green and brown plant on water

ภารกิจปรับภพภูมิ ณ ดินแดนอาทิตย์อุทัย

เวลาอ่าน : 5 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน” 

วันอาทิตย์ที่ 5 พฤศจิกายน 2566

เรื่อง ภารกิจปรับภพภูมิ ณ ดินแดนอาทิตย์อุทัย

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

กำหนดจิต   ผ่อนคลายทั่วร่างกาย  ตัดวางขันธ์ห้า  ตัดความสนใจในกาย   สติกำหนดรู้ จดจ่ออยู่กับลมหายใจสบาย    จินตภาพเห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหม  พริ้วผ่านเข้าออก กลั่นลมหายใจของเราให้เป็นปราณ จินตภาพเห็นลมหายใจนั้น  ละเอียดระยิบระยับ  พริ้วผ่านภายในกายของเรา   สติกำหนดรู้ในความสงบ  กำหนดรู้ในอารมณ์จิตที่เบาสบาย  อารมณ์จิตที่เบาสบายนั้น  ก็คือ  สุขเวทนา   เป็นสุขอันเกิดขึ้นจากความสงบของใจ  ลมปราณลมหายใจ สัมพันธ์กับอารมณ์ใจ  ลมปราณสัมพันธ์จิตใจฉันใด   ลมหายใจที่ละเอียดอ่อน  มีความเบา  มีความละเอียด   อารมณ์จิตเราก็มีความเบา  มีความสบายฉันนั้น   อยู่กับลมหายใจสบาย  อยู่กับอารมณ์จิตที่เบาสบาย   ซึ่งการที่เรากำหนดในลมหายใจเป็นปราณ  ลมหายใจละเอียดเบา  

ในขณะที่เราทรงอารมณ์อยู่กับ  การกำหนดลมหายใจที่ละเอียดเบาสบายนี้   ร่างกายเราก็ซึมซับ   นำพลังของปราณ  พลังชีวิต  พลังธรรมชาติ  ที่ผ่านลมหายใจเข้ามาหล่อเลี้ยงร่างกายของเราตามไปด้วย    เคล็ดลับอยู่เพียงแต่ว่า  เราสติกำหนดว่าเป็นเพียงลม  หรือเรากำหนด  ว่าสิ่งที่เราปราณ   ปราณก็คือลมหายใจที่มีพลังชีวิต  ไหนๆ เราต้องหายใจทั้งที  เราก็ไม่ให้เสียโอกาส  ให้ได้ทั้งสติในลมหายใจ ทั้งได้หายใจ และได้ซึมซับสะสมปราณพลังชีวิตเข้าไปในกาย   หล่อเลี้ยงร่างกายธาตุขันธ์ 

เมื่อเรากำหนดพิจารณาแล้ว  การปฎิบัติของเราเป็นกำไร  เป็นประโยชน์หลายชั้น  เราก็พึงฝึก  พึงปฏิบัติ    อยู่กับลมละเอียด เป็นประกายระยิบระยับ แพรวพราวพริ้วผ่านภายใน  พริ้วผ่านออกจากกาย   รู้สึกสัมผัสถึงความละเอียดเบา   รู้สึกสัมผัสได้ว่า มวลอากาศรอบกายที่เราหายใจนั้น เป็นประกายระยิบระยับ  เต็มไปด้วยพลังชีวิต     รอบกายของเรามีความแพรวพราว   มีความเป็นทิพย์ปรากฏ  รายรอบห้อมล้อมทั่วกายเนื้อของเราอยู่ อยู่กับลมหายใจที่ละเอียดปราณีต อ่อนโยน เปี่ยมพลัง  ทรงอารมณ์จดจ่อ ในลมหายใจที่หายใจเข้าเป็นปราณ  เป็นพลังชีวิต อารมณ์ใจเราเอิบอิ่มผ่องใส สงบเย็น  อยู่กับความสงบ  เบา ละเอียด ผ่องใส   ทรงอารมณ์ของเราไว้  สัมผัสได้ถึงความสงบใจเรา   รู้สึกสัมผัสได้ว่าจิตของเราได้พักในความสงบ  จิตเกิดปัญญาเรียนรู้  รู้ซึ้งในคำว่าวิหารธรรม  ธรรมอันเป็นเครื่องอยู่  ธรรมอันเป็นที่พักของใจ  ใจเราพักอยู่กับกรรมฐาน  อยู่กับลมหายใจสบาย  อยู่กับความสงบเย็น 

เมื่อจิตของเราเข้าถึงความสงบเย็นแล้ว   กำหนดหยุด  นิ่ง  หยุดการปรุงแต่ง  ในตัวหยุด เรากำหนดจุดที่หยุด จากจุดเล็กๆ ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นเป็นดวงแก้ว   จากดวงแก้วค่อยๆ สว่างใสขึ้น กลายเป็นแก้วที่สว่าง  ดวงแก้วที่สว่างค่อยๆ ปรากฏความเป็นเพชรประกายพรึก  จิตของเราในขณะนี้  ทรงสภาวะในความเป็นเพชรประกายพรึก คือมีประกายแห่งการเจียระไนที่ระยิบระยับแพรวพราว  มีแสงสว่างเปล่งประกายออกมาเป็นเส้นแสง   ภาษาในการปฎิบัติเรียกว่าปฏิภาคนิมิต  ถือว่าเป็นฌานสี่ในกสิณ  ทรงอารมณ์คือกำหนดน้อมผนึกจิตของเรา  รวมกับภาพนิมิตของกสิณ  เรียกว่ากสิณจิต  

กำหนดเห็นจิตเป็นประกายพรึกสว่าง   ดวงแก้ว ดวงจิต อยู่กลางอก  เปล่งประกายแสงสว่างทะลุกายเนื้อ  ทรงอารมณ์  ทรงสภาวะ  ทรงความความรู้สึก ว่าจิตของเราเป็นเพชรประกายพรึก  เป็นปฏิภาคนิมิตนั้น  เป็นจิตอันเป็นประภัสสร  ทรงอารมณ์ที่จิตเป็นประภัสสรนี้ไว้  เปล่งประกาย  เปล่งแสงสว่าง เปล่งความเจิดจ้า เจิดจรัส  จิตมีความสุข มีความเอิบอิ่ม มีความผ่องใสเต็มกำลัง  ทรงอารมณ์ไว้ให้นานมากที่สุด  เป้าหมายในการฝึกนี้  ก็เพื่อที่ว่าเราแต่ละบุคคล   จะได้สามารถทรงอารมณ์   ทรงสภาวะหรือที่เรียกว่า    ทรงฌานสมาบัติได้นานเท่านาน   เท่าที่เราตั้งใจจะทำให้ได้ 

การที่เราทรงอารมณ์  ทรงฌานสมาบัติได้มั่นคงมากเท่าไหร่  สมาธิ ตบะ  กำลังจิตตานุภาพของเราก็จะสะสมมีความแก่กล้าเพิ่มพูนขึ้น   ทรงอารมณ์  ทรงความผ่องใส  จิตเป็นจิตประภัสสร เป็นปฏิภาคนิมิตเต็มกำลัง  ทรงความผ่องใส  ทรงความสว่าง

จากนั้น กำหนดจิตต่อไป  ให้แสงสว่างนั้นกำหนดน้อมเป็นคลื่น  อันเกิดขึ้นจากเมตตา  แผ่แสงสว่างสีทองกระจายรายรอบเป็นวง   มีรัศมีจากจิตของเรา  น้อมนำว่าบุญกุศลทั้งหลาย  ทาน ศีล ภาวนา ความสุข ความอิ่มใจ     สิ่งที่เป็นมนุษย์สมบัติ  สวรรค์สมบัติ  ทิพยสมบัติ  พรหมสมบัติ   นิพพานสมบัติ  กระแสแห่งบุญกุศลแผ่กระจายออก  เป็นประกายแห่งความสงบเย็น  กระแสแห่งสันติสุข  กระแสแห่งความเอิบอิ่ม  กระแสแห่งความบริสุทธิ์วิมุตติหมดจดของใจ  แผ่กระจายรายรอบจากจิตของเรา  

กำหนดน้อมพิจารณาว่า  เมื่อกระแสจิต  กระแสเมตตาจากดวงจิตของเรานั้น  ไปกระทบกับดวงจิตผู้ใด      รูปนามใด  ต้องกายของบุคคลใด  สัตว์ใด  ก็ขอให้ดวงจิตของบุคคลนั้น   สรรพสัตว์นั้น  เกิดมีความเอิบอิ่มในแสงสว่าง  หากเป็นกายทิพย์  ก็ขอให้เกิดแสงสว่างของกายทิพย์   เกิดทิพยสมบัติ   เกิดบุญกุศล  ที่ทำให้เกิดการปรับภพภูมิ   บุคคลที่เป็นกายหยาบ  สัมผัสกระแสได้ ก็ความรู้สึกสงบ ชุ่มเย็น   รู้สึกมีความสบายอกสบายใจ  เย็นกาย เย็นใจเหมือนกระแสคลื่นที่เราแผ่เมตตานั้น   เป็นประดุจน้ำทิพย์ชโลมจิต  ชโลมใจ  บุคคลทั้งหลาย  ให้เข้าถึงความสงบร่มเย็นสันติ   แผ่เมตตาจนรู้สึกได้ว่า  กระแสของความเย็น  ความชุ่มฉ่ำ   แผ่กระจายรายรอบ   จนผิวกายของเราก็รู้สึกได้   ว่าบรรยากาศรายรอบนั้น  มีความเย็นลง  มีความสงบ  มีความเบาสบาย มีความรู้สึกว่าอยู่แล้วเป็นสุข       

แผ่กระแสเมตตาโดยที่จิตของเรานี้  เป็นจุดศูนย์กลางแห่งการแผ่เมตตา  ความสงบเย็น  บุญกุศล            ความร่มเย็นออกไป   แผ่กระแสออกไปเรื่อยๆ ความรู้สึกของเรา เมื่อแผ่เมตตาอันไม่มีประมาณออกไปมากเท่าไหร่   จิตเราเห็นผู้อื่นมีความสุข  ได้รับผลบุญ ได้รับการปรับภพภูมิ  จิตเราก็พลอยมีความสุขยินดี  มีกำลังจิต  มีกำลังใจ     มีพลังงานแห่งความสว่าง   พลังงานแห่งกายทิพย์  พลังงานแห่งบุญ  เพิ่มพูนขึ้น    ยิ่งให้  ยิ่งได้  ยิ่งแผ่เมตตา          จิตตานุภาพ   แสงสว่างความเป็นทิพย์ของกายทิพย์   ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น  แผ่เมตตาสว่าง สงบเย็น เปี่ยมพลังใจออกไป    ใจแย้มยิ้มเป็นสุข  เอิบอิ่ม  

กำหนดรู้   ว่าตอนนี้เราใช้กำลังของเราเอง   ในการเจริญเมตตา  เพื่อให้เราเกิดความตระหนักรู้   ว่าจิตของเรานั้น  เข้าถึงเมตตา   เป็นเมตตาที่เกิดขึ้นจากจิตของเรา   เมื่อเราแผ่เมตตาด้วยกำลังของเราเองแล้ว   เราก็กำหนดว่าการเจริญเมตตา   แผ่เมตตาให้มีกำลังเพิ่มพูนขึ้น  เราก็น้อมจิตเชื่อมกระแสกับพระพุทธองค์  พระพุทธเจ้าทุกพระองค์  พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์  พระอรหันต์ทุกพระองค์   พระโพธิสัตว์    พระมหาโพธิสัตว์   ครูบาอาจารย์ทุกรูป ทุกนาม  เทพพรหมเทวลา

เราน้อมเชื่อมกระแสกับทุกรูป ทุกนาม  ในกระแสฝ่ายกุศล  ฝ่ายสัมมาทิฐิทั้งหมด   จิตมองเห็นเส้นแสงสว่าง  จากองค์พระพุทธเจ้า   พระปัจเจกพุทธเจ้า  พระโพธิสัตว์  พระมหาโพธิสัตว์ พระอริยเจ้า  แต่ละพระองค์เป็นเส้น      จากองค์ท่าน  พุ่งตรงลงมา  ยังกลางจิตกลางใจของเรา   เป็นเส้นแสงจำนวนมากมากมายมหาศาล  นับประมาณไม่ได้กำลังจิตในการแผ่เมตตา  เรายิ่งเพิ่มพูนขึ้น  มากมายทบทวีขึ้น   ส่องสว่างขึ้นจิตยิ่งสว่างขึ้น   กระแสเมตตายิ่ง     เปี่ยมพลัง  เป็นคลื่นพลังงานขนาดใหญ่  ส่งไปได้ทุกภพ  ทุกภูมิ   สามภพ  สามภูมิ  ทั่วสุดขอบรอบเขตจักรวาล        จักรวาลน้อย  จักรวาลใหญ่   มิติที่ซับซ้อนทั้งหลาย   ภพทั้งหลาย  ภูมิทั้งหลาย  

กระแสเมตตาจากจิตของเราขณะนี้  แผ่เมตตาไปได้อย่างไม่มีประมาณ  ทรงความรู้สึกว่าจิตของเรา            แผ่กระแสเมตตา   จิตของเราเป็นประดุจปฏิกรณ์แห่งพลังงานของเมตตา   เป็นแหล่งกำเนิดแสง  แหล่งกำเนิดคลื่นของความสุข  บุญกุศล  เปล่งประกายรายรอบออกไปอย่างไม่มีประมาณ  จิตของเราเข้าถึงเมตตาเจโตวิมุตติ  จิตของเราหลุดพ้นจากความโลภ โกรธ หลง  ด้วยกำลังแห่งเมตตาอันไม่มีประมาณ  จิตในขณะที่เป็นผู้ให้ ย่อมสลายความโลภ  ความอยาก การเบียดเบียนทั้งหลาย  สลายสิ้นจากจิตของเรา  กำลังในการเจริญเมตตาอันไม่มีประมาณ                  เป็นเมตตาเจโตวิมุตติ   จิตวิมุตติ หลุดพ้นหมดจดจากสรรพกิเลส  คือความรัก โลภ โกรธ หลงทั้งปวง  

ยามที่จิตแล้วแผ่เมตตาเป็นผู้ให้  ความโกรธ  ความแค้น  ความเกลียดชัง  ก็สลายสิ้นจากจิตของเรา   จิตของเราบริสุทธิ์หมดจดอย่างยิ่ง   แผ่เมตตาด้วยอารมณ์จิตในวิมุตติ  อารมณ์จิตที่เราปฏิบัติเพื่อมรรคผล  เพื่อความหลุดพ้นเพื่อพระนิพพาน แผ่กระแสแห่งพระนิพพาน   ไปพร้อมกับกระแสเมตตาอันไม่มีประมาณ  จิตเข้าถึงเมตตาเจโตวิมุตติ    ในอารมณ์พระนิพพาน ทรงอารมณ์ความละเอียด  ความผ่องใส  ความสงบเย็น  กำหนดรู้พิจารณา  รู้จิตของเรา        จิตสงบก็รู้ว่าสงบ   จิตมีเมตตาก็รู้ว่ามีเมตตา   จิตสะอาดจากกิเลส  ก็รู้ว่าสะอาดจากกิเลส   จิตมีความอิ่ม  มีความสุข    ก็กำหนดรู้  ว่าจิตของเรามีความสุข  จากอารมณ์ที่เป็นวิมุตติ  จากอารมณ์ พระนิพพาน  ทรงอารมณ์ไว้ 

กำหนดสภาวะแห่งเมตตาที่แผ่กระจาย   กำหนดนิมิตให้เห็นจิต   มีองค์พระอยู่ภายใน  กระแสเมตตายิ่งสว่างกระจ่างแจ้งออกไปมากขึ้น   สงบเย็นมากขึ้น  แสงสว่างจากจิตของเรา    สว่างเจิดจ้ายิ่งกว่าดวงอาทิตย์เป็นสิบๆ ร้อยๆ ดวง  สว่างเจิดจ้าแต่ทว่าสงบเย็น  จากนั้นน้อมใจของเรานะ  ให้ใจของเรามีความเบิกบาน  ยินดี  เอิบอิ่ม        ในสภาวะธรรม  ในสภาวะจิต   ที่เราได้เดินจิต  ในเมตตาอัปปมาณฌาน  อันไม่มีประมาณ   กำหนดรู้ว่าจิตของเรานี้            มีศักยภาพยิ่งใหญ่  มีกระแสเมตตาอันไม่มีประมาณ   เป็นพลังงานอันยังประโยชน์  ต่อมวลสรรพสัตว์ทั้งหลาย   

จากนั้นสำหรับวันนี้   ก็จะเป็นตามคำสัญญาที่ให้ไว้   ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องในการเดินทาง  ไปแผ่เมตตาปรับภพภูมิในต่างแดน  ต่างสถานที่   ซึ่งอันที่จริงครั้งนี้   ก็เป็นการเดินทางที่เคยได้กำหนดรู้อยู่แล้ว   เนื่องจากมีกระแส   มีสัญญา มีวาระเก่าที่จำเป็นต้องไป   ตั้งแต่มีเหตุที่ได้ทราบว่าที่ประเทศญี่ปุ่น  ที่เมืองเกียวโตมีวัดแห่งหนึ่ง                มีพระพุทธรูปพระโพธิสัตว์ 1,100 องค์  

ตามตำนานก็กล่าวไว้ว่า  พระพุทธรูปเหล่านั้น  เป็นพระพุทธรูปปางพระโพธิสัตว์พันกร  มีรัศมี   แต่ลักษณะพิเศษก็คือทั้ง 1,100  องค์นั้น  มีพระพักตร์  คือใบหน้าไม่เหมือนกัน ตามตำนานกล่าวว่า  หากเราสังเกตดูให้ดี         ถ้าเราเป็นพุทธภูมิ  ถ้าเดินทางไปที่นั้น   เราสังเกตและกำหนดจิตดู   เราจะพบใบหน้าของเดิมของเรา   เราจะรู้ว่าเป็นเราอยู่ในรูปลักษณ์พระโพธิสัตว์หนึ่งใน 1,100  องค์นั้น   ซึ่งพอทราบตำนานแต่แรก   ก็มีความโชคดีที่ลูกศิษย์ที่อยู่ประเทศญี่ปุ่น   ทราบข่าวก็จัดหา  เดินทางไปที่วัด  แล้วก็จัดหาหนังสือ  รูปภาพ  เรื่องราวของที่วัดนั้นมาให้  ทอดเวลามาประมาณสามปี สี่ปี  ถึงมีโอกาสได้ไป   พอเดินทางไปก็พบว่า   มีพระพักตร์ของพระโพธิสัตว์  ที่มีพระพักตร์เป็นพระพุทธรูปปางอยุธยา  และมีพระโพธิสัตว์  ที่มีพระพักตร์เป็นพระพุทธรูปปางสุโขทัย   

ซึ่งจิตก็กำหนดรู้ล่ะว่าตรงนี้แหละ  คือพระโพธิสัตว์ของไทย   นอกจากนี้  สิ่งที่สื่อว่าพระโพธิสัตว์ปางพันกร  คือเป็นปางของพระมหาโพธิสัตว์  จริงๆ ก็แฝงคติไว้ว่า   อันที่จริงบุคคลธรรมดาทั้งหลาย   เมื่อไหร่ที่ปรารภความเพียร  บำเพ็ญทศบารมี   สะสมเพาะบ่มบารมีให้สูงขึ้น   จนเป็นปรมัตถบารมี  จากมนุษย์ปุถุชนธรรมดา   ก็สามารถที่จะพัฒนาดวงจิต  เพิ่มพูนเมตตาจิต  เพิ่มพูนกุศล   เพิ่มพูนเมตตา เพิ่มพูนความดี   จนกระทั่งจากปุถุชน     กลายเป็นพระมหาโพธิสัตว์ได้  และที่จริงพระมหาโพธิสัตว์  ก็ไม่ใช่ว่ามีเพียงพระองค์เดียว   มีจำนวนเป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสนจำไว้ว่าการบรรลุธรรมก็ดี  การปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็ดี   คือการปรารถนาพุทธภูมินั้น   ไม่ได้มีข้อจำกัด          คือไม่ได้มีโควตาว่า   จำกัดได้จำนวนเพียงเท่านั้น  จำกัดได้จำนวนเพียงเท่านี้   หากคนทั้งแสนคน   ปรารถนาที่จะไปพระนิพพาน  พระนิพพานก็มีที่ว่าง  มีวิมานมากพอสำหรับคนแสนคน   หรือแม้แต่ล้าน ร้อยล้าน  พันล้านคน ร้อยล้านดวงจิต  แต่หากบุคคลทั้งหลายมากมายในสังสารวัฏ  หลายล้านล้านล้านล้านอสงไขยจิต แต่ไม่มีผู้ใดเลยปรารถนาในพระนิพพาน  พระนิพพานก็ว่างเปล่าในวาระ  ในกาลนั้นๆ  พุทธภูมิก็เช่นกัน  หากคนพันคน  ปรารถนาเป็นพุทธภูมิบำเพ็ญบารมี   ถ้าไม่ลาซะก่อน   ทุกคนในที่สุด  ก็เข้าถึงความเป็นพระพุทธเจ้า  เข้าถึงความเป็นพระโพธิสัตว์           พระมหาโพธิสัตว์ได้   ตามปัญญา  ตามบารมี  ตามความเพียรที่แต่ละบุคคล  แต่ละดวงจิตสะสม  

ดังนั้นอันที่จริงแล้ว   สำหรับใครหลายคนที่ปรารถนาในพุทธภูมิวิสัย     สิ่งแรกที่พระท่านบอกมา    คำว่าพุทธภูมิ  สำหรับคำสอนที่พระท่านสอนโดยตรงกับอาจารย์  ท่านสอนไว้ว่า   ถ้าปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า  เรียกว่าเป็นพุทธภูมิ  แต่ถ้าเมื่อไหร่พุทธภูมินั้น  เริ่มเข้าถึงเมตตา  ปรารถนาในการเป็นพระพุทธเจ้า   ด้วยจิตอันปรารถนาในการรื้อขนเวไนยสัตว์  เข้าถึงพระนิพพาน   เมื่อนั้นเริ่มเข้าถึงความเป็นพระโพธิสัตว์   เพราะคำว่าพุทธภูมินั้น  อย่าลืมว่าพระยามาราธิราชก็เป็นพุทธภูมิ   หรือแม้แต่บุคคลอีกมากมาย ก็เป็นพุทธภูมิ   แต่อาจจะทำผิดศีล  อาจจะความโลภ

ดังนั้นอันที่จริงพุทธภูมิที่เป็นมิจฉาทิฐิ ถามว่ามีไหม มีมาก   นักการเมืองที่จริงๆ แล้วเป็นพุทธภูมิ  แต่ก็ยังเบียดเบียนชาติบ้านเมือง เบียดเบียนประชาชน ก็มีมาก เพราะบางครั้งความปรารถนาในความเป็นพุทธภูมินั้น  เจตจำนงเริ่มต้น บางครั้งมาจากความอยากเก่ง มาจากความอยากดี  มาจากความอยากเป็นที่สุด  บางคน  บางครั้ง บางชาติ  ปรารถนาในความเป็นจอมยุทธ์อันดับหนึ่ง  ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแผ่นดิน  บุคคลเหล่านี้ส่วนใหญ่ก็เป็นพุทธภูมิมาก่อน  หรือบางคนปรารถนาที่จะเป็นเจ้าโลก  ปรารถนาที่จะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช  ต้องการหนึ่ง  ความต้องการความยิ่งใหญ่ที่สุด   เห็นว่าพระพุทธเจ้านั้นเป็นเอกบุรุษผู้ยิ่งใหญ่  เราก็อยากเป็นบ้าง  แต่เป็นเพราะตัวอยาก  เป็นเพราะตัวอยากยิ่งใหญ่   ยังไม่ได้เป็นด้วยใจเมตตาปรารถนาว่า   บารมีทั้งหลายที่เราบำเพ็ญ  เพื่อเป็นกำลัง   กรรมฐานทั้งหลายที่เราปฏิบัติ  สะสมเพื่อนำมาสอนเวไนยสัตว์ ให้เข้าถึงมรรคผลพระนิพพาน  เมื่อไหร่กำลังใจเป็นเท่านี้   ถึงจะเข้าสู่ความเป็นพระโพธิสัตว์    และเมื่อไหร่ก็ตาม   บารมีรวมตัวมากขึ้น    สูงขึ้นเป็นปรมัตถ์     ถึงจะเป็นพระมหาโพธิสัตว์

ถ้ากำหนดโดยรูปกายแห่งกายทิพย์   กายทิพย์ของโพธิสัตว์ก็จะเป็นกายปกติ  มีแสงสว่าง  มีความรุ่งโรจน์สะสมตามบารมี   เบื้องล่างที่เท้าของท่าน  ก็จะมีดอกบัวมารองรับ  เวลานั่งก็จะมีดอกบัวมารองรับ                            ส่วนพระมหาโพธิสัตว์นั้น     หากปรากฏในองค์แห่งอาทิสมานกายเต็มกำลัง         ก็จะปรากฏอาทิสมานกายนั้นเป็นพระโพธิสัตว์พันกร   ความหมายกระแสของรูปลักษณ์กายทิพย์  อาทิสมานกายที่เป็นพระโพธิสัตว์ พระมหาโพธิสัตว์พันกรนั้น  คือพันกรนั้น  มีมือมากมายมหาศาล   ที่จะหยิบยื่นช่วยเหลือโปรดเวไนยสัตว์ พันกรนั้นถือ  เครื่องของทิพย์ของวิเศษทั้งหลาย  มีมากมายมหาศาล   มีความหมายในแต่ละสิ่ง  มีถือวชิระบ้าง   ถือตาลปัตรบ้าง  ถือสังข์บ้าง      ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นทิพย์ที่ถือนั้น   จริงๆ  แล้วก็เป็นกำลังในอภิญญาจิต   ที่ท่านสามารถนำความความสามารถ        ในการบำเพ็ญบารมีสะสม  มาใช้ มาโปรด ช่วยเหลือมวลหมู่เวไนยสัตว์  อันนี้ก็เล่าเป็นเกล็ดให้ฟัง  ในเรื่องของพุทธภูมิ  

แต่คราวนี้พุทธภูมินั้น พอเป็นพระโพธิสัตว์  เป็นพระมหาโพธิสัตว์  สิ่งหนึ่งที่เป็นกิจ   ที่ต้องช่วยเหลือก็คือ    มีความจำเป็นที่จะต้องใช้ความเป็นทิพย์   ในการโปรด   ในการปรับภพภูมิ   ในการช่วยเหลือดวงจิต   ที่ตกค้างอยู่ในภพภูมิต่างๆ  ให้ไปเกิด ไปจุติ   อย่างการเดินทางที่ญี่ปุ่น   มันก็มีเหตุพาไป   โดยที่เราไม่ต้องกะเกณท์มาก  ไม่ต้องตั้งใจ   แต่ถึงเวลาธรรมะเขาก็จัดสรรไป   หลงไปที่วัดแห่งหนึ่ง     มีเจ้าแม่กวนอิมองค์ใหญ่     เดินเข้าไปหลังวัด    หลังองค์เจ้าแม่  ปรากฎว่าเป็นอาคารที่บรรจุรายชื่อ รายนาม  ของทหารญี่ปุ่นทั้งหมด  จำนวนหลายแสนคน            เรียงตามตัวอักษร   พอเดินเข้าไปปุ๊บ   บรรยากาศเย็นยะเยือก มีกลิ่นอาย ที่มีความพิเศษ  จะอธิบายก็อธิบายได้        แต่ความเย็นยะเยือก  ความน่าหวาดหวั่นมันปรากฏขึ้นมาทันที    เพราะสถานที่แห่งนั้น   จะมีการเก็บดินจากทุกสมรภูมิรบ    ของคนญี่ปุ่นที่ตายในสมัยสงครามโลก   มารวมไว้ที่นี่ด้วย   รายชื่อทั้งหมดด้วย     ดวงจิตทั้งหลายด้วย       ภายในวิหารมีพระโพธิสัตว์  รูปพระโพธิสัตว์อยู่  พอไปถึง   เรากำหนดรู้  เราก็แผ่เมตตา   แต่ปัญหาสิ่งที่เกิดขึ้น        ก็คือ  จิตบางดวงจิตที่ปล่อยวางได้  ก็ปรับภพภูมิ  จากภพภูมิที่ติดค้างอยู่  ติดค้างนี้คือติดค้างอยู่ในสถานที่นั้นก็ดี    ติดอยู่ในหน้าที่  หน้าที่ที่จะต้องรักษาชาติ  รักษาแผ่นดินของเขาก็ดี  ทำให้เขาไปเกิด  ไปจุติไม่ได้ อันนี้เป็นทิฐิ        เป็นวาระกรรมของแต่ละบุคคล   ส่วนดวงจิตที่ไปได้ก็ไปได้  อันนี้จุดหนึ่ง 

พอเดินต่อมาอีกหน่อย ก็เป็นอีกอาคารหนึ่ง  คราวนี้เป็นอาคารของสุสานนิรนาม  เก็บอัฐิของทหารที่ไม่มีชื่อ  ที่ไม่อาจระบุได้ทั้งหมดไว้ในที่เดียว   เป็นที่ระลึก  เราก็แผ่เมตตา  ปรับภพภูมิไปเช่นเดิม  

คราวนี้เดินต่อมาอีก  ออกไปภายนอก    คราวนี้เป็นที่เก็บ  เป็นสุสาน  เป็นหลักหิน  จุดแรกเป็นหลักหิน  เป็นป้าย  รวมที่ระลึก  นายทหารทั้งหมดสมัยสงครามโลก   ตัวดวงจิต ดวงวิญญาณ  ที่เขามาปรากฏให้รู้ เขาก็บอกว่าส่วนใหญ่เป็นนายทหาร  ที่หลังจากแพ้สงครามแล้วทำฮาราคีรี   คือฆ่าตัวตายตามธรรมเนียมของบูชิโด   นักรบซามุไรคว้านท้องตัวเองตาย  เขาก็บันทึกรวบรวมไว้ที่สุสานนี้   อันนี้วัดเดียว เรียกว่าคุ้ม   ก็แผ่เมตตาอีกเช่นเดิม  พอให้บรรเทาเบาบางไปได้  กระแสจิต  กระแสพลังงานในวัด   ในสถานที่แห่งนั้น  ให้เราลองคิดเอาว่า   มีทั้งปริมาณ   มีทั้งความเข้มข้นของอารมณ์  ของความยึด   อารมณ์จิตของคนที่ฆ่าตัวตายในสภาวะนั้น   คิดว่าจะมีความเข้มข้นแค่ไหน      ต้องมีความเด็ดเดี่ยวมั่นคงในการฆ่าตัวตายขนาดไหน   ดังนั้นพลังงานของจิตมันค่อนข้างสูง  

ในบริเวณเดียวกัน  มาอีกนิดนึง  คราวนี้เป็นสุสานที่เป็น ที่จารึกโดยเฉพาะของนักบิน   พอคุยดูก็เป็นนักบินที่ตายในสงคราม   แต่ที่พิเศษที่สุด   ก็จะมีรายชื่อของนักบินรบที่ทำกามิกาเซ่  คือตัดสินใจนำเครื่องบินรบเข้าชนกับเรือรบของสหรัฐ   คือฆ่าตัวตาย สละชีวิต   ดังนั้นพลังงานตรงจุดนั้นก็มากมาย   จำเป็นที่จะต้องช่วยปรับภพภูมิ  

พอเดินต่อไปอีกหน่อย    นี่พูดถึงวัดเดียว    พอเดินต่อไปอีกหน่อย    คราวนี้เป็นส่วนอาคาร     วิหารของพระโพธิสัตว์  ที่บำเพ็ญบารมีเฉพาะ  คือโปรดญาติโยมที่เป็นเด็ก  ที่เป็นวิญญาณของเด็กน้อย  จะเป็นรูปของโพธิสัตว์ที่อุ้มเด็กไว้สองมือ   และบริเวณนั้น  ก็จะเป็นสถานที่ที่พ่อแม่ของพ่อของเด็ก   ที่แท้งก็ดี   เด็กที่ตายตั้งแต่อายุน้อยก็ดี พ่อแม่ของเด็ก  ก็จะทำรูปพระโพธิสัตว์เล็กๆ เป็นตุ๊กตา   มาถวาย  มาวางไว้แทนตัวเด็ก   ซึ่งจำนวนก็มากมายเป็นหมื่น ๆ องค์  เรียกว่าคนที่ไปด้วย   แค่มองไป  ก็มองเห็นว่ามีเด็กมายืนเกาะลูกกรง     อยู่ตรงบริเวณที่ไว้รูปปั้นของพระโพธิสัตว์เล็ก ๆ ที่พ่อแม่ทำให้   ก็ต้องโปรดเด็กๆ เหล่านั้น  ดวงวิญญาณเด็กๆ เหล่านั้น  ให้ปรับภพภูมิไป      ตอนนี้เราฟังบางคนก็จะเห็น  บางคนก็จะสัมผัสได้   เรากำหนดจิตแผ่เมตตาไป   ขอให้ดวงวิญญาณที่ยึดติด           ดวงวิญญาณที่รวมกันหนาแน่นนั้น   ได้รับกระแสแสงสว่างของบุญกุศล   ความสงบ  ความร่มเย็น  ความผ่องใส    กำลังบุญที่เราทั้งหลายช่วยกันเจริญ   การถวายมหาสังฆทานเป็นนิจ    เป็นประจำทุกเดือน   เป็นบุญใหญ่  ให้เกิดทิพยสมบัติ  วิหารทาน โบสถ์  อุโบสถที่เราร่วมสร้าง  ร่วมบูรณะ   ขอจงเกิดวิหารแก้ว  วิมานทอง  วิหารทิพย์  ให้ท่านทั้งหลายปรับภพภูมิ           

อันนี้คือวัด วัดเดียว  คราวนี้ภารกิจอื่น  ก็กลายเป็นว่าระหว่างเดิน  ไปเยี่ยมชมวัดต่างๆ   ทั่วคันไซ            คือ เกียวโต  โอซาก้า  นาระ   เดินไปตามเมือง   เขาก็จะมีพระภูมิเจ้าที่ตามทางแยก   เพราะไปถึงเดินผ่านที่ใด  เขาก็เรียก  เขาก็สะกิด ให้แผ่เมตตาให้เขา  อย่างมีศาลหนึ่งเดินไประหว่างทาง มีอีกาบินมาอยู่ใกล้ๆ แถวเท้า  เรียกว่าใกล้ชิดสนิทสนมอย่างกับลูกแมว  มาอยู่ใกล้ๆ ร้องกากา  แล้วสักพักก็บินขึ้นไป  นำทางไป  เสร็จแล้วกาก็มาโฉบสุดท้ายกาก็บินโฉบลงมา เกาะอยู่แถวศาลเจ้าใหญ่   แต่เป็นศาลเจ้าข้างทาง  แต่ใหญ่นิดนึง  เสียงของกาเขาก็บอกว่าถึงแล้ว  เขาเป็นคนพามา   ช่วยแผ่เมตตาให้ที่นี่ด้วย   ก็แผ่เมตตาให้พระภูมิ ณ สถานที่แห่งนั้น  

หลายๆ ที่ หลายๆ แห่งที่ไป   ในเมืองก็จะมีสุสานที่เขาสร้างปะปนอยู่กับบ้านของชาวบ้าน   บางแห่งไม่ได้ตั้งใจ  เราตั้งใจจะไปหน้าวัด   เขาก็มีอะไรสักอย่าง  ดลใจให้ Google มันพาเข้าไปหลังวัด   โผล่ไปเจอสุสานก่อนเสมอหลายๆ จุด หลายๆ ที่  ที่เป็นที่สวยงามเวลากลางวัน  เช่น ป่าไผ่   อันที่จริงแถวนั้น   มีสุสานค่อนข้างเยอะ   มีดวงวิญญาณที่เขาอยู่ค่อนข้างเยอะ   ไปตอนกลางวันก็สวยงาม   ถ้าไปตอนกลางคืนนี่  ขอบอกว่า   รับรองว่า  สัมผัสได้ถึงกระแสแน่นอน   ก็แผ่เมตตาโปรดไป   

แต่มีจุดหนึ่ง  คือบริเวณที่เป็นเสาสีแดง  ศาลเจ้า  รู้สึกว่าจะชื่อ อินาริ    ที่เป็นศาลเจ้าจิ้งจอก     ที่มีเสาสีแดงเรียงราย   ตอนกลางวันสวย  ถ่ายรูปสวย   แต่ถึงเวลา  เขามาเข้านิมิตคนที่ไปด้วย     บอกว่า  มาให้เห็นเป็นจิ้งจอก       แต่มาให้แบบน่ารัก  บอกให้ไปเยี่ยมเขา ไปโปรดเขา   เพราะเขาเป็นดวงวิญญาณที่สถิตย์อยู่ที่นี่   สภาวะเป็นเหมือนกับสัตว์เทพ   คือเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์   ที่บำเพ็ญพรต  บำเพ็ญกุศล ช่วยชาวบ้านเหมือนกัน   แต่ตามที่หลวงพี่เล็กวัดท่าขนุนบอก   บอกว่าปีศาทจิ้งจอก  ที่เป็นสัตว์เทพพวกนี้เขาเป็น มหิทธิกเปรต เป็นเปรตประเภทหนึ่ง  ที่มีกำลัง    มีฤทธิ์  ซึ่งจริงๆ เขาก็ให้ลาภ  ให้โชค  คือช่วยให้ชาวบ้านเกิดความอุดมสมบูรณ์ปรากฏว่าเราเดินทาง   ไปแผ่เมตตาในเวลากลางคืน   กลางคืนกระแสก็จะมีความเย็นยะเยือก   มีความวังเวง     มีกลิ่นอาย   มีคลื่น  ปรากฏออกมาค่อนข้างชัดเจน   พอขึ้นไปถึงบน   เกือบที่จะสุด   ก็ไปแผ่เมตตาปรับภพภูมิ  เพราะว่ามีดวงวิญญาณที่เป็นจิ้งจอก  หลายดวงวิญญาณ   หลายดวงจิตนั้น   เขาอยากพ้นจากสภาวะที่เขาเป็นอยู่    พอปรับภพภูมิไป   เขาก็กลายเป็นผู้หญิงใส่ชุดกิโมโนสีขาว   สว่าง  ลอยขึ้นไป  

อันนี้ก็เป็นกระแส  เป็นประสบการณ์ที่เราเดินทางไปปรับภพภูมิ   ในสถานที่  ที่เป็นต่างแดน  ตลอดทาง  ส่วนใหญ่ที่ไป   ก็จะเป็นวัดทั้งหมด  หลายๆ ปราสาท   ที่เดินทางไปก็มีกระแสจิตของซามูไร   ของนักรบ   ไปในหลายๆ ปราสาท เขาก็แสดงภาพให้เห็นการรบ   แสดงให้เห็นการประหัตประหาร   ความทุกข์ยากของประชาชนชาวบ้าน  จากการแก่งแย่งอำนาจกันของซามูไร    ไปเราก็แผ่เมตตาจิต   หลายสถานที่เรามองว่าสวยงาม   ถ่ายรูปออกมาสวย   แต่ขอบอกว่า   ประเทศญี่ปุ่นนี้  จริงๆ มีความแฝงในความโหด  มีความแฝงในความอำมหิตซ่อนอยู่ในกระแสจิต   ด้วยเหตุของในดินแดนแห่งนี้   มีการประหัตประหารกันมาก   

ในขณะเดียวกัน   ในการเดินทางไป   ก็ไปที่วัดเก่าๆ วัดบางวัด   เป็นวัดแรกในประเทศญี่ปุ่น   บางวัดเป็นวัดแรกที่เริ่มต้นของการปฎิบัติตามแนวทางของเซน     วัดหลาย ๆ วัด  มีกระแสที่สงบเย็น อย่างวัดน้ำใส   เป็นวัดที่มีกระแสเย็น  มีกระแสดีอย่างยิ่ง   บางวัดก็มีกระแสของความหนัก   อย่างไปวัดเซนนี่  จะมีความนิ่ง ๆ หนัก ๆ ไปวัดที่เป็นวัดสายมหายาน   ที่เน้นบูชา  นับถือในพระโพธิสัตว์   วัดที่มีพระโพธิสัตว์ ก็จะมีกระแสเย็นมากกว่า  อย่างไปวัดแห่งหนึ่ง   ก็มีรูปปั้นพระโพธิสัตว์  พอไปถึง  เหมือนท่านก็ดลใจ  ให้ไปพบ ไปไหว้ ไปกราบ จะสัมผัสได้ถึงกระแสเย็น   พอไปถึงเบื้องหน้าองค์รูปปั้นของพระโพธิสัตว์ท่าน ท่านก็คุยด้วย  ท่านก็บอกว่า  ไม่เคยได้สัมผัสกระแสเย็นเช่นนี้มานานหลาย 100 ปี  แล้ว  จากนั้นก็เกิดกระแสลมเย็นผิดปกติ  พัดพาต่อเนื่องรุนแรงผิดปกติ   เหมือนกระแสคลื่นของกระแสจิตของพระโพธิสัตว์ของดินแดนแห่งนั้น   ท่านก็กำหนดรู้ตอบรับ   ให้รู้ว่าสิ่งที่ท่านสื่อด้วย   คุยด้วยนั้นเป็นจริง

เวลาที่กำหนดจิตดูในที่ญี่ปุ่น   ก็รู้สึกว่าการที่เราเกิดในแผ่นดินไทยนั้นเป็นความโชคดี  คำว่าโชคดีก็คือประเทศไทยเรามี พระพุทธศาสนา  ถามว่าประเทศญี่ปุ่น  มีพระพุทธศาสนาไหม  ก็ตอบว่ามี   ถามว่ามีผู้ปฏิบัติธรรมไหม  ในระหว่างการเดินทางไป   ก็พบผู้จารึกแสวงบุญ เป็นผ้าขาว  ถือไม้เท้าแต่งตัวแบบโบราณญี่ปุ่น   เดินทางไปสักการะตามวัดต่างๆ    สวดมนต์ ณ สถานที่สำคัญต่างๆ  แต่จำนวนของผู้ปฏิบัติ  ที่ตั้งใจตั้งจิต  เข้าถึงความตั้งมั่นจริง ก็นับว่าน้อย  อย่างบุคคลที่เป็นผ้าขาวที่จารึก  ก็ยังอารมณ์จิตจะค่อนข้างเข้ม  จะค่อนข้างแข็ง  จะค่อนข้างเข้มข้น ไม่ได้วางอารมณ์จิตในอุปจาระ   คืออารมณ์จิตเบา  ละเอียด  อย่างที่เราฝึกกัน  ที่ปฏิบัติกัน   คือกระแสเมตตานั้นค่อนข้างจะเหือดแห้งไปจากดินแดนญี่ปุ่น แต่สิ่งที่กำลังจะบอกก็คือ ไทยเรายังสามารถนำเอาการปฎิบัติธรรม  มาชำระล้างจิตจากความทุกข์  ชำระล้างจิตจากคนที่เป็นคนเจ้าโทสะ  ให้ความโกรธมันเบาบางลงได้   คือธรรมะชำระใจได้                แต่เหมือนธรรมะที่ประเทศญี่ปุ่นนั้น  จางไป    ประโยชน์ที่พึงเกิดขึ้น   ต่อจิตใจของผู้คนในประเทศนั้น    ยังเกิดผลน้อยกว่าที่ควรจะเป็น  อันนี้ก็เป็นที่น่าเสียดาย  

ในขณะเดียวกันก็เป็นที่น่ายินดีว่า   คนไทยเรานั้น   ยังสัมผัสรสพระธรรม  ได้มากกว่าในหลายๆ ประเทศ   ตรงนี้ก็ทำให้ได้คิดในหลายๆ  เรื่อง   การที่ไป  ก็ไปปลุกกระแสเมตตา   กระแสพระโพธิสัตว์ให้ปรากฏฟื้นคืนในดินแดนนั้นด้วย  

ดังนั้นหลายๆ อย่าง ก็เป็นเรื่องของงานของโลกทิพย์   บางทีเราแผ่จากประเทศไทยไป   กับการที่เราเดินทางก็ไปอยู่ในเขตนั้น   แล้วเจริญจิต  เจริญเมตตา  กำลังมันก็จะต่างกัน   ไปที่จุดนั้น มันก็เกิดการสื่อสาร   การเชื่อมโยงการกำหนดรู้  การที่ไปในแต่ละสถานที่  ภาพเหตุการณ์ในอดีตกาลของแต่ละสถานที่  มันก็ปรากฏ  

ดังนั้นอย่างพวกเราคนไหน   ที่มีกำลังของมโนมยิทธิ   มีความชัดเจน   เวลาไปในสถานที่โบราณต่างๆ  เราก็จะได้รู้ได้เห็นเรื่องราว  มีความสนุกสนาน  เพลิดเพลิน  ลึกซึ้งมากกว่าบุคคลทั่วไป   อันนี้ก็เล่าประสบการณ์ให้ฟัง     ว่าการปรับภพภูมินั้น  ถามว่าเราเป็นคนไทย   เราไปปรับภพภูมิให้ที่ญี่ปุ่น   เราทำไป เราทำด้วยเมตตา ทำไปด้วยจิตที่ไม่ได้คิด  คิดว่าเราเลือกที่รัก มักที่ชัง ทำไปด้วยปรารถนาให้ดวงจิตนั้น  พ้นจากความทุกข์  พ้นจากความเร้าร้อน  เข้าถึงกระแสแห่งกุศล  

ดังนั้น  ก็ขอให้เราทุกคนนั้น   ที่ปฏิบัติในเมตตาภิรมย์  ปฏิบัติในเมตตาสมาธิ  พยายามที่จะทรงอารมณ์   ทรงกำลังใจในการเจริญเมตตา  ช่วยเหลือสรรพสัตว์เท่าที่จะทำได้   ถึงแม้ว่าเราปรารถนาที่จะไปพระนิพพานชาตินี้ก็ตาม   แต่ประโยชน์ที่พึงได้   จากการที่เราจะเจริญเมตตา   ยิ่งให้ยิ่งได้  ยิ่งให้ยิ่งเป็นที่รัก  ยิ่งให้ยิ่งจิตเรา  ยิ่งก้าวหน้า        ภูมิจิต  ภูมิธรรมเรายิ่งสูงขึ้น   ดังนั้นพยายามทรงอารมณ์ ทรงปฏิปทานี้ไว้ให้เป็นปรกติ 

สำหรับวันนี้   ก็ให้เราตั้งกำลังใจ   แผ่เมตตากำหนดจิตสว่าง   กำหนดใจของเรา   อธิษฐานจิต     ขอบารมีพระพุทธองค์   ให้กายทิพย์ของเรามีสภาวะ  เป็นกายพระวิสุทธิเทพ  สว่าง  แผ่เมตตาไปยังมวลสรรพสัตว์   คนไหนพุทธภูมิ    ก็พยายามยกกำลังใจ  อธิษฐานให้เห็นกายทิพย์  อาทิสมานกายเป็นกายพระมหาโพธิสัตว์พันกร  แผ่สว่างกระแสความสงบเย็นกระจ่าง   แผ่คลื่นแห่งเมตตาอันไม่มีประมาณ แผ่สว่าง  รูปลักษณ์พระโพธิสัตว์ พระมหาโพธิสัตว์ทั้งหลายทั่วโลก  ทั่วปฐพี  พลอยสว่างขึ้น  ด้วยกระแสเมตตา  คลื่นกระแสเมตตา  ปลุกโพธิจิตทั้งหลาย  ในรูปลักษณ์ในองค์พระรูปของพระโพธิสัตว์ทั่วหล้า  ทั่วแผ่นดิน   เกิดบารมี  เมตตาความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์  ปลุกโพธิจิตในบุคคลทั้งหลายให้ตื่นขึ้น   สู่ความมีเมตตา   สู่ความเป็นพระโพธิสัตว์  ขอจงตื่นขึ้นในจิตของสรรพสัตว์ทั่วหล้าด้วยเทอญ 

แผ่เมตตา  สว่าง  พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ณ สวรรค์ชั้นดุสิตในเขตพุทธเกษตร   ขอเมตตารับรู้  รับทราบ  รู้จักซึมซับ  เมตตาโปรดสงเคราะห์ข้าพเจ้าทั้งหลาย  ที่ปฏิบัติกรรมฐาน  ที่เจริญเมตตาสมาธิ  ขอพระมหาโพธิสัตว์เจ้า     ได้เมตตารักษาข้าพเจ้า   ครอบครัว   ขอพิทักษ์รักษา   ให้เกิดความปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวง  จากแรงวิบากทั้งหลาย   จากกระแสกรรมทั้งหลาย   จากความทุกข์  จากโรคภัยทั้งหลาย  

กำหนดน้อม      เห็นพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์     สมเด็จองค์ปฐม  รวมถึงพุทธวงศ์ทั้งหลาย                       มีพระศรีอริยเมตไตรย รวมไปถึงพระโพธิสัตว์   พระมหาโพธิสัตว์   ที่สืบสายต่อเนื่องไปจนถึงที่สุด    ขอท่านทั้งหลายปรากฏ ในกระแสจิตของข้าพเจ้า   ปรากฏในทิพยจักษุญาณ   เบื้องหน้ากายของข้าพเจ้า  คือกายพระวิสุทธิเทพ

จากนั้น เราน้อมจิตนะ แยกอาทิสมานกายกราบทุกๆ ท่าน ทุกๆ พระองค์   อารมณ์จิตผ่องใส   ขอเมตตาจงงอกงามในดวงจิตของข้าพเจ้า  ขอกระแสมรรคผลพระนิพพาน   จงปรากฏกำลังแห่งเมตตาเจโตวิมุตติ  

จากนั้น น้อมให้เกิดแสงสว่าง จากพระนิพพานลงมาที่กายเนื้อ จิตของเรากลับมาที่กายเนื้อ                  กระแสพระนิพพาน   ฟอกธาตุขันธ์เป็นแก้วใสสว่าง  โครงกระดูก  เส้นเอ็นเป็นแก้วใสสว่าง   อวัยวะภายใน  อาการ 32 กลายเป็นแก้ว ใสสว่าง   เปิดสายบุญ  สายทรัพย์ สายสมบัติลงมา  

จากนั้น น้อมจิตโมทนาสาธุกับกัลยาณมิตร   ที่ปฏิบัติธรรมร่วมกัน   โมทนาสาธุกับบุญที่เจริญ ในการถวายมหาสังฆทานในวันนี้   โมทนาสาธุในกุศลความดี   ที่ทุกคนทุกท่านได้ถวายกฐิน   มีบุญกุศล  มีความเป็นทิพย์   กำหนดจิตอธิษฐาน  ให้เห็นทิพยสมบัติจงปรากฏในญาณเครื่องรู้   วิมานแก้ว  วิมานทิพย์   ทิพยสมบัติ   อาหารทิพย์ทั้งหลาย  เครื่องทรง แสงสว่าง  ของกายอาทิสมานกาย  จงปรากฎ และตั้งใจว่าขอให้  กุศลทั้งหลาย   ความเป็นทิพย์ทั้งหลาย  มนุษย์สมบัติ  สวรรค์สมบัติ  พรหมสมบัติ  ขอที่สุด  เมื่อข้าพเจ้าละจากขันธ์ห้า  ไม่จำเป็นต้องใช้ในสภาวะของการมีร่างกายในความเป็นมนุษย์เมื่อไหร่  ก็ขอให้มนุษย์สมบัติ  ทิพยสมบัติ สวรรค์สมบัติ พรหมสมบัติทั้งปวง     จงรวมตัวเพื่อพระนิพพานสมบัติเพียงจุดเดียวด้วยเทอญ  

นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ

จากนั้น     หายใจเข้าช้าๆ  หายใจเข้า พุท ออก โธ 

ครั้งที่สอง  หายใจช้า ลึก ยาว ธัมโม

ครั้งที่สาม  หายใจช้า ลึก ยาว สังโฆ

ถอนจิตช้าๆ จากสมาธิ  ใจสบาย เอิบอิ่ม แย้มยิ้ม  ผ่องใส

วันนี้ก็ขอประชาสัมพันธ์สองเรื่อง   สำหรับท่านที่เดินทางไป ร่วมงานบวงสรวงอาราธนาพระอุปคุตขึ้นมาจากสะดือทะเล  เพื่อขอท่านเมตตาสงเคราะห์   ในการเข้าสู่ยุคชาววิไล   ซึ่งถือว่าเป็นเพื่อส่วนรวมของทางโลก   ท่านใดที่จะไปก็รีบจองนะครับ รีบสมัคร  รีบจอง  ไปร่วมใจกัน  ไปร่วมเจริญกรรมฐาน  ไปร่วมอธิษฐานจิตกัน 

อันนี้ก็ถือว่าถือว่าเป็นงานที่เป็น งานปิดทองหลังพระ ที่ทำเพื่อส่วนรวม  คนที่มีวาสนาบารมีพิเศษตรงกับท่านถึงเวลาจิต ก็จะรู้ว่าต้องไป  หรือคนที่มีบารมีเก่า   ตั้งแต่ยุคอาณาจักรทวาราวดี   คนที่เคยเป็นลูกศิษย์ของพระอานนท์เป็นลูกศิษย์ของพระปุณณะเถระ  พระอรหันต์พระองค์แรกในดินแดนสุวรรณภูมิ คนที่เคยเกิดท่านรับใช้ในหลวงตั้งแต่ยุคสมัยที่พระองค์ทรงจุติเป็นเจ้าเดือนเด่นฟ้า   ถึงเวลาก็จะมีวาระที่ต้องไป   อันนี้ก็แล้วแต่บุคคลนะ  

ส่วนอีกข่าวที่จะประชาสัมพันธ์ก็คือ   สำหรับท่านที่สนใจจะสมัครคอร์ส Ultimate Healer ก็เหลือที่อีกเพียงไม่กี่ที่ ยังสมัครทันนะครับ เรียนวันที่ 26 พฤศจิกายน  ช่วงบ่าย ส่วนเราที่มาปฏิบัติ  ถ้าเป็นไปได้  ก็พยายามเขียนแผ่นทองอธิษฐานพระนิพพานไว้เสมอ   รวบรวมก่อนที่จะประกาศ        เพื่อจัดสร้างเป็นพระพุทธรูปแสนคำอธิษฐานพระนิพพาน   ตอนนี้ก็กำลังรวบรวมอยู่  ยังขาดอยู่อีกมาก  สำหรับการปฎิบัติ   การเจริญพระกรรมฐานในเมตตาสมาธิวันนี้   ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน   หวังว่าข้อธรรม  ประสบการณ์ต่างๆ จะเกิดประโยชน์   เกิดทำให้เราได้ตระหนักรู้ในคุณค่าของธรรมะ  มีความเพียร   มีความตั้งใจ  ในการปฏิบัติเพื่อพานิพพานสืบต่อกันไปทุกคน  

สำหรับวันนี้สวัสดี   พบกันใหม่สัปดาห์หน้า

เรียบเรียงและถอดความโดย คุณ สิริญาณี แลบัว

You cannot copy content of this page