green and brown plant on water

เพิ่มพูนพลังกายทิพย์

เวลาอ่าน : 4 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”  

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม 2565

เรื่อง เพิ่มพูนพลังกายทิพย์

โดย อาจารย์ คณานันท์  ทวีโภค

สวัสดีนะครับทุกๆท่าน สำหรับวันนี้เราฝึกสมาธิกัน วางอารมณ์จิตของเราให้เบาๆสบายๆ กำหนดจิต ใช้สติ ติดตามกำหนดดู กำหนดรู้ในลมหายใจสบายๆ กำหนดความรู้ตัวทั่วพร้อม ผ่อนคลายทั่วร่างกายของเราทั้งหมด พร้อม กับกำหนดว่า ทุกครั้งที่เราผ่อนคลายร่างกาย เราตัดร่างกาย ตัดความสนใจในร่างกาย เราวางกาย เราทิ้งกายไป พร้อมๆกัน แล้วมากำหนดรู้อยู่กับลมหายใจสบาย และรู้ในอารมณ์สบาย ลมหายใจสบายๆเบาๆละเอียด จนเข้าถึง ความสงบ สงบนิ่งเป็นเอกัคคตารมณ์ ใจแย้มยิ้มเบิกบานอยู่ภายใน จิตเกิดปัญญารู้เห็นรู้เท่าทันในสภาวะ น้อมจิตของเราเข้าสู่สภาวะความสงบนิ่ง ผ่องใส จิตมีความเบิกบาน มีความอิ่มใจ จิตมีความเบา มีความสบาย ปราศจากความเกร็ง ความเครียด ความหนักสลายออกไปจากจิตของเรา นิวรณ์ 5  ความกังวลทั้งหลาย ความหนักทั้งหลายสลายออกไปจากจิตของเรา ก็เหลือเพียงความโล่ง โปร่ง สงบ เบาและผ่องใส ความสุข ความเอิบอิ่มปรากฏขึ้น เป็นความสุขความสงบในระดับของฌาน ของสมาธิ กำหนดรู้ในนิ่ง รู้ในความสงบ รู้ในความเบา และรู้ในความผ่องใส ความสุขทั้งหลายที่ปรากฏจากองค์สมาบัติ องค์สมาธิ เป็นความสุขอันไม่เกี่ยวข้อง อันไม่ได้เนื่องด้วยกาย เป็นความสุขจากความเบาของจิต จากการที่เราวาง ว่าง สงบ เบา ทรงอารมณ์แห่งความสงบนี้ไว้ เพื่อให้จิตเกิดฌานคือความเคยชิน เกิดสภาวะที่ชินกับการทรงอารมณ์ สงบ นิ่ง ผ่องใส ใจยิ้ม ใจแย้ม เอิบอิ่มภายใน นิ่งพักจากการปรุงแต่งทั้งหลาย นิ่งสงบพักจากความกังวลและนิวรณ์ 5 ทั้งหลาย สงบนิ่ง เอิบอิ่ม เป็นสุข เสวยอารมณ์ความสุขแห่งฌานสมาบัติ ความสุข ความเอิบอิ่มที่ปรากฏนี้ คืออาหารที่หล่อเลี้ยงดวงจิตของเรา เป็นธรรมารมณ์ที่หล่อเลี้ยงเป็นอาหารของจิต จิตยิ่งอิ่ม ยิ่งได้พัก ยิ่งมีความสุข  จิตยิ่งมีกำลัง จิตยิ่งเกิดจิตตานุภาพ กำหนดรู้ ทรงอารมณ์ไว้  ยิ้ม สงบ สุข ผ่องใส ใจสบายๆ

จากนั้นจึงกำหนด ที่กลางหน้าอกของเรา ปรากฏดวงแก้วใสสว่าง จากดวงแก้วใสกลายเป็นเพชรระยิบระยับเพชรที่ระยิบระยับนั้น เปล่งรัศมีออกไปเป็นเส้น รายล้อมรอบตัวเรา และเลยจากเส้นรัศมีของดวงจิต ก็ปรากฏอานุภาพ ความเป็นเพชรแพรวพราวระยิบระยับรายล้อมรอบ เป็นรัศมีกระจายครอบคลุมเพิ่มกว้างไกลออกไป จนกระทั่งคลุมบ้าน คลุมห้องนี้ ที่เราฝึกสมาธิ ที่เราฝึกปฏิบัติธรรม รายรอบจากรัศมีกายปรากฏเป็นสภาวะแห่งความเป็นทิพย์ ระยิบระยับแพรวพราวคลุมกระจายสว่างออกไป กำหนดจิตน้อมขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอให้ข้าพเจ้าเห็นสภาวะของกายทิพย์ อทิสมานกาย รัศมีกายและพลังที่ปรากฏขึ้นจากจิตตานุภาพ กำลังบุญ กำลังจิต กำลังบุญฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ ที่รวมตัวกันเป็นสภาวะความเป็นทิพย์ กำหนดน้อมจิตเห็นอทิสมานกายของเรา กำหนดอธิษฐาน ให้อทิสมานกายนี้ปรากฏ ยังปรากฏอยู่บนโลกมนุษย์ อยู่ภายในห้อง เบื้องหน้าที่เราฝึกสมาธิ ยืนอยู่ ในท่ายืน กำหนดจิตเห็นอทิสมานกายนั้นสว่าง สว่างรายรอบรัศมีกายเป็นเส้น เป็นแฉก สว่างกระจายออกชัดเจน ความรู้สึกของเรา ไม่ได้อยู่ที่กายเนื้อความรู้สึกของเรา รู้สึกว่าเรากำลังยืนอยู่ เราคืออทิสมานกาย และอทิสมานกายนั้นภายในอก ก็มีลูกแก้วชัดเจนสว่างแสงสว่างปรากฏ กายของอทิสมานกาย เป็นกายของแสงสว่างเจิดจ้า และเส้นรัศมีกายที่พ้นจากขอบเขตของกายนั้น ก็ปรากฏเป็นเส้นแฉก มีความเข้ม มีเหลือบแห่ง 7 สีประกายพรึกปรากฏอยู่ เรารู้สึกได้ว่ากายของเราขณะนี้เปล่งแสงสว่างและมีเส้นของแสงที่เป็นรัศมีกายพุ่งออกไป รายรอบและกำหนดน้อมจิตต่อไป พ้นจากปลายของรัศมีกายก็ปรากฏสภาวะความเป็นทิพย์ เป็นประกายระยับแพรวพราว รายรอบครอบคลุมไกลออก ห่างออกไป เลยจากรัศมีกาย ความแพรวพราว ความระยิบระยับปรากฏชัดเจน กำหนดในความเป็นอทิสมานกายชัดเจน อธิษฐานจิต ค่อยๆน้อมพิจารณาให้เรากำหนดเห็นสภาวะของทั้งกายทิพย์หรืออทิสมานกาย ชัดเจนเป็นแสงสว่าง เห็นปรากฏเส้นรัศมีกายที่เป็นเส้น กระจายพุ่งออกโดยรอบเป็นเส้น และสภาวะความเป็นทิพย์ ที่เกิดจากรัศมีกาย เกิดจากจิตตานุภาพ เกิดอาณาบริเวณครอบคลุมในความเป็นทิพย์

จากนั้นกำหนดจิตพิจารณา ลองฝึก ลองใช้ ลองเพิ่มพูนพลังกายทิพย์ของเรา อาทิสมานกายนั้นก็คือกายทิพย์ คือจิตที่ก่อรูปเป็นกาย เราอันที่จริงนั้นก็คือดวงจิตหรือกายทิพย์ อทิสมานกายที่มาอาศัยร่างกายเนื้อนี้ ตามแรง ตามสภาวะ ตามกรรม และผลของกรรม แต่วันนี้เราจะมีการฝึกพิเศษ คือฝึกเพื่อให้เราเห็น และฝึกเพื่อจะเพิ่มพูนพลังของกายทิพย์ ตอนนี้ก็ให้เรากำหนดในความรู้สึกว่า เราคืออาทิสมานกายที่ยืนอยู่ มีแสงสว่าง จากนั้นให้เรากำหนดอาทิสมานกายพนมมือขึ้น จากนั้นกำหนดจิต นึกถึงบุญกุศลที่เราได้ร่วม ทำบุญถวายมหาสังฆทาน หรือบางคนได้อนุโมทนา กำหนดจิตว่า ขอให้บุญจากการถวายมหาสังฆทานร่วมกันนี้ จงรวมตัวกัน บุญคือความอิ่มใจ บุญคือแสงสว่าง พนมมือและกำหนดว่าขอกำลังแห่งบุญมหาสังฆทานจงปรากฏต่อกายทิพย์และรัศมีกายของข้าพเจ้า น้อมนึกโมทนาอิ่มใจในบุญ ในกุศลที่สำเร็จประโยชน์แล้ว อิ่มใจในสามัคคีธรรมที่เราร่วมกันบำเพ็ญทานบารมี บางคนทำน้อย บางคนทำมาก  แต่ด้วยสามัคคีธรรม ทำให้ทานนั้นกลายเป็นทานใหญ่ เป็นกองบุญใหญ่ ซึ่งลำพังตัวเราก็อาจจะไม่สามารถกระทำเพียงคน เดียวได้ แต่เมื่อรวมกองรวมบุญรวมกลุ่มด้วยสามัคคีธรรม บุญนั้นก็กลายเป็นบุญใหญ่มหาศาล กำหนดจิต น้อมให้ใจยิ่งมีความสุข มีความเอิบอิ่ม ยิ่งมีความสุข ยิ่งมีความเอิบอิ่ม แสงสว่างของกายทิพย์ยิ่งเพิ่มพูน ยิ่งสว่างขึ้น ใสขึ้น รัศมีกาย ยิ่งแผ่กระจายขึ้น ชัดเจนขึ้น สว่างขึ้น ทั้งความสว่างและระยะการขยายขอบเขตของรัศมีกายยิ่งสว่างขึ้น สภาวะความ เป็นทิพย์ที่รายรอบล้อม ก็ยิ่งแพรวพราวระยิบระยับเป็นเพชรมากขึ้น กายทิพย์ของเรา อทิสมานกายนี้มีกำลังแห่งบุญอย่างยิ่ง

กำหนดน้อมต่อไป ว่าบุญทั้งหลาย ทาน ศีล ภาวนา นับตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันชาติ บุญทั้งหลาย กุศลทั้งหลาย สังฆทานทั้งหลาย การตักบาตร การถวายสังฆทาน การให้ทาน การสร้างวิหารทาน รวมไปจนถึงบุญกุศลทั้งหลาย การฝึกสมาธิ การรักษาศีล การเจริญสมาบัติ ขอจงรวมตัวรวมบุญ อทิสมานกายเรายิ่งสว่างขึ้น ขยายใหญ่ขึ้น เส้นรัศมีกายยิ่งสว่างขึ้น กายทิพย์แผ่อนุภาคสภาวะความเป็นทิพย์ ครอบคลุมกว้างขวางขึ้น มีความระยิบระยับมากขึ้น สูงขึ้น กายทิพย์ยังขยายขอบเขตสว่าง มากขึ้นอยู่ตลอดเวลา ใจเรายิ่งเป็นสุข ยิ่งยิ้มยิ่งผ่องใส ใจยิ่งมีความเอิบอิ่ม ยิ่งเป็นสุข ทำความรู้สึกว่ายิ่งเป็นสุข จิตยิ่งเอิบอิ่ม รัศมีกายยิ่งสว่าง ความเป็นทิพย์ ความแพรวพราว  ความระยิบระยับยิ่งปรากฏ ยิ่งชัดเจนมากขึ้น ทรงอารมณ์ไว้ เข้าถึงสัมผัสในสภาวะ เข้าถึงอารมณ์จิต เข้าถึงสภาวะความเป็นทิพย์ นับแต่นี้อทิสมานกาย กายทิพย์ของข้าพเจ้าสอดประสานกับรัศมีกาย และสภาวะความเป็นทิพย์ที่รายล้อมอยู่อย่างสมบูรณ์ จิตตานุภาพของข้าพเจ้าบังคับควบคุมขยายขอบเขตรัศมีแห่งกาย สภาวะความเป็นทิพย์ได้อย่างง่ายดายเป็นปกติ ใจยิ่งมีความสุข ยิ่งมีความเอิบอิ่ม กำหนดจิตต่อไปนะ ทรงสภาวะกายทิพย์ กำหนดจิตให้สว่างเต็มกำลัง มีความสว่างอย่างยิ่ง แสงสว่างของรัศมีกายยิ่งสว่างเจิดจ้าขึ้นอย่างยิ่ง เส้นรัศมียิ่งพุ่งสว่างคมชัด มีพลังปรากฏ สภาวะความเป็นทิพย์ รายล้อมรอบ ยิ่งแพรวพราวระยิบระยับมากขึ้น ขยายขอบเขตมากขึ้น แต่จุดที่สำคัญที่สุดก็คือกายทิพย์ สว่างเจิดจ้าเป็นแสงสว่าง จนกระทั่งความรู้สึกของเราบุคคลธรรมดาทั่วไป ด้วยแสงสว่างขนาดนี้ก็ไม่อาจที่จะลืมตามองตาเปล่าได้ แสงสว่างของรัศมีกายเราเจิดจรัสอย่างยิ่ง สว่างอย่างยิ่ง กำหนดจิตว่าการฝึกกายทิพย์ การฝึกอภิญญาสมาบัติ จิตตานุภาพและกายทิพย์ของข้าพเจ้ามีพลังเพิ่มขึ้น สูงขึ้น พัฒนาก้าวหน้าในพลังแห่งกายทิพย์ รัศมีกายของข้าพเจ้านี้มีความ บริสุทธิ์ มีกำลังแห่งสมาบัติ กำลังแห่งฌาน ทรงอารมณ์ ทรงแสงสว่างของกายทิพย์ไว้

กำหนดน้อมพิจารณานะ ตอนนี้ ว่านับแต่นี้ การฝึกกายทิพย์ การฝึก การกำหนดในความเป็นอทิสมานกายและ รัศมีกายตลอดไปจนถึงสภาวะความเป็นทิพย์ เราฝึกโดยเป็นกำลังของตัวเราเอง ยิ่งเรามีความก้าวหน้าในการฝึกมาก เท่าไหร่ ยิ่งแสงสว่างของรัศมีกายเราเพิ่มพูนมากขึ้นเท่าไหร่ ขอบเขตของรัศมีกายเรามากขึ้นเพียงใด ในยามที่เราฝึกโดยผนวกเอา การฝึกกายทิพย์ผนวกร่วมเสริมกับการฝึกมโนมยิทธิ ฐานเรามีกำลังสูง ยิ่งในยามที่เราใช้กำลังของมโนมยิทธิ น้อมจิตอาราธนาบารมีพระพุทธองค์ อาราธนาบารมี ครูบาอาจารย์ มาส่งเคราะห์เพิ่มคูณสอง กำลังแห่งมโนมยิทธิของข้าพเจ้า ก็ยิ่งกลายเป็นมโนมยิทธิเต็มกำลังเพิ่มขึ้น มีความสว่าง มีความชัดเจน มีกำลังแห่งจิตตานุภาพ มากกว่าบุคคลทั่วไปธรรมดาที่ไม่ได้ฝึกพิเศษ หรือฝึกพลังกายทิพย์โดยละเอียดเช่นนี้ เมื่อเราพิจารณาแล้ว เราก็ กำหนดการฝึก การปฏิบัติ เรามีความเข้าใจในหลักของการปฏิบัติ ถึงเราฝึกจนรู้สึกว่ากำลังของตนเอง มีความสว่าง มีรัศมีกายเจิดจ้า เจิดจรัส กำลังความเป็นทิพย์ครอบคลุมกว้างขวางเพียงใดก็ตาม แต่ข้าพเจ้าทั้งหลาย มีความเคารพ มีความนอบน้อม มีความถ่อมตน ต่อพระรัตนตรัย ต่อพระพุทธองค์ ต่อพระธรรม ต่อพระอริยสงฆ์ และต่อครูบาอาจารย์ ทั้งหลาย ขอความรู้สึกที่ข้าพเจ้าทรงอารมณ์ความเจิดจ้า เจิดจรัส ในกายทิพย์รัศมีกายนั้น ขอจงไม่ก่อให้เกิดมานะทิฐิ ความถือตัว ถือตน ความทะนง ความอหังการ์ขึ้นในจิตของข้าพเจ้า ขอข้าพเจ้าจงเป็นผู้ที่มีกำลังแห่งจิตตานุภาพสูงส่ง แต่ยังเป็นผู้ที่ทรงไว้ซึ่งความเคารพนอบน้อมอ่อนโยนในพระรัตนตรัยอย่างมั่นคง ตลอดไปจนเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ด้วยเทอญ

จากนั้นกำหนดจิต พุ่งอทิสมานกายด้วยความเร็วฉับพลันทันใด เป็นแสงสว่างประดุจดังสายฟ้า ไปปรากฏอยู่ เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐมบนพระนิพพาน เป็นกายที่มีแสงสว่างคมชัดสว่างเจิดจ้า จากนั้นกราบแทบเบื้องพระบาทของ พระพุทธองค์ กราบแทบเบื้องพระบาทของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ โดยเฉพาะองค์ปัจจุบัน หลวงพ่อฯ จากนั้นกำหนดจิตต่อไป  ขึ้นไปบนพระนิพพานกันแล้ว กำหนดจิตต่อไป ขออทิสมานกาย กายพระวิสุทธิเทพของข้าพเจ้า จงยิ่งปรากฏ สว่างชัดเจนเจิดจ้า ชัดเจนยิ่งกว่าการฝึกครั้งใดที่ผ่านมา อทิสมานกายของข้าพเจ้าจงปรากฏกำลัง จงปรากฏแสงสว่าง จงปรากฏความใส จงปรากฏซึ่งความสุข นิพพานัง ปรมังสุขัง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง กำหนดน้อมจนเห็นอทิส มานกาย เราสว่างอยู่บนพระนิพพานชัดเจนน้อมอาราธนาบารมี ขอพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ พระพุทธองค์ในยามที่ปรากฏองค์ให้ข้าพเจ้าเห็นนี้ อันที่จริงแล้ว พระพุทธองค์ท่านทรงเมตตาปรับกำลังแสงสว่าง แห่งรัศมีกายของพระองค์ ท่าน ลงมาให้จิตเราสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน โดยไม่ได้รู้สึกว่าสว่างจัด จนกระทั่งมองไม่เห็น มองไม่ได้ แต่คราวนี้ ในการฝึกของเราในวันนี้ เราคิดว่าเรากำหนดกายทิพย์ เราเป็นแสงสว่างอย่างยิ่งแล้ว

ตอนนี้ให้เราลองน้อมจิตอาราธนา ขอบารมีพระพุทธองค์ทรงเมตตาสงเคราะห์ ขอพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้า ทุกๆพระองค์ได้ทรงเปล่งฉัพพรรณรังสี แสงสว่างแห่งกายของพระพุทธองค์อย่างเต็มกำลัง ขอแสงสว่างแห่งรัศมีกายของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ค่อยๆสว่างขึ้น ยิ่งขึ้น จนสุดกำลังเต็มกำลัง ให้เราค่อยๆดูนะ สัมผัสด้วยจิต ด้วยความเป็นทิพย์นะ แล้วเราก็จะรู้ เริ่มรู้ได้ว่าที่เราเห็นกายทิพย์เราสว่างมาก สว่างจัดแล้ว ถึงเวลาอุปมาดังแสงสว่างของกาย ทิพย์เราเป็นเพียงแค่แสงหิ่งห้อย รัศมีแสงสว่าง รัศมีกายของพระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ สว่างประดุจดังดวงอาทิตย์ แสงของเราไม่อาจจะทัดเทียมหรือสู้พระพุทธองค์ได้ รัศมีกายความสว่างของพระพุทธเจ้า เป็นประทีปแก้ว คือแสงสว่างที่ส่องสว่างไปทั่วทุกภพทุกภูมิ ส่องสว่างไปได้แม้ในโลกันตนรก ส่องสว่างไปได้แม้ในดวงจิตที่ปิดสนิทของอรูปภพ น้อมจิตกราบ โมทนาสาธุ น้อมกราบในบุญที่เรา ได้เห็นแสงสว่างรัศมีฉัพพรรณรังสีของพระพุทธองค์อย่างเต็มกำลัง

จากนั้นกำหนดจิตนะ ขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอพระพุทธองค์ทรงปรากฏเมตตาแสดงพระยมกปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์ต่างๆที่พระพุทธองค์เคยเมตตาแสดงไว้ในยามที่ทรงพระชนม์ชีพ รัศมีกายที่ส่องสว่างเปิดโลก เห็น ไปทั่วทุกภพทุกภูมิ ฝ่ามือข้างหนึ่งปรากฏมีเปลวไฟพวยพุ่งเป็นประกายพรึกสว่าง ฝ่ามือฝ่าพระหัตถ์อีกข้างหนึ่งปรากฏ สายน้ำเย็นแผ่ไปพุ่งไป ในทิศที่ห่างไกล กำหนดจิตน้อมขอให้เราเห็นพระยมกปาฏิหาริย์ ปรากฏในดวงจิต ณ บัดนี้ กำหนดน้อมพิจารณา กําหนดน้อมกราบ จากนั้นพิจารณาต่อไปนะ การที่พระพุทธองค์แสดงพระยมกปาฏิหาริย์นั้น เพื่อโปรดให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ได้มีศรัทธาเลื่อมใส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ศรัทธาเลื่อมใสและปลุกความเป็นโพธิจิต ในครั้งที่ พระพุทธองค์ทรงเสด็จกลับจากการโปรดพระพุทธมารดาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ และเสด็จลงมาสู่โลกมนุษย์ ในระหว่างกลางที่ยังอยู่ในฟ้านภากาศ ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์

การแสดงปาฏิหาริย์ครั้งนี้ กระตุ้น ปลุกตื่น เป็นการหว่านเมล็ดพันธุ์แห่งโพธิจิต มีทั้งมนุษย์และสัตว์ เทวดา พรหมทั้งหลาย หรือแม้แต่มด แมลง มีหลายหมื่นแสนล้านดวงจิตมากมาย ที่ตั้งจิตอธิษฐาน มีจิตปรารภปรารถนา ในพุทธภูมิ คือปรารถนาที่จะอยากเป็นอย่างพระพุทธเจ้าบ้าง เมื่อมีดวงจิต ปรารถนาอยากเป็นพระพุทธเจ้า ก็ถือว่า ความเป็นพุทธคุณเริ่มปรากฏขึ้นในจิต เมล็ดพันธุ์แห่งโพธิจิต ได้เริ่มปลูกลงในดวงจิตดวงนั้น แต่ความเติบใหญ่ของต้น โพธิจิตก็คือการบำเพ็ญบารมี ต้นโพธิ์ในดวงจิตของพุทธภูมิ แต่ละบุคคลจะเติบใหญ่ก็ด้วยการบำเพ็ญบารมีทั้ง 30 ทัศ ต้นโพธิ์แต่ละต้นก็มีการเติบโตแตกต่างกัน และในขณะเดียวกัน ก็เป็นดั่งธรรมชาติ ต้นโพธิ์บางต้นก็ติดเมล็ด ต้นโพธิ์บาง ต้นก็ไม่ติดเมล็ด ไม่ได้เติบโตเป็นต้น เหตุผลก็คือว่าดวงจิตของบุคคลนั้น ยังอาจขาดมีความมั่นคงในความปรารถนา พุทธภูมิอย่างแรงกล้า เมื่อกาลเวลาผ่านไป บางครั้งก็ในชาติเดียวชาตินั้น บางครั้งก็อาจจะผ่านไปแล้ว สิบชาติ ร้อยชาติ หมื่นชาติ แสนชาติ บางคนบำเพ็ญไปแล้ว ผ่านไปถึงหนึ่งอสงไขย แต่ก็ถอดใจสะก่อน เรื่องพวกนี้ก็เป็นเรื่องปกติ ดังนั้นในหมื่นในแสนล้านดวงจิต ที่ผุดเกิดความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า ความพุทธภูมิ ปรารถนาพุทธภูมิเริ่มปรากฏ เมล็ดแห่งโพธิจิตถูกหว่านลงในจิตดวงนั้น แต่บุคคลที่จะเข้าถึงซึ่งความเป็นพุทธภูมิ จนก้าวเข้าสู่ความเป็นพระโพธิสัตว์ คือจิตเริ่มมีทิฐิ ความเข้าใจในปฏิปทาแห่งการสำเร็จซึ่งพระโพธิญาณได้อย่างถูกต้อง ว่าการปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า นั้น ไม่ได้เป็นด้วยทิฐิความคิดที่ว่า เราปรารถนาเพื่อเป็นพระพุทธเจ้าเพราะเป็นคนเก่งที่สุด เป็นคนที่เลิศที่สุด เป็นคน ที่มนุษย์เทวดาก็ทุกคนก็ต้องกราบไหว้ แม้แต่พระยามหากษัตริย์ทั้งหลายก็ยังต้องกราบไหว้พระพุทธเจ้า พระสงฆ์ที่ เป็นผู้ประเสริฐก็ยังต้องกราบพระพุทธเจ้า เราอยากดี เราอยากเก่ง เราอยากเป็นเลิศกว่าบุคคลทั้งหลาย เราจึงอยากปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า หากจิตยังมีความคิดทิฐิเช่นนี้ ก็ยังถือว่าเป็นมิจฉาทิฐิ มีโอกาสที่จะถูกมารล่อลวงให้คล้อย ไปเป็นพุทธภูมิที่เป็นมิจฉาทิฐิได้โดยง่าย เพราะกำลังใจประกอบไปด้วยมานะทิฐิแต่แรก

แต่ในขณะเดียวกัน พุทธภูมิที่วางอารมณ์จิตเข้าใจในปฏิปทา ว่าการเข้าถึงซึ่งความเป็นพระพุทธเจ้านั้น เป็นไปเพื่อทำงานในการรื้อขนมวลสรรพสัตว์ รื้อขนดวงจิตทั้งหลายให้เข้าสู่พระนิพพาน หากเข้าใจ เช่นนี้ได้เมื่อไหร่ ความเป็นพระโพธิสัตว์ปรากฏขึ้นเมื่อไหร่ คติความมั่นหมายในการบรรลุซึ่งพระอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ การเป็นพระ โพธิสัตว์ที่เป็นนิยตโพธิสัตว์มีคติเที่ยงแท้ว่าปรากฏ บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าในการเบื้องหน้าแน่นอน พระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าในชาติใดชาติหนึ่งที่บุคคลนั้นได้พบ ได้ทรงเมตตาพยากรณ์ หากเป็นเช่นนั้นแล้ว การปรากฏซึ่งพระ โพธิสัตว์ที่จะก้าวเติบโตต่อไปเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล อยู่ในพระอนาคตวงศ์ ก็ย่อมปรากฏขึ้น ดังนั้นเป็น ธรรมดาที่บุคคลมากมายมหาศาลที่เคยปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเป็นพุทธภูมิ ได้ลาพุทธภูมิเป็นจำนวนมาก ก็เป็น เรื่องปกติ  เป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ก็ให้เราทราบอย่างหนึ่งว่า การปรากฏซึ่งพระพุทธเจ้านั้น เป็นสิ่งที่ยากอย่างยิ่ง โอกาส ที่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ดวงจิตใดดวงจิตหนึ่ง จะมีโอกาสมาพบพระพุทธเจ้า มาพบพระพุทธศาสนา ก็เป็นเรื่องยากเย็นอย่างยิ่ง โอกาสความเป็นไปได้น้อยยิ่งกว่าน้อย มากกว่า 1 ใน 10 ยกกำลังล้านล้านล้านล้านยากมากมหาศาล สรรพสัตว์ ทั้งหลาย ดวงจิตทั้งหลาย ที่หลงอยู่ในสังสารวัฏแล้วไม่มาพบพระพุทธเจ้า หรือไม่อาจพบพระพุทธเจ้าได้มีมากมาย มหาศาล เหตุผลที่หลงที่หลุดจากการพบหรือการเข้าสู่เขตพระพุทธศาสนาก็ได้แก่  บุคคลบางบุคคลเคยมีโอกาสได้พบ แล้ว แต่มีจิตปรามาส เคยปรามาสพระรัตนตรัย ไม่เห็นคุณค่าของพระพุทธเจ้าหรือพระรัตนตรัย จิตก็ถูกอำนาจแห่ง กรรมที่ปรามาสพระรัตนตรัย ดีดไป ดีดให้หลุด ดีดให้ห่างออกไปจากเขตพระพุทธศาสนาจากพระพุทธองค์ หรือบางครั้ง ดวงจิตดวงนั้นเพลิดเพลินอยู่กับความสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บางครั้งเราไปคิดว่าเทวดาก็ดี พรหมก็ดี มีความเป็นทิพย์ มีความรู้ มีญาณเครื่องรู้ สามารถกำหนดรู้ได้ตลอด

แต่ยังมีเทวดาและพรหมมากมายมหาศาลที่ยังเป็นเทวดา และพรหมที่เป็นมิจฉาทิฐิ ยังมีเทวดาและพรหมมากมายมหาศาลที่ถึงเป็นสัมมาทิฐิ แต่ลุ่มหลงเพลิดเพลินอยู่กับ ทิพยสมบัติ อยู่กับพรหมสมบัติ คือความสุขสงบ อยู่ในฌานไม่รับรู้ ไม่รับทราบในสิ่งใด ดังนั้นดวงจิตเหล่านั้น ก็คลาด ก็พลาดจากการเข้าถึง การเข้าพบ การเข้าสู่เขต พระพุทธศาสนา ไม่ต้องพูดถึงดวงจิตที่ไปจุติเป็นสัตว์เดรัจฉาน อยู่ในขอบเขต อยู่ในสติปัญญา ที่น้อยอ่อนด้อย จนไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ไม่รู้คุณค่า ไม่รู้จะผ่านหรือไปเสวยวิบากกรรมอยู่ในนรกภูมิ เช่น เอาเพียงง่ายๆว่าหากมีจิตสักดวงหรือใครสักคนที่ตกนรกไปในช่วงปัจจุบันนี้ หากตกนรกลงไปแล้ว เอาแค่รับโทษปกติ เป็นไปตามมาตรฐานบุคคล ธรรมดาที่ทำชั่วเป็นปกติ โกหก ดื่มเหล้า ดื่มสุรา มีการผิดศีลกาเม ฆ่าสัตว์บ้างเป็นระยะ  เอาชนิดที่ว่าเรียกว่า ไม่ได้เป็นคนชั่วช้าสามานย์หนักหนาสาหัส ในระดับที่ทำอนันตริยกรรม เอาแค่เป็นคนธรรมดา แต่พลาดลงนรก รับโทษเต็มตาม ปกติ ตบยุงไปกี่สิบกี่ร้อยตัว บี้มด ตกปลา ดื่มเหล้า ไปกี่วัน กี่แก้ว พูดจาโกหกไปกี่ครั้ง เอาชนิดที่เป็นคนธรรมดาสามัญ แต่กรรมที่ทำ หากต้องลงนรก เอาเป็นว่าระยะเวลาของการเสวยกรรมในนรกจนหมด จนพ้นกลับขึ้นมา ก็เป็นอันว่า ผ่านยุคของพระศรีอริยเมตไตรยไปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นเหตุนี้ ครูบาอาจารย์ท่านจึงเมตตาสงเคราะห์ สั่งสอนให้เรา รักษาศีล ให้เราปิดอบายภูมิ เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง ดังนั้นหากเราพิจารณา ในแบบที่เป็นเรียกว่ามหาพิจารณา คือพิจารณาครอบคลุม ครอบคลุมพิจารณามองเห็นครอบทั่วในภพต่างๆภูมิต่างๆ พิจารณามองเห็นแง่มุมของสังสารวัฏ พิจารณาเห็นกาล เห็นเวลา เห็นการเหลื่อมของมิติเวลา ความแตกต่างของภพภูมิที่มีกาลเวลาแตกต่างกัน เราจะเริ่ม เห็นภัยในสังสารวัฏได้อย่างชัดเจนขึ้น และตัวเราหากมีปัญญาเห็นขนาดนี้แล้ว ก็ย่อมเป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติที่เรา ทุกคนสมควรอย่างยิ่ง ที่จะต้องไปพระนิพพานชาตินี้ให้ได้

น้อมจิตพิจารณานะ ขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอญาณเครื่องรู้ของข้าพเจ้า จงครอบรู้รอบถ้วนทั่วในสามภพสามภูมิ เห็นภัยในสังสารวัฏอย่างชัดแจ้งแทงตลอด เข้าใจในอรรถในธรรม เข้าใจในเรื่องของภพ เข้าใจใน เรื่องของเวลาที่ต่างกันในแต่ละภพ เข้าใจเห็นว่ามันมีโอกาส ที่เราจะพลาดจากพระนิพพาน ดวงจิตของดวงสรรพสัตว์ ที่พลาดพลั้ง หลุดจากความดีไปมีมากมายเพียงใด ให้เราน้อมพิจารณาจนเห็น จนจิตของเรายิ่งรู้คุณค่า จิตของเรายิ่งเห็น ค่าในพระนิพพานมากขึ้น ตั้งกำลังใจของเรานะ แต่ละคน ขอไปพระนิพพานชาตินี้ เมื่อพิจารณาแล้วใจผ่องใส ทรงอารมณ์เห็นกายทิพย์ อทิสมานกาย กายพระวิสุทธิเทพ เราสว่างเป็นเพชรระยิบระยับ อยู่บนพระนิพพาน กำหนดจิตน้อม ขอให้ข้าพเจ้ามีความรักในพระนิพพาน รักในพระนิพพาน มั่นคงในพระนิพพาน เป็นหนึ่งเดียวกับพระนิพพาน นิพพานัง ปรมังสุขัง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ทรงอารมณ์ใจให้อทิสมานกาย กายพระวิสุทธิเทพ เราสว่างเป็นเพชร  สว่างที่สุด จิตเป็นสุขที่สุด บุญทั้งหลายส่งผล บุญทั้งหลายจงมาเป็นกำแพงแก้ว ห้อมล้อมครอบทั่วจักรวาล คุ้มครองเราจากกำลังแห่งมารทั้งหลาย บุญจงหนุนนำให้ข้าพเจ้าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้โดยง่าย บุญจงส่งผลให้ ปัญญาญาณข้าพเจ้าเกิดชัดเจนกระจ่าง เข้าใจในธรรมทั้งปวง ขอจิตข้าพเจ้ามีความละเอียดปราณีตลึกซึ้งในธรรม ทรงอารมณ์อยู่บนพระนิพพานไว้ กายทิพย์สว่างผ่องใส ปัญญาญาณกระจ่างรู้แจ้ง ทรงอารมณ์ไว้ ทรงอารมณ์พระนิพพาน ใจสว่างยิ้มอิ่ม อทิสมานกายยิ้ม สว่างใส ว่าง เอิบอิ่ม เป็นสุข ว่างจากความโลภ โกรธ หลง ว่างจากอารมณ์ที่เกาะ ที่ห่วง ที่ยึดในภพภูมิทั้งปวง ใจผ่องใส สว่าง

จากนั้นกำหนดนะ แผ่เมตตาจากพระนิพพาน แผ่ลงมายังอรูปพรหมทั้ง 4 พรหมโลกทั้ง 16 ชั้น มีท่านท้าวสหัมบดีพรหมทรงเป็นประธาน แผ่เมตตาลงมายังอากาศเทวดา คือสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น มีพระอินทร์ตลอดจนถึงท้าว       มหาราช ทั้ง 4 เป็นประธาน แผ่เมตตาลงมายังรุกขเทวดาทั้งปวง ภุมมเทวดาทั้งปวง สรรพสัตว์ทั่วอนันตจักรวาล สัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะอยู่ดาวดวงไหน จักรวาลใด มิติใด แผ่เมตตาต่อไป ยังดวงจิตของโอปปาติกะสัมภเวสีทั้งหลาย ดวงจิตของเปรตอสุรกายทั้งหลาย บรรดาสัตว์นรกที่เสวยวิบากอยู่ทุกขุม ขอท่านลุงพุฒคือ ท่านพระยายมราช เมตตาเป็นประธาน ตลอดจนนายนิรยบาลทั้งหลาย แผ่เมตตาสว่างจากพระนิพพานลงมา คลุมทั้ง สามภพสามภูมิ กำหนดใจว่าใจเรา พ้นจากแรงดึงดูดความห่วงใย ความสนใจในภพทั้งหลาย จิตเราแนบจดจ่ออยู่กับพระนิพพานเพียงจุดเดียว ใจสบายผ่องใสอย่างยิ่ง

จากนั้นน้อมจิต ว่าการปฏิบัติของเรานี้ ขอถวายเป็นปฏิบัติบูชา ตลอดรวมจนถึงในการทำมหาสังฆทาน ทานใหญ่ อันเป็นปรมัตถ์ที่เราควบกำลังใจของการเจริญภาวนา เจริญกำลังแห่งอุปสมานุสสติกรรมฐาน กำลังพระนิพพานควบกับทานบารมี ทาน ศีล ภาวนาเต็มพร้อมเป็นปรมัตถ์ กำหนดจิตถวายเป็นปฏิบัติบูชา ต่อพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสงฆ์ เทพ พรหมเทวาทั้งหลาย พ่อแม่ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ท่านผู้มีพระคุณ ทั้งหลาย กัลยาณมิตรทั้งหลาย ญาติทั้งหลาย ขอน้อมถวายผลบุญ ผลกุศล ขอท่านทั้งหลายได้โมทนา มีส่วนร่วม ได้รับในบุญ ในกุศลเต็มพร้อมทุกประการ และขอแผ่เมตตาพิเศษยังเทวดา พรหมทั้งหลายที่ท่านปกปักรักษาขุมทรัพย์ ขุมสมบัติ สายสมบัติ ห้องสมบัติของข้าพเจ้า ขอท่านเมตตาสงเคราะห์เปิดสายทรัพย์ สายสมบัติ สายบารมีของข้าพเจ้า ให้มาเป็นมนุษย์สมบัติ ยังประโยชน์ต่อข้าพเจ้า ต่อครอบครัว ต่อประเทศชาติ ศาสนา  พระมหากษัตริย์ อย่างอัศจรรย์ ทันใจ มากมายมหาศาลด้วยเทอญ 

ใจสบายๆ วางใจเบาๆ จิตยิ้มเอิบอิ่ม รัศมีกาย สว่างชัดเจนรุ่งโรจน์ ใจสบายผ่องใส จากนั้นหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ 3 ครั้ง หายใจเข้าพุท ออกโธ ครั้งที่ 2 หายใจเข้าธัม หายใจออกโม ครั้งที่ 3 หายใจเข้าสัง หายใจออกโฆ กำหนดน้อมว่ากาย วาจา ใจ กายเนื้อ กายทิพย์  เรามีคุณแห่งพระรัตนตรัย ปกปักรักษา และน้อมจิตค่อยๆถอนออกจากสมาธิ กำหนดจิต พิจารณาโมทนาสาธุกับกัลยาณมิตรที่มาปฏิบัติธรรมทุกคน ทรงอารมณ์กรรมฐาน ทรงสภาวะความ เป็นกายทิพย์ อานิสงส์ใหญ่ปรากฏ กำลังจิตตานุภาพ กำลังอภิญญาปรากฏ ขอโมทนาบุญกับทุกคน ใจเอิบอิ่มผ่องใสขอกำลังของคนดี จิตดี จิตสัมมาทิฐิ จงรวมกลุ่มขยายขอบเขต ยังประโยชน์ต่อโลก ต่อจักรวาล ต่อภพ ต่อภูมิ ต่อมรรคผล ต่อการปฏิบัติ ต่อสรรพสัตว์ทั้งปวง กำหนดใจเราเอิบอิ่มโมทนานะ บุญเกิด บุญส่งผล บุญใหญ่ถูกบันทึกไว้ ในทุกภพบนสวรรค์ บนพรหมโลก บนพระนิพพาน สมบูรณ์แบบ พรั่งพร้อมหมด บุญประจุอยู่ในกายทิพย์ของเรา กายทิพย์ ของเราเปล่งประกายไม่มีอุปสรรค ไม่มีข้อจำกัด จิตเรายิ่งเป็นอิสระ จิตเรายิ่งสว่าง จิตเรายิ่งมีกำลัง จิตเรายิ่งมี ฤทธานุภาพแห่งอภิญญา

สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนากับทุกคนนะครับ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า ต่อไปก็ให้เราสังเกตนะทุกคนจะมีความคล่องตัวมากขึ้น ทั้งทางโลก ทางธรรม การปฏิบัติก็จะรุดหน้าเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด บางคนก็เล่ารายงานผลมาหลังไมด์หลายคน แล้วก็ขอให้ความดี ผลของการขยัน ความเพียรในการปฏิบัติของทุกคน ส่งผลทันใจอัศจรรย์ สำหรับวันนี้สวัสดีครับ

ถอดความและเรียบเรียงโดย : คุณวรรณภา

You cannot copy content of this page