เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันอาทิตย์ที่ 3 กรกฏาคม 2565
เรื่อง จิตตานุภาพแห่งกสิณจิต
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
สวัสดีนะครับทุกคน เดี๋ยวรอเพื่อนๆกัลยาณมิตรทยอยเข้ามาก่อนนะครับ ท่านที่เข้ามาแล้วก็ทรงอารมณ์อยู่กับสมาธิ อยู่กับความสงบ อยู่กับลมหายใจ ปล่อยวางร่างกาย ผ่อนคลายคือปล่อยวางร่างกาย พยายามฝึกจนเกิดความเคยชินเป็นวสี ฝึกที่จะปล่อยวางร่างกายในทุกเวลาที่เรากำหนดการเจริญสติการเจริญสมาธิ ยิ่งฝึกปล่อยวางร่างกายได้เร็วเท่าไหร่ได้บ่อยเท่าไหร่ ก็เป็นการตัดร่างกายขันธ์ 5 ในระดับของจิตและจิตใต้สำนึก ตัดร่างกายตัดขันธ์ 5 คือตัดความสนใจความเกาะในร่างกาย นั่นก็คือเมื่อกำหนดทำสมาธิปุ๊บ เราถึงสภาวะของการแยกรูปแยกนามได้ทันทีทันใจกว่าผู้ที่ปฏิบัติตรงจุดนี้น้อยกว่าหรือมีการเน้นน้อยกว่า
หัวใจของการฝึกเมตตาสมาธิที่ทำให้เกิดความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วก็คือ การที่เราต้องมีความฉลาดในการที่จะรู้ว่าจุดใดควรเน้น จุดใดที่มันมีความสำคัญ จุดใดที่ทำให้เกิดผลในการปฏิบัติอย่างรวดเร็ว จุดใดทำน้อยเกิดผลมาก ถ้าจุดใดหรือสิ่งใดที่เราทำมากแต่เกิดผลน้อยเราก็ควรจะต้องพิจารณาปรับ พิจารณาในเหตุในผลในปัจจัยว่าจะปฏิบัติอย่างไร ทำน้อยได้เกิดผลเยอะ ทำน้อยเกิดอานิสงส์สูง
อย่างตอนนี้ก็ฝึกผ่อนคลายปล่อยวางร่างกาย กำหนดจิตตัดร่างกาย อยู่กับความสงบ อยู่กับความผ่องใสของจิต หรือจดจ่ออยู่กับลมหายใจ อยู่กับลมหายใจสบาย
ลมหายใจสบาย ลมหายใจละเอียด จิตก็เข้าสู่สภาวะของความสงบของสมาธิที่ละเอียดตามลมหายใจ ลมหายใจสัมพันธ์กับสมาธิ สัมพันธ์กับฌาน ยิ่งลมเบาลมละเอียด อารมณ์จิตยิ่งมีความสบายความเบา สมาธิยิ่งเข้าถึงความสุขความสงบ กำหนดที่จะฝึกจดจ่ออยู่กับความสงบ อยู่กับลมหายใจ ปล่อยวางตัดความสนใจทางร่างกายทั้งหมด
จิตสงบผ่องใส
เมื่อจิตของเราสงบผ่องใสแล้ว เราก็กำหนดพิจารณาต่อว่าในความสงบ การใช้สติจดจ่ออยู่กับลมหายใจคืออานาปานสติ เมื่อจิตสงบระงับเข้าถึงอุเบกขารมณ์ เข้าถึงสภาวะที่เราเห็นความสงบจากสมาธิ จงสอน บอกกับจิตของเราว่า คำของพระพุทธองค์ที่ทรงตรัสสอนไว้ว่า “ความสุขเสมอด้วยความสงบนั้นไม่มี” จิตเราในขณะนี้ก็ก้าวเข้าสู่พระธรรมตามคำสอนของพระองค์ท่าน ให้เกิดความกระจ่างแจ้งต่อใจว่า ความสุขของความสงบในสมาธินั้น คือสภาวะที่จิตหยุดจากความฟุ้ง หยุดจากการปรุงแต่ง หยุดจากความเศร้าหมอง จิตอยู่กับความสงบเย็น จิตได้พักจากความคิดฟุ้งปรุงแต่ง สภาวะที่จิตซ่านไปส่งไปภายนอก อยู่กับความนิ่ง ความหยุด ความสงบ อุเบกขารมณ์ กำหนดจดจ่อให้จิตนิ่งสงบ เพื่อเพาะบ่มให้จิตเกิดกำลัง
ธรรมชาติของร่างกายต้องบริหารต้องออกต้องเคลื่อนไหวร่างกายจึงจะแข็งแกร่งแข็งแรง แต่จิตต้องสงบนิ่ง ต้องหยุด ต้องพัก หยุดจึงเป็นตัวสำเร็จที่ก่อให้เกิดกำลังแห่งจิตตานุภาพ กำลังแห่งสมาธิ กำลังแห่งสมาบัติ กำหนดจดจ่อเพาะบ่มกำลังสมาธิจิตอยู่กับความนิ่งความสงบ
นิ่งสงบผ่องใส ภายในจิตมีความแย้มยิ้มเบิกบานอยู่ภายใน จิตสว่าง กำหนดในความนิ่งให้มีความสว่าง มีประกายพรึก คือแสงรัศมีเป็นรุ้งพรรณรายรายรอบดวงจิตของเรา นิ่งหยุดอยู่กับจิตที่เป็นเพชรประกายพรึก กำหนดจิตรู้เท่าทันสภาวะของจิตต่อไป นั่นคือจิตรู้ว่าจิตเป็นเพชรประกายพรึก คือสภาวะแห่งกำลังกรรมฐานในกสิณ สภาวะแห่งการก่อเกิดปฏิภาคนิมิตอันนับว่าเป็นฌาน 4 ของกสิณ
กำหนดทรงจิตของเราเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง มีรัศมีของจิตแผ่ขยายกว้างปกคลุมออกไป เลยออกไปปรากฏมีประกายกากเพชรแพรวพราวรายรอบ มีสภาวะความเป็นทิพย์ รัศมีความนิ่งความหยุดของจิต รัศมีของจิตแผ่กระจายปกคลุมห้องที่ฝึกสมาธิทั้งหมด กำหนดจิตนิ่งหยุด เพาะบ่มจิตตานุภาพจากกสิณจิตที่เป็นเพชรประกายพรึกนั้น
ใจแย้มยิ้มผ่องใส แสงสว่างแห่งจิตที่เป็นประกายพรึกแพรวพราวพร่างพราย ใจยิ้ม ใจอิ่ม ใจเป็นสุข กำลังของจิต
จิตตานุภาพแห่งกสิณจิตเต็มกำลัง
เดินจิตต่อไป กำหนดในกสิณจิตของเรา ปรากฏภาพของดิน ก้อนดินเป็นรูปกลมทรงกลมเหมือนลูกบอลแต่เป็นก้อนดินทรงกลม จากดินค่อยๆกลายเป็นเพชรพรึบเป็นเพชรประกายพรึก
เมื่อเป็นเพชรประกายพรึกแล้วต่อเป็นวงกลมของน้ำ วงกลมของน้ำมีสภาวะของน้ำอยู่ภายใน ไร้เปลือกทั้งสิ้น แต่สภาวะกสิณของน้ำปรากฏการประคองรักษารูปทรงของตนเป็นกลมทรงกลมอยู่ได้ จากทรงกลมของก้อนน้ำมวลน้ำเปลี่ยนเป็นเพชรประกายพรึก สว่าง
จากนั้นกำหนดต่อไปวงกลมทรงกลมกลายเป็นลมหมุนวนเป็นเหมือนกับพายุหมุน จะกำหนดให้ลมพัดแรงลมพัดเบาเป็นพายุที่มีความรุนแรงแค่ไหนก็กำหนดอยู่ภายในทรงกลมนั้นได้ จากทรงกลมของธาตุลมอันมีกำลังเปลี่ยนเป็นเพชรประกายพรึกสว่างพรึบ มีรัศมีสว่างกระจาย
กำหนดจิตต่อไป ทรงกลมลูกกลมนั้นดวงกสิณนั้นเปลี่ยนเป็นกองไฟ เป็นไฟเป็นเพลิงที่อยู่ในทรงกลม กำหนดจิตให้มีความแรง ความร้อนแรงความสว่าง อานุภาพของไฟจะให้เกิดรุนแรงแค่ไหนหรือหรี่ให้เบาแค่ไหนได้ดั่งใจปรารถนา
จากดวงกสิณไฟที่เป็นดวงไฟเป็นกองไฟเป็นก้อนพลังงานของไฟ ก็กำหนดจิตให้กลายเป็นเพชรประกายพรึก สว่าง รวมธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ กสิณธาตุทั้ง 4 สำเร็จรวมในจิตของเราเรียบร้อย
จากนั้น กำหนดจิตต่อไปจากดวงเพชรประกายพรึกสว่าง กำหนดให้มีความสว่างขึ้น ละเอียดขึ้น มีความระยิบระยับสว่างแพรวพราวขึ้น กำหนดว่านับแต่นี้ขออาราธนาบารมีพระ ทุกครั้งที่กำหนดจิตเป็นเพชรประกายพรึก ขอให้เกิดอานุภาพแห่งกสิณธาตุทั้งสี่ ขอให้เกิดอานิสงส์ ผลแห่งการฝึกการปฏิบัติสมาบัติแห่งการเจริญกสิณทั้งสิบ รวมกสิณทั้ง 10 กอง รวมไว้ในจิตของข้าพเจ้ารวมเป็นกสิณจิต มีพลังแห่งความเป็นทิพย์ มีพลังแห่งกสิณอันเป็นบาทฐานแห่งอภิญญาสมาบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอภิญญาใหญ่ รวมตัวอยู่ในดวงจิตของข้าพเจ้า รวมเป็นกสิณจิตนับตั้งแต่บัดนี้ด้วยเถิด
กำหนดจิตต่อไปว่าจากดวงจิตที่เป็นเพชรประกายพรึกสว่างสำเร็จในกสิณจิต กำลังแห่งกสิณทั้งสิบรวมในจิตเรียบร้อย ยังมีกำลังสมาบัติที่สูงยิ่งขึ้นไปกว่านี้ก็คือสมาบัติ 8 กำหนดจิตเพิกระเบิดดวงจิตที่เป็นเพชรประกายพรึก ระเบิดเป็นประกายระยิบระยับ ระเบิดทุกสรรพสิ่ง โล่ง ว่าง เปลี่ยนแปลงเป็นสภาวะโล่ง ว่าง ขาว ไร้ผนัง ไร้เพดาน ไร้พื้น ไร้ขอบ ไร้รูปทั้งปวง ไร้วัตถุทั้งหลาย ไร้รูปไร้วัตถุไร้สิ่งที่จับต้อง เป็นพลังงาน ขาว โล่ง โปร่ง สว่าง ไม่มีขอบเขต ไม่มีอาณาบริเวณ กว้างขวางสุดขอบเขตอนันตจักรวาล กลายเป็นความว่างทั้งหมด กำหนดจิตในความว่าง เพิกสลายจักรวาล เพิกสลายวัตถุ เพิกสลายรูป ทุกสิ่งสลายกลายเป็นความว่าง เวิ้งว้างว่างเปล่าเป็นกำลังแห่งอรูปสมาบัติ
กำหนดทรงอารมณ์อยู่ในความว่างแห่งอรูปสมาบัตินั้น ว่าง เวิ้งว้าง ไร้รูป ไร้ทุกสิ่ง ว่าง โล่ง ขาว โปร่ง เบา ไร้สิ่งที่จิตเราจะไปเกาะไปยึดไปกระทบไปปรุงแต่ง สิ่งที่มากระทบทางอายตนะนั้นสลายไปทั้งสิ้น เนวสัญญานาสัญญายตนะ สลายว่างโล่ง ไร้สิ่งกระทบอายตนะ วัตถุธาตุ โลก จักรวาล ภูเขา ดวงดาว สลายว่าง ระเบิดว่าง เป็นความว่าง
กำหนดจิตว่าทุกสรรพสิ่งนั้น เกิดดับ ไร้แก่นสาร ไร้เหตุให้เราเกาะเรายึด รูปอันเป็นเหตุให้เราเกาะเรายึด ให้เราพอใจ ให้เราขัดเคืองใจ ให้เราปรุงแต่งจากการที่มันมากระทบทางอายตนะ กำหนดจิตสลายในสภาวะแห่งอรูปสมาบัติให้ละเอียด ว่าง โล่ง ไม่มีขอบเขตไม่มีประมาณ สงบนิ่งอยู่ในอรูปสมาบัติ กำหนดรู้ว่าเราใช้กำลังแห่งอรูปสมาบัติเพื่อเป็นกำลังแห่งอภิญญาในปฏิสัมภิทาญาณ ใช้เป็นกำลังในการยกจิตในการพิจารณาตัดกิเลสเพื่อพระนิพพาน กำหนดทรงอารมณ์ในสมาบัติ 8 ความว่างเวิ้งว้างว่างเปล่า ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ ว่าง ขาว โล่ง สว่าง นิ่งสงบอยู่ในความว่าง
ในการฝึกในการปฏิบัติในอรูปนั้น เมื่อเรากำหนดในความขาว ความว่าง โปร่ง โล่ง ว่างไปสุดขอบเขตจักรวาล หากมีนิมิตใดรูปใดจรเข้ามาก็กำหนดสลายกลายเป็นผุยผงไปให้หมด เป็นการดับล้าง ดับรูป จิตดับรูป ดับการเกาะการยึดในรูปในวัตถุในบุคคล สลายกลายเป็นความว่างไปให้หมด ในขณะนี้ให้ฝึกในเรื่องของอรูปก็กำหนดจิตในกำลังของอรูปให้สูงที่สุด ละเอียดที่สุด ว่าง โล่ง โปร่ง เบา สบาย ว่าง โล่ง โปร่ง เบา สบาย ในขณะที่กำหนดจิตก็สามารถใช้กำลังของอรูปในการดับความทุกข์ความกังวลความคิดการปรุงแต่ง สลายกลายเป็นความว่าง ฝึกในการดับล้างด้วยกำลังของอรูปแม้แต่อารมณ์ที่มันหนักที่มันทุกข์ที่มันเศร้าหมอง สลายว่างว่าทุกสิ่งไร้แก่นสารว่างเปล่า สลายว่างห่างไกลออกไป จนใจว่าง โปร่ง โล่ง สบายเบา
ในการปรับประยุกต์ใช้การใช้กำลังแห่งอรูปสมาบัติดับล้าง ดับล้างได้แม้แต่อวิชชาคุณไสยทั้งหลาย สิ่งใดที่เป็นอวิชชา สิ่งใดที่เป็นคุณไสย สิ่งใดที่เป็นพลังงานลบ กำหนดจิตในความว่าง ดับล้าง ว่าง สลาย ทุกพลังงานที่เป็นลบทุกสิ่งเป็นวัตถุเป็นอวิชชาเป็นคลื่นเป็นพลังงาน สิ่งใดอันเป็นอัปมงคล สลายล้าง ว่าง กลายเป็นความว่าง สลายล้าง สลายตัว เหลือมีแต่ความโปร่ง โล่ง เบา สว่าง ขาว ใส
พลังจิตในการแผ่สลายทุกอย่างเป็นความว่าง สลายจนห่างไกลขอบเขต
สุดขอบจักรวาล ระยะทางเป็นอนันต์ สลายล้าง ผลัก สลายดับล้าง จิตโปร่งโล่ง
กำหนดทรงอารมณ์อยู่ในความว่างแห่งอรูปสมาบัติ ทรงอารมณ์อยู่ในสมาบัติ 8 ไร้รูป ไร้วัตถุ ไร้สิ่งกระทบทางอายตนะ ไร้สัญญา คือความทรงจำ เนวสัญญานาสัญญาอายตนะ รวมครบถ้วนในกำลังแห่งสมาบัติ 8 ทุกสรรพสิ่งไร้แก่นสาร สลายรูป สลายอารมณ์ สลายสิ่งกระทบ สลายวัตถุทั้งปวง สลายสัญญาความจำทั้งหลาย กลายเป็นความว่าง โล่ง ยิ่งไกล สว่าง โล่ง ไกล ไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณ จิตสงบนิ่ง
พิจารณาว่าอารมณ์ในขณะที่เราทรงฌาน 4 ในกสิณจิต ในอานาปานสติกับอารมณ์ที่เราทรงในอารมณ์ของสมาบัติ 8 คืออรูปสมาบัตินั้น ถ้าจิตมีความละเอียดพิจารณาเห็นในความแตกต่างด้วยความละเอียดของจิต เราก็จะพบว่าอารมณ์ของสมาบัติ 8 คืออรูปนั้น มีความเบากว่า ละเอียดกว่า มีพลังมากกว่า อยู่กับความสงบ ละเอียด ขาว โล่ง โปร่ง เบา
เมื่อทรงอารมณ์อยู่ในสมาบัติ 8 ในช่วงเวลาหนึ่งจนจิตเกิดกำลังเพาะบ่มตบะแห่งสมาบัติแล้ว เราจึงเดินจิตต่อ
จากอรูปสมาบัติ ยกจิตตั้งนึกรำลึกนึกถึงคุณแห่งพระรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งสมเด็จองค์ปฐมเป็นที่สุด กำหนดจิตในท่ามกลางความว่างเวิ้งว้างว่างเปล่า ปรากฏภาพพุทธนิมิตของสมเด็จองค์ปฐมเสด็จมาในท่ามกลางความว่างเปล่านั้น ลักษณะนิมิตของพระองค์ท่านมีความสว่างเป็นเพชรชัดเจนเต็มกำลัง กำหนดจิตน้อมเชื่อมกระแสกับพระพุทธองค์ พิจารณาว่ารูปวัตถุ ทุกสรรพสิ่งในสังสารวัฏล้วนไร้แก่นสาร เรื่องราวชาติภพที่พบผจญดลให้เกิดการเกิดแก่เจ็บตายเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ จิตเราพิจารณาว่าทุกสิ่งนั้นล้วนเป็นเหตุแห่งความทุกข์ ตราบที่ยังเกิดก็ยังผลัดกันเกิดผลัดกันตายผลัดกันใช้เวรผลัดกันใช้กรรมไม่มีที่สิ้นสุด จิตของเราเกิดปัญญาคือวิชชาในการดับความโง่เขลา ความไม่รู้ ความมืดบอดอวิชชาที่ทำให้เราหลงมัวเมาอยู่ในวัฏสงสารนี้ ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สอน จิตเราจึงมีดำริตริคิดรำลึกนึกถึงคุณแห่งพระนิพพานเจ้า เมืองแก้วอันประเสริฐ พ้นจากกำลังแห่งสังสารวัฏ พ้นจากกำลังแห่งการเวียนว่ายตายเกิด พ้นจากกำลังแห่งแรงกรรมและแรงบุญทั้งปวง
กำหนดจิตขอบารมีพระพุทธองค์สมเด็จองค์ปฐมทรงสงเคราะห์ ขอจงยกจิตข้าพเจ้าอาทิสมานกายกายพระวิสุทธิเทพ จงพุ่งขึ้นไปบนพระนิพพานอย่างฉับพลันทันใดและสว่างผ่องใสอย่างยิ่ง กำหนดจิตอธิษฐานว่าด้วยกำลังแห่งสมาบัติ 8 ที่เราเจริญมาดีแล้ว กำลังจิตมีกำลัง ขอให้เห็นสภาวะแห่งพระนิพพาน พระพุทธเจ้ามากมายมหาศาลเสด็จประทับเรียงมากมายสุดลูกหูลูกตาสุดขอบพระนิพพาน มองเห็นพระอรหันต์พระสาวกของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ที่ผ่านมา พระปัจเจกพุทธเจ้ามากมายมหาศาลเต็มพระนิพพานไกลสุด จำนวนมากมาย ขอบเขตญาณเครื่องรู้ในความเป็นทิพย์ที่เราขึ้นมาบนพระนิพพานวันนี้ ขอให้เปิดญาณ เห็นพระนิพพานไกลสุดเต็มกำลัง กำหนดน้อมใจด้วยความผ่องใส กำหนดรู้ในจิต เมื่อกำหนดรู้กำหนดถึงแล้ว กำหนดว่าขอน้อมจิตกราบทุกองค์ไม่ว่าจะอยู่ไกลเพียงใด ขอให้กำหนดจิตแยกกายทิพย์คือกายพระวิสุทธิเทพไปกราบถึงแทบเบื้องพระบาท กราบแทบตักของพระองค์ท่านทุกๆพระองค์ ไม่ว่าท่านจะมีมากมายเท่าไหร่ ไม่ว่าท่านจะอยู่ไกลเสด็จประทับอยู่ไกลแค่ไหน รายรอบล้อม กำหนดกราบ
จากนั้นกำหนดจิต นั่งสมาธิอยู่เบื้องหน้าท่ามกลางสมเด็จองค์ปฐมรายรอบล้อมรอบกาย พระพุทธเจ้าทรงเสด็จประทับรายรอบล้อมทั่วครอบคลุมสุดเขตพระนิพพานทั้งหมด กำหนดจิตทรงอารมณ์พระนิพพานเต็มกำลังให้มีความละเอียด พิจารณาจิตของเรา จิตเรามีความพึงพอใจกับพระนิพพาน จิตเรารู้คุณแห่งพระนิพพาน จิตเราไม่ปรารถนาซึ่งการเกิดในสังสารวัฏอีกต่อไป พิจารณาโดยละเอียด พิจารณาในอารมณ์ว่าเราตัดความโลภความโกรธความหลงตัดสังโยชน์ทั้งสิบ พิจารณาตัดภพตัดภูมิ ตัดห่วงใยในร่างกายเนื้อขันธ์ 5 ตัดความห่วงความอาลัยในบุคคลทั้งหลาย พิจารณา จนกายพระวิสุทธิเทพของเราสว่างผ่องใส ละเอียด ความเป็นเพชรมีความละเอียดใสบริสุทธิ์อย่างยิ่ง จิตที่อยู่ภายในกายพระวิสุทธิเทพเป็นดวงแก้วใส ละเอียดจนไร้แกนไร้แก่น ใส ละเอียด บริสุทธิ์ เข้าถึงอารมณ์พระนิพพานอารมณ์แห่งอรหัตผลอย่างแท้จริง ทรงอารมณ์แห่งพระอรหัตผล คืออารมณ์พระนิพพาน ทรงอารมณ์จิตไว้ เจริญจิตบำเพ็ญให้เกิดตบะ คือทรงอารมณ์ กำหนดจิต ทุกคนทรงอารมณ์พระนิพพาน “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง อยู่ท่ามกลางพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ จิตละเอียดอยู่ท่ามกลางกระแสจิตของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกพระองค์
กำหนดจิตเป็นสุข เบิกบานผ่องใสอย่างยิ่ง ทรงอารมณ์พระนิพพานไว้
ใจสงบ เป็นสุข ผ่องใส กำหนดจิตอธิษฐานทรงอารมณ์ไว้ จิตเกิดธรรมฉันทะความพึงพอใจในพระนิพพานเป็นที่สุด จิตยินดีที่เราได้มาอยู่กับพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอรหันต์ทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ อยู่กับหลวงพ่อ อยู่บนพระนิพพาน อารมณ์จิตของเราเบิกบานเป็นสุขอย่างยิ่ง จิตเป็นอิสระจากความห่วงความทุกข์ความกังวลทั้งหลายอย่างยิ่ง อารมณ์จิตที่จบกิจทั้งหลายภาระทั้งหลาย จบกิจทั้งหลายสิ้นแล้ว ชาติภพสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ของเราบริสุทธิ์ อารมณ์จิตบริสุทธิ์ ไร้ห่วง ไร้แก่น ไร้ความกังวลทั้งปวง ไร้กิเลสคือโลภโกรธหลง จิตอยู่กับพระนิพพานสมบัติเพียงจุดเดียว นิ่ง สงบ เป็นสุขอย่างยิ่ง
ใจสบาย ทรงอารมณ์ไว้ ธรรมะทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์รวมในจิต คือพระนิพพานเพียงจุดเดียว
ทานทั้งหลายที่เราบำเพ็ญเพื่อตัดสละความโลภ ทานทั้งหลายเป็นไปเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด
ศีลที่เรารักษา เนกขัมมะที่เราปฏิบัติ ปฏิบัติเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด
ภาวนา กรรมฐานทั้งหลาย การตัดขันธ์ 5 ร่างกาย การตัดกิเลส การตัดสังโยชน์ การกำหนดจิตตัดภพตัดภูมิทั้งหลาย วิปัสสนาญาณก็เป็นการปฏิบัติเพื่อพระนิพพานเพียงจุดเดียว
กำหนดจิตพิจารณาว่าจิตเรานั้นเป็นหนึ่งอยู่กับพระนิพพาน เป้าหมายสูงสุดแห่งการปฏิบัติในพระพุทธศาสนาก็คือการทำพระนิพพานให้แจ้ง จิตของเรากระจ่างแจ้งแล้วในพระนิพพาน กำหนดให้อาทิสมานกายของเราเปล่งแสงสว่าง อารมณ์อันแจ้งแล้วซึ่งพระนิพพานจงก่อเกิดพลังมหาศาลของกายพระวิสุทธิเทพของเราทุกคน ขอจิตข้าพเจ้าได้แจ้งกับพระนิพพาน จงสว่างแจ้ง ธรรมทั้งปวงกระจ่างขึ้นในจิต ทรงอารมณ์ไว้ จิตใสละเอียดบริสุทธิ์ อาทิสมานกายใสสว่างละเอียดบริสุทธิ์อย่างยิ่ง
ทรงอารมณ์เสวยวิมุตติสุขบนพระนิพพาน
ทรงอารมณ์ในความผ่องใสกระจ่างแจ้งในธรรม กระจ่างแจ้งในพระนิพพานไว้
กำหนดน้อมอาราธนากระแสของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกพระองค์มีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน ขอพระพุทธเมตตาแผ่ฉัพพรรณรังสีของทุกพระองค์รวมเป็นกระแสบุญศักดิ์สิทธ์จากพระนิพพาน แผ่สว่างอาบกายทิพย์กายพระวิสุทธิเทพของเราทุกคนให้สว่างผ่องใส อารมณ์จิตเกิดญาณ เกิดปัญญา เกิดเครื่องรู้ เข้าใจในกระแสธรรม เข้าใจในกระแสจิต จิตญาณทัศนะของพระอรหันต์ที่มองพิจารณาเห็นโลกอันแตกต่างจากปุถุชนคนธรรมดาที่มีความยึดติดในโลกด้วยความโลภโกรธหลง ขอกระแสวิมุตติญาณทัศนะของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอรหันต์ทุกพระองค์ ขอกระแสแห่งวิมุตติญาณทัศนะนั้น ญาณอันเป็นญาณทั้งเก้าในการตัดกิเลส ขอจงซึมซับลงสู่จิตสู่ใจของข้าพเจ้าทุกคน ณ บัดนี้ด้วยเทอญ
กำหนดน้อม พิจารณาดูโลก พิจารณาดูเรื่องราวต่างๆในชีวิตในโลก ความเกิด เรื่องราวทั้งหลาย
พิจารณาให้เห็นว่าโลก ปุถุชนไหลไปตามอารมณ์ ไหลไปตามกระแส ไหลไปตามข่าวสาร ไหลไปตามเรื่องราวที่มากระทบใจ เรื่องราวที่มันเกิดดราม่า เรื่องราวที่เกิดความขัดแย้ง มองเห็นกระแสจิตความคิดความขัดเคืองใจ เห็นกระแสจิตที่มีความโลภโกรธหลงเป็นตัวนำพาจิต นำพาความคิดของแต่ละบุคคลนั้นให้มีการพูดมีความคิดมีการกระทำออกมาทางกายวาจาใจ พิจารณามองให้เห็นชัดว่าสิ่งต่างๆของบุคคลปุถุชนนั้นถูกนำพาถูกชักลากไปด้วยกำลังแห่งกิเลส เป็นวิสัย เป็นกระแสของโลก เป็นธรรมดาของโลก ในขณะที่เรามองผ่านวิมุตติญาณทัศนะของพระพุทธองค์ ของพระอรหันต์ เรามองเห็นความหลง เห็นความโลภ เห็นความโกรธ เห็นความไม่รู้ พิจารณาด้วยจิตอันเป็นอุเบกขารมณ์ ไม่ตัดสิน ไม่กล่าวโทษ ไม่เกลียดชัง พิจารณาด้วยอุเบกขา พิจารณาให้เห็นว่าบุคคลใดอยู่ในวิสัยที่เราตักเตือนได้ สั่งสอนได้ ชักนำเข้าสู่ทางธรรมได้ เราก็พึงกระทำในฐานะกัลยาณมิตร หากบุคคลใดไม่ใช่วิสัยไม่ใช่หน้าที่เราก็อุเบกขา “สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”
พิจารณาน้อมขอกระแสบารมีของพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ให้เห็นกระแสความวุ่นวายของโลก ความเบียดเบียนกันก่อสงคราม ก่อให้เกิดความอดอยาก ก่อให้เกิดความขาดแคลน เราพิจารณา ใจเป็นอุเบกขา สงบนิ่ง ไม่หวั่นไหว ไม่หวาดกลัว ไม่วิตก
พิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริง ความโลภในอำนาจ ความโลภความปรารถนาในการเบียดเบียน ความโลภในการก่อเกิดสงคราม
กำหนดพิจารณาให้เห็นว่าในความอดอยากขาดแคลน ผลกระทบจากสงคราม ผลกระทบจากโรคภัย โรคระบาดเกิดขึ้นจากความโลภความโกรธความหลง ความโลภความโกรธความหลงเมื่อรวมตัวก่อตัวในดวงจิตมากเข้าเพิ่มขึ้น ก็ก่อให้เกิดสงคราม ก่อให้เกิดภัยธรรมชาติ ก่อให้เกิดภัยพิบัติ ทั้งที่ตั้งใจและเป็นไปตามธรรมชาติด้วยกำลังของกระแสจิต ด้วยกำลังของกระแสกรรมที่มารวมกัน เป็นกระแสกรรมแต่ละสายโยงใยเส้นกรรม พอรวมเป็นสายกรรมของคนหมื่นคนแสนคนล้านคนสิบล้านคนก็กลายเป็นเส้นกระแสพลังงานคือเส้นกระแสของกรรม กลายเป็นคลื่นกรรมแรงกรรมขนาดใหญ่ ส่งผลกระทบกับโลก ตราบที่โลกยังมีการเบียดเบียนกัน เอารัดเอาเปรียบแก่งแย่งกันเป็นมหาอำนาจ แก่งแย่งกันเอาเปรียบทางการค้าทางเศรษฐกิจ
พิจารณาให้เห็นว่าทำไมพระพุทธองค์จึงต้องเสด็จมาตรัสรู้เพื่อแสดงธรรม ตราบที่มีธรรม ตราบที่มีเมตตา ความเร่าร้อนจากการเบียดเบียน ความเร่าร้อนจากสงครามมันก็สงบระงับดับลง กระแสเมตตานั้นก่อให้เกิดความร่มเย็นกับโลกใบนี้ เราพิจารณาเห็นความวุ่นวาย เห็นเหตุแห่งความทุกข์ เห็นเหตุทุกเหตุ ทุกเหตุล้วนก่อเกิดขึ้นจากดวงจิต จิตเราอุเบกขา มองจากภายนอก มองในอารมณ์ที่เราไม่มีความข้องเกี่ยว พิจารณามองเหมือนกับเราอยู่บนพระนิพพานที่ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสีย ไม่ได้มีผลกระทบกับสิ่งใดที่เกิดขึ้นบนโลก มีเพียงจิตที่กำหนดรู้ จิตที่มีพรหมวิหาร 4 และในขณะเดียวกันก็มีอุเบกขาที่วางเฉยในสิ่งที่เราไม่อาจกระทำหรือช่วยเหลือได้
ในขณะเดียวกันเราก็น้อมกำลังใจของเราว่า เราปฏิบัติทรงอารมณ์พระนิพพาน จิตเรามีกำลัง จิตเรายกขึ้นมาสู่พระนิพพาน ยกกำลังมโนมยิทธิมาด้วยกำลังแห่งสมาบัติ 8 กำลังอภิญญาสมาบัติมีกำลังสะสมเพาะบ่มเต็มอัตราอยู่ สิ่งที่เราช่วยได้อยู่ในวิสัยที่เราช่วยได้เราก็ช่วยด้วยกระแสบุญ กระแสจิต กระแสเมตตา เพราะเมตตาพรหมวิหาร 4 นั้นพระพุทธองค์ทรงสอนไว้ว่าเป็นอาวุธ เป็นธรรมาวุธอันมีอานุภาพสูงที่สุด ธรรมาวุธนั่นก็คือกระแสธรรมที่มีอานุภาพเป็นอาวุธ เราก็น้อมจิตจากพระนิพพานแผ่เมตตาลงไปในสังสารวัฏ เป็นเมตตาอัปปนาณฌานคือไม่มีประมาณ กำลังเป็นอนันต์อเนกอนันต์
แผ่เมตตาลงไปยังอรูปพรหมทั้ง 4 แผ่เมตตาแผ่กระแสของความสงบเย็นปรารถนาดี ความสงบ ความผ่องใส บุญกุศลลงไปยังพรหมโลกทั้ง 16 ชั้น มีท่านปู่ท้าวสหัมบดีพรหมผู้เป็นใหญ่ในพรหมทั้งปวงเป็นประธาน กระแสบุญกุศลจงสำเร็จถึงทุกท่านทุกรูปทุกนาม
น้อมจิตจากพระนิพพานเป็นกระแสเมตตา กระแสความสงบเย็นที่เราน้อมอาราธนาเชื่อมกระแสกับทุกท่านบนพระนิพพานลงต่อไปยังสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น มีท่านปู่พระอินทร์ท่านย่า ท้าวมหาราชทั้ง 4 อินทกะ เทวดาผู้มีฤทธิ์ทั้งหลาย เทวดาทั้งหลายในสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น
แผ่เมตตาลงมาจากอากาศเทวดาลงไปยังเทวดาทั้งหลายที่เป็นรุกขเทวดา เทวดาที่มีวิมานอยู่บนต้นไม้อันมีแก่นทั่วจักรวาลทั่วโลกทั่วจักรวาล
แผ่เมตตาต่อไปยังเทวดาทั้งหลายที่เป็นภุมมเทวดา พระภูมิเจ้าที่ เจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา แผ่เมตตาให้กับภุมมเทวดาทั้งหลาย
จากนั้นแผ่เมตตาลงไปยังภพแห่งมนุษย์และสัตว์อันมีรูปกายที่เป็นกายเนื้อมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายทั่วโลก ทุกสิ่งมีชีวิตที่มีกายเนื้อทั้งหลายทั่วอนันตจักรวาล ทุกดวงดาวทุกเอกภพ ทุกGalaxy แผ่เมตตาสว่าง
แผ่เมตตาต่อไปยังภพของโอปปาติกะสัมภเวสีดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลาย
แผ่เมตตาต่อไปลงไปยังเปรตอสูรกายทั้งหลาย
แผ่เมตตาต่อไปยังนรกทุกขุม ขอลุงพุฒ พญายมราช นายนิริยบาลทั้งหลายได้เป็นพยาน และเป็นผู้ที่ช่วยรับช่วยส่งต่อไปยังสัตว์นรกที่เสวยกรรมทั้งหลายในยามที่พ้นโทษ
จากนั้นแผ่เมตตาใหญ่ สว่าง ทั่วสามภพสามภูมิ น้อมกระแสจากพระนิพพานลงมายังทุกภพทุกภูมิ เกิดความเย็น ความสงบ ความสว่าง ความผ่องใสให้โลกใบนี้ จักรวาลนี้ สังสารวัฏนี้
กำหนดน้อมต่อไป เชื่อมกระแสจากพระนิพพานลงมายังวัดวาอารามสถานปฏิบัติธรรมทั้งหลาย พระพุทธรูปทุกพระองค์ พระธาตุ พระบรมมหาธาตุ พระบรมสารีริกธาตุ พระอรหัตธาตุ วัตถุธาตุศักดิ์สิทธิ์ พระเครื่อง เครื่องรางของขลังทั้งหลาย ขอจงก่อเกิดกำลังพุทธคุณ กำลังพุทธบารมี กำลังแห่งความผ่องใส ดับอวิชชา ดับคุณไสย ดับการเบียดเบียนทั้งหลายออกไป ขอกระแสพุทธคุณจงก่อให้เกิดพระพุทธศาสนาอันบริสุทธิ์ ขออลัชชีทั้งหลายจงเร่าร้อนไม่สามารถดำรงอยู่ในเขตพระพุทธศาสนาได้ต่อไป ขอให้ผู้คิดร้ายต่อพระพุทธศาสนาจงพ่ายแพ้ในภัยตนเอง จงกลับตัวกลับจิตกลับใจ พลิกจิตกลับฟื้นคืนสู่ความเป็นสัมมาทิฐิ บุคคลใดที่เป็นมิจฉาทิฐิขอจงพลิกจิตพลิกใจให้กลายเป็นสัมมาทิฐิ บุคคลใดที่เป็นจิตเป็นสัมมาทิฐิแล้วก็ขอให้มีความตั้งมั่นดำรงจิตไม่พลิกไปเป็นมิจฉาได้ ความมั่นคงเด็ดเดี่ยวในสัมมาทิฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ ความตั้งมั่นในมรรค ในผล ในพระนิพพานจงแนบแน่น เป็นหนึ่งไม่หวนกลับไม่ย้อนคืน จิตมั่นคงในการปฏิบัติธรรม มั่นคงในความดี มั่นคงในพระนิพพาน
น้อมกระแสลงมายังโลก ตั้งจิตว่าบุญกุศลของสาธุชนผู้ทรงความดี ปวงชนชาวไทยที่ปฏิบัติธรรมมีมากมายมหาศาล ขอจงรวมจิตรวมใจสอดประสานเป็นหนึ่ง กำลังบุญของทุกท่านจงเกิดกำลังกลายเป็นกำแพงแก้วคุ้มครองโลก ดับภัยศึกสงครามภัยพิบัติทั้งปวง ดับล้างโรคภัยไข้เจ็บโรคระบาดทั้งปวง ขอกระแสบุญความดีจงก่อเกิดมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พรหมสมบัติจนถึงพระนิพพานสมบัติ น้อมกำลังจิตกำลังใจกำลังบุญของทุกคนให้รวมตัว และทิศทางของผลอานิสงส์แห่งกำลังบุญจงก่อเกิดหนุนนำผลักดันให้เข้าสู่ยุคสมัยแห่งชาววิไลโดยเร็วด้วยเถิด
ขอกำลังจิต กำลังกุศล กำลังบุญ กำลังบารมีของสาธุชนทุกคนทุกสายการปฏิบัติ จงรวมเป็นหนึ่ง ขับเคลื่อนเข้าสู่ยุคแห่งชาววิไลด้วยเถิด
นับแต่นี้ขอทุกสายการปฏิบัติจงเริ่มสอดประสานยอมรับ มีกำลังใจในสามัคคีธรรม เกิดกำลังเป็นเลิศในพระพุทธศาสนา น้อมกระแสจากพระนิพพาน ขอบารมีพระพุทธองค์ ขอกระแสพระราชดำรัสของพระพุทธองค์จงปรากฏเป็นประกาศิต ขอให้งานที่พระพุทธองค์ทรงได้สั่งให้บุคคลที่มีหน้าที่ลงมาเกิดบนโลกมนุษย์ทำหน้าที่ในการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา จงรู้หน้าที่จงรู้ตื่นขึ้น จงกระทำบำเพ็ญให้ก่อเกิดยุคแห่งความเจริญรุ่งเรือง ความสุขสงบสันติ ยุคที่ผู้คนเข้าถึงศีล เข้าถึงธรรม เข้าถึงกุศล เข้าถึงศักยภาพของจิตอย่างแท้จริง ขอการรู้ตื่น ขอการรู้แจ้ง ขอความรู้แจ้งแทงตลอดในธรรม จงก่อเกิดขึ้นในจิตของสาธุชนกัลยาณมิตรทุกสายธรรมสายการปฏิบัติด้วยเถิด
กำหนดใจของเราให้ใส กำหนดใจของเราให้สว่างเป็นเพชร อาทิสมานกายของเราสว่างอยู่บนพระนิพพานอย่างยิ่ง
จากนั้นกำหนดนะ กราบพระพุทธเจ้า กราบทุกท่าน กราบทุกพระองค์สุดขอบเขตพระนิพพาน กราบทุกพระองค์ แยกอาทิสมานกายมากมายมหาศาล มากกว่าเม็ดทรายในท้องมหาสมุทร แยกจิตมากมายสว่าง กราบ
จากนั้นกำหนดขออนุญาตขอพุทธานุญาต กำหนดให้อาทิสมานกายของเราแต่ละคนไปที่วิมานของตนบนพระนิพพาน อยู่ในสภาวะนั่งห้อยเท้า ทรงสภาวะของพระวิสุทธิเทพในวิมานแห่งตนเต็มกำลัง กำหนดสว่าง ใจเป็นสุข ใจอิ่มอย่างยิ่ง ใจเราอิ่ม ใจเราสุขอย่างยิ่ง อาทิสมานกายสว่างอย่างยิ่ง ใจเราแนบอยู่กับพระนิพพาน ใจเราไม่หวั่นไหวอยู่กับพระนิพพาน “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ชาตินี้ตายเมื่อไหร่ไปนิพพานถาวร จิตไม่คลาดไม่พลาดจากพระนิพพาน
เมื่อกำหนดแล้ว สมควรกับเวลาในการปฏิบัติ เราเจริญเมตตาอุทิศส่วนกุศลเรียบร้อย จิตน้อมมีความเคารพกตัญญูต่อพระพุทธเจ้า ต่อพระธรรม ต่อพระอริยะสงฆ์ ต่อครูบาอาจารย์ ต่อพ่อแม่ท่านผู้มีพระคุณ เทพพรหมเทวาที่ปกปักรักษา กำหนดจิตหยั่งรู้ ให้รู้เห็นในเทวดาพรหมที่มารักษาขันธ์ 5 ร่างกายสังขาร
แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลพิเศษตรงยังทุกองค์ทุกท่าน ท่านผู้มีพระคุณทุกท่าน ขอจงเกิดเทพฤทธิ์ พรหมฤทธิ์ มีอานุภาพ มีความศักดิ์สิทธิ์ มีบุญบารมีสูงขึ้น สงเคราะห์ข้าพเจ้าได้มากขึ้นยิ่งขึ้นตามไปด้วย ทุกกุศลที่ข้าพเจ้าปฏิบัติที่ข้าพเจ้ากระทำบำเพ็ญก็ขอให้ท่านมีส่วนร่วมโมทนาบุญทุกประการ ขอบารมีท่านจงก่อเกิด ขอกำลังบุญฤทธิ์ เทพฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ พรหมฤทธิ์ท่านจงเต็มกำลัง
กำหนดนะ ใจผ่องใส จากนั้นพุ่งอาทิสมานกายกลับมาที่กายเนื้อเป็นแสงสว่างพร้อมกับกระแสจากพระนิพพานลงมาชำระล้างฟอกธาตุขันธ์ รัศมีแห่งกายทิพย์จากการปฏิบัติลงมายังพระนิพพานเมื่อกลับเข้ามาร่าง พลังงานความบริสุทธิ์ความผ่องใสของกายทิพย์ก็ฟอกเซลล์ ฟอกธาตุขันธ์ ฟอกกระดูก ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ให้กลายเป็นแก้วใสสว่างบริสุทธิ์
จากนั้นหายใจเข้าลึกๆช้าๆ ปรับธาตุ ตั้งสติกำหนดรู้หายใจเข้า พุท ออกโธ หายใจเข้าลึกๆช้าๆครั้งที่ 2 ธัมโม หายใจเข้าลึกๆช้าๆครั้งที่ 3 สังโฆ
จากนั้นจึงค่อยๆถอดจิตจากสมาธิ เมื่อออกจากสมาธิก็ตั้งใจอธิษฐานแผ่เมตตาให้กับบรรดากัลยาณมิตรที่ปฏิบัติธรรมด้วยกันในวันนี้ โมทนาสาธุกับกุศลของทุกคน คนไหนที่ป่วยก็อธิษฐานขอกระแสธรรมจงเกิดเป็นธรรมโอสถหยาดหลั่งรดรักษากายเนื้อขันธ์ 5 ของข้าพเจ้า บุคคลใดอธิษฐานขอให้การเงินการทองความคล่องตัวจากการเจริญกรรมฐานโชคลาภความโชคดีจงหลั่งไหลลงมาสู่ข้าพเจ้า อธิษฐานด้วยกำลังบุญทั้งหลายจงสำเร็จ บุญทั้งหลายจงส่งผลทันใจ บุญทั้งหลายจงก่อเกิดทวีคูณมากมาย ส่งผล ณ บัดนี้ด้วยเถิด
กำหนดจิตนะ อธิษฐานหลังกรรมฐาน กำลังจิตมีกำลัง สมาธิมีกำลัง ความบริสุทธิ์มีกระแสพุทธคุณ ส่งผล เมื่อปฏิบัติเรียบร้อยก็น้อมจิตวางอารมณ์ให้ผ่องใส ให้จิตมีอารมณ์เป็นสุข ตั้งใจว่าเราจะรักษาจิตให้เป็นสุขได้ทั้งยามหลับยามตื่น รัศมีบารมีราศีของผู้ปฏิบัติ ฉายออก ความผ่องใสปรากฏ ความเบิกบานปรากฏ
สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนากับทุกคนด้วยโดยเฉพาะยิ่งบุญจากการถวายมหาสังฆทานก็ขอให้เกิดผลอานิสงส์ทันใจ เกิดความเป็นทิพย์ เกิดมนุษย์สมบัติหลั่งไหล ความคล่องตัวมายังทุกคน และการปฏิบัติธรรมของเราก็ขอให้เราเพาะบ่มตบะเดชะ สมาบัติทั้งหลายจงรวมตัวก่อตัว กำลังจิต กำลังความมหัศจรรย์ของจิต ฌาน ญาณทั้งหลายจงปรากฏ
สำหรับวันนี้สวัสดีครับ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า ตั้งใจปฏิบัติทุกคน
ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย คุณ Be Vilawan