เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม 2565
เรื่อง การทรงอารมณ์กสิณ
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
กำหนดสติรู้ในความผ่องใส เมื่อเข้ามาแล้วก็ น้อมจิตของเราปล่อยวางเรื่องราวทุกอย่าง ผ่อนคลายร่างกายปล่อยวางเรื่องราวความกังวลออกไปจากใจของเราให้หมด อยู่กับความสงบนิ่งเบาสบายผ่องใส เตรียมจิตเพื่อน้อมรองรับการปฏิบัติการเจริญพระกรรมฐาน กำหนดรู้ในความสงบ ว่าง วาง เบา อยู่กับลมหายใจละเอียด อยู่กับอารมณ์ใจที่ยิ้มแย้มผ่องใสเป็นสุข ทรงอารมณ์ของความสงบเย็นไว้ ประคองความสงบ ประคองความผ่องใส อยู่กับลมหายใจสบายๆราบรื่นปลอดโปร่ง ประดุจดั่งแพรวไหมที่พลิ้วผ่านเข้าออกในกาย การละวางความกังวลเป็นเรื่องที่ง่าย เบา จิตยิ่งชินอยู่กับความสงบเบาสบายมากเท่าไหร่ การละวางความทุกข์ ความกังวล ความห่วงก็ยิ่งกลับกลายเป็นเรื่องที่ง่ายดายมากขึ้นเพียงนั้น
จิตนับแต่นี้ จิตเราชินอยู่กับการปล่อยวาง ชินอยู่กับอารมณ์สงบ อารมณ์ที่จิตผ่องใส เป็นอิสระจากความทุกข์ความกังวลความเศร้าหมองทั้งปวง ประคองใจอยู่กับความสงบนิ่งเบาสบาย ให้จิตของเราได้พักอยู่กับความสงบ พักอยู่กับความผ่องใส พักจากการปรุงแต่งทั้งปวง จิตสงบนิ่ง ผ่องใส เบาสบาย
ในขณะที่ทรงอารมณ์อยู่ในขณะนี้อยู่ในจุดนี้ ก็พึงใช้สติกำหนดรู้ว่าสมาธิที่เรากำลังเจริญอยู่ ทรงอารมณ์ในขณะนี้อยู่คือกำลังของฌานในอานาปานสติกรรมฐาน อยู่กับลมหายใจละเอียด เบา สบาย สติกำหนดรู้อยู่ในจิตที่สงบนิ่ง ประคับประคองอารมณ์จิตนี้ไว้ ด้วยเหตุที่ว่า อานาปานสติกรรมฐานหรือกรรมฐานที่ใช้อุบายในการจับลมหายใจเป็นตัวช่วยให้จิตเราเข้าสู่ความเบาความสบายความสงบของสมาธิ เป็นกรรมฐาน เป็นอารมณ์กรรมฐานเรียกว่าเป็นวิหารธรรม คือธรรมอันเป็นเครื่องอยู่ของจิต เป็นจุดพักซึ่งเราผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายควรอย่างยิ่งที่จะฝึก ที่จะรักษาอารมณ์ดังกล่าว คือทรงอารมณ์เบาสบายอยู่กับลมหายใจสบายให้เป็นปกติ
หากปฏิบัติเพื่อความก้าวหน้าเป็นพิเศษ ก็พึงกำหนดรู้ว่านอกเหนือจากการที่เราอยู่กับลมสบาย เรากำหนดรู้เพิ่มขึ้นไปว่า ในลมหายใจนั้นมีปราณ มีพลังธรรมชาติ มีพลังชีวิต เมื่อเราอยู่กับลม อยู่กับพลังของปราณ ลมหายใจที่เราทรงอยู่นั้นก็เปี่ยมไปด้วยกระแสพลัง ทรงอารมณ์อยู่ ทั้งกายทั้งจิตยิ่งเปี่ยมพลัง พลังนั้นมีทั้งความผ่องใส มีทั้งพลังชีวิตรวมอยู่ในตัว ดังนั้นทั้งกายและจิตได้เสริมเพิ่มพลังไปทั้ง 2 ทางในขณะเดียวกัน
กำหนดรู้อยู่กับความสงบ อยู่กับกระแสลมหายใจ อยู่กับปราณที่มีความละเอียดอ่อนระยิบระยับเป็นแพรวไหม กำหนดรู้อยู่กับลมหายใจนี้ ทรงอารมณ์นี้ไว้จนรู้สึกว่ารายรอบร่างกายของเรามีแต่อนุภาค มีแต่อณูระยิบระยับเป็นเหมือนกับกากเพชรแพรวพราวพร่างพรายอยู่รายรอบกายของเราเต็มไปหมด รอบกายของเราเปี่ยมไปด้วยพลังชีวิต เปี่ยมไปด้วยปราณ จิตสมาธิกลั่นลมหายใจธรรมดาให้กลายเป็นปราณ เป็นพลังของความผ่องใส เราทรงสมาธิอยู่ท่ามกลางสนามพลังของปราณ มีกระแสแห่งปราณพลังชีวิตไหลเวียนรายรอบโคจรทั้งภายในกายเนื้อของเราและรายรอบเป็นอาณาบริเวณอยู่รอบกายของเรา
กำหนดรู้ในความผ่องใส กำหนดรู้ในกระแสพลัง ในความสงบนิ่ง เป็นความสงบนิ่ง ความสว่าง ความสงบที่เปี่ยมไปด้วยพลัง ความรู้สึกของความหยุดนิ่งสงบที่จิตจดจ่อตั้งมั่นอยู่นั้น ความรู้สึกที่นิ่งหยุดเป็นเอกัตคตารมณ์
กำหนดลงที่กลางจิตกลางใจของเรา เริ่มขยับจากอานาปานสติขึ้นสู่การทรงจิตสมาธิในกำลังกสิณ กำหนดน้อมนึกให้ภายในอกกลางจิตกลางใจของเราปรากฏดวงแก้วสว่างขึ้น แสงสว่างของจิตที่เป็นดวงแก้วนั้น สว่างเรืองรองเจิดจ้าทะลุกายเนื้อของเรา ยิ่งสว่างมากเท่าไหร่ เรารู้สึกสัมผัสถึงความสุข สัมผัสถึงกระแสพลังงานของจิต ยิ่งสว่างขึ้น กำลังจิตกำลังรัศมีกายยิ่งแผ่สว่างขึ้น ยิ่งมีความสุขมากขึ้น จนความสว่างความผ่องใสนั้นเจิดจ้าเจิดจรัสทะลุกายเนื้อของเรา สว่างปกคลุมห้องที่เราฝึกสมาธิอยู่ กำหนดจิตอยู่กับแสงสว่าง อยู่กับความผ่องใส จิตจดจ่อเป็นสมาธิ
กำหนดจิตต่อไป ใช้สติกำหนดรู้ว่าจิตที่เป็นแสงสว่างปรากฏพร้อมกับอารมณ์ความรู้สึกที่ยิ่งสว่าง ยิ่งรู้สึกเปี่ยมพลัง ยิ่งรู้สึกถึงกระแสของความสุข ให้เรากำหนดรู้ว่าอารมณ์จิตที่เห็นจิตเป็นแสงสว่างเป็นแก้วใสนี้ คือกำลังที่เราฝึกอยู่ในอาโลกสิณ โดยกำลังที่เห็นจิตเป็นแก้วใสสว่างนั้น นับเป็นกำลังในภาษากรรมฐานที่เรียกว่าอุคคหนิมิต
กำหนดรู้ในอารมณ์ของแสงสว่างของจิตที่เป็นแก้วใสสว่าง อุคคหนิมิตในอาโลกสิณหรือกสิณแสงสว่าง
จากนั้นกำหนดรู้ต่อไปว่ายังมีกำลังของกสิณเป็นกำลังที่สูงขึ้นไป เป็นกำลังที่เรียกว่าปฏิภาคนิมิต อันจัดว่าเป็นฌาน 4 ของกรรมฐานกองกสิณ ปฏิภาคนิมิตนั้นหากเทียบกับระดับของฌานในอานาปานสติแล้ว ปฏิภาคนิมิตนั้นก็จัดว่าเป็นฌาน 4
ให้เรากำหนดจิตต่อไป เปลี่ยนภาพของกสิณที่เป็นดวงแก้วสว่างผ่องใสเจิดจ้าพร้อมกับความรู้สึกเป็นสุข กำหนดภาพจากดวงแก้วใสให้กลายเป็นเพชรที่เจียระไนละเอียดระยิบระยับแพรวพราว มีสีรุ้ง จิตปรากฏในความเป็นปฏิภาคนิมิต จิตกลายเป็นเพชรประกายพรึก ดวงจิตเป็นเพชรเม็ดเหลี่ยมเจียระไนละเอียดระยิบระยับโดยรอบ แสงรัศมีในความเป็นเพชรชัดเจนแจ่มใส และรัศมีต่างๆ ปรากฏเห็นรัศมีของจิตเป็นเส้นยาวละเอียด เป็นอาณาบริเวณขอบเขตที่พุ่งออกมาจากรัศมีของจิต กำหนดรู้ในรัศมีของจิต กำหนดรู้ในภาพของจิตที่กลายเป็นปฏิภาคนิมิตเป็นเพชรประกายพรึกนั้น ทรงอารมณ์อยู่ อารมณ์ความรู้สึกของใจเรา รู้สึกสัมผัสว่าเมื่อจิตเราเป็นเพชรอันมีค่า อันเป็นของสวยงาม มีความแพรวพราวระยิบระยับ อารมณ์ของความสุข ความละเอียดประณีตในอารมณ์ฌาน ในอารมณ์พระกรรมฐาน ก็ยิ่งมีความละเอียดขึ้น ลึกซึ้งขึ้น รู้สึกสัมผัสได้ว่ารัศมีความแพรวพราวที่แผ่ออกมานั้นยิ่งทำให้ใจของเรานั้นเอิบอิ่มแช่มชื่น มีความสุข มีความเบิกบานยินดีเพิ่มขึ้น และกำหนดจิตต่อไปว่าเมื่อเลยไปจากเส้นรัศมีของจิต อาณาบริเวณเลยขอบเขตจากปลายสุดของรัศมีจิตที่เป็นเส้นเข้มข้นนั้น ปรากฏความเป็นทิพย์แพรวพราวระยิบระยับ ความเป็นทิพย์ที่เหมือนกับกากเพชรโรยแพรวพราวรายรอบอยู่ทั่วอาณาบริเวณเลยขอบเขตของรัศมีจิต ความเป็นทิพย์ ความเป็นอณูละเอียด มีความระยิบระยับกินอาณาบริเวณขอบเขตกว้างขวางออกไปมากขึ้นไปอีก
รวมความกำหนดรู้ในจิต รัศมีจิตและอาณาบริเวณขอบเขตของความเป็นทิพย์ มีความเข้มข้นสูงสุด โฟกัสรวมลงตรงจุดที่จิตเป็นปฏิภาคนิมิตคือเพชรประกายพรึก รัศมีพลังมีความเข้มข้นออกมา หย่อนออกมาจากกลางดวงจิต ออกมาเป็นบริเวณของรัศมีจิต เลยขอบเขตปลายสุดของรัศมีจิตที่เป็นสภาวะความเป็นทิพย์ เป็นเหมือนกับกากเพชรแพรวพราวรายรอบอยู่ท่ามกลางอากาศอาณาบริเวณโดยรอบนั้น มีความเป็นทิพย์ที่มีพลัง มีขอบเขตกว้างขวางขึ้นไปอีก
กำหนดทรงอารมณ์ของเราไว้ ซึ่งสภาวะของจิต รัศมีจิตและสภาวะของความเป็นทิพย์นี้ จะมีผลเชื่อมโยงเกี่ยวเนื่องกับพลังของกายทิพย์หรืออาทิสมานกาย รัศมีกายจะเพิ่มพูนขึ้น มีความรุ่งโรจน์ขึ้น ก็จากอาณาบริเวณและรัศมีของจิตที่ปรากฏ กำหนดจิตบำเพ็ญฌาน บำเพ็ญตบะให้กำลังของจิตตานุภาพสะสมเพาะบ่มบารมี รัศมีกายบุญฤทธิ์อันเกิดขึ้นจากบุญพระกรรมฐานสะสมเพาะบ่มรวมลงสู่จิต เพิ่มพูนขึ้น ความเป็นทิพย์ปรากฏขึ้น ความตระหนักชัดเจนในรัศมีกาย ในความแพรวพราว ในกำลังแห่งความเป็นทิพย์ของเราแต่ละบุคคลที่ปฏิบัติยิ่งชัดเจนขึ้นมากขึ้น สภาวะความรู้เห็นใน
ความเป็นร่างกายส่วนที่เป็นกายเนื้อกายหยาบขันธ์ 5 สลายออกไปสิ้น เห็นแต่สภาวะของจิตที่เป็นเพชรประกายพรึก รัศมีของจิตและสภาวะความเป็นทิพย์ที่เลยอาณาบริเวณขอบเขตครอบคลุมออกไป ความรู้สึกในความเป็นกายเนื้อหายไปหมด ใช้สติกำหนดรู้ รู้ว่าเราแยกกาย แยกจิต แยกรูป แยกนาม กำหนดรู้อยู่แต่สภาวะที่เห็นจิตอยู่ในรูปของนิมิตคือเพชรประกายพรึกและจิตของเราอยู่ในสภาวะของการเป็นพลังงาน คือพลังแห่งบุญกุศล พลังจิตตานุภาพจากการเจริญกสิณเป็นฌาน กำหนดสติรู้ ปัญญารู้ว่าหากเราตายไปในขณะจิตที่ทรงอารมณ์ความผ่องใสจิตเป็นปฏิภาคนิมิต เป็นฌาน 4 เต็มกำลัง มีความเจิดจ้าอย่างยิ่ง หากตายไปในขณะนี้ เราก็ไปจุติ อย่างน้อยที่สุดก็อยู่ในชั้นแห่งพรหม และความเป็นพรหมที่ปรากฏก็ไม่ใช่เป็นเพียงแค่พรหมในระดับต้น คือพรหมชั้นที่ 1 2 3 4 แต่ด้วยกำลังของการทรงอารมณ์กสิณเป็นอารมณ์ของฌานที่สูง ความเป็นพรหมของเราก็อยู่ในระดับชั้นของพรหมที่สูงตามไปด้วย
กำหนดเพื่อรู้ว่าแต่ละอารมณ์กรรมฐานนั้นส่งผลอย่างไรกับภพกับภูมิ กำหนดน้อมรู้ครอบรอบทั่วในทุกสภาวะ ทรงอารมณ์ที่จิตเป็นเพชรประกายพรึก สว่าง จากจิตที่เป็นประกายพรึกสว่างท่ามกลางแสงเส้นแสงรัศมี เพชรที่เป็นประกายพรึกนั้นค่อยๆปรากฏ ตั้งอธิษฐานขอให้ดวงจิตของเราที่เป็นเพชรประกายพรึกจงปรากฏรูปลักษณ์แห่งความเป็นอาทิสมานกาย ดวงจิตที่เป็นเพชรประกายพรึกก็ปรากฏอยู่ในตำแหน่งกลางอกก็คือตรงบริเวณที่เป็นสร้อยสังวาลย์อุบะที่อยู่กลางอกของอาทิสมานกายนั้น ตั้งจิตอธิษฐานขอให้อาทิสมานกายตามกำลังจิต กำลังใจที่เราปรารถนา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราที่ปรารถนาในความเป็นพระนิพพาน ดับไม่เหลือเชื้อ ปรารถนาในความเป็นพระวิสุทธิเทพ ปรารถนาในความเป็นพระนิพพานในที่สุด กายของเราก็ปรากฏรูปลักษณ์ของอาทิสมานกายก่อรูปขึ้นเป็นกายแห่งพระวิสุทธิเทพ
และดวงจิตในตอนแรกที่เรากำหนดให้เห็นเป็นดวงแก้วเป็นเพชรประกายพรึกก็กลายเป็นเพชรลูกที่อยู่ตรงอุบะที่เป็นเครื่องประดับบริเวณหน้าอกของเรา เป็นเพชรลูกเม็ดใหญ่ มีความเข้ม มีความแพรวพราวระยิบระยับ กำหนดรู้กำหนดความรู้สึกในความเป็นพระวิสุทธิเทพ กำหนดรู้ในเครื่องแต่งกายในเครื่องทรงกลายเป็นแสงสว่างเป็นแก้วใสมีเครื่องทรงมีเครื่องประดับเช่นไร ใส่มงกุฎ สวมมงกุฎ ในมือบางท่านก็ปรากฏมีพระขรรค์ บางท่านก็มีจักร พื้นใต้เท้าที่เยียบ เท้าสวมรองเท้าที่เรียกว่าฉลองพระบาทรองเท้าที่มีปลายงอน บางท่านก็ยืนอยู่บนแท่นที่เป็นแท่นเหลี่ยมไม้สิบสอง บางท่านก็ปรากฏว่ายืนอยู่บนแท่นที่มีดอกบัวรองรับ กำหนดรู้เป็นปัจจัตตังตามสภาวะที่ปรากฏของเราเองแต่ละคน จากอานาปานสติเคลื่อนเข้าสู่กสิณ จากกสิณเคลื่อนขึ้นสู่การกำหนดในอาทิสมานกาย การตัดกายมันเรียบร้อยตัดไปตั้งแต่ทิ้งกายเห็นสภาวะ เป็นจิต เป็นดวงแก้ว เป็นอุคคหนิมิตขึ้นมาตั้งแต่ต้น และเมื่อขณะนี้ขยับขึ้นมาสู่สภาวะของความเป็นกายทิพย์หรืออาทิสมานกาย เราก็น้อมใจต่อไปว่าเรามีความเคารพในพระรัตนตรัย มีคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระอริยะสงฆ์ เป็นสรณะ เป็นที่พึ่งที่อาศัยตลอดชีวิตของเราตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
กำหนดภาพ อาราธนาขอบารมีพระพุทธเจ้าทรงสงเคราะห์ ขอให้อาทิสมานกายกายพระวิสุทธิเทพของข้าพเจ้าพุ่งขึ้นไปกราบสมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกพระองค์ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายบนพระนิพพานด้วยเถิด น้อมจิตพุ่งขึ้นไปอยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐม กำหนดน้อมจิตกราบท่านด้วยความนอบน้อม ด้วยความเคารพ กราบด้วยความรู้สึกซาบซึ้งตรึงใจ กราบด้วยความรู้สึกเทิดทูนท่านเหนือเศียรเกล้า อารมณ์จิตอารมณ์พระกรรมฐานมีความเข้มข้นมีความลึกซึ้ง ยิ่งมีความนอบน้อม ยิ่งมีความเคารพ ยิ่งมีความเคารพรักในพระพุทธเจ้าลึกซึ้งดื่มดํ่าละเอียดเพียงใด กระแสพุทธบารมีของพระพุทธองค์ก็จะยิ่งสามารถเชื่อมโยงสอดประสาทส่งต่อ ปกปักรักษาดูแลคุ้มครองเป็นกำลังพุทธคุณ กำลังพุทธญาณทัศนะส่งต่อลงมายังจิตของเราได้มากเพียงนั้น กำหนดจิตรู้พิจารณาว่าหากจิตเรามีความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย หากจิตเรามีความหยาบ มีความกระด้างกระเดื่องต่อพระพุทธองค์ มีความรู้สึก
ปรามาสต่างๆในองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อารมณ์ต่างๆที่กล่าวมานั้นย่อมเป็นเครื่องกั้นเครื่องขัดขวาง เป็นอุปกิเลสที่เป็นเครื่องขัดขวางความดีของเราในการที่เราจะเชื่อมสอดประสานรับกระแสของพระพุทธองค์เพื่อรวมลงสู่จิตสู่ใจของเรา เมื่อรู้ประโยชน์รู้โทษในอารมณ์ทั้งที่เป็นบวกและอารมณ์ที่เป็นลบ ทั้งอารมณ์ที่เป็นอกุศลและอารมณ์ที่เป็นกุศล เราก็มีความฉลาดในการปฏิบัติ ที่จะประคับประคองรักษาอารมณ์เราให้มีความนอบน้อม มีความเคารพ จนรู้สึกว่ากระแสพุทธบารมีของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ กระแสของพระนิพพานหลั่งไหลลงมาสู่กายทิพย์ลงมาสู่จิตของเราอย่างง่ายดาย วิธีการซึ่งเป็นขั้นตอนในการฝึกในการปฏิบัติในกำลังของมโนมยิทธินั่นก็คือให้เรากราบแทบพระบาทหรือกราบแทบที่ตักของพระพุทธเจ้าด้วยความรู้สึกที่นอบน้อมเคารพ
จากนั้นใช้จิตใช้กายทิพย์ซึมซับรับกระแสว่าพระพุทธองค์ทรงมีพระพุทธเมตตาลูบศีรษะและส่งกระแสแห่งพระพุทธเมตตานั้นลงสู่อาทิสมานกายลงสู่จิตเรามากน้อยเพียงใด ยังให้จิตเราเกิดความปรีดาปราโมทย์ เอิบอิ่ม เกิดธรรมปิติ เกิดความรู้สึกกระแสความรู้สึกกระจ่างแจ้งต่อใจเพียงใด หากจิตเรามีความนอบน้อมลึกซึ้งมาก ธรรมปิติก็เกิดขึ้นสูง เกิดกำลัง เกิดแสงสว่างของจิตเป็นอย่างยิ่ง แต่คนที่หากอารมณ์ยังมีความหยาบ อารมณ์จิตยังไม่มีความละเอียด เรากราบท่านที่ตัก เรากราบท่านที่แทบพระบาท แต่อารมณ์ความรู้สึกมันก็จะเป็นอารมณ์แห้งๆแข็งๆทื่อๆ ไม่ได้รู้สึกรู้สา ไม่อาจสัมผัสในกระแสพุทธเมตตาพุทธบารมีของพระพุทธองค์ได้ ดังนั้นถึงแม้ว่าในระดับของความเป็นทิพย์ ภาพที่เรากำหนดเห็นกำหนดรู้กำหนดกราบเช่นเดียวกัน แต่บุคคลที่มีความละเอียดในอารมณ์จิตสูงก็สามารถซึบซาบซึมซับรับกระแสพุทธบารมีได้แตกต่างกว่าบุคคลทั่วไป ไม่แตกต่างกันกับสภาวะในโลกมนุษย์ของการนั่งสมาธิหลับตาบนโลกของกายเนื้อ นั่งหลับตาเหมือนกัน แต่อารมณ์พระกรรมฐานความสงบแตกต่างกัน ในระดับของความเป็นทิพย์ ในระดับของมโนมยิทธิก็เช่นกัน ขึ้นมากราบพระพุทธเจ้าได้ แต่ความละเอียด กระแสความรู้สึก กระแสความนอบน้อม กระแสจิตที่สามารถซึมซับรับกระแสพระพุทธเมตตาจากพระพุทธองค์ได้นั้นก็มีความแตกต่างกันออกไป
เมื่อเรากำหนดรู้พิจารณาได้ดังนี้แล้ว ปัญญาของเราก็พึงพิจารณาที่จะปรับแก้ ปรับปรุง ให้ใจของเรามีความละเอียดขึ้น ประณีตขึ้น นอบน้อมซึมซับรับกระแสให้ละเอียดขึ้น สูงขึ้นตามลำดับ จากนั้นในขณะนี้ให้เราแต่ละบุคคล กำหนดในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพอยู่เบื้องหน้าพระพุทธองค์บนพระนิพพาน และกำหนดจิตในอารมณ์ของพระนิพพาน
“นิพพานัง ปรมัง สุขัง” พร้อมตั้งจิตอธิษฐาน ขอบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์มีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน น้อมกระแส เชื่อมกระแสของพระนิพพาน กระแสแห่งโลกุตตรธรรมะเจ้า กระแสของพระผู้ดับไม่เหลือเชื้อ กระแสจิตของอรหัตผล ความเป็นพุทธะ ขอจงหลั่งไหลลงมาสู่ดวงจิตอาทิสมานกายของข้าพเจ้าบนพระนิพพาน จิตมีจิตสำนึกร่วมตระหนักรู้หยั่งถึงอารมณ์จิตของพระอรหันต์ อารมณ์จิตของพระพุทธองค์ในสภาวะที่สิ้นแล้วซึ่งกิเลส สิ้นแล้วซึ่งสังโยชน์ทั้งสิบประการ สิ้นแล้วดับแล้วซึ่งอวิชชาทั้งปวง อารมณ์แห่งพระนิพพานจงกระจ่างแจ้งในจิตของเรา กิจทั้งหลายจบแล้ว ชาติภพทั้งหลายสิ้นดับหมดแล้ว อวิชชาความไม่รู้ทั้งปวงดับจากจิต จิตเกิดวิชาความรู้กระจ่างแจ้งในธรรม รู้แจ้งเข้าใจแทงตลอดในธรรมทั้งปวง ทรงอารมณ์อยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐมบนพระนิพพานไว้ ทรงอารมณ์จิตให้ผ่องใสสูงสุด ความทุกข์ทั้งหลายไม่อาจกลํ้ากรายจิตเราได้อีกต่อไป การเกิดทั้งหลาย การพลัดพรากทั้งหลาย ความทุกข์ทั้งหลาย ทั้งความทุกข์จากการเบียดเบียนกัน ความทุกข์อันเนื่องด้วยกาย คือการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความเจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบาย ความปรารถนาไม่สมหวัง ความพลัดพรากจากของรักของเจริญใจทั้งหลายทั้งปวง สาดสิ้นออกไปจากจิตใจของเราจนหมด กิจทั้งหลายจบแล้ว มลทินเครื่องเศร้าหมองทั้งหลายสิ้นแล้ว จิตเป็นอิสระจากภพภูมิ จากสายโยงใยของกรรม วิบากกรรมทั้งหลายในอดีตชาติไม่อาจกระทำยํ่ายีส่งผลกับเราอีกต่อไป กรรมทั้งหลายเป็นโมฆะกรรม ไม่
ว่าจะเป็นกรรมฝ่ายกุศลหรืออกุศล ฝ่ายกุศลที่ทำให้ยังเกิด ไม่ว่าจะเป็นเกิดเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ เกิดเป็นเทวดาหรือเกิดเป็นพรหม บุญกุศลที่ทำให้ต้องไปเกิดเป็นพระมหาจักรพรรดิราช บุญกุศลที่ทำให้เกิดเป็นพรหม มหาพรหม เทพผู้เป็นใหญ่ ก็ไม่อาจกระทำมีผลกับจิตของเรา เพราะจิตของเราสิ้นแล้วดับแล้วซึ่งเชื้อแห่งการเกิดในวัฏสงสารทั้งปวง อาทิสมานกายเราเป็นพระวิสุทธิเทพสะอาดบริสุทธิ์หมดจดอยู่บนพระนิพพานจุดเดียว
ทรงอารมณ์ความผ่องใส ทรงอารมณ์บนพระนิพพานไว้ จิตกระจ่างแจ่มใสเป็นสุข บริกรรมพิจารณา “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง พระนิพพานสมบัติปรากฏอยู่กับเราแล้วในขณะนี้ สมบัติในสังสารวัฏทั้งหลายยังมีความไม่เที่ยงมีความแปรปรวน สมบัติมนุษย์ ทรัพย์สินเงินทองก็ครอบครองเพียงชั่วคราว ตายไปก็ไม่อาจครอบครองได้ ภาระในการบริหาร ในการระวังรักษา ในการดูแลทรัพย์สมบัติ ความกลัวว่าทรัพย์นั้นจะสูญหาย จะพร่องไป จะหมดไป จะถูกลักถูกขโมย จะถูกเบียดเบียนทรัพย์นั้น ก็ยังเป็นความหนักของใจ มนุษย์สมบัตินั้นก็เป็นความหนักของใจ ความเป็นมนุษย์สมบัติ การมีมนุษย์สมบัติไม่เฉพาะแต่สิ่งที่เป็นสินทรัพย์ แม้แต่รูปกายของความเป็นมนุษย์สมบัติ ความหล่อ ความหนุ่ม ความสาว ความสวย ก็มีภาระที่จะต้องดูแลรักษาทะนุถนอมบำรุง และความหล่อความสวย รูปสมบัติของความเป็นมนุษย์ ก็มีช่วงเวลาที่มันหล่อมันสวยเพียงแค่ไม่กี่ปี ตั้งแต่วัยรุ่นขึ้นมาจนกระทั่งอายุ 15-16 ที่เป็นวัยที่มีวรรณะเปล่งปลั่งที่สุด พอครั้นถึงตัวเลข 2 เฉียดอายุ 30 ความชราความเสื่อมความแก่ก็เริ่มมาเยือน รูปสมบัติอันเป็นที่ภูมิใจ เป็นที่ต้องประคับประคองรักษา ก็มีความแก่มีความชราเข้ามาเยือน อันเป็นว่ามนุษย์สมบัติที่เป็นรูปสมบัติก็มีเวลาแห่งความงาม ครอบครองได้เพียงแค่ไม่เกิน 10 ปี จากนั้นความเสื่อมก็เข้ามาเยือน ความแก่ก็เข้ามาเยือน จนกระทั่งความตายก็เข้ามาเยือน รวมความว่ามนุษย์สมบัตินี้มันใช้ไม่ได้ มันยังไม่เที่ยงมัน ยังมีความทุกข์เจืออยู่ ครั้นพอเป็นทิพยสมบัติ สมบัติของเทวดา สมบัติของความเป็นทิพย์ นึกอะไรสิ่งนั้นก็สมปรารถนา รูปสมบัติของความเป็นเทวดาไม่มีความแก่ ไม่มีความเหี่ยวย่น มีแต่ความสวยงามหนุ่มสาวเหมือนอายุ 15-16 อยู่ในวัยที่เปล่งปลั่งเต็มที่ หน้าตาดีเต็มที่ มลทินเครื่องเศร้าหมอง สิว ฝ้า ราคีคาว ตำหนิต่างๆไม่มีในความเป็นกายทิพย์ เพราะรูปสมบัติของความเป็นเทวดา หรือแม้แต่พรหม แต่รูปกายและทิพยะสมบัติของเทวดาและพรหมมันก็ไม่เที่ยง กำหนดน้อมจิตพิจารณารู้เห็นในกำลังของญาณทัศนะในมโนมยิทธิ
แม้ว่าอาทิสมานกายเราจะเป็นกายพระวิสุทธิเทพอยู่บนพระนิพพาน แต่ให้จิตเห็นภาพความเป็นทิพย์ ความเป็นไป ว่าเทวดาก็ดี พรหมก็ดี ทิพยะสมบัติก็มีวาระ มีเวลาที่หมดบุญ พอหมดบุญแล้วแสงสว่างรัศมีกายก็หดหายไป คือใช้แสงสว่างคือกำลังของบุญไปจนหมด ไปจนสิ้น แสงสว่างหดลง รัศมีกายหดลง ไม่มีแสงสว่าง มีความเศร้าหมองปรากฏ กายทิพย์ที่ไม่มีมลทินเครื่องเศร้าหมองใดก็พลันปรากฏมีเหงื่อไหลออกทางรักแร้ เป็นภาวะที่เตือนว่าใกล้หมดบุญเต็มที่ รัศมีหดหายไปจนหมด ดับ กายเริ่มทึบตัน จนในที่สุดบุญนั้นหมด ไม่สามารถประคับประคองความเป็นทิพย์อยู่ในภพแห่งความเป็นเทวดาหรือพรหมได้อีกต่อไป แรงของกรรมของวิบากก็ดึงดูดให้ร่วง คือหมดบุญสิ้นบุญจากความเป็นเทวดาพรหมไปจุติอยู่ในสภาวะอยู่ในภพที่จะต้องเสวยวิบากกรรม
เหตุการณ์นี้คือเหตุการณ์ที่เล่าในสภาวะที่เทวดาหรือพรหมมีความประมาท ใช้บุญใช้พลังงานแห่งกุศลไปจนหมด ส่วนเทวดาพรหมที่ท่านมีปัญญามีความฉลาดอยู่ในเขตพระพุทธศาสนา ท่านก็ไม่รอที่จะให้หมดบุญ ถึงเวลาท่านก็กำหนดจิตใช้ญาณความเป็นทิพย์เล็งมาบนโลกมนุษย์ มีจุดใดที่สามารถสร้างบุญสร้างบารมีได้ ต่อบุญต่อบารมีได้ บางท่านก็ใช้วิธีการปลอมองค์จุติลงมาย่องทำบุญกับพระอริยะเจ้า พระอรหันต์ ย่องมาใส่บาตรกับพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ อันนี้ก็คือลงทุนน้อยหน่อย บางท่านก็กำหนดตั้งใจว่าในขณะที่พลังความเป็นทิพย์กำลังบุญของเรามีอยู่ เราสามารถอธิษฐานได้ดังใจ นึกอะไรก็ได้สมความปรารถนา เราตั้งจิตอธิษฐานว่าเราจะย่องลงมาเกิดเพื่อต่อบุญสะสมบารมี เพิ่มพูนบารมี ก็
เล็งที่เกิด เล็งที่จุติ คิดซะว่าเรายอมลงมาเกิดเสียเวลาบนความเป็นทิพย์บนสวรรค์เพียงแค่ประเดี๋ยวประด๋าวไม่กี่นาทีของเวลาบนสวรรค์ แต่ปรากฏว่าเมื่อลงมาเกิดเป็นมนุษย์ ใช้เวลาไป 60 ปี 70 ปี อารมณ์ตอนแรกสภาวะอารมณ์ใจในขณะที่เป็นเทวดาก็อยู่แค่แป๊บเดียว ไม่เหนื่อย แป๊บเดียวก็กลับมาแล้ว เป็นเรื่องจิ๊บๆ เป็นเรื่องง่ายๆ เป็นเรื่องสบายๆ เดี๋ยวก็กลับมาล่ะ แต่พอถึงเวลา ลงมาเกิด ลงมาจุติเป็นมนุษย์ ความรับรู้ในเวลา คือความสัมพันธภาพระหว่างเวลาของภพมันมีความแตกต่างกัน ไอ้ความรู้สึกว่าความเป็นเทวดาตอนเทวดาเป็นพรหมนี้มันรู้สึกว่าประเดี๋ยวประด๋าว แต่พอมาเกิดเป็นมนุษย์นี่รู้สึกว่ามันนานเหลือเกิน เหนื่อยเหลือเกิน ทุกข์เหลือเกิน ทำไมมันลำบาก ลำบากเหลือเกิน อารมณ์จิตเหล่านี้มันก็เกิดขึ้น เวียนว่ายตายเกิด ต่อบุญต่อบารมีต่อวีซ่าของความเป็นทิพย์ไป เวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆ เหนื่อยบ้าง สบายบ้าง ทุกข์บ้าง พลาดบ้าง บางทีตั้งใจว่าจะลงมาบำเพ็ญบารมีบนโลกมนุษย์ ปรากฏว่าเจอมารบ้าง เจอวิบากบ้าง แทนที่จะมาต่อบารมี ดันมากลายเป็นว่ามาสร้างอกุศลเพิ่ม แทนที่จะได้กลับขึ้นไปต่อก็กลับกลายเป็นว่าลงมาปุ๊บร่วงต่อลงไปข้างล่างก็มี
มีหลายคนที่ลงมาเกิดตั้งใจว่าจะมาบำเพ็ญบารมี แต่ถึงเวลาก็ถูกความสุข ถูกความเพลิดเพลิน ถูกกระแสของโลก ถูกกระแสของวิบาก เกิดสภาวะของมิคสัญญียุคชักจูงชักนำไป กลายเป็นอกุศลจิต กลายเป็นมิจฉาทิฏฐิบ้าง กลายเป็นผิดพลาดชั่ววูบบ้าง ว่าไปตามวิบากกรรมของแต่ละบุคคลแต่ละดวงจิต เพราะขึ้นชื่อว่าเมื่อมีการเกิดมันก็มีความผิดพลาด ถึงแม้ว่าความตั้งใจในการตั้งจิตอธิษฐานลงมาเกิดในความเป็นทิพย์ในการเป็นเทวดาหรือเป็นพรหม เราตั้งจิตมั่นแล้วแต่บางครั้งวิบากกรรมที่มันเป็นจังหวะเข้ามาแทรก เข้ามาแซง เข้ามาขวาง มันก็อาจจะมีความเป็นไปได้ ดังนั้นขึ้นชื่อว่าการเกิดนั้นมันก็เป็นทุกข์ ให้เราพิจารณาไว้ดังนี้ว่า บางคนเรามีความฉลาดต่อบุญต่อบารมีอยู่บนสวรรค์อยู่บนพรหมยาวนานมากมายมหาศาล แต่มันก็ยังไม่จบ ยังมีความเสี่ยงที่จะต้องเวียนว่ายตายเกิดหรือผิดพลาดหรือร่วงหล่นลงในภพภูมิ ในอบายที่มันเป็นทุกข์กว่าความเป็นเทวดาความเป็นพรหม ทางเดียวที่จะพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏนี้ได้ก็คือการพ้นจากกระแสของโลก กระแสของวัฏสงสาร พ้นเลยขึ้นไปสู่กระแสแห่งพระนิพพาน หรือกระแสแห่งพระโลกุตตรธรรมเจ้า จิตไม่ปรารถนาในการเกิดในภพใดภูมิใดอีกต่อไป จิตเหือดแห้งจากความเพลิดเพลิน จากความเอร็ดอร่อย จากความทะยานอยาก ความปรารถนาในมนุษย์สมบัติทั้งปวง สวรรค์สมบัติทั้งปวง พรหมสมบัติทั้งปวง ปรารถนาจุดเดียวคือความดับไม่เหลือเชื้อ ปรารถนาอยู่เพียงแต่พระนิพพานสมบัติเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้น จิตมีความมั่นคงไม่หวั่นไหว
ตอนนี้ก็ให้เราทบทวนน้อมพิจารณาจิตของเรา จิตเรามีความรัก มีความมั่นคง มีความยินดีในพระนิพพานหรือไม่ จิตเรารู้แจ้งกระจ่างชัดเจนในสภาวะความเป็นไป ความดำเนินไป ความหมุนเวียนเปลี่ยนไปผันแปรไปของวัฏสงสารอย่างชัดเจนหรือไม่ เราพ้นจากวัฏสงสารหรือยัง จิตปรารถนาการพ้นจากวัฏสงสารหรือยัง จิตเกิดนิพพิทาญาณความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดจากความเกาะ ความยึด ความหลงในเสน่ห์อันยั่วยวนของวัฏสงสารหรือยัง สายโยงใยของความสัมพันธ์ไม่ว่าจะเป็นความรักระหว่างเพศ สายโยงใยของความเป็นพ่อแม่ สายโยงใยความรักความห่วงของลูกของหลาน เราตัดสิ้นออกไปจากจิตใจได้หรือยัง กำหนดพิจารณาจนจิตเราชัดเจนอยู่กับพระนิพพาน ตัดภพจบชาติ ตัดสายโยงใยของความสัมพันธ์ความห่วงทั้งปวง ตัดสายโยงใยของกรรมวิบากที่ผูกโยงกับการเป็นเจ้ากรรมนายเวร การจองเวรจองกรรมกับดวงจิตอื่น ตัดสายสัญญาที่สัญญาการพบเจอกับคนนั้นคนนี้ ขอเกิดพบเจอกันทุกชาติทุกภพ นั่นก็คือการผูกเชือก ผูกเงื่อน ผูกสายสัมพันธ์ ผูกปมชาติภพให้แน่นหนาจนเราไม่อาจหลุดพ้นจากวัฏสงสาร จิตอาทิสมานกายเราพิจารณาอยู่บนพระนิพพาน เห็นการผูกเงื่อน ผูกสายโยง ผูกโยงกันของจิต ผูกกับภพกับภูมิ ผูกกับบุคคล ผูกกับดวงจิต ผูกกับสถานที่ ผูกกับภาระ สายโยงใยความผูกพันทั้งหลายยุ่งเหยิงวุ่นวาย เหนียวหนับ ผูกล่ามเราไว้กับ
สังสารวัฏนี้ จิตเรารู้ตื่นรู้แจ้งกระจ่างเห็นชัดในสายโยงใยของกรรมของวิบากของความสัมพันธ์ทั้งปวงหรือไม่ จิตเราอโหสิกรรม ขมากรรม ละเวรกรรม ล้างสัญญา ล้างดับอวิชชาความโง่ที่ไปผูกกับชาติภพกับบุคคลทั้งหลายได้หรือยัง พิจารณาในความเป็นทิพย์ พิจารณาเห็นในภพ เห็นในวัฏฏะ ภาพรวมใหญ่อย่างชัดเจนชัดแจ้งกระจ่างแก่ใจ จนใจของเรานั้นหลุดพ้นจากวัฏสงสาร รู้เท่าทันความเป็นไป เล่ห์กิเลสของมารที่ผูกโยงเราไว้ สายโยงใยแห่งสังโยชน์สิบ สายโยงใยแห่งวิบากกรรม สายโยงใยแห่งสัญญาทั้งหลาย สายโยงใยจากความรักความสัมพันธ์โยงใยจิตให้ผูกเกาะยึดติดอยู่ในวัฏฏะนี้ จิตเราวาง จิตเราปล่อย จิตเราคลาย ตัดสังโยชน์เครื่องร้อยรัดทั้งปวง จากสังสารวัฏ จากภพชาติทั้งปวง
กำหนดในความเป็นอาทิสมานกายให้จิตมีความสว่างที่สุด ผ่องใสที่สุด เป็นสุขที่สุด ปล่อยวางจากความเกาะ ความยึด สายโยงใยทั้งปวงออกไป จิตเป็นอิสระอย่างยิ่ง จิตเป็นสุขอย่างยิ่ง จิตว่างจากภาระ กิจทั้งหลายจบแล้ว ภาระทั้งหลายสิ้นแล้ว สัญญาทั้งหลายสิ้นแล้ว จิตเป็นสุขเป็นอิสระอย่างยิ่ง พิจารณาละเอียดจนรู้สึกว่ากายอาทิสมานกายของเรายิ่งสว่างขึ้น เบาขึ้น ลอยขึ้น แสงสว่างของรัศมีกายยิ่งสว่างขึ้น เกิดรัศมีความเป็นประกายพรึกระยิบระยับพร่างพรายขึ้น
บริกรรมภาวนาทรงอารมณ์ “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
“นิพพานัง ปรมัง สุญญัง” พระนิพพานเป็นความว่างจากความโลภโกรธหลง ว่างจากภาระทั้งปวง ว่างจากสัญญาทั้งปวง
ว่าง โล่ง จากสายโยงใย ของวิบาก ของสายสัมพันธ์ทั้งปวงอย่างยิ่ง จิตสว่างกระจ่าง กายทิพย์ระยิบระยับแพรวพราว จิตเข้าถึงสภาวะของพระนิพพานอย่างแท้จริง กำหนดพิจารณาว่าถึงแม้เราจะมาอยู่พระนิพพาน ทรงอารมณ์ขึ้นมาบนพระนิพพานชั่วคราว แต่ปัญญาที่เราตระหนักรู้จากการฝึกการปฏิบัติในวันนี้ เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์ เราก็จะมีสติพิจารณา ไม่ผูกเวร ไม่ก่อเวร ไม่สร้างสายโยงใยที่จะมาร้อยรัดตัวเราเองไว้กับภพภูมิโดยไม่จำเป็น ไม่สร้างวิบาก ไม่สร้างสายโยงใยมาร้อยรัด ไม่สร้างสังโยชน์มาร้อยรัดเรากับภพภูมิ กำหนดให้จิตเราเป็นอิสระอย่างยิ่ง พระนิพพานเป็นการปฏิบัติที่เข้าได้เฉพาะตน ถ้าไม่วาง ถ้ายังมีห่วง ถ้ายังเกาะ จิตก็ยังผูกกับบุคคลเหล่านั้น มันก็ไม่อาจที่จะเข้าสู่พระนิพพานได้ ตัดสังโยชน์ ตัดภพ ตัดสายสัมพันธ์ ตัดสายโยงใยแห่งกรรมวิบากทั้งปวง ตัด ละ วาง ว่าง เบา สงบ กายพระวิสุทธิเทพของเราแต่ละบุคคลมีความผ่องใสอย่างยิ่ง
จากนั้น เราจึงตั้งจิตอธิษฐานว่าการปฏิบัติของข้าพเจ้าในวันนี้เป็นการปฏิบัติบูชาคุณพระรัตนตรัย ขอกำลังปัญญา ขอกำลังแห่งอภิญญาสมาบัติจงรวมตัวเป็นตบะบารมี กรรมฐานทั้ง 30 ทั้ง 40 กอง บารมีทั้ง 30 ทัศขอจงมารวมตัว บารมีของข้าพเจ้าเพื่อพระนิพพานจงเต็มเร็วขึ้น ขอการปฏิบัติบูชานี้บูชาคุณพระรัตนตรัยด้วยความเคารพ ด้วยเศียรเกล้า และข้าพเจ้าขอน้อมอาราธนาบารมีอาราธนากระแสจากพระนิพพาน เป็นกระแสบุญศักดิ์สิทธิ์ เป็นกระแสแห่งพุทธบารมี ลงเป็นพุทธเมตตา กระแสของความรักความปรารถนาดี กระแสธรรม กระแสมรรค กระแสผล แผ่ลงไปยังภพภูมิทั้งปวงนับตั้งแต่อรูปพรหมทั้ง 4 พรหมโลกทั้ง 16 ชั้น มีท่านปู่ท้าวสหัมบดีพรหมเป็นประธาน แผ่เมตตากระแสบุญจากพระนิพพานลงไปยังสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น มีท่านปู่ท่านย่าพระอินทร์ ท้าวมหาราชทั้ง 4 ทั้งหลาย แผ่เมตตาลงไปยังภพแห่งรุกขเทวดาทั้งปวงทุกภพทุกภูมิทั่วจักรวาล แผ่เมตตาลงไปยังภพของภุมมเทวดาพระภูมิเจ้าที่เจ้าที่เจ้าทางเจ้าป่าเจ้าเขาทั้งปวงทั่วโลกทั่วจักรวาล แผ่เมตตาแผ่น้อมกระแสจากพระนิพพานลงไป ส่งไปยังมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายที่มีกายเนื้อทั่วโลกทั่วจักรวาลสุดขอบเขตจักรวาลอันไม่มีประมาณจักรวาลน้อยจักรวาลใหญ่ มิติที่ทับซ้อนต่างๆ แผ่เมตตาต่อไปยังโอปปาติกะสัมภเวสีดวงจิตดวงวิญญาณที่เร่ร่อนอยู่ในโลกมนุษย์ อยู่ในจักรวาล อยู่ในดวงดาวต่างๆ ทั่วอนันตจักรวาล แผ่เมตตาแผ่กระแสจากพระนิพพานลงไปยังภพภูมิของโอปปาติกะสัมภเวสีทั้งปวงทั่วจักรวาล ดวงจิต
ดวงวิญญาณของเปรตอสุรกายทั้งปวง ดวงจิตที่เสวยวิบากกรรมเป็นสัตว์นรกอยู่ในนรกทุกขุม ขอบุญกุศลกระแสพระนิพพานนี้ ท่านลุงพุฒพญายมราชรวมถึงนายนิริยาบาลทั้งหลายได้เป็นประธาน ขอกระแสบุญกุศลทั้งหลาย กระแสของพระนิพพาน กระแสมรรค กระแสผล การปฏิบัติ กระแสธรรม กระแสเมตตา กระแสบารมี จงหลั่งไหลลงสู่ดวงจิตของพุทธบริษัททั้งปวงในเขตพระพุทธศาสนาและดวงจิตของท่านทั้งหลายที่กำลังจะเข้ามาสู่พระพุทธศาสนาในอนาคตอันใกล้ กระแสจากพระนิพพานขอจงน้อมรวมลงสู่วัดวาอารามสถานปฏิบัติธรรมทั้งปวง พระพุทธรูป พระอาราม พระอุโบสถ พระเจดีย์ พระธาตุ พระมหาธาตุ พระมหาเจดีย์ พระบรมสารีริกธาตุ พระธรรมธาตุ พระอรหันตธาตุทุกพระองค์
ขอปรากฏกระแสพลังแห่งมรรคแห่งผล กระแสพลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์ กระแสแห่งพุทธคุณจงปรากฏเป็นดวงประทีปแก้วแจ้งสว่างกลางโลกกลางจิตกลางใจทุกดวง เราในฐานะที่เป็นมนุษย์อยู่ในภพกลางเชื่อมโยงกับภพภูมิต่างๆ ขอน้อมกระแสจากพระนิพพานลงสู่สถานที่วัดวาอารามสถานปฏิบัติธรรมทั้งปวง ขอกระแสธรรม ขอความเจริญในการปฏิบัติเพื่อมรรคผลพระนิพพานจงกระจ่างแจ้ง อลัชชีทั้งหลายจงสลาย จงห่างออก จงพ้นไปจากเขตของพระพุทธศาสนา ขอบุคคลที่เป็นสาธุชน บุคคลผู้เป็นกัลยาณมิตรก็จงเจริญแจ้งในธรรม ไม่ว่าจะเป็นผู้ปฏิบัติธรรมในสายใด วิสัยใด มรรคผลใด จริตเช่นใดก็ตาม ขอกระแสแห่งพระนิพพานได้น้อมรวมลงสู่ดวงจิตทั้งหลายเหล่านั้น กลับจิตกลับใจบุคคลผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิก็ขอจงเป็นสัมมาทิฏฐิ บุคคลที่ยังติดขัดในข้อธรรมประการใดจุดใดสิ่งใด ก็ขอให้กระแสธรรมนั้นทะลุทะลวงก่อให้เกิดปัญญาความรู้แจ้งแทงตลอด กระจ่างชัดในดวงจิตเป็นปัจจัตตังรู้ได้เฉพาะของบุคคลเหล่านั้นด้วยเถิด
จิตเราเมื่อน้อมกระแสเพื่อส่วนรวมเป็นปฏิปทาสาธารณะประโยชน์แล้ว จิตเราก็เกิดความเอิบอิ่ม ปิติยินดีในความดี ในกุศล ในธรรม น้อมจิตกราบลาพระพุทธเจ้า กราบลาพระปัจเจกพระพุทธเจ้า กราบลาหลวงพ่อ กราบลาพระอรหันต์ทุกพระองค์ จิตมีความผ่องใส จิตมีความยินดีในธรรม เกิดธรรมฉันทะอย่างยิ่ง จิตมีความชื่นบานผ่องใสอย่างยิ่ง สิ่งที่เราเจริญพระกรรมฐาน ไม่เพียงแต่ขัดเกลาจิต ขัดเกลากิเลส ลับปัญญาบารมีให้เกิดความรู้แจ้งในการประหัตประหารสรรพกิเลสทั้งปวง แต่เรายังทำหน้าที่ทำปฏิปทาสาธารณประโยชน์ในการน้อมกระแสลงสู่ใจ ลงสู่ส่วนรวม ลงสู่โลก ลงสู่ภพภูมิ กระแสความดี กระแสกุศล จะได้ส่องสว่างในดวงจิตทั้งหลาย ได้พ้นจากความมืดบอดแห่งอวิชชา ได้รู้ตื่นรู้แจ้งสู่มรรคผลพระนิพพาน จิตเรายังประโยชน์ เราสร้างกุศลสมบูรณ์แล้ว เราปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ น้อมใจน้อมกุศล ขอให้เทวดาพรหมที่ปกปักรักษาและโมทนาบุญกับเรา ได้โมทนาสาธุ เกิดบุญเกิดประโยชน์โพดผล บุญจงสำเร็จต่อท่านทั้งหลาย
จากนั้นจึงน้อมจิตโมทนาสาธุกับเพื่อนๆกัลยาณมิตรที่ร่วมปฏิบัติกันในวันนี้ โมทนาสาธุกับผู้ที่ฟังติดตามฝึกปฏิบัติในภายหลัง น้อมใจให้จิตเกิดความผ่องใส เกิดความยินดี เกิดความสุข ธรรมทั้งหลายกระจ่างแจ้งในจิตของเราแล้ว ขอให้ธรรมทั้งหลายจงกระจ่างแจ้งในจิตของสรรพสัตว์ทั้งปวงด้วยเถิด ใจเอิบอิ่มยินดีอย่างยิ่ง
จากนั้นเราจึงน้อมกราบพระพุทธเจ้าและหายใจเข้าลึกๆช้าๆ 3 ครั้ง หายใจเข้าครั้งที่ 1 พุทออกโธ ครั้งที่ 2 ธัมโม ครั้งที่ 3 สังโฆ จากนั้นจึงลืมตาขึ้นช้าๆด้วยจิตอันเปี่ยมไปด้วยธรรมปิติ ความปรีดา ความเอิบอิ่ม ความผ่องใส รัศมีกายฉายออกมาสู่กายเนื้อเป็นออร่า ราศีแห่งบุญ ราศีแห่งบารมีจงปรากฏพร้อมกับรัศมีกายรัศมีจิต บุญส่งผลทันใจ บุญส่งผลทันใจ บุญจงผลทันใจ
สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาสาธุกับผู้ที่ตั้งใจมาปฏิบัติทุกคนนะครับ พบกันใหม่ ตั้งใจฝึกปฏิบัติกันในวันอาทิตย์หน้านะครับ ซึ่งเดี๋ยววันอาทิตย์หน้าก็จะเป็นวาระที่เราจะถวายมหาสังฆทานที่บ้านสายลมประจำเดือนมิถุนาสำหรับท่านใดที่จะร่วมบุญร่วมกุศลก็ขอเรียนเชิญร่วมบุญได้ในบัญชีเดิม รวมถึงอยากให้เราทุกคนร่วมใจกันเขียนแผ่นทองอธิษฐานนิพพาน ตั้งจิตยกกำลังใจขึ้นพระนิพพานแล้วเขียนคำอธิษฐาน สำหรับท่านใดที่เขียนแล้วก็เขียนซํ้าอีกก็ได้ ต้องรวบรวมให้ครบแสนแผ่น ท่านที่ยังไม่เคยได้แผ่นทองก็สามารถแจ้งความจำนงได้ในกลุ่มเมตตาภิรมย์กรรมฐานนะครับ ก็ขอแจ้งให้ทราบ แล้วก็โมทนาบุญกับทุกคนด้วย สำหรับวันนี้สวัสดี
ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย คุณ Be Vilawan