green and brown plant on water

ถอดกายทิพย์ (ชักหญ้าปล้อง)

เวลาอ่าน : 5 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”  

วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน 2565

เรื่อง ถอดกายทิพย์ (ชักหญ้าปล้อง)

 โดย อาจารย์ คณานันท์  ทวีโภค

สวัสดีนะครับทุกคน เมื่อเข้ามาในห้องสมาธิเรียบร้อยแล้ว ก็กำหนดจิตในความรู้สึกตัวทั่วพร้อมทั่วร่างกายของเรา  กำหนดความรู้สึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ผ่อนคลายความรู้สึกที่เกาะเกี่ยวอยู่ในร่างกายทุกส่วน พร้อมกับกำหนดความรู้สึกผ่อนคลายพร้อมกับปล่อยวางร่างกายไปพร้อมกัน วางภาระแห่งกายลง ผ่อนคลายร่างกายทุกส่วน และมากำหนดสติรู้อยู่กับลมหายใจ ที่ละเอียด ผ่องใส ลมหายใจที่ราบเรียบ สงบ กำหนดความรู้สึกจินตภาพ เห็นลมหายใจนั้นเป็นแพรวไหม เป็นเพชรประกายพรึก พริ้วผ่านเข้าออกในกายของเรา ลมหายใจ ลมปราณ สัมพันธ์กับอารมณ์จิตอารมณ์ใจ นั่นคือลมปราณสัมพันธ์จิตใจ ลมหายใจยิ่งละเอียดเบาสบายเท่าไหร่ ความเบาสบายของจิต คือเวทนาอารมณ์มีความสุข ความสบาย เมื่ออารมณ์ใจของเราเป็นสุข เวทนาของเราเป็นสุข ความทุกข์ก็คลายตัวลง เบาบางลง กำหนดอยู่กับลมหายใจสบาย กำหนดอยู่กับลมหายใจที่เป็นแพรวไหมตลอดสาย กำหนดรู้ในลมหายใจที่ละเอียดเบา สงบ ผ่องใส กำหนดรู้ว่าจิตที่สงบระงับลงนั้น สมาธิเริ่มรวมตัวกัน รวมตัวจากความเบา จากความสงบ จากความสบายของจิต เมื่อจิตสงบลง จิตมีความตั้งมั่นมากขึ้น จิตมีความสบาย จิตมีความเบา จิตรวมตัวเป็นเอกัคคตารมณ์ จิตมีกำลัง มีจิตตานุภาพ จิตมีความผ่องใส จิตมีกำลังแห่งความเป็นทิพย์ของจิต กำหนดจิตอยู่กับความสงบนิ่ง สว่าง ผ่องใส

 จากนั้นกำหนดให้เห็นจิต จินตภาพว่าจิตของเราเป็นดวงแก้ว สว่างอยู่ภายในกาย ภายในดวงแก้วนั้นมีองค์พระพุทธรูป องค์พระพุทธปฏิมา อยู่ภายในดวงแก้วนั้น ดวงแก้วนั้นอยู่ภายในกาย อยู่ที่บริเวณฐานที่ตั้งของจิตเหนือสะดือขึ้นมา 2 นิ้ว กำหนดจิต จดจ่ออยู่กับดวงแก้ว อยู่กับภาพองค์พระ ที่อยู่ภายในกาย ภายในดวงแก้วนั้น กำหนดจิต นิ่ง หยุด อยู่กับภาพพุทธนิมิต ภาพพระพุทธองค์ที่อยู่ในดวงแก้ว กำหนดจิตอธิษฐาน น้อมนึกให้ภาพดวงแก้ว มีขนาดขยายใหญ่ขึ้น ในขณะที่องค์พระยังมีขนาดใหญ่เท่าเดิมอยู่ภายในกาย แต่ดวงแก้วขยายใหญ่พ้นออกมา ครอบคลุมกายขันธ์ 5 เราทั้งหมด กำหนดจิตเห็นดวงแก้วสว่างคลุมกายเราทั้งหมด กำหนดจิตว่ากำลังแห่งพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ กำลังคุณแห่งพระรัตนตรัย เป็นเกราะแก้ว กำแพงแก้ว คุ้มกาย คุ้มจิต คุ้มกาย วาจา ใจของเรา จากกระแสอกุศลทั้งหลาย จากกระแสวิบากทั้งหลาย จากกระแสสิ่งต่างๆที่เป็นโทษ เป็นภัย เป็นอวิชชา เป็นคุณไสยทั้งหลาย ขอจงไม่อาจ กล้ำกรายเข้ามาภายในดวงแก้วนี้ กำหนดจิตอธิษฐาน สว่างผ่องใส ดวงแก้วนั้นสว่างครอบคลุม อธิษฐานว่าดวงแก้วที่เป็นเกราะแก้วคลุมกายนั้น ค่อยๆเพิ่มจากชั้นที่ 1 กำหนดมีรัศมีปรากฏดวงแก้วเพิ่มขึ้นอีกชั้นเป็นชั้นที่ 2 รัศมีของกำแพงแก้ว เกราะแก้ว ดวงแก้ว ที่คุ้มกัน กาย วาจา ใจ จิตของเรา ยิ่งมีพลัง ยิ่งมีพลานุภาพ ยิ่งมีความแข็งแกร่ง ในการปกป้องในทุกสิ่งได้

  • ชั้นที่ 1 ปรากฏ สว่างขึ้น ใสขึ้น มีประกายพรึกสว่างออก
  • ชั้นที่ 2 ชัดเจนขึ้น
  • ชั้นที่ 3 ปรากฏ รัศมีสว่างกระแสพลังงาน ความแข็งแกร่ง ในการปกป้องคุ้มครอง กาย วาจา ใจ คุ้มครองเราจากทุกสิ่ง คุ้มครองเราจากภัยพิบัติ คุ้มครองเราจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย
  • ชั้นที่ 4 ปรากฏ ดวงแก้วยิ่งผนึก ชั้นหนาขึ้น แข็งแกร่งขึ้น จิตเรายิ่งมั่นคงขึ้น สว่าง ผ่องใส
  • ดวงแก้วชั้นที่ 5 ปรากฏขึ้น ยิ่งดวงแก้วทับซ้อน เพิ่มซ้อนสับทับทวีขึ้น พลานุภาพเพิ่มขึ้น ความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น จิตตานุภาพเรายิ่งเพิ่มพูนขึ้น
  • ชั้นที่ 6 ปรากฏขึ้น ดวงแก้วปรากฏ คลุมชั้นที่ 6 ยิ่งหนาขึ้น มั่นคงขึ้น แข็งแกร่งขึ้น ใสขึ้น สว่างขึ้น ทรงจิตตานุภาพเพิ่มขึ้น
  • ชั้นที่ 7 ปรากฏ ดวงแก้วที่คลุมกายของเรา ตอนนี้ยิ่งหนาขึ้น สว่างขึ้น ใสขึ้น มีกำลังเพิ่มพูนขึ้น จนไม่อาจมีภยันอันตราย ภัยพิบัติใดๆมากล้ำกราย กาย วาจา ใจและดวงจิตของเราได้ ไม่อาจมีอกุศลจิตใดเข้ามาแทรก เชื้อโรคทั้งหลาย โรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย รังสีทั้งหลาย ไม่อาจแทรกซึมทะลุผ่าน เกราะกำแพงแก้ว ดวงแก้ว 7 ชั้นที่เราอธิษฐานจิตไว้ได้

ด้วยกำลังแห่งพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ กำหนดจิต ตั้งมั่นอยู่ภายในดวงแก้ว ในกำแพงแก้วนั้น กำหนดจิต ทรงสมาธิให้สว่างผ่องใส ภาพองค์พระ ยังปรากฏอยู่ภายในกายของเรา

 กำหนดจิตต่อไป อธิษฐานขอให้พุทธานุภาพ ในการกำหนดจิตทรงภาพพระนั้น ปรากฏเป็นพระทั้ง 3 ฐานครบถ้วนบริบูรณ์ องค์พระที่อยู่ภายในกายนั้น ปรากฏอยู่แล้ว 1 องค์ อาราธนาบารมี พุทธานุภาพ พุทธนิมิต พุทธบารมีของพระพุทธเจ้า องค์ที่ 2 ลอยลงมาจากพระนิพพาน เคลื่อนลงมาอยู่ภายในศีรษะ พระพุทธรูปองค์ที่ 2 อยู่ภายในศีรษะสว่าง บริเวณอุณาโลมของพระพุทธรูปของพระพุทธองค์ ตรงกันกับบริเวณกึ่งกลางตาที่ 3 ของเราพอดี ส่วนพระองค์ที่ 1 บริเวณศูนย์กลางกาย ฐานที่ตั้งของจิตขององค์พระองค์ที่ 1 ตรงอยู่กับ ฐานที่ตั้งของจิตในกายของเราพอดีเช่นกัน อาราธนาพุทธานุภาพพระองค์ที่ 3 ลอยลงมาจากพระนิพพาน วางเสด็จประทับอยู่เหนือศีรษะ เหนือกระหม่อมจอมขวัญของเรา ตอนนี้เราก็จะเห็นภาพกายของเรา อยู่ในลูกแก้วหนาเปี่ยมพลังขนาดใหญ่ เป็นประกายรุ้ง เป็นประกายพรึก มีรัศมีสว่าง กายที่อยู่ภายใน ปรากฏสภาวะ อยู่ในอิริยาบถ ขัดสมาธิ เจริญสมาธิ ฝ่ามือทั้งสองประสานอยู่ที่ตัก ประคับประคอง ภายในกายมีองค์พระ ภายในศีรษะมีองค์พระ และเหนือศีรษะก็มีองค์พระประดิษฐานอยู่ กำหนดจิตในความรู้สึกในภาพ ที่ปรากฏในจิตของเราไว้เช่นนี้ จิตตั้งมั่น สงบนิ่ง เพาะบ่มพลัง เพาะบ่มจิตตานุภาพแห่งสมาธิ

จากนั้นกำหนดจิตทำความรู้สึกว่ามีรัศมีแสงสว่างแผ่ออกมา จากดวงแก้วที่เราอยู่ภายใน กระแสแสงสว่างที่แผ่ออกมาจากดวงแก้ว กำหนดว่าเป็นกระแสแห่งบุญ และเป็นกระแสแห่งเมตตาจิต แผ่กระแสแห่งบุญกุศลความดีออกไปยังโลก ออกไปรายล้อม ออกไปทั่วทุกภพภูมิ ออกไปทั่วอาณาบริเวณ ทั่วสถานที่ ทั่วเคหสถาน กระแสบุญส่องสว่างครอบคลุม คุ้มครองอาณาบริเวณทั้งหมด ทรงสมาธิ ทรงความผ่องใส กำหนดจิตให้มีความเบาสบาย

จากนั้นตั้งจิตอธิษฐาน อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ตั้งจิตอาราธนา น้อมนำกระแสจากพระนิพพาน กำหนดน้อมนึก ว่ามีแสงสว่าง เป็นลำส่องตรงลงมาจากพระนิพพาน มีลักษณะเป็นท่อ เป็นปล่อง มีขนาดใหญ่ มีพลัง มีความหนาของปล่อง ครอบคลุมลูกแก้วทั้งหมด สนามพลัง กระแสบุญจากพระนิพพาน ส่องตรงมาครอบดวงแก้ว เป็นลำแสง เป็นแสงสว่าง รัศมีสีรุ้งขาวครอบคลุมทั้งหมด กระแสพลังบุญ กระแสแห่งกุศล กระแสความดี กระแสบารมีของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ กระแสบารมี 30 ทัศ ส่องตรงลงมายังกาย ยังจิตของเรา พลังส่องสว่างมากมายมหาศาล ลักษณะของภาพนิมิตและความรู้สึกที่ปรากฏ มีปล่อง มีท่อพลังงานขนาดใหญ่ครอบอยู่ พลังมหาศาลจนเรารู้สึกได้ว่าขนลุก มีความรู้สึกสัมผัสรับกระแสพลัง กระแสจากพระนิพพานได้อย่างชัดเจน ยิ่งจิตมีความเคารพศรัทธาในพระรัตนตรัยมากเท่าไหร่ ท่อพลังงานนี้ ยิ่งเชื่อมโยง กับกาย กับจิตเรามากเพียงนั้น กระแสพลังจากพระนิพพาน กระแสบุญศักดิ์สิทธิ์ จากพระนิพพานส่องตรงลงมา ยังกาย ยังจิต ฟอกกายเนื้อ กายทิพย์ ขันธ์ 5  ของเรา ความรู้สึกว่า ท่อกระแสบุญจากพระนิพพานชัดเจน

จากนั้นเรากำหนดจิต อาราธนาขอบารมีพระพุทธองค์ ขอน้อมนำดึงอาทิสมานกายของข้าพเจ้าพุ่งขึ้นไปผ่านท่อ กระแสบุญจากพระนิพพานที่เป็นสนามพลังงานลงมา พุ่งขึ้นไปด้วยความรวดเร็วจนรู้สึกว่า  อาทิสมานกายพุ่งขึ้นไปเป็นแสงสว่าง พุ่งขึ้นไปอยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน กำหนดจิตทำความรู้สึก พิจารณาดูว่าการพุ่งจิตอาทิสมานกาย คือการถอดกายทิพย์ขึ้นไปปรากฏอยู่บนพระนิพพาน มีความคล่องตัวไหม มีความรวดเร็วไหม รู้สึกได้ถึงว่ามันมีเหมือนกับพลังแรงดึงดูดจำนวนมหาศาล ปริมาณมหาศาลที่ดึงอาทิสมานกายของเราพุ่งออกไป ถอดออกไป อย่างรวดเร็ว ให้เราพิจารณาดูว่า ศัพท์ในการปฏิบัติในภาษาโบราณ แต่เดิมก่อนที่จะมีการสอนในเรื่องของมโนมยิทธิ ในเรื่องของการถอดกายทิพย์นั้น สมัยก่อนจำเป็นที่ต้องมีการฝึกที่เรียกว่า การทรงฌาน 4 ให้ได้ พอทรงฌาน 4 ให้ได้ก็ต้องพิจารณาในการแยกกาย แยกจิต คือแยกอาทิสมานกายให้เริ่มปรากฏ เมื่ออาทิสมานกายหรือความชัดเจนในการแยกอาทิสมานกายมาปรากฏได้แล้ว ถึงเวลา ศัพท์ที่เขามีการถอดกายทิพย์ ในการถอดกายทิพย์เขาก็จะเรียกว่ามีศัพท์ที่เรียกว่า ชักหญ้าปล้อง อุปมาเหมือนกับกายเนื้อนี้เป็น เหมือนกับเปลือก แต่กายทิพย์นั้นอยู่ภายใน ถอดออกมาจากเปลือก คือกายเนื้อขันธ์ 5 และคราวนี้ศัพท์ที่เรียกว่าชักหญ้าปล้องนั้น อันที่จริงหญ้าปล้อง หากใครเคยสังเกตุ หรือเคยฝึกเคยเล่น ไส้ในของหญ้า มันสามารถถอดออกมาจากปลอกได้

ซึ่งอันที่จริง ในการที่เราฝึก หรือเทคนิคที่เราถอดกายทิพย์ ที่เรียกว่าชักหญ้าปล้องนั้นก็คือ ท่อกระแสพลังงาน กระแสบุญจากพระนิพพาน ยิ่งกำลังของกระแสบุญจากพระนิพพาน ปรากฏมาชัดเจนมีพลังมากเท่าไหร่ พลังแรงดึงดูดที่จะดึงกายทิพย์ของเรา ถอดออกจากกายเนื้อขึ้นไป ก็มีมากเท่านั้น ดังนั้นถ้าเรากำหนดจิตโดยละเอียดแล้วก็ยังจดจ่ออยู่กับความเป็นอาทิสมานกาย การกำหนดจิตในแบบนี้เต็มกำลังเท่าไหร่ การถอดกายทิพย์ก็จะเป็นลักษณะของมโนมยิทธิเต็มกำลัง คือมีความรวดเร็ว มีความสว่าง อาทิสมานกายเมื่อขึ้นไปได้ก็จะมีความชัดเจน มากกว่าครึ่งกำลังอย่างยิ่ง และความรู้สึกเวลาที่เราถอดกายทิพย์ออกไป มันจะมีความแตกต่างจากเวลาที่เราฝึกแบบครึ่งกำลัง หรือกำลังใจกำลังสมาธิเราอ่อน มันจะเหมือนกับว่ากายทิพย์ของเรา มันไม่ค่อยอยากจะถอด เนื่องจากเราพิจารณาตัดร่างกายขันธ์ 5 น้อยไป กายมันจะหนืดๆ กายทิพย์มันจะขยับไม่ค่อยได้ ขยับได้ก็เหมือนช้า ตรงจุดนี้ก็ขึ้นอยู่กับ เราตัดขันธ์ 5 ได้ละเอียดไหม ถ้าตัดขันธ์ 5 ได้ละเอียด เยื่อใย กระแส กายทิพย์ที่มันเกาะเกี่ยวกับร่างกาย ความหนืด ความหน่วง ของกายทิพย์ที่มันเกาะ มันติด มันยึดในร่างกาย มันก็จะทำให้เราแยกกายเนื้อ กายทิพย์ได้น้อยกว่า แต่ให้เราพิจารณาดูว่า หากเราตัดขันธ์ 5 ให้ยิ่งละเอียดเท่าไหร่ สิ่งที่เกาะ กายทิพย์ที่มันเกาะกับกายเนื้อ มันเหลือเพียงแค่เส้นเล็กๆ หรือแทบจะไม่เห็นเลย ในขณะที่กระแสแรงดึงดูดของพระนิพพาน คือยิ่งจิตเรามีความรักในพระนิพพานมากเท่าไหร่ ความรักธรรมฉันทะในพระนิพพานนี่แหละ จะเป็นพลังแรงดึงดูด ร่วมกับพุทธานุภาพของพระพุทธองค์ ที่ดึงดูดกายทิพย์เราพุ่งขึ้นไป กำลังก็จะมีความแรงกล้ามากกว่า

ดังนั้นถ้าเราพิจารณาดู สิ่งที่เป็นเยื่อใย ที่เรียกว่าสายใยของกายทิพย์ผูกโยงกับกายเนื้อ ถ้าจิตเรามีความรักในพระนิพพานมาก ก็กลายเป็นว่าสายโยงใยของพระนิพพานที่เกาะเกี่ยวกับกายทิพย์ของเรา ก็คือท่อพลังงานกระแสพระนิพพานขนาดใหญ่ แต่ในขณะเดียวกัน สายโยงใยของจิตอาทิสมานกายที่เชื่อมโยงกับกายเนื้อขันธ์ 5 ที่เกาะกับขันธ์ 5 ที่เกาะกับภพภูมิต่างๆ ก็เป็นเส้นเล็กนิดเดียวเท่านั้น ดังนั้นในภาคของความเป็นทิพย์ ที่รู้เห็นได้ด้วยจิตหรือสภาพความเป็นทิพย์ อาการของคนที่กำลังมโนมยิทธิ มีกำลังของมโนยิทธิมีกำลังน้อย เราก็จะเห็นว่ามันมีสายโยงใยขนาดใหญ่ สายโยงใยขนาดใหญ่นั้น มันดึง มันรั้งกายทิพย์ กายทิพย์นั้นก็อ่อนแรง ไม่มีกำลัง ไม่มีกำลังไม่มีความคล่องตัว แต่ในขณะที่ยิ่งเราตัดร่างกาย ตัดขันธ์ 5 มากเท่าไร กายทิพย์ก็ยิ่งมีพลังมากขึ้นเพียงนั้น

จิตตานุภาพความคล่องตัวของกายทิพย์ก็เพิ่มพูนขึ้นเท่านั้น เมื่ออธิบายได้เข้าใจแล้ว ตอนนี้ก็ให้เรากำหนดจิต ว่ากระแสพลังงานที่เราเชื่อม จากพระนิพพานลงมายังกายเนื้อเรา ยังอยู่ตลอดเวลา กระแสจากพระนิพพานที่ส่องตรงมาที่เป็นปล่อง เป็นลำ เป็นท่อ พลังงานลงมานั้น ในระหว่างที่เชื่อมต่ออยู่ในขณะที่อาทิสมานกายเราขึ้นไปอยู่บนพระนิพพาน หรือใช้กำลังของมโนมยิทธิไปในภพอื่นภูมิใดก็ตาม กระแสจากพระนิพพานก็ยังส่งตรงมาเพื่อฟอกขันธ์ 5 ธาตุขันธ์ของเรา ปล่อยธาตุขันธ์ของเราได้รับการฟอก เป็นธาตุธรรม เป็นธรรมโอสถ ขับไล่โรคภัยไข้เจ็บ เชื้อโรคต่างๆ อวิชชา คุณไสยต่างๆ ฟอกธาตุให้บริสุทธิ์ เพื่อธาตุขันธ์ที่เป็นกายเนื้อขันธ์ 5 จะได้มีกำลัง ในการรองรับจิตตานุภาพ หรืออภิญญาจิตที่สูงขึ้นไป

จากนั้นให้เรากำหนดตอนนี้ ทรงสภาวะในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ กำหนดจิตว่าเราไม่ห่วงใยในร่างกาย กำหนดว่าเรานั่งสมาธิอยู่บนรัตนบัลลังก์ดอกบัวแก้ว ขัดสมาธิ ฝึกปฏิบัติอยู่เบื้องหน้า ท่ามกลางพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ มีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย กำหนดจิต รัศมี อาทิสมานกายของเราส่องสว่าง กำหนดตั้งจิตอธิษฐาน รวมกระแสจากพระนิพพาน รวมกระแสบุญ เชื่อมโยงกับกระแสจิต กระแสพุทธานุภาพทั้งหมด ทุกพระองค์บนพระนิพพาน

กำหนดน้อม ว่าจิตเราเข้าถึงเอกัคดตารมณ์ในพระนิพพาน สัมผัสได้ถึงกระแสจิตของพระพุทธองค์ กระแสที่พระพุทธองค์ทรงเล็งญาณ ทอดพระเนตรโปรดมวลหมู่เวไนยสัตว์ กระแสจิตแห่งพระอรหันต์ที่สิ้นแล้วซึ่งกิเลสทั้งหลาย อารมณ์จิตท่านเบาสบายเช่นใด อารมณ์จิตท่านปราศจากอคติเช่นใด อารมณ์จิตท่านปราศจากความเกาะเกี่ยวในภพภูมิต่างๆเช่นใด ก็กำหนดจิตน้อมเข้าไปอยู่ในใจ เข้าไปอยู่ในดวงจิตแห่งพุทธะ เข้าใจความรู้สึก เข้าใจกระแสที่ท่านส่งผ่านมายังสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทั่วทั้งสังสารวัฏนั้น ใจของเรายิ่งเบาสบายอย่างยิ่ง จิตคือพุทธะ เมื่อจิตเข้าถึงพุทธะ จิตปล่อยวางอาทิสมานกาย กายทิพย์ของเรายิ่งสว่างขึ้น จิตเข้าถึงพุทธะจิตละวางความยึดมั่นถือมั่นในโลก ในสังสารวัฏทั้งปวง จิตพ้นจากโลก พ้นจากโลกธรรมทั้งปวง ทรงอารมณ์จิตสว่าง จนรู้สึกสัมผัสได้ว่า รัศมีกาย อาทิสมานกายของเราสว่างอย่างยิ่ง กายพระวิสุทธิเทพปรากฏสว่างชัดเจน เครื่องประดับทั้งหลาย สว่างแพรวพราว ละเอียดระยิบระยับ พระมหามงกุฎ เครื่องทรงทั้งหลาย ในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพชัดเจนสว่าง จิตเอิบอิ่ม ปราณีต ความรัก โลภ โกรธ หลง ความผูกพัน ความหลงติดในยึด ในภพภูมิต่างๆ สลายสิ้นจากจิตของเรา

ทรงอารมณ์บนพระนิพพานไว้ อาทิสมานกาย กายทิพย์ยิ่งสว่าง ยิ่งมีกำลัง ซึมซับรับ น้อมกระแสที่เชื่อมโยงจากพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน กระแสจิตกระแสอาทิสมานกายของเรา เชื่อมโยง สัมผัสถึงบุญมากมายมหาศาล พระพุทธเจ้า 1 พระองค์บำเพ็ญพระบารมี 16อสงไขยบ้าง 8 อสงไขยบ้าง 4 อสงไขยบ้าง พระพุทธเจ้ามากมายหลากหลายพระองค์ กระแสบุญที่สะสมรวมตัวอยู่ ก็มีมากมายมหาศาล อย่างไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ อย่าลืมว่ากายทิพย์ในโลกของอาทิสมานกายไม่ว่าจะเป็นภพใดภูมิใด หรือแม้แต่บนพระนิพพานนั้น รัศมีกาย ยิ่งสว่างมากเท่าไหร่ ก็คือบุญกุศลยิ่งมากเพียงนั้น ยิ่งเราอนุโมทนาบุญมากเท่าไหร่ รัศมีกายของเราก็พลอยสว่างตามไปด้วย ยิ่งเราน้อมจิตเชื่อมโยงกระแส และโมทนาบุญกับทุกท่าน ทุกรูป ทุกนาม กระแสบุญกุศลก็น้อมรวมลงสู่จิตเรา อาทิสมานกายเรา กระแสจิตตานุภาพ กำลังแห่งบุญ รัศมีแห่งจิต ก็ยิ่งสว่างขึ้น เพิ่มพูนขึ้น แต่การที่เราน้อมจิตโมทนาบุญ มหาโมทนาบุญ เรารวมบุญไว้ที่ตัวเรา ไว้ที่จิตของเรา ไว้ ณ อาทิสมานกายของเรา

จงจำไว้ว่า บุญทั้งหลาย เราได้รับจากการโมทนาบุญ เราได้รับจากกระแสเมตตา ที่ทุกท่าน ทุกรูป ทุกนาม แผ่ให้กับเรา เราก็พึงเป็นผู้ที่มีจิตอันประกอบไปด้วยพรหมวิหาร 4 ไม่ได้มีความละโมบโลภมาก ในบุญ ในกุศล ในพลังทั้งหลาย ในกระแสบุญทั้งหลาย แต่เรานั้นวางกำลังใจของเราว่า เราเป็นผู้นำบุญ เราเป็นผู้ที่รวบรวมกระแสบุญ ในฐานะที่ตอนนี้เรายังมีกายเนื้อ ยังเชื่อมโยงอยู่กับในมิติ ภพแห่งความเป็นมนุษย์ ภพแห่งการมีกายหยาบ เรารวบรวมบุญกุศลเหมือนกับกอบ น้อมนำบุญกุศลมาเติมลงสู่โลกใบนี้ ให้โลกใบนี้มีกำลังแห่งบุญ มาหนุนนำ มาค้ำจุน มาถ่วงดุลภัยพิบัติต่างๆ อกุศล วิบากกรรมต่างๆที่จะเกิดขึ้นกับโลกมนุษย์ เราอยู่บนโลกมนุษย์ สามารถทำหน้าที่ตรงจุดนี้ได้ เราก็เพิ่งทำเพื่อประโยชน์ของมวลหมู่สรรพสัตว์ ของมวลมนุษยชาติ และสรรพสัตว์ทั้งปวง

น้อมกระแสจากพระนิพพาน ผ่านกระแสท่อ ที่เรากำหนดเป็นลำแสงสว่าง กระแสบุญจากพระนิพพาน รวมตัวลงไปเป็นบุญมหาศาล ถ่ายเทลงไปทะลุผ่านกายเนื้อ กายเนื้อเราผ่านสนามพลังงานแห่งบุญกุศลจากพระนิพพาน กระแสบุญจากพระนิพพานไหลลงไปยังโลกมนุษย์ ทะลุผ่านไปยังแกนกลางของโลก ส่งไปยังแม่พระธรณี กระแสบุญ กระแสบารมีของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ เป็นกระแสบุญที่ซึมซาบ รวบรวมเก็บ ยังมุ่นมวยผมแห่งแม่พระธรณี กลายเป็นน้ำทิพย์ กระแสบุญกุศลมากมายมหาศาล ชำระล้างขับไล่มวลหมู่เสนามารทั้งหลาย ภัยพิบัติทั้งหลาย อกุศลกรรมทั้งหลาย ให้บรรเทาเบาบางสลายตัวไป น้อมจิตให้กระแสบุญทั้งหลาย ถึงแม่พระธรณี

ขอกระแสบุญทั้งหลาย จากพระนิพพาน จงถึงดวงจิตผู้ใฝ่ในธรรม ขอกระแสบุญทั้งหลาย จงถ่ายเท ถ่ายทอด ไหลรวมลงสู่วัดวาอารามทุกแห่ง สถานปฏิบัติธรรมทุกแห่ง พระพุทธรูปทุกพระองค์ พระธาตุเจดีย์ พระบรมธาตุเจดีย์ พระมหาเจดีย์ วัตถุมงคลพระเครื่องทุกพระองค์ ไม่ว่าจะบูชาอยู่ ไม่ว่าจะอยู่ในกรอบ ไม่ว่าจะถูกแขวน ไม่ว่าจะอยู่ในกล่อง อยู่ณสถานที่แห่งใด ขอกระแสกำลังพุทธานุภาพ กระแสบุญจากพระนิพพาน ขอจงปรากฏเกิดความศักดิ์สิทธิ์ ลูกแก้วทั้งหลาย ผ้ายันต์ทั้งหลาย จงปรากฏกำลังความศักดิ์สิทธิ์ ธาตุกายสิทธิ์ทั้งหลาย หินคริสตัล หินพลังทั้งหลาย แท่งพลังทั้งหลาย ขอกระแสบุญจงลงหลั่งไหล หลอมรวมลง จงตื่นขึ้นสู่ความศักดิ์สิทธิ์ อัศจรรย์

กำหนดจิตตอนนี้นะ กายทิพย์ อาทิสมานกายอยู่บนพระนิพพาน แต่เราเห็นลำแสงปรากฏบนโลกมนุษย์เต็มไปหมด ทุกสิ่ง ทุกรูป ทุกนาม บุคคล วัตถุ ธาตุกายสิทธิ์ เชื่อมโยงกระแสกับพระนิพพาน เชื่อมกระแสบุญ ถ่ายทอดรวมลง ตื่นขึ้นสู่อิทธิฤทธิ์ บุญฤทธิ์ อภิญญาฤทธิ์ ความศักดิ์สิทธิ์จงปรากฏ กำหนดจิตจนรู้สึกสัมผัสได้ ถึงแสงสว่าง สัมผัสได้ถึงกำลัง แห่งบุญที่ปรากฏขึ้น เชื่อมโยงขึ้น และในขณะเดียวกัน กายเนื้อของเราก็พลอยได้รับผลอานิสงส์ กระแสบุญ กระแสกุศล ที่ส่องตรงลงมาฟอกร่างกาย ธาตุขันธ์นี้ จากนั้นให้เรากำหนดจิตอยู่กับความเป็นอาทิสมานกาย กายพระวิสุทธิเทพบนพระนิพพาน กำหนดจิต พิจารณาธรรม พิจารณาให้เห็นทุกข์ ในอริยสัจ 4  พิจารณาว่าทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค  ทุกข์พิจารณาให้เห็นความทุกข์ โดยถี่ถ้วน ทุกข์ที่เกิดขึ้น เกิดขึ้นเพราะการมีกายเนื้อ การมีขันธ์ 5 เมื่อมีขันธ์ 5 ก็มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เมื่อมีขันธ์ 5 ก็มีการพลัดพรากจากของรัก ของเจริญใจ เมื่อมีขันธ์ 5 ก็มีทั้งความปรารถนาสมหวังและไม่สมหวัง เมื่อมีขันธ์ 5 ก็มีความเจ็บไข้ได้ป่วย เมื่อมีขันธ์ 5 ในยามที่โลกธาตุ เกิดความแปรปรวน ภัยพิบัติเกิดขึ้น ความร้อน  ความเร่าร้อน ความทุกข์ ความกังวล ความร้อนตัว กลัวตายก็ปรากฏขึ้น

หากไม่มีขันธ์ 5 เราเป็นกายทิพย์ ต่อให้อยู่ท่ามกลางภูเขาไฟที่ระเบิด ต่อให้อยู่ท่ามกลางสึนามิขนาดใหญ่ที่พัดพา เราเป็นกายทิพย์ ไม่มีกายเนื้อ สิ่งต่างๆเหล่านี้ เราก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปเกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น ความทุกข์ ความกลัวทั้งหลายเกิดขึ้น เพราะการมีขันธ์ 5 พิจารณาให้เห็น เมื่อเห็นว่าเพราะการมีขันธ์ 5 ทำให้ทุกข์ พระพุทธองค์จึงสอนให้เราพิจารณา เพิกกายนี้เสีย พิจารณารู้เท่าทันกายเนื้อ พิจารณาจนกระทั่ง จิตปล่อยวางจากความเกาะเกี่ยว จากความห่วง จากความยึดมั่น ถือมั่นในร่างกายขันธ์ 5 เหตุแห่งทุกข์เพราะมีขันธ์ 5 นั่นก็คือสมุทัย นิโรธความดับทุกข์ ก็จงกำหนดดูว่า เมื่อไหร่ที่เรา ละ วาง ดับกิเลส เข้าสู่พระนิพพาน ทรงสภาวะในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพเรียบร้อยแล้ว นั่นก็คือนิโรธปรากฏ มรรคก็คือการที่เราปฏิบัติธรรม เดินในเส้นทางแห่งมรรคมีองค์ 8  พิจารณาในการตัดร่างกาย ตัดสังโยชน์ทั้ง 10 ตัดภพจบชาติให้หมด จนเข้าถึงพระนิพพาน พิจารณาในอารมณ์พระนิพพานว่า เมื่อไหร่ที่เราเข้าถึงพระนิพพานได้ เมื่อเราละขันธ์ 5 คือเข้าสู่พระนิพพานอย่างถาวรอย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นการเข้าพระนิพพานชั่วคราว อย่างเช่นการที่เรายกอาทิสมานกายขึ้นมาเช่นนี้ เมื่อนั้นความทุกข์ทั้งหลายก็ดับ ความห่วงทั้งหลายก็ดับ กรรมวิบากทั้งหลาย ที่เรายังตกค้าง ยังติดค้าง ก็ถือว่าเป็นโมฆะกรรมไปทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นวิบาก ไม่ว่าจะเป็นกุศล กุศลที่จะต้องทำให้เรายังต้องไปเกิดเป็นพรหม อีกหมื่นชาติแสนชาติ ตรงนี้ก็เป็นโมฆะ ดังนั้นที่บอกว่า เมื่อเข้าถึงพระนิพพาน ต้องทิ้งทั้งดีทั้งชั่ว ก็คือความชั่ว ความทุกข์ เคราะห์กรรม หนี้กรรมที่เราจะต้องไปประสบ เราก็ไม่เอา เราก็ทิ้ง ความอาฆาตพยาบาทที่เราเคยไปจองเวร ขอตามไปเกิด ตามไปพบ ตามไปเป็นเจ้ากรรมนายเวรของบุคคลอื่นที่เราอาฆาตแค้น เราก็ทิ้ง คนที่เรารัก สัญญา ความผูกพัน ต้องตามไปพบ ไปเกิด ไปเจอ ไปเป็นคู่บารมี เป็นหมื่นชาติแสนชาติ เป็น 16 อสงไขยกัป เราก็ต้องทิ้ง

ดังนั้นขึ้นชื่อว่าการเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน จึงต้องทิ้งทั้งดีทั้งชั่ว แต่ตราบที่เรายังมีขันธ์ 5 กายเนื้อ เราทิ้งแต่ชั่ว แต่เรายังต้องเก็บดี เก็บบุญ เก็บทาน ศีล ภาวนา เก็บบารมีไว้ เพราะตราบที่เรายังมีกายเนื้อ เราต้องใช้กำลังแห่งบุญ ดังนั้นกุศลเราก็ยังต้องสร้างสม่ำเสมอเป็นปกติ บุญคือความอิ่มใจ เราก็ต้องทำให้เกิดความอิ่มใจเป็นปกติ แต่กำหนดไว้เสมอว่า ตายเมื่อไหร่ กุศลที่ทำให้เราไปเป็นเทวดา เราก็ไม่เอา กุศลที่ทำให้เราไปเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช กุศลที่ทำให้เราไปเกิดเป็นพรหม เป็นท้าวมหาพรหม เราก็ไม่เอา เพราะเราปรารถนาจุดเดียวเท่านั้นคือพระนิพพานเป็นที่สุด ตรงจุดนี้ก็ให้เรากำหนดรู้ พิจารณาจนกระทั่งจิตของเราพึงพอใจอยู่กับพระนิพพานเป็นที่สุด กำลังจิตอาทิสมานกายของเรามีกำลังแก่กล้า ปัญญาในการพิจารณาตัดกิเลสก็ยิ่งมีความแก่กล้ามากขึ้น ความชัดเจนในกำลังแห่งมโนมยิทธิ ชัดเจนในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ อาทิสมานกายชัดเจนมากเท่าไหร่ อารมณ์บนพระนิพพานชัดเจนมากเท่าไหร่ กำลังใจในการตัดกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน อารมณ์ใจที่ตัดความลังเลสงสัย อารมณ์ใจที่ตัดวิจิกิจฉา อารมณ์ใจที่ตัดความอาลัยห่วงใยในการเวียนว่าย ตาย เกิดในสังสารวัฏ ก็ย่อมมีมากกว่าบุคคลที่จิต ยังมีกำลังแห่งมโนมยิทธิ  คือความไม่ชัดเจน ทั้งความเป็นอาทิสมานกาย หรือความรู้สึกในอารมณ์แห่งพระนิพพาน แต่เมื่อไหร่ก็ตาม ที่อารมณ์จิตเราดื่มดำอิ่มเอมในอารมณ์ของพระนิพพานอย่างลึกซึ้งแท้จริง ความรู้สึกในความสุขที่ปรากฏนั้น จะทำให้เราสามารถตัดสินใจได้อย่างง่ายดายว่า เราจะเหนื่อยในการไปเวียนว่าย ตาย เกิดอีกทำไม เรานิพพานตั้งแต่ในชาตินี้ สบายกว่ากันมากมายมหาศาล เมื่อไหร่ที่อารมณ์จิตนี้เกิดขึ้น ความโง่หรืออวิชชาที่ทำให้เรายังหลงเวียนว่าย ตาย เกิด มันก็ดับจนหมด จริงๆตัดตัวสุดท้ายคือ ตัดอวิชชา ความโง่ที่ยังทำให้เราไปหลงเกิด หลงเวียนว่าย ตาย เกิด หลงอยู่ในสังสารวัฏ อารมณ์จิตนี้เกิดขึ้น อวิชชาดับ วิมุติก็แจ้ง กระจ่างในจิตของเรา

กำหนดจิตในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพให้สว่างชัดเจนเต็มกำลัง กำหนดรู้ตื่นขึ้นมาในจิต ในวิสัยของเราแต่ละบุคคล บางคนอยู่ในวิสัยของสาวกภูมิ จิตไม่ได้มีภาระใดๆ ไม่ได้มีหน้าที่พิเศษใดๆ อารมณ์ใจของเราตั้งจิตว่า เราตามเสด็จพระโพธิสัตว์พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง เพื่อเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ติดตามสร้างบารมีมา สร้างกุศลมา ดังนั้นอารมณ์ใจของเรานั้น บำเพ็ญบารมีเพียงไม่กี่อสงไขย ก็สามารถเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ ส่วนอารมณ์จิตของสาวกภูมิที่สูงขึ้นเช่นท่านที่อธิษฐานเป็นพระอสีติมหาสาวก หรือพระอัครสาวกซ้ายขวา กำลังใจเช่นนี้ก็จะต้องมีสูงยิ่งขึ้น เหตุผลเพราะไปเกิดความพึงพอใจ เคยไปเกิด ไปพบกับพระอสีติมหาสาวกพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง และยินดี เกิดจิตยินดีคือธรรมฉันทะในความสามารถ ในปฏิปทาของท่านเหล่านั้น เมื่อจิตเกิดธรรมฉันทะ เกิดกำลังดึงดูด จึงเกิดการอธิษฐานจิต ปรารถนาจะเป็นดังเช่น เช่นนั้นเช่นนี้ขอให้มีคุณธรรมวิเศษ ดั่งพระอรหันต์พระองค์นั้นพระองค์นี้ เมื่อจิตตั้งอธิษฐานไว้แล้ว จึงเกิดก่อให้เกิดการบำเพ็ญบารมีจำเพาะเจาะจง เป็นเรื่องปัจจัตตังของแต่ละท่าน แต่ละองค์ ซึ่งในวิสัยของสาวกภูมิที่เคยอธิษฐานเช่นนี้ การบำเพ็ญบารมี ก็จะต้องใช้เวลามากกว่าพระสาวกที่เป็นสาวกภูมิปกติทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากตั้งจิตอธิษฐานเป็นอัครสาวกซ้ายขวา ถ้าหากปรารถนาเป็นดั่งเช่นพระสารีบุตร ก็จำเป็นต้องเจริญปัญญา

พิจารณาให้มีความละเอียดลึกซึ้งมากกว่าปกติ หากปรารถนาเป็นดังเช่นพระโมคคัลลานะ ก็จะมีวิสัยในการชอบ ในอิทธิฤทธิ์ต่างๆ อภิญญาต่างๆเป็นปกติ อันนี้ก็จะเป็นเรื่องของวิสัยของท่านประเภทต่างๆ ยังไม่ได้กล่าวลึกลงไปถึงเรื่องของสุขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต ส่วนกว้างๆขึ้นไปอีก ก็เป็นวิสัยของพุทธภูมิ ของพุทธภูมิก็มีตั้งแต่พระปัจเจกพุทธเจ้า ถ้าวิสัยของพระปัจเจกพุทธเจ้านั้นก็คือ บำเพ็ญบารมีมาก บำเพ็ญบารมีเยอะ แต่เป็นคนนิ่งๆ ไม่ชอบคลุกคลีกับคนมากมาย ไม่ชอบสอนผู้ใด แต่อยากรู้ อยากตรัสรู้ อยากรู้แจ้งได้ด้วยตัวเอง ชอบคิดพิจารณา ครุ่นคิดพิจารณา แต่ไม่พูด ไม่สอน ไม่อธิบายใคร แต่คิดพิจารณาของตัวเอง ขอคิดได้ด้วยตัวเราเอง อันนี้ก็จะเป็นวิสัยของบุคคลที่ปรารถนาในพระปัจเจกพุทธเจ้า ส่วนท่านที่ปรารถนาอยู่ในหมวดของพุทธภูมิ  ในหมวดของพุทธภูมิก็จำแนกแยกย่อยละเอียดยิบออกไปเป็น ท่านที่อธิษฐานเป็นปัญญาธิกะ ไล่ขึ้นไปจนถึงวิริยาธิกะ ซึ่งบำเพ็ญบารมีมากมายแตกต่างกัน

ในหมวดของท่านที่ปรารถนาพุทธภูมิ ก็จะมีผู้ที่เกี่ยวเนื่องกับผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ เช่นผู้ที่ปรารถนาเป็นนางแก้ว ที่วันนี้นำมาพูดก็เนื่องจากมีบางคนอยากขอลาออกจากการเป็นนางแก้ว อันที่จริงการเป็นนางแก้วนั้นก็คือ มีจิตศรัทธายินดีเลื่อมใสในการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์พระองค์ใดพระองค์หนึ่งมา แล้วก็ตั้งจิตอธิษฐาน ติดตามพระโพธิสัตว์พระองค์นั้นพระองค์เดียวต่อเนื่อง บางคนเป็นนางแก้ว แต่ก็มีใจเรรวน เห็นพระโพธิสัตว์องค์นี้ก็อยากตามองค์นี้ พอเห็นท่านนี้ก็อยากตามท่านนี้อีก จิตยังไม่เป็นหนึ่ง ยังไม่อธิษฐานชัดเจนแจ่มแจ้ง ล็อคอยู่กับพระโพธิสัตว์องค์ที่เป็นคู่บุญบารมีและสร้างบุญบารมีเกี่ยวเนื่องมา ตรงนี้ก็ยังถือว่าเป็นนางแก้วที่ยังมีเป็นบารมีต้น บารมีอ่อน ถ้าหากมาถึงขั้นนี้ มาเจอพระพุทธเจ้าตอนนี้ เข้ามาเจอธรรมะขั้นนี้ ถ้ากำลังใจยังอ่อนแบบนี้ ลาซะง่ายกว่า สบายกว่าเยอะ ยังไม่ต้องเหนื่อย การอธิษฐานเป็นนางแก้ว อย่าคิดว่าสบาย ส่วนใหญ่ คนที่มาอธิษฐาน ก็มักจะอธิษฐานตอนพระโพธิสัตว์ท่าน อยู่ในช่วงต้นบ้าง ถ้าอยู่อธิษฐานตามมาตั้งแต่ช่วงต้น อันนั้นก็ถือว่าเป็นนางแก้วแท้ๆ นางแก้วแท้ๆก็คือเริ่มสร้างบารมีตั้งแต่พระโพธิสัตว์นั้น ตั้งจิตอธิษฐานตั้งแต่แรกๆ บางคนพระโพธิสัตว์ท่านบำเพ็ญบารมีมาจนถึงอุปบารมี ช่วงอุปบารมีจะเป็นช่วงที่เกิดมาเป็นกษัตริย์ เกิดมาใหญ่โต เกิดมามีฤทธิ์ เกิดมามีเครื่องมือช่วยต่างๆ กำลังเป็นช่วงที่บารมีขึ้น ทุกอย่างส่งเสริมไปหมด ในช่วงที่เป็นอุปบารมีนั้น ก็จะมีหลายคน เห็นพระโพธิสัตว์องค์นี้ท่านเป็นกษัตริย์ท่านยิ่งใหญ่ ท่านสง่างาม ตอนนี้ก็เลยมีจิตที่ปรารถนา ซึ่งหากกำลังใจไม่ได้มีความเข้มข้นเข้มแข็งอดทนอย่างแรงกล้าจริงๆ ถึงเวลาก็อาจจะลา หรืออาจจะเปลี่ยนไปตามองค์นั้นองค์นี้ ไปตามเรื่อง อันนี้ก็คือบารมียังไม่สูงมาก

จงจำไว้ว่าพระโพธิสัตว์ พอถึงเวลาที่ท่านเป็นปรมัตถบารมี อย่าคิดว่าท่านสบาย พระโพธิสัตว์ที่เป็นปรมัตถบารมี ให้ลองดูพระเวสสันดรเป็นตัวอย่าง 10 พระชาติสุดท้ายของพระพุทธองค์ ไม่มีชาติไหนเลยที่สบาย ล้วนแต่หนักหนาสาหัสในแต่ละพระชาติของพระองค์ทั้งสิ้น ลองคิดเอาว่าในยุคของพระเวสสันดร พระเวสสันดรนั้นดีแสนดี มีแต่ให้ อาณาประชาราษฎร์ ท่านทรงให้ทาน ไม่ให้มีความเดือดร้อน ใครเดือดร้อนอดอยาก ท่านก็ให้ทาน พระราชทานของให้ เพียงแต่แค่เมื่อ ไปมอบช้างปัจจัยนาเคนทร์อันเป็นช้างคู่บุญของเมือง ให้กับพราหมณ์เมืองอื่น ซึ่งมาขอ เพราะเมืองนั้นเป็นเมืองที่เกิดความแห้งแล้งอดอยาก ช้างปัจจัยนาเคนทร์ไปที่ไหน ที่นั้นเกิดฝนตก เกิดความอุดมสมบูรณ์ ชาวเมืองก็เกิดมีความโกรธ มีม็อบมาปลุกระดม ให้เกลียดชังพระองค์ ให้ขับไล่จากเมือง ซึ่งหากย้อนไปในอตีตังสญาณ จริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่ขับไล่จากเมือง จะลากตัวมาประหารกันด้วยซ้ำ คนที่คิดร้ายกับผู้ที่ให้ ที่ช่วยเหลือ ลองคิดเอาว่ากำลังใจของพระโพธิสัตว์ พระเวสสันดรในขณะนั้น คิดว่าน่าจะเสียพระทัยแค่ไหน คนที่ตัวเองเคยช่วย เคยรัก อาณาประชาราษฎร์ที่ตัวเองเคยช่วยเหลือ กลับมาขับไล่ กลับมาเหมือนจะประหัตประหารให้ได้ คิดไปแล้วก็คลับคล้ายคลับคลา กับยุคสมัยปัจจุบัน จนพระองค์ต้องหนีไปอยู่ในป่าหิมพานต์กับพระนางมัทรี ถามว่าพระนางมัทรีนั่นก็คือเป็นนางแก้วคู่บุญบารมีของพระเวสสันดร ต้องไปอยู่ในป่า ต้องไปยากลำบาก จากเป็นนางกษัตริย์ จากที่อยู่สบาย แต่ก็ไม่ได้ทอดทิ้งพระองค์ ที่เล่ามาถึงประมาณนี้ ก็อยากจะชี้ให้เห็นว่าการเป็นนางแก้วนั้น ต้องตกระกำลำบาก ร่วมทุกข์ร่วมสุข กับพระโพธิสัตว์ อันนี้ก็เป็นกำลังใจ ซึ่งถ้าคิดพิจารณาดูให้ดี พระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมี 4 อสงไขย 8 อสงไขย 16 อสงไขย นางแก้วก็ต้องบำเพ็ญบารมี 4 อสงไขย 8 อสงไขย 16 อสงไขย เพียงแต่หย่อนกว่ากันบ้างไม่มาก ดังนั้นคิดว่าจะต้องมีบารมีมากเท่าไหร่ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เล่าให้ฟัง กับอีกเรื่องก็คือพุทธภูมิ ถ้าอุปบารมี มีตัวช่วยมาก มีความร่ำรวย มีความพรั่งพร้อม แต่เมื่อไหร่ที่เป็นปรมัตถบารมี ลำบากแสนสาหัส ยิ่งชาติท้ายมากเท่าไหร่ ยิ่งพบเจอสิ่งต่างๆ บททดสอบต่างๆ มากมาย

ดังนั้นอันนี้ก็เป็นกำลังใจที่เรา เมื่อไรที่พบเจอพระโพธิสัตว์ เราจึงควรที่จะถวายกำลังใจให้ท่านทุกท่านทุกพระองค์ ไม่ว่าจะพระองค์ใดก็ตาม กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ เพราะบารมีก็คือกำลังใจ เราก็เพิ่งโมทนาบุญกับท่าน ทุกท่านทุกพระองค์ ในยามลำบาก บารมีบุญกุศลในยามที่โปรดพระโพธิสัตว์ ลองคิดเอาว่า ทำไมอานิสงส์ของการที่เราทำบุญกับพระโพธิสัตว์ แล้วได้อานิสงส์สูง ท่านยังไม่สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ท่านยังโปรดคน ช่วยเหลือคนสร้างบารมี ก็มากมายมหาศาลแล้ว แต่เมื่อไหร่ก็ตาม หากท่านลาพุทธภูมิไป ผลในอนาคต หากท่านบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ท่านรื้อขนสรรพสัตว์ไปได้ กี่แสนโกฏิดวงจิต แต่หากท่านลาพุทธภูมิไปซะก่อน ท่านมาใช้หนี้พุทธภูมิ ก็อาจจะช่วยสักแสน สักล้านดวงจิตให้ไปพระนิพพานได้ แต่หากการปรากฏเกิดของพระพุทธเจ้าปรากฏอุบัติขึ้นบนโลก เกิดแสงสว่าง เกิดเนื้อนาบุญ เกิดพระอรหันต์ เกิดผู้เข้าถึงพระนิพพานจำนวนมากมายมหาศาล ดังนั้นการทะนุบำรุง ให้กำลังใจพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย จึงเป็นเรื่องสำคัญ พระพุทธเจ้า ใช้คำว่า พระโพธิสัตว์ทั้งหลายก็เป็นเหมือนกับบุตรของสมเด็จองค์ปฐมทุกองค์ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายเป็นลูกของสมเด็จองค์ปฐม พระโพธิสัตว์เป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ของพุทธะ คือต้นโพธิจิต ที่จะงอกงาม แผ่กิ่งก้านสาขา ให้ความร่มเย็นต่อสรรพสัตว์ในสังสารวัฏต่อไป

กำหนดจิตเมื่อพิจารณากำหนดรู้แล้ว เข้าใจแล้ว เราก็กำหนดในความเป็นอาทิสมานกาย ขอความรู้ตื่นขึ้น ว่าตัวเรานั้นอยู่ในวิสัยใด หากใครที่ตั้งจิตอธิษฐานจะลาพุทธภูมิก็ดี หรือตั้งจิตอธิษฐานจะลาจากการเป็นนางแก้วก็ดี หรืออธิษฐานจากการที่คิดว่า  จะไปเกิด จะไปจุติไปเป็นพระอัครสาวก ไปเป็นพระอสีติมหาสาวกในพระพุทธเจ้า ในอนาคตกาลเบื้องหน้า แต่กำลังใจของเราตอนนี้ เรากำหนดจิตว่า เราไปพระนิพพานดีกว่า กำหนดรู้ได้ว่ายังเป็นระยะเวลายาวไกล เราก็กำหนดน้อมถามพระพุทธองค์ ว่าพระพุทธองค์ทรงเมตตา พิจารณาดู ว่าสิ่งใดจะเป็นประโยชน์ต่อโลก ต่อสรรพสัตว์ และตัวจิตของข้าพเจ้าเองมากกว่ากัน หากแม้นข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ในวิสัยที่เกิดประโยชน์สูงสุด แต่หากการที่ไปพระนิพพานได้ในชาตินี้เกิดประโยชน์กว่า ก็ขอให้ข้าพเจ้าลาไปพระนิพพานชาตินี้ หากประโยชน์ที่จะพึงเกิดในอนาคตกาล ในการที่ข้าพเจ้าบำเพ็ญบารมีต่อไป มีต่อมวลหมู่เวไนยสัตว์สูงกว่า ก็ขอให้ข้าพเจ้าบำเพ็ญบารมีต่อไป และพระพุทธองค์ทรงเมตตา แสดงพุทธพยากรณ์ด้วย เราก็ตั้งจิตกัน สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นเรื่องปัจเจกบุคคล เป็นเรื่องที่เป็นปัจจัตตัง เราก็กำหนดรู้ได้ด้วยตัวเอง หากอารมณ์ใจเรารู้สึกเต็มที่ ขอไปนิพพานดีกว่า เราก็กำหนดจิต ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งจิตว่าเราจุดเดียวเท่านั้นในการปฏิบัติ เราปรารถนาพระนิพพาน

ตอนนี้ก็ให้เราแต่ละบุคคล ทรงอารมณ์ผ่องใสสูงสุด สว่าง อาทิสมานกายสว่าง บุญทั้งหลาย เราบำเพ็ญมามากมายเท่าไหร่ ขอจงมารวมตัวกัน ไม่ว่าเราจะเป็นวิสัยของสาวกภูมิก็ดี วิสัยของพุทธภูมิก็ดี วิสัยใดก็ดี ขอจงรู้ตื่นขึ้น รวมบุญ รวมบารมี บุญกุศลจงตื่นขึ้น และอธิษฐานพิเศษ ขอสิ่งที่เป็นทิพย์ทั้งหลาย ที่เคยได้รับจากพระพุทธเจ้า จากพระอินทร์ จากเทพพรหมเทวา จากหลวงพ่อ จากครูบาอาจารย์ ของวิเศษทั้งหลายบนโลกทิพย์ ขอจงมาปรากฏ และรู้ตื่นขึ้น ขอให้จิตข้าพเจ้าจงรู้ตื่นขึ้น ที่จะใช้ของทิพย์ต่างๆนั้น บางคนได้ตรี บางคนได้จักร บางคนได้พระขรรค์ บางคนได้แก้วสารพัดนึก สิ่งต่างๆที่เป็นทิพย์ ที่เคยได้ทั้งหมด ขอจงมารวมตัว และข้าพเจ้าจงนำมาใช้ นำมาสร้างประโยชน์ นำมาสร้างบารมีบนโลกมนุษย์ ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ขออภิญญาฤทธิ์ ขออิทธิฤทธิ์ ขอพรทั้งหลาย ที่ได้รับประสิทธิ์ประสาท มาจากพระพุทธเจ้า พรทั้งหลายอันประสิทธิ์ประสาทมาจากท่านท้าวมหาพรหม พรทั้งหลายที่ได้รับประสิทธิ์ประสาทมาจากพระอินทร์ พรทั้งหลายที่ได้รับประสิทธิ์ประสาทมาจากครูบาอาจารย์ พระอริยเจ้า พระอริยสงฆ์ ขอจงเกิดความศักดิ์สิทธิ์สำเร็จอัศจรรย์ขึ้นด้วยเถิด

กำหนดจิตให้ผ่องใสอาทิสมานกายสว่างเจิดจ้าอย่างยิ่ง ตอนนี้หลายคนก็ได้รับสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาจากเบื้องบน แล้วก็บอกพร้อมๆกันในเวลาช่วงนี้มีบางคนขึ้นไปฝึกข้างบน ฝึกมโนมยิทธิบนพระนิพพาน พระพุทธเจ้าก็ดี พระโมคคัลลานะก็ดี ก็สั่งให้รวบรวมเอาของวิเศษที่เคยได้ มาฝึก มาใช้ มาที่อธิษฐานจิต ตอนนี้ก็ถือโอกาส รวมให้กับทุกคนทีเดียว พยายามใช้ลูกแก้ว ได้มากี่ลูกแล้ว ถ้าได้ซ้ำกันหลายชิ้น ก็กำหนดรวมเป็นหนึ่ง ลูกแก้วจากเมืองบาดาล ลูกแก้วจากพระอินทร์ ลูกแก้วที่ได้จากพระพุทธองค์ ลูกแก้วที่ได้จากพระโพธิสัตว์รวมเป็นหนึ่ง พรทั้งหลายผนึกเป็นหนึ่ง กำลังความศักดิ์สิทธิ์จงรวมล้อมทวีคูณขึ้นเป็นหนึ่ง ตรงจุดนี้ก็ให้เราแต่ละคน ไปฝึก ไปพิจารณาเองนะ ไปปฏิบัติต่อกันเองนะ พาทำ พานำ ให้ในจุดนึง แต่ที่เหลือเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลที่ต้องฝึก ต่อปฏิบัติ ต่อให้เข้มข้นขึ้น ชัดเจนขึ้น

เมื่อกำหนดจิตอธิษฐานแล้ว คราวนี้ก็ตั้งจิต แยกอาทิสมานกาย กราบทุกท่าน ทุกพระองค์ กราบพระพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐมบนพระนิพพาน จากนั้นกำหนดจิต กราบลาทุกท่านเรียบร้อย อธิษฐานตั้งกำลังใจว่า เราทรงอารมณ์กรรมฐานบนพระนิพพาน กำลังบุญมากมายมหาศาล อานิสงส์มากมายมหาศาล สิ่งใดที่เราอธิษฐานหลังกรรมฐาน มีกำลังบุญความศักดิ์สิทธิ์ กำหนดจิตในสิ่งที่ชอบ สิ่งที่เป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นธรรม ให้บารมีทุกคนเปิดขึ้น รู้ตื่นขึ้นในจิต อภิญญารวมตัว สรรพวิชาทั้งหลายรวมตัว ของวิเศษ ของคู่บุญบารมีทั้งหลาย จงเปล่งประกายความศักดิ์สิทธิ์เต็มกำลัง  จากนั้นให้เราทุกคน ต่างโมทนาสาธุกับกัลยาณมิตรทุกคน ที่ปฏิบัติธรรมร่วมกัน กัลยาณมิตรทุกคนที่มาตามปฏิบัติในภายหลัง น้อมว่าบุญทุกคน ขอให้ถึงพระนิพพาน บุญนั้นจงเกิดกับทุกคน ความผ่องใส ความเจริญรุ่งเรือง จงเกิดกับทุกคน สายบุญ สายบารมี สายทรัพย์ จงเปิดความคล่องตัว จงเกิดขึ้นกับทุกคน

จากนั้นก็กำหนดจิต อธิษฐานน้อมนำอาทิสมานกาย พุ่งกลับมา ผ่านกระแสบุญศักดิ์สิทธิ์จากพระนิพพาน ที่เป็นท่อพลังงานขนาดใหญ่ ลงมาที่กายเนื้อ ถ้าใครพุ่งลงมาแล้วรู้สึกว่า มันมีกระแสต้านๆไม่ค่อยอยากลง ถือว่าดี ถ้าตอนกลับ กายเนื้อพุ่งพรวดอย่างรวดเร็ว ก็ยังถือว่าจิต ก็ยังมีความเกาะกายอยู่ยัง ไม่เป็นไรนะ ก็ตามวาระ ค่อยๆฝึก ค่อยๆปฏิบัติ แยกกายเนื้อกายทิพย์ กายทิพย์ยิ่งแยกจากกายเนื้อมากเท่าไหร่ จิตตานุภาพ พลังแห่งกายทิพย์ ยิ่งเพิ่มพูนมากเท่านั้น กายทิพย์ยิ่งสว่างมากเท่าไหร่ พลังกายทิพย์ยิ่งมากมายเท่านั้น สำหรับวันนี้ ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน ขอให้น้อมนำ การปฏิบัติไปประยุกต์ใช้ ไปพิจารณาสร้างความเข้าใจให้เกิดประโยชน์ ทั้งทางโลกและทางธรรม ให้เกิดความรุ่งเรือง ทั้งชีวิตในความเป็นมนุษย์ และผลแห่งการปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน สำหรับวันนี้ สวัสดีพบกันใหม่สัปดาห์หน้านะครับ โมทนากับทุกคน ให้มีความสุขความเจริญ แล้วก็อย่าประมาทนะ เตรียมตัว เตรียมกาย เตรียมใจนะ เรื่องสถานการณ์บ้านเมืองต่างๆ ความเปลี่ยนแปลง ภัยธรรมชาติ ก็อย่าประมาท สำหรับวันนี้สวัสดีครับ 

ถอดความและเรียบเรียงโดย : คุณวรรณภา

You cannot copy content of this page