อมกระแสลงมายังวัดวาอาราม สถานปฏิบัติธรรมทั้งปวง พุทธบริษัททั้งสี่ พระพุทธรูป พระเจดีย์ พระบรมธาตุเจดีย์ พระมหาเจดีย์ พระบรมสารีริกธาตุที่ผู้คนสักการะกราบไหว้ พระธรรมธาตุ พระอรหันตธาตุ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ รูปเคารพทั้งหลาย ภาพพระพุทธเจ้า ภาพพระพุทธรูป ภาพครูบาอาจารย์ผู้เป็นพระอริยะเจ้า พระอริยะสงฆ์ พระสุปฏิปันโน ขอจงปรากฏความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์ด้วยกำลังแห่งพุทโธ ด้วยกำลังแห่งพุทธคุณ ด้วยกำลังกระแสแห่งพระนิพพาน น้อมกระแสลงมาเพื่อ กระแสแห่งพุทธคุณ กระแสแห่งพระนิพพานนี้ จงดลบันดาลให้ผู้คนเข้าถึงธรรมเพื่อเป็นกระแสพลังงานเข้าสู่ยุคชาววิไลโดยเร็วโดยพลันด้วยเทอญ

จากนั้นน้อมจิตต่อไป ตั้งจิตอธิษฐาน บุญกุศลจากการปฏิบัติของเรา ขอน้อมกระแสจากพระนิพพานลงมายังกายเนื้อ ลงมายังชีวิตบนโลกมนุษย์ความเป็นมนุษย์ของเรา ขอผลแห่งการปฏิบัติ การเจริญในอารมณ์สูงสุดในอารมณ์แห่งพระนิพพาน  อารมณ์ที่สะอาดสงบจากสรรพกิเลสทั้งปวง กำลังแห่งอธิษฐานหลังกรรมฐานมีกำลังใหญ่ ขออธิษฐานให้ดวงจิตชีวิตของข้าพเจ้าทุกคนจงมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ขอน้อมกระแสจากพระนิพพานลงมาฟอกชำระล้างธาตุขันธ์ร่างกายข้าพเจ้า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง กระดูก เส้นเอ็น หลอดเลือด อาการ 32 ธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ในกายของข้าพเจ้านี้จงสะอาดใสบริสุทธิ์ สลายล้างพิษโรคภัยไข้เจ็บโรคระบาดโควิด เชื้อโรคทั้งหลายจงสลายตัวไป อาการอุดตันในหลอดเลือดทั้งหลายจงสลายตัวไป ความติดขัดในร่างกายในลมปราณในเส้นลมปราณในระบบขอจงมีพลังแห่งพระนิพพานปราณแห่งชีวิตทะลุทะลวงโคจรพลังชีวิตเสริมเพิ่มเต็มสมบูรณ์

การปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้าจงเกิดพละ เกิดกำลังในกาย เกิดวาจาสิทธิ์ประกาศิตในวาจา เกิดมหาโภคทรัพย์ในชีวิต  สายทรัพย์สายสมบัติความคล่องตัวทั้งหลายจงทะลักทลายปรากฏหลั่งไหลลงสู่ชีวิตของข้าพเจ้า พรอันเอกอุของหลวงพ่อ “รวยชาตินี้ นิพพานชาตินี้” ขอจงสำเร็จสัมฤทธิ์อัศจรรย์ทันใจ ขอร่างกายชีวิตความคล่องตัวทุกอย่างจงปรากฏอัศจรรย์ อภิญญาสมาบัติจงปรากฏ  วาจาจงศักดิ์สิทธิ์เป็นประกาศิตในทุกครั้งทุกคำ ขอสติในการกำหนดรู้ระมัดระวังกายวาจาใจจงถึงพร้อมบริบูรณ์ ขอให้นับแต่นี้ทุกคนหมดโรคหมดโศกหมดภัยหมดทุกข์หมดเสนียดจัญไร มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองเข้าสู่ยุคชาววิไล

กำหนดน้อมเห็นกระแสแสงสว่างจากพระนิพพานลงมายังกายเนื้อลงมายังชีวิต สว่าง ผ่องใส กายจิตสว่างผ่องใส โรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายสลายตัวไป 

จากนั้นก็สมควรแก่เวลา เราก็น้อมจิตนะ กราบลาพระพุทธเจ้า กราบลาทุกท่านทุกพระองค์บนพระนิพพาน พุ่งอาทิสมานกายกลับมาที่กายเนื้อ กำหนดค่อยๆถอยจิตถอนจิตจากสมาธิช้าๆ 

หายใจเข้าลึกๆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ หายใจเข้าลึกๆ พุท ออกโธ จิตราบรื่นปลอดโปร่งเบาผ่องใส รัศมีกายสว่าง รัศมีจิตแผ่ทะลุกายออกเป็นออร่าเป็นรัศมีความเป็นทิพย์แพรวพราวรายรอบกายเนื้อกายทิพย์จิตของเรา ธัมโม สังโฆ 

จากนั้นกำหนดจิตนะ โมทนาสาธุกับเพื่อนๆที่ปฏิบัติธรรมด้วยกัน ยินดีกับธรรมะกับความก้าวหน้ากับศรัทธาที่ตั้งมั่นในดวงจิต กำลังใจของทุกคนที่ตั้งใจเพื่อพระนิพพาน แล้วก็อย่าลืมว่าจงช่วยกันเขียนคำอธิษฐานบนแผ่นทอง ตั้งจิตอธิษฐานเพื่อพระนิพพานทุกวันทุกครั้งที่ขึ้นพระนิพพาน จะเขียนวันละแผ่น วันละ 5 แผ่น 10 แผ่นก็ใช้กำลังใจสูงสุด ยิ่งบ่อยยิ่งหาเหตุได้ยิ่งมากยิ่งดี จะได้รวบรวมเพื่อสร้างพระเจ้าองค์แสนพระนิพพาน รวบรวมแผ่นทองแสนแผ่น ตอนนี้ได้หมื่นแผ่น ดังนั้นแต่ละคนก็ต้องช่วยกันยกจิตขึ้นไป ยิ่งยกขึ้นไปมากเท่าไหร่บ่อยเท่าไหร่ ตัวเราเองก็ยิ่งมีความคล่องตัวมีความมั่นคงมากขึ้นเท่านั้น กำลังบุญกำลังความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูปที่จัดสร้างก็ยิ่งปรากฏ เพื่อเป็นบุญใหญ่ในการเข้าสู่ยุคชาววิไล ดังนั้นต้องช่วยรวมกำลังใจกัน แม้ว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ยากก็ต้องช่วยกัน

สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญโมทนาสาธุกับทุกคน ขอความสุขความเจริญทั้งทางโลกทางธรรมทุกด้านถึงพร้อมทุกด้านจงปรากฏ จิตจงเกิดความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์ในสัมมาทิฏฐิกันทุกคน

สำหรับวันนี้สวัสดี

ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย คุณ Be Vilawan

You cannot copy content of this page