เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันอาทิตย์ที่ 15 ตุลาคม 2566
เรื่อง เมตตาอัปมาณฌาน การทรงอารมณ์จิตในภาวะสงคราม
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
ผ่อนคลาย ปล่อยวาง ร่างกายขันธ์ห้า แยกกายแยกจิต สำรวมจิตลงสู่ความสงบ สติกำหนดดูรู้ในอารมณ์ใจ สติกำหนดรู้ในลมหายใจสบาย จินตภาพเห็นลมหายใจของเรา เป็นเหมือนกับแพรวไหมพริ้วผ่านเข้าออก ลมหายใจเข้าสู่สภาวะแห่งลมละเอียด ลมหายใจที่เป็นแพรวไหมนั้น เป็นทั้งปราณ เป็นทั้งลมหายใจที่เข้าสู่อารมณ์จิตแห่งกสิณลม จดจ่ออยู่กับลมหายใจที่เป็นเหมือนกับแพรวไหมนั้น ทรงรักษากำหนดรู้สติ ในอารมณ์จิตที่เบาสบาย สงบ จิตเข้าสู่ความสุข ความสงบ ระงับ ทรงอารมณ์ใจ ทรงอารมณ์ความสบายของจิต จนจิตเข้าถึงฌาน คืออารมณ์ที่ทรงตัวอยู่กับความสงบ ความเบา ความสบายของจิต และความผ่องใสของจิตเต็มกำลัง
อารมณ์สบายเป็นเหตุ ที่ทำให้จิตเข้าสู่สมาธิ ความสว่างของจิตที่ปรากฏในนิมิต เป็นกำลังของจิตตานุภาพ ยิ่งสภาวะจิต เห็นจิตเป็นเพชรประกายพรึกส่องสว่าง พร้อมกับอารมณ์จิตเป็นสุขยิ่งมากเท่าไหร่ ความเป็นทิพย์ของจิตยิ่งเกิดจิตตานุภาพมากเพียงนั้น จดจ่ออยู่กับความสงบร่มเย็น ความผ่องใส อารมณ์จิตที่สบาย เป็นหนึ่งเดียวกับความสงบ ความเป็นหนึ่งเดียวกับความสุข
คำว่าเป็นหนึ่งเดียวนั้น ก็คือเอกัตคตารมณ์ จิตเป็นหนึ่ง สงบ นิ่ง เป็นสุขผ่องใส ใจแย้มยิ้ม เบิกบาน ทรงอารมณ์แห่งความสงบ หยุดจากการปรุงแต่ง ปล่อยวาง ปลดวางภาระทั้งหลายของใจ ปลด ความเกาะ ความรู้สึกความกังวล ความห่วงในร่างกายออกไปทั้งหมด เหลือเพียงดวงจิต ที่เห็นในจิตเป็นเพชรประกายพรึก ส่องสว่างเป็นปฏิภาคนิมิต จิตส่องสว่างเป็นจิตประภัสสร เปล่งแสงสว่างแห่งความสุข เมื่อจิตปรากฏสภาวะแห่งความเป็นประภัสสร ปรากฏแสงสว่างของจิต ปรากฏความสุขของจิต
เราเดินจิตต่อไปสู่เมตตาอัปมาณฌาน แผ่กระแสความรู้สึกและแสงสว่าง เป็นกระแสเมตตาออกไปจากจิตของเรา ตั้งเจตจำนงความปรารถนาดี กระแสแห่งความเมตตา ความรัก ปรารถนาความสงบสุขสันติสุข แผ่กระแสเมตตาสว่างสว่างออกไป เป็นคลื่นกระจายออกไปโดยรอบ รัศมีแสงสว่างแห่งเมตตาจากดวงจิตของเรา แผ่กว้างบริสุทธิ์ เป็นกระแสบุญ กระแสกุศล กระแสแห่งความสงบร่มเย็นจากใจ แผ่ออกไปยังสรรพสัตว์ ดวงจิตทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลาย สรรพสัตว์ทั้งหลาย ในทุกภพทุกภูมิ กระแสแห่งเมตตาจิต ปรารถนาให้ทุกคนสงบร่มเย็น ดับความโกรธ ดับความเกลียดชัง ดับความอาฆาตพยาบาท จองเวร ดับไฟแห่งความอาฆาตแค้น ดับไฟแห่งสงคราม กำหนดจิต เห็นดวงจิตเรา แผ่รัศมี สว่าง ดวงจิตที่เป็นประกายพรึกอยู่กลางอกของกาย ที่เป็นแก้วสว่าง แผ่เมตตาสว่างออกไป ให้เกิดความสงบร่มเย็นสติกับโลกใบนี้
จากนั้นกำหนดจิตต่อไปว่า ขออาราธนาบารมีแห่งพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ปรากฏเป็นองค์พระอยู่ในดวงแก้วในอก ของกายที่เป็นแก้ว สว่าง น้อมกระแสบุญ น้อมกระแสแห่งพุทธ แผ่เมตตากำกับ กระแสแห่งพระโพธิสัตว์เจ้า แผ่เมตตาไปยังสรรพสัตว์ แผ่เมตตาจากโลกใบนี้ต่อไป คลื่นกระแสความเมตตา ประพรม ยังความชุ่มชื่นในดวงจิตให้กับสรรพสัตว์บนโลก ให้กับดวงจิตของมนุษย์ บรรเทาความทุกข์ ความเวทนา ความทุกข์จากการพลัดพรากจากของรักของเจริญใจ ความพลัดพรากจากชีวิต สรรพสัตว์ มนุษย์ ที่สูญเสียชีวิตจากสงคราม กระแสเมตตาของเราแผ่ให้กับทุกชนชาติ ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา จิตของเราขณะนี้ สะอาด ใส ปราศจากอคติทั้งปวง
กระแสบุญแผ่สว่าง กาย จิต เรา แผ่สว่าง กระแสแห่งเมตตาอันไม่มีประมาณ ถ่ายทอด แผ่ออกมาจากองค์พระภายในจิตของเรา ทรงอารมณ์ ทรงสภาวะ อยู่ท่ามกลางแสงสว่าง แห่งเมตตา รู้สึกถึงองค์พระภายใน รู้สึกถึงว่าใจเราเป็นจิตประภัสสร มีแต่ความส่องสว่าง จิตปราศจากความกลัว จิตปราศจากความเกลียดชัง จิตปราศจากความเครียดแค้น จิตเรายกสภาวะสูงขึ้น สว่าง เต็มไปด้วยเมตตา
กำหนดน้อมอธิษฐานว่า อานิสงส์แห่งเมตตาฌานนั้น มีบารมีปกป้องผู้เจริญเมตตาฌาน จากภัยพิบัติทั้งปวง จากภัยทางน้ำ จากภัยทางเพลิงอัคคีภัย ปลอดภัยจากภัยแห่งพิษทั้งหลาย ซึ่งหมายความรวมถึงรังสีทั้งหลาย พิษจากรังสีนิวเคลียร์ทั้งหลาย คลื่นกระแสแห่งเมตตานั้น ทำให้เราผู้เจริญเมตตาฌานเป็นนิจ เป็นปกติ เป็นที่รักของมนุษย์ทั้งหลาย เป็นที่รักของเทวดาพรหมทั้งหลาย ที่รักของอมนุษย์ทั้งหลาย เป็นที่รักของสรรพสัตว์ทั้งหลาย เป็นสุขทั้งยามตื่น เป็นสุขทั้งยามหลับ ครั้นตายไปก็เป็นเหตุที่ทำให้จุติอย่างพรหมโลกได้
และในการเจริญกรรมฐาน จิตของผู้เจริญเมตตาฌาน พรหมวิหาร 4 เป็นปกติ ก็เป็นดวงจิตอันที่ควรแก่การ เป็นดวงจิตที่สามารถบรรลุธรรมได้โดยง่าย เป็นจิตเมตตาที่ทำให้ศีลมีความบริสุทธิ์ และเป็นศีลของพระอริยเจ้า คือศีลที่เกิดจากความบริสุทธิ์ความเมตตาของใจ ไม่จำเป็นต้องฝืน ไม่จำเป็นต้องข่ม อดทนในการรักษาศีล แต่เป็นศีลที่บริสุทธิ์ จากการปราศจากการเบียดเบียน ด้วยกำลังแห่งเมตตาฌาน ทรงกำลังแห่งเมตตาฌาน แผ่สว่างกระจายไว้
กำหนดรู้อธิษฐานในผลอานิสงฆ์ ให้เกิดผลานิสงส์ อานิสงส์แห่งเมตตาฌานเต็มกำลัง คลื่นแสงสว่างแห่งเมตตาอันไม่มีประมาณ กำลังพุทธคุณ ที่เราทรงอารมณ์ กลายกำแพงแก้วปกปักรักษาเราจากภัยพิบัติ จากศึกสงครามทั้งหลาย จากสรรพอาวุธทั้งหลาย แคล้วคลาดปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวง ทรงอารมณ์เมตตา ความ ปราถนาดี ความผ่องใส กระแสบุญท่วมท้น คุ้มครองกายและจิตของเรา ความรู้สึกว่าคลื่นแห่งเมตตา แผ่กระเพื่อมออกไปจากจิตเรา แผ่กระจายเหมือนกับผื่นน้ำที่ราบเรียบ มีก้อนหินตกกระทบ แผ่กระเพื่อมเป็นคลื่น แสงสว่างความชุ่มเย็น ความสงบ กระจายออกไปจากดวงจิตเรา
น้อมจิตพิจารณา พิจารณาว่าด้วยพื้นฐานที่เหตุเราทำดีแล้ว กำลังแห่งตบะในสมาบัติ สมาธิ สมถะกรรมฐาน เราทรงตัว เราปฏิบัติ จนทะลุ คือสามารถเข้าสู่ฌานได้ ในทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ที่เราต้องการอารมณ์เมตตาอัปมาณฌาน ทรงตัวอยู่ในจิตของเรา มีความเมตตา มีความปรารถนาดี มีความรัก เป็นดวงจิตของผู้ที่ปราศจากการเบียดเบียนผู้อื่นเป็นปกติ เรากำหนดจิต อธิษฐานให้อารมณ์ใจนี้ เป็นเครื่องสะท้อนย้อนกลับมารักษาเรา และยิ่งส่งเสริมด้วยกำลังของพุทธานุภาพ ในจิตที่นอบน้อมต่อคุณพระรัตนตรัย กระแสจิตที่เชื่อมโยงกับพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย กระแสจิตที่เชื่อมโยงกับพระอริยเจ้าทั้งหลาย กระแสจิตที่เชื่อมโยงกับพระนิพพาน กำลังแห่งพุทธานุภาพ สามารถที่จะปกปักรักษาเราได้เต็มกำลัง
ดังนั้นจิตของเราตอนนี้ ปลุกปลอบความกล้าหาญ ว่าเรามีกำลังแห่งพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ กำลังแห่งกุศลความดี กำลังแห่งฌานสมาบัติ กำลังแห่งครูบาอาจารย์ คุ้มครองรักษา หากเหตุการณ์ที่เป็นภัยพิบัติ เป็นภัยสงครามใหญ่ สงครามโลกเกิดขึ้น หากไม่เกินกำลัง คือผลแห่งกรรมมาตัดรอนจริงๆ กำลังแห่งพุทธคุณธรรมคุณ สังฆคุณ กำลังแห่งเหตุที่เราทำไว้ดีแล้ว อันได้แก่ ตบะแห่งฌานสมาบัติทั้งแปด กำลังแห่งเมตตาอัปมาณฌานอันไม่มีประมาณ ผลบุญท่านที่เราทำกันเป็นนิจ เป็นปกติ ย่อมเป็นเกาะแก้วคุ้มครอง กายใจชีวิตของเราให้รอดพ้นจากภัยพิบัติ ภัยจากสงครามทั้งปวงได้
ดังนั้นจิตของเรา พึงพิจารณาว่า เมื่อเราเป็นศิษย์ของพระตถาคต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราหลายคนปฏิบัติเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด เมื่อเราปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน เราปฏิบัติเพื่อความดับไม่เหลือเชื้อ ดับเหตุแห่งการเกิดทั้งปวง ดับอวิชาความหลงยึด ดังนั้นเราพิจารณาเป็นวิปัสสนาไว้ ถ้าหากเราต้องตายจริงๆ เรากำหนดว่าเราตายเมื่อไหร่ เราไปพระนิพพาน
ดังนั้นกลายเป็นว่า การที่เราตายไปนั้น กลับทำให้เราพ้นจากทุกข์ทั้งปวง เข้าถึงเอกบรมสุข คือ พระนิพพาน ดังนั้นใจเราจึงจะหวาดกลัวความตาย อารมณ์จิตของพระอรหันต์ท่านเป็นเช่นนี้ จิตของท่านไม่มีความหวั่นกลัวความตาย เพราะท่านพิจารณาจนเกิดปัญญาเล็งเห็นแล้ว ว่าหากที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น ก็ยังความทุกข์จากการกระทบใจกัน มีความทุกข์จากขันธ์ห้า ความปวดเมื่อยร่างกาย ความหิว ความกระหาย เวทนาจากความเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่สบาย เวทนาจากสภาวะของขันธ์ห้า โรคภัยไข้เจ็บที่มาเบียดเบียน รวมไปถึงความยากลำบาก ในการทำมาหากินเลี้ยงชีพก็ดี ในการดำรงขันธ์ห้าก็ดี ภาระที่เกิดขึ้นจากการมีขันธ์ห้าก็ดี ดังนั้นหมดขันธ์ห้าไปเมื่อไหร่ เข้าถึงพระนิพพาน ก็เป็นอันว่าความทุกข์ทั้งหลาย ที่เราเหนื่อยยากจากการแบกขันธ์ห้าไว้ ก็หมดสิ้นออกไปจากใจของเรา ดังนั้นท่านจึงไม่เกรงกลัวความตาย
เราก็พึงพิจารณาไว้เสมอว่า ภัยพิบัติก็ดี สงครามต่างๆ ก็ดี เกิดขึ้น หากเรายังอยู่ในวาระที่ ต้องมีชีวิตเข้าสู่ยุคชาววิไล เราก็พึงทำหน้าที่ สร้างคุณประโยชน์ ทำนุบำรุงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และก็ขอให้กำลังแห่งความดี บุญกุศล กำลังแห่งฌานสมาบัติ กำลังแห่งพุทธานุภาพ ปกปักรักษาคุ้มครองให้เราปลอดภัย แคล้วคลาดปกปักรักษาเรา จากสิ่งที่เป็นรังสี สิ่งที่เป็นพิษ สิ่งที่เป็นศาสตราวุธทั้งหลาย ขอไม่อาจทำอันตราย ขอให้เราแคล้วคลาด ไม่ไปในที่ที่เป็นอันตราย แต่หากว่าเมื่อไหร่ก็ตาม ที่เป็นช่วงอายุขัยของเรา หมดวาระจริงๆ เราก็ตั้งจิตว่า ไม่เป็นไร ตายเมื่อไหร่เราไปพระนิพพาน
ดังนั้นเราก็ไม่ทุกข์ ไม่วุ่นวาย ไม่หวาดกลัว ไม่เร่าร้อน ไปกับความเร่าร้อนที่เกิดขึ้นบนโลก และในขณะเดียวกัน ก็ให้เราทุกคนเจริญปัญญาพิจารณา เป็นบุคคลผู้ไม่ประมาท เมื่อเห็นภัยที่เกิดขึ้นบนโลก แล้วเราก็เตรียมตัวแต่พอสมควร เตรียมตัวพอการ พอเหมาะ พอสม กับสถานการณ์ มีสติ ตระหนักโดยที่เราไม่ตระหนกตกใจ ไม่หวาดกลัว พิจารณาดูเหตุ ดูปัจจัย มีสัญญาณใดเกิดขึ้น เราก็เตรียมตัวไปตามสภาวะ เตรียมตัวไปตามปัจจัยที่พึงมี ไม่เดือดร้อน ไม่เบียดเบียนตัวเอง เมื่อพิจารณาแล้ว ใจเราให้วาง วางความหวาดกลัว วางความวิตก และก็กำหนด พิจารณาในจิตของเราเองว่า เมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นเช่นนี้ เรายิ่งจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติ จำเป็นที่ต้องไม่ละความเพียร เพราะกลายเป็นว่าสัญญาณแห่งมรณานุสติ ความตายมันใกล้เข้ามา เหตุที่จะทำให้ตาย เหตุที่จะทำให้เสียชีวิตมันเกิดขึ้น ไม่เฉพาะบ้านเมืองของเรา ในโลกใบนี้ก็เช่นกัน ให้เห็นว่าความตาย การสูญเสียนั้น ทำให้เราเห็นในวิปัสสนาญาณ ความไม่เที่ยง ทำให้เราเห็นความทุกข์จากการเบียดเบียน ทำให้เราเห็นสภาวะของจิตที่มีความโกรธแค้น อาฆาตพยาบาท ทำให้เรามองเห็นกระแสของกรรม ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด มาแก้แค้น เอาคืนกันชาติแล้วชาติเล่า
ดังนั้นเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น วิกฤติทั้งหลายที่ปรากฏ กลับกลายทำให้เราเห็นธรรมลึกซึ้งขึ้น เจริญจิตสูงขึ้น ภูมิจิตขึ้นสู่ความเป็นพระอริยเจ้า ยกระดับขึ้น กำหนดตั้งกำลังใจไว้เช่นนี้ให้ได้ทุกคน เราก็จะรอดพ้นจากภัยพิบัติ
จากนั้นพิจารณาต่อไป วางอารมณ์ใจให้ผ่องใสเป็นเพชรประกายพรึก พิจารณาในอตีตังสญาณ อาราธนากระแสแห่งพุทธานุภาพมายังจิต พิจารณาให้เห็นภาพเหตุการณ์ต่างๆ ตั้งแต่เหตุการณ์โบราณสืบเนื่องมา ทุกอาณาจักรก็มีความเจริญ ก้าวเข้าสู่ความเสื่อม ก้าวเข้าสู่การดับสลาย ล่มสลายของอารยธรรมในทุกๆ อาณาจักร หลายๆ อาณาจักร ช่วงเวลาที่ล่มสลาย ก็เกิดขึ้นจากภัยพิบัติ อย่างอาณาจักรศรีเทพ คืออาณาจักรทวาราวดีโบราณซึ่งมีอายุนับเนื่องตั้งแต่สมัยพุทธกาล เป็นยุคที่มีมาก่อนสมัยพุทธกาล สืบเนื่องเชื่อมโยงอาณาจักรศรีเทพนคร ที่ปรากฏขึ้น มีความเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง มีความมั่งคั่ง มีเครื่องทองประดับ มีอารยธรรม จนกระทั่งเมื่อมีความเจริญ ตามตำนานก็กล่าวว่า พระราชาผู้ปกครองก็มีความเสื่อม มีความประมาทจากธรรมะ แล้วก็มีกรณีพิพาทกับฤาษีตาไฟที่ทรงสมาบัติ ถึงเวลาวาระ ฤาษีท่านก็ความโกรธ ท่านก็ลงโทษพระราชาโดยการ อันนี้เป็นตำนาน ตำนานการล่มสลายของอาณาจักรศรีเทพ ท่านก็ปล่อยวัวเพลิงออกมาวิ่งรอบพระนคร วิ่งรอบเมืองศรีเทพ ผลก็คือเกิดไฟลุก เกิดแผ่นดินไหว เมืองก็ล่มสลายไป อันนี้ถ้าบอกว่าเป็นสมัยปัจจุบัน ก็คงบอกว่าอาณาจักรล่มสลาย โดยเหตุของการเกิดภูเขาไฟ การเกิดแผ่นดินไหวครั้งรุนแรง ทำให้อาณาจักรนั้นล่มสลายไป อันนี้คือเรื่องราวของอาณาจักรศรีเทพที่เป็นตำนาน
ส่วนอีกตำนานหนึ่ง ที่เป็นการล่มสลายของอารยธรรม ล่มสลายของอาณาจักร ก็คือ ตำนานโยนกนคร เมืองเชียงแสนโบราณ หลังจากความเจริญทางพระพุทธศาสนา จนกระทั่งยาวนานมาสืบมาหลาย 100 ปี ถึงวาระความล่มสลายความเสื่อม ของอาณาจักรเชียงแสน ก็ปรากฏตำนานว่าเกิด มีคนจับปลาไหลเผือกขนาดใหญ่มากิน คนทั้งเมืองก็กินกันหมด เอามาแบ่งกัน มีเพียงแค่แม่หม้าย กับชาวเมืองอีกสองสามคนเท่านั้น ที่ไม่ได้กิน ถึงเวลาวันรุ่งขึ้นก็ปรากฏ เป็นแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ เป็นตำนานเวียงหนองล่ม อาณาจักรโยนกนครก็ล่มสลายลง เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ดังนั้นขึ้นชื่อว่าเมื่อไหร่เราเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาอยู่ในอาณาจักรใด เกิดขึ้นมาอยู่ในยุคใด สมัยใด ยุคทองปรากฏในอารยธรรม ในอาณาจักรนั้น แต่สุดท้ายในที่สุด ในทุกอารยธรรม ในทุกอาณาจักร ก็เข้าถึงความเสื่อมสลายไปในที่สุด
สรุปแล้ว เราคิดว่าเราพบเจอภัยพิบัติกันในแต่ละชาติภพ ที่เราเกิดมาชาติแล้ว ชาติเล่า ให้เรามาพิจารณาดูว่า เราเจอกับภัยพิบัติ เจอกับศึกสงคราม เราไปเกิดในสมัยอยุธยาช่วงเสียครั้งที่หนึ่งบ้าง ครั้งที่สองบ้าง เห็นการทำลายล้าง การเผากรุงศรี เห็นการทำลายล้าง จนจิตเกิดความทุกข์ เกิดเวทนา หรือตายไปเหตุการณ์นั้น เรื่องราวเหล่านี้ ก็ถือว่าเป็นภัยพิบัติ เราคิดว่าเราผ่านศึกสงคราม ในชาติที่เราเกิด เกิดมา พบเจอมา กี่ชาติแล้ว ดังนั้นชาตินี้เราจะเจออีก มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่คราวนี้การพิจารณาในธรรม พิจารณาเป็นวิปัสสนาก็คือ ให้พิจารณาว่า หากเรายังเกิดอีก ชาติโน้นชาติหน้า ชาติต่อๆ ไป เรายังต้องมาวนเวียนเจอกับเหตุการณ์ การล่มสลายของอารยธรรมบ้าง ศึกสงครามของอาณาจักรต่างๆ บ้าง ก็ยังเจอภัยพิบัติไม่หมด ไม่สิ้น สุดท้ายจะหนีภัยพิบัติให้พ้น ให้จบสิ้น ได้อย่างแท้จริง ก็คือไม่ต้องเกิดมันอีก ไปพระนิพพานเพียงจุดเดียว เมื่อเราไปพระนิพพานเพียงจุดเดียว ต่อให้โลกจะแตก จักรวาลจะแตกสลาย เราเข้าถึงพระนิพพานแล้ว ความทุกข์ทั้งหลาย การล่มสลายทั้งหลาย ก็ไม่มีกับเราอีกต่อไป ความทุกข์ ความหวาดกลัวภัยพิบัติ ก็ไม่มีกับเราอีกต่อไป ความสูญเสีย ความทุกข์ ความเสียดาย ก็ไม่มีในจิตเราอีกต่อไป
มองเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่าง มันเป็นความไม่เที่ยง จิตเราก็สลายล้างความหวาดกลัว เกิดปัญญาเจริญในธรรม อารมณ์จิตของเราเมื่อพิจารณาแล้ว ถ้าเราต้องการหนีจากภัยพิบัติ พ้นจากภัยพิบัติ ภัยพิบัติที่น่ากลัวที่สุดก็คือ ภัยพิบัติจากวัฏสงสาร พิจารณาแล้วก็ยกจิต อาราธนาบารมีคุณพระรัตนตรัย ยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพาน อาราธนากำลังแห่งพุทธคุณ ขอให้กายทิพย์ของข้าพเจ้า ทรงสภาวะในกายพระวิสุทธิเทพ อยู่ท่ามกลางพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย บนพระนิพพาน
อธิษฐานจิต ขอให้ข้าพเจ้า พ้นจากภัยพิบัติแห่งวัฏสงสารนี้ หากภัยสงครามที่ปรากฏนี้ ข้าพเจ้ายังมีวาระที่ต้องอยู่บนโลกมนุษย์ ก็ขอให้แคล้วคลาดปลอดภัย ขอให้พระเครื่อง เครื่องรางของขลัง สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บุญ คู่บารมีของข้าพเจ้า จงเกิดกำลังแห่งพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ เทวดานุภาพ พรหมานุภาพ กำลังแห่งพระโพธิสัตว์ มาพิทักษ์รักษา เกิดความศักดิ์สิทธิ์ คุ้มครองข้าพเจ้าได้เต็มกำลัง
จากนั้นให้เรา ทรงอยู่บนพระนิพพาน ทรงอารมณ์พิจารณา ดูจิตของเรา ว่าใจของเรา เวลาขึ้นมาบนพระนิพพาน ใจของเราเป็นอุเบกขาไหม วางเฉยต่อเรื่องทางโลก วางเฉยต่อกายที่เป็นมนุษย์ วางเฉยต่อเหตุการณ์ทุกอย่างไหม ปล่อยวางจากทุกสรรพสิ่งได้ไหม พิจารณาโดยจิตของเรา พิจารณาดูเหตุ ดูผล ดูความเร่าร้อนของดวงจิต ของมนุษย์ทั้งหลายบนโลก พิจารณาให้เห็น ว่าอารมณ์จิตที่เร่าร้อน มุ่งหมายจะทำลาย แก้แค้นกัน แย่งชิงดินแดนอันเป็นสมมุติ อันที่จริง หากมีเมตตาธรรมต่อกันจากบริสุทธิ์ หากมนุษย์ทั้งหลาย มีเมตตาธรรมต่อกัน จนทะลุเลยความคิด ในเรื่องชาติทั้งหลาย คิดในเรื่องศาสนาทั้งหลาย
จนกระทั่งมีเมตตาอย่างไร้พรมแดน ไร้อคติอย่างแท้จริง โลกมนุษย์ก็มีพื้นที่เพียงพอ ที่จะเป็นบ้านของทุกคน ทุกชีวิต มีแหล่งอาหาร มีความอุดมสมบูรณ์ มีทรัพยากรมากเพียงพอ ที่จะแบ่งปันให้กับทุกชีวิต ความเห็นแก่ตัว เพราะสมมุติ เพราะติดสมมุติ เพราะคลั่งชาติ คลั่งศาสนา จึงทำให้เกิดการเบียดเบียน เกิดความทุกข์ จิตเราพิจารณา เพื่อยกให้พ้นจากโมหะ ความหลงทั้งหลายเหล่านี้ จิตเราถึงเมตตาธรรม ยกระดับภูมิจิต เป็นประดุจดวงจิตแห่งพระโพธิสัตว์ อันมีความเข้าใจลึกซึ้ง ต่อความคิด ต่อการปรุงแต่งของมนุษย์ และสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ด้วยอำนาจแห่งโลภะ โทสะ โมหะ
พิจารณาด้วยจิต ที่ทรงสภาวะแห่งความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ อารมณ์จิตประดุจพระอรหันต์ จำไว้ว่าทุกครั้งที่ยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพาน เราพยายามวางอารมณ์จิต แม้เป็นอารมณ์จิตที่สะอาดบริสุทธิ์เพียงชั่วคราว ในอารมณ์แห่งพระอรหันตผล เราพยายามฝึกที่จะปล่อยวาง ตัดวาง ทรงอารมณ์ประดุจว่าเรานั้น เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน หมดเยื่อใย หมดภาระในโลก ในสังสารวัฏแล้ว ทรงอารมณ์จิตไว้เช่นนี้ จิตสงบสุขผ่องใสอยู่ได้ สงบสุขได้แม้โลกนี้เราร้อนเพียงใด ใจเราอย่างสงบเย็น จำไว้ว่าเมื่อโลกเราร้อน ใจเราร้อน ก็ยิ่งเพิ่มความเร่าร้อนเพิ่มพลังงานแห่งอกุศลบนโลกมนุษย์ แต่หากโลกเร้าร้อน เบียดบียน แต่เราสงบเย็น เราเองเป็นผู้ที่เป็นสุข ดับไฟในจิตของเรา และความสงบเย็น ความเมตตาในจิตของเรา ก็อาศัยแห่งความสงบเย็นเมตตานั้น ก็พอช่วยบรรเทาดับความเร่าร้อนบนโลกนี้ได้ด้วยเช่นกัน ดับที่เรา เบาที่สุด
กำหนดจิตว่านับแต่นี้ ที่เราเจริญพระกรรมฐาน ปัญญาเรารู้ตื่น รู้แจ้ง นับแต่นี้ ตั้งกำลังใจ ว่าเราจะสงบเย็นได้ แม้เกิดความเร้าร้อนทั้งปวง แม้โลกจะเร้าร้อนเพียงใด เราก็ยังสงบเย็น แม้โลกเร่าร้อน ได้ใจเรายังแนบอยู่กับพระนิพพาน
ทรงอารมณ์ของเรา สว่าง ผ่องใส เห็นกายทิพย์ กายพระวิสุทธิเทพเรา สว่างเจิดจ้าอย่างยิ่ง จิตเรายิ้ม จิตเราอิ่ม จิตสว่าง ปัญญาในวิปัสสนาญาณรู้ตื่นขึ้น พิจารณาเห็นในเหตุการณ์ด้วยภูมิธรรมที่สูง พ้นจากความหวาดกลัว พ้นจากความเร่าร้อน ก็ดำรงสติไว้ในความไม่ประมาท ทรงอารมณ์จิตความผ่องใส กายทิพย์สว่างไว้ความเอิบอิ่ม ความผ่องใสปรากฏ
จากนั้น พิจารณาใช้ปัญญาญาณ ขออารธนาบารมีพระท่านสงเคราะห์ ขอให้เห็นภาพเหตุการณ์ใน อนาคตังสญาณ เพื่อให้เราสามารถเตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมจิต เตรียมการรับสถานการณ์ที่จะปรากฏขึ้นกับโลก พิจารณาต่อไป ความเร่าร้อนในตะวันออกกลาง เราพิจารณา เหตุครั้งนี้หากมีความรุนแรงขึ้น เมื่อใดที่ผู้นำศาสนา ประกาศให้เป็นสงครามศักดิ์สิทธิ์ ที่เรียกว่า ยัดฟา เมื่อไหร่ที่ประกาศให้ชาวมุสลิม ทำสงครามศักดิ์สิทธิ์เมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็จะเกิดแนวร่วมในหลายๆ ประเทศ แนวร่วมหลายๆ ประเทศนั้น นอกเหนือจากการทำสงครามในเขตพื้นที่ ก็จะมีชาวมุสลิมที่เป็นผู้ลี้ภัยที่อยู่ในประเทศต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปยุโรปก็ดี ในสหรัฐอเมริกาก็ดีหรือดินแดนอื่นๆ บนโลกใบนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก็อาจจะเกิดการก่อการร้าย การวางระเบิด ความวุ่นวายก็จะเริ่มเกิดขึ้น การประท้วงต่างๆ ก็เกิดขึ้น แต่ภาพที่เห็น ที่โฟกัส และค่อนข้างมีความรุนแรง แล้วก็จะเกิดเป็นที่แรกๆ ที่เป็นพื้นที่นอกเหตุการณ์ในตะวันออกกลาง ก็คือในยุโรป โดยเฉพาะดิฝรั่งเศส ซึ่งเมื่อวานก็เพิ่งเตือนไปในห้องครูเมตตาสมาธิ เช้าวันรุ่งขึ้นก็มีประกาศเตือน จากสถานทูตไทย ว่ามีข่าว ว่าจะมีการก่อการร้ายวินาศกรรม ที่ฝรั่งเศสจริงๆ
ซึ่งอันที่จริง หลวงพ่อพระราชพรหมยาน หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยเตือนไว้ ว่าเมื่อไหร่เหตุการณ์มันลุกลามไปที่ฝรั่งเศส อันที่จริงท่านบอกไว้เลยว่าให้ลูกหลานชาวไทย ที่อยู่ในต่างประเทศ พยายามกลับประเทศไทย เพราะคราวนี้มันจะเริ่มกระจายตัวไปในประเทศอื่นๆ ดังนั้นการที่เรากลับมาประเทศไทย ประเทศไทยถามว่า มีความวุ่นวายไหม มีบ้าง แต่ก็ยังถือว่าน้อยกว่าประเทศอื่น ในประเทศไทยเอง หากใครมีกำลัง มีทรัพยากร มีความชอบ พอจะทำเศรษฐกิจพอเพียงได้ ทำแหล่งอาหารได้ ก็เพิ่งทำ เริ่มทำ เริ่มให้เร็วขึ้น เหตุผลเพราะว่า
ต่อไป เมื่อไหร่ที่สงคราม โดยเฉพาะในเขตตะวันออกกลาง สิ่งที่เป็นยุทธปัจจัย สิ่งแรกที่สำคัญที่สุดก็คือน้ำมัน คือพลังงาน น้ำมันขาดแคลน ราคาสูงขึ้นแน่นอน ต่อมาก็คือเรื่องของอาหาร ในเรื่องของเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ปัจจุบันไม่เหมือนยุคก่อน เสื้อผ้ามีมากเพียงพอ แต่คราวนี้เมื่อไหร่ก็ตาม ที่มีการสูญเสีย มีการตายมากขึ้น หรือเกิดศึกสงคราม เกิดการเสียชีวิต ลามออกไปในหลายประเทศทั่วโลกมากขึ้น คราวนี้คนก็จะหาเครื่องรางของขลัง โดยเฉพาะจริงๆ ที่หลวงพ่อท่านบอกไว้ ก็คือ พระคำข้าว พระหางหมาก หลายๆ คนก็มีแล้ว ก็ดีใจด้วย สำหรับคนที่ไม่มี ก็มีพระเครื่องอีกหลายๆ องค์ที่มีความศักดิ์สิทธิ์ ที่ครูบาอาจารย์ท่านบอก อย่างพระของหลวงปู่ดู่ หลวงตาม้าก็สามารถคุ้มครองได้ พระวัดปากน้ำ พระของขวัญ ท่านก็เมตตาคุ้มครองได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราปฏิบัติเจริญกรรมฐาน จิตมีความศรัทธาเลื่อมใส อาราธนาบารมีพระมาได้เต็มกำลัง กำลังพุทธคุณก็คุ้มครองเราได้
แต่อันนี้ สำหรับคนทั่วไป ที่เขาไม่ได้เจริญกรรมฐานขั้นสูง หรือขั้นลึกอย่างที่พวกเราฝึก เขาก็ต้องการวัตถุมงคลที่ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ คนยิ่งกลัวตายมากเท่าไหร่ คนก็ยิ่งยอมจ่าย ยอมบูชาพระในราคาสูงมากขึ้นเพียงนั้น อันนี้ก็เป็นเรื่องปกติ แต่ขอให้เราจงอย่าได้ไปเก็งกำไร อาจารย์แจกพระคำข้าว พระหางหมาก สมัยก่อน ช่วงที่ภัยพิบัติรอบที่แล้ว แจกไปเป็น 100 องค์ ตอนนี้ก็น่าจะไม่พอแจกพวกเราแล้ว ดังนั้นก็อธิษฐานเอาหากเป็นของคู่บุญ หากเราจะได้ ก็ขอให้ได้ คนไหนที่มีแล้วก็เก็บไว้ดีๆ อันนี้ก็ให้เราพิจารณาไป ส่วนคราวนี้เหตุการณ์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์บ้านเมืองในประเทศไทย ถึงเวลาก็คิดว่าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงกำลังบุญ กำลังบารมีของผู้นำ อาจจะต้องเปลี่ยน สภาวะผู้นำในยามที่บ้านเมืองมีวิกฤติสงคราม กำลังของผู้นำคนปัจจุบันน่าจะเอาไม่อยู่ ทั้งความสามารถ ทั้งบารมี โดยเฉพาะคุณสมบัติ คุณธรรม ศีลธรรม กล้ารับประกันว่าน่าจะมีปลิวไป อันนี้ก็บอกเพียงเท่านี้
ดังนั้นมีเหตุการณ์การเปลี่ยนแปลงในบ้านเมือง เราก็ตั้งกำลังใจว่า ขอให้คนที่คู่ควร คนที่เหมาะสม เป็นคนที่มาดูแลบ้านเมืองในยามวิกฤต ต่อไปเหตุการณ์ถ้าหากมีการความรุนแรงขึ้น บ้านเมืองก็คงเข้าสู่สภาวะอัยการศึก หากมีความวุ่นวาย แต่หากบ้านเมืองในประเทศไทย มีความวุ่นวายน้อยหน่อย ก็ยังพอประคับประคองกันไปได้ อันนี้ก็ให้เราเตรียมการเท่าที่จัดเตรียมได้
สำหรับกัลยาณมิตรที่อยู่ในต่างประเทศ ในเบื้องต้นก็ให้เราสำรวจ พยายามหลีกเลี่ยงไม่ไปในชุมชนสองส่วนที่มีความขัดแย้ง คือทั้งชุมชนชาวยิว ชุมชนชาวมุสลิมก็ดี พยายามหลีกเลี่ยงไม่ไปทั้งสองส่วน พยายามห่างจากเหตุจราจล แล้วก็อย่าลืมหาทางทีไล่ว่า หากมันมีความวุ่นวายรุนแรงมากขึ้น ก็หาช่องทางที่จะเดินทางกลับมาประเทศไทย หากมีความวุ่นวายรุนแรง จนรู้สึกได้ว่ามันไม่ปลอดภัย ก็พยายามตัดใจรีบกลับมาเมืองไทย ถึงเวลาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากใครกัลยาณชน กัลยาณมิตรทั้งหลายที่อยู่ในเขตตะวันออกกลาง พยายามกลับประเทศไทยน่าจะดีที่สุด อันนี้ก็ให้เรามีสติ ไม่ต้องหวาดกลัว
กำหนดตั้งกำลังใจไว้ เตรียมการสำหรับกายเนื้อแต่พอประมาณ พอสมควร ไม่หวาดกลัว ไม่หวาดหวั่นไม่ตื่นตะหนก มีสติกำหนดรู้ พิจารณาดูสถานการณ์ เตรียมการไปตามเหตุ ตามปัจจัย ขยันเร่งภาวนา ขยันเร่งความเพียรยิ่งต้องทรงภาพพระทุกวัน ยิ่งต้องทรงอารมณ์ใจทุกวัน ยิ่งต้องฝึกยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพานทุกวัน พยายามทำ แล้วก็สายหลวงตาม้า ก็พยายามขยัน รวมตัวรวมกลุ่มสวดบทพระมหาจักรพรรดิ พร้อมกับแผ่เมตตาฌาน พยายามตั้งใจบอกต่อกัน ตอนนี้ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ท่านก็ทำหน้าที่ตามที่เบื้องบนท่านสั่งลงมา อย่างหลวงตาม้าท่านก็ดี ท่านก็เมตตาสงเคราะห์เชื่อมกระแส เชื่อมกันกับพระอาจารย์หนุน วัดพุทธโมกข์ ครูบาอาจารย์สายหลวงพ่อฤาษีลิงดำ สร้างพระสยามเทวาธิราช 108 องค์ ถวายไว้ทั่วประเทศไทย ตรงนี้ก็เพื่อที่เป็นกำลังปกปักรักษาคุ้มครองเขตประเทศไทยโดยตรง หรืออย่างอาจารย์ ท่านก็ให้ทำหน้าที่ เรื่องการบวงสรวง อาราธนาบารมีพระอุปคุตขึ้นมาจากสะดือทะเล เพื่อรองรับสำหรับช่วงยุคชาววิไล หลังจากเหตุการณ์ในสงครามต่างๆ ในภัยพิบัติคลี่คลายลง ซึ่งถึงเวลา ไม่แน่ที่เหตุการณ์ในเรื่องของภัยพิบัติ ในเรื่องของศึกสงครามต่างๆ อาจจะสงบจบลงเร็วมากกว่าที่เราคิด อาจจะไม่ถึงขั้นที่ลงระเบิดปรมาณูครั้งร้ายแรงบนโลก เหตุการณ์ต่างๆ ยังสามารถคลี่คลายได้ เพราะอย่าลืมว่า ถ้าหากมีระเบิดดำรงครั้งร้ายแรง คนตายมากมายมหาศาล ฝุ่นกัมมันตภาพรังสีคลุมทั่วโลก อย่าลืมว่าระเบิดยุคปัจจุบัน มันแรงกว่ายุคสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ถล่มฮิโรชิม่า นางาซากิ มันรุนแรงกว่า แค่ลูกขีปนาวุธหัวรบแค่ลูกเดียว แรงกว่ารูปที่ถล่มฮิโรชิม่า 1000 เท่า ดังนั้นแค่ลงแค่ลูกเดียว ก็แทบจะไม่เหลืออะไร ไม่มีใครอยู่ได้ ไม่มีใครรอดชีวิต ดังนั้นก็ไม่อาจจะเข้าสู่ยุคชาววิไลได้ ดังนั้นเหตุการณ์มันอาจจะคลี่คลาย สงบ เบาลง เราก็อาจจะไม่ต้องลำบากอยู่นานนัก
ดังนั้นก็ให้เราทุกคนพยายามช่วยกัน ดับความเร่าร้อนของโลกด้วยธรรม ขยันปฏิบัติ เร่งความเพียร ชวนผู้คนทั้งหลายมาปฏิบัติมากขึ้น สวดมนต์กันมากขึ้น รวมกลุ่มสวดมนต์กันที่พระเจดีย์ภูเขาทองบ้าง พระปรางวัดอรุณบ้าง ในจุดที่เป็นจุดสำคัญๆ วัดวาอารามต่างๆ สำคัญๆ บ้าง ตรงนี้ก็เป็นจุดที่สามารถช่วยแบ่งเบา เร่งความเพียรในการปฏิบัติ ตามกำลังที่แต่ละบุคคลจะสามารถทำได้ ตอนนี้ครูบาอาจารย์ ท่านก็ได้รับคำสั่งเบื้องบน คือจากพระท่าน ให้เร่งเรื่องการปฏิบัติมากขึ้น ให้เร่งในการเจริญกรรมฐาน ผู้คนปฏิบัติมากขึ้น หลายๆ สถานธรรม หลายๆ สถานที่ปฏิบัติ ในสามวันที่เป็นวันหยุด วันหยุดยาวนี้ หลายแห่งมีผู้ไปปฏิบัติธรรมเต็มจนล้น ไม่มีสถานที่รองรับ อันนี้แต่ละคนก็ได้รับสัญญาณความรู้สึก ลางสังหร ว่าจำเป็นจะต้องเร่งการปฎิบัติกัน
ดังนั้นสำหรับใครที่รู้สึกสัมผัสได้ ว่าต้องเร่ง ต้องช่วยกันลงมือ ทำอะไรซักอย่างรวมกลุ่มกัน สร้างบุญ สร้างกุศล เราก็โพสต์ เราก็แชร์ เราก็แบ่งปันความรู้สึก หรือกิจที่เรารู้สึกว่าเราพึงกระทำ บางคนก็มีความเพียรเร่งแจกกสร้อยประคำหลวงปู่ดู่ ทำแจกคนอีก 3000 ชุดบ้าง 6000 ชุดบ้าง เรียกว่า เร่งกันเป็นปรมัติ
ดังนั้นใครนิ่งนอนใจ ใครที่ขี้เกียจ ใครที่กำลังในการปฎิบัติถอยลง อันนี้จำเป็นที่ต้องเร่งรัดตัวเองขึ้นพยายามฝึกฌานสมาบัติ กำลังมโนมยิทธิ กำลังเมตตาฌาน ฝึกจนเราสามารถทำได้โดยไม่ต้องให้ใครมานำ ฝึกจนเราสามารถทรงตัวได้ ภาษาที่บอกก็คือ ฝึกจนทะลุ คำว่าทะลุก็คือ จากเมื่อก่อนมันได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ฝึกจนทำทุกครั้ง ได้ทุกครั้ง ทรงอารมณ์ได้เต็มกำลังทุกครั้ง จำไว้ว่าเหตุการณ์วิกฤติเกิดขึ้น เหตุการณ์จวนเจียน จวนตายเกิดขึ้น จิตมันจะรวมตัว จิตมันจะเร่ง ตอนนี้เราไม่ต้องไปเร่งให้ถึงขั้นนั้น เร่งความเพียรของเราในการปฎิบัติ สอนนี่สอนไว้หมดแล้ว ฌาน 4 ในอานาปานสติ หยุดจิตทำยังไง กสิณทั้ง 10 กอง ฝึกยังไง หรือรวมเป็นกสิณจิต จิตเป็นปฏิภาคนิมิตอย่างเดียว กายทิพย์ อาทิสมานกาย กำลังมโนมยิทธิทำยังไง เมตตาอัปมาณฌานทำยังไง อรูปฌานทำยังไง เจริญยังไง เราตั้งใจปฏิบัติ ตั้งใจทบทวนของเราเอง ว่าเราทำของตัวเราเองได้ไหม ทำโดยไม่ต้องมีคนนำได้ไหม ทำให้กำลังจิตรู้สึกถึง จิตตานุภาพที่มันอัดแน่นอยู่ในจิตของเรา แผ่สว่างออกมาจากจิตของเรา ทำด้วยตัวเองได้ไหม สวดคาถาบทพระจักรพรรดิ สวดคาถาเงินล้าน เราสวดโดยกำหนดกำลังภาพ เป็นแสงสว่างออกจากจิต จิตมีองค์พระ จิตมีภาพหลวงตา หลวงปู่ จิตมีภาพพระแผ่สว่าง กระแสของการสวดแผ่สว่างเป็นพลังออกมาเลยไหม พยายามสร้างจิตตานุภาพ ให้เกิดผลเต็มกำลัง ในทุกการปฎิบัติของเรา สวดมนต์ก็เกิดจิตตานุภาพ เกิดพลังความเป็นทิพย์ เกิดความรู้สึกว่ากระแสจิตเรา เชื่อมโยงกับพระโพธิสัตว์ เชื่อมโยงกับพระนิพพาน เชื่อมโยงกับครูบาอาจารย์ พลังเชื่อมโยงสอดประสาน แผ่สว่างกระจายออกไป ทำให้ได้เต็มกำลังทุกคน พยายามเป็นกำลังให้กับโลก ดับความเร้าร้อน
เมื่อใจเรามีความอาจหาญ มีความฮึกเหิม มีความเพียรในการปฎิบัติ ตอนนี้ก็ให้เราย้อนกลับมาทรงอารมณ์บนพระนิพพาน ทรงสภาวะกายพระวิสุทธิเทพ สว่างผ่องใส น้อมความรู้สึก น้อมกระแสของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกๆ พระองค์ พระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลายรวมลงสู่จิต รวมลงสู่กายพระวิสุทธิเทพของเรา กำลังของทิพย์ กายทิพย์ คือ แสงสว่าง ยิ่งรัศมีของกายทิพย์ ความสว่างมีมากเท่าไหร่ นั่นก็หมายถึงว่ากายทิพย์นั้น มีกำลังแห่งบุญ มีกำลังแห่งฤทธานุภาพ มีกำลังแห่งความเป็นทิพย์สูงเพียงนั้น แสงสว่างที่เกิดขึ้นปรากฏขึ้น จากการเจริญเมตตาอัปมาณฌาน ยิ่งเจริญเมตตาฌานมากเท่าไหร่ สว่างได้มากเท่าไหร่ ขอบเขตของรัศมีกายที่แผ่เมตตาออกไปสว่างเท่าไหร่ ก็มีผลสืบเนื่องเชื่อมโยงให้กายทิพย์ของเรา มีจิตตานุภาพ มีบุญฤทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์สูงมากขึ้นเพียงนั้นเช่นกัน ถึงเวลา ถึงวาระในยามขับขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อไรเรามีเจตจำนง ทำเพื่อส่วนรวม ถึงเวลาวาระพระท่าน ก็จะมีพุทธานุญาต ให้สามารถใช้อภิญญาใหญ่ อันเกิดขึ้นจากจิตที่เราฝึกไว้ดีแล้วได้ ขอเพียงเรานั้นมีเจตจำนงทำเพื่อส่วนรวม คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทำ ใช้อภิญญาเพื่อสรรพสัตว์ เพื่อสงเคราะห์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อยังประโยชน์ต่อโลกใบนี้ จิตเรายิ่งสูง ยิ่งคู่ควรต่ออภิญญาใหญ่ หากกำลังใจเรามีความเห็นแก่ตัว จิตใจเรามีความโลภ จิตใจเรามานะทิฐิ ความหยาบกระด้าง เราก็ย่อมไม่คู่ควรกับของสูง ไม่คู่ควรกับอภิญญาใหญ่
ดังนั้นวางกำลังใจเรา ให้สะอาดบริสุทธิ์ไว้เสมอ วางกำลังใจของเราให้มีความเพียร มีความอาจหาญไว้เสมอ น้อมกระแสจากพระนิพพานลงมายังโลกมนุษย์ ขอกำลังแห่งพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สัมฆานุภาพ กระแสพระโพธิสัตว์เจ้า ครูบาอาจารย์ กระแสแห่งเทพพรหมเทวา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ผู้เป็นสัมมาทิฏฐิ ขอน้อมลงมาคุ้มครองดินแดนสุวรรณภูมิสยามประเทศ คุ้มครองเขตพระพุทธศาสนา คุ้มครองร่มฉัตร เศวตฉัตรแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ คุ้มครองสาธุชนคนดี ผู้เป็นสัมมาทิฏฐิ ขอจงรอดปลอดภัยจากภัยพิบัติ จากศึกสงครามทั้งปวง ขอกระแสบุญทั้งหลายลงมาคุ้มครองเต็ม ขอกระแสพุทธานุภาพลงมายังวัตถุมงคล สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่สาธุชนคนดี บริกรรมสวดมนต์ ศรัทธา กราบไหว้ บูชานับถือ รวมจิตไว้ ขอจิตจงรวมเชื่อมตรงต่อพระนิพพานเกิดกระแสพลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์ ในทุกเครื่องรางของขลัง
จากนั้นนะ น้อมจิตแผ่เมตตาสว่าง จิตเราปรารถนาพระนิพาน ขอนิพพานชาตินี้ ขอกระแสบุญจากพระนิพพาน บุญกุศลแห่งทาน ศีล ภาวนา บารมี 30 ทัศ ที่ตัวเราเองนั้น ได้บำเพ็ญไว้แล้ว ขอแผ่อุทิศให้กับทุกดวงจิต ทุกภพภูมิทั่วสังสารวัฏ นับตั้งแต่อรูปพรหมทั้ง 4 พรหมโลกทั้ง 16 ชั้น มีท่านท้าวสหัมบดีพรหมทรงเมตตาเป็นประธาน รับรู้รับทราบ แผ่เมตตาลงมา ยังสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น ขอองค์อมรินทร์ทราธิราชเจ้า พระอินทร์ เมตตาเป็นประธานรับรู้ รวมถึงท้าวมหาราชทั้ง 4 ผู้พิทักษ์รักษาทั้ง 4 ทิศ ได้เป็นประธานเมตตารับรู้ ในกระแสเมตตา แผ่เมตตาลงมายัง ภุมเทวดา รุกขเทวดาทั่วโลก ทั่วจักรวาล แผ่เมตตาลงมายังสรรพมนุษย์ สรรพสัตว์ที่มีร่างกายหยาบขันธ์ห้า ทุกดวงดาว ทุกจักรวาล ถ้วนทั่ว จักรวาลน้อย จักรวาลใหญ่ ทุกกาแล็กซี่ ทุกเอกภพ ทุกมิติ แผ่เมตตาของสรรพสัตว์ทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลาย จงได้รับกระแสกุศลที่ข้าพเจ้า แผ่ถึงจากพระนิพพานนี้ แผ่เมตตาต่อไป ยังดวงจิต ดวงวิญญาณ โอปปาติกะสัมเวสี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดวงวิญญาณที่ตายจากสงคราม ตายจากการทิ้งระเบิด ตายจากการประหัดประหาร ขอกระแสเมตตา จงดับความโกรธแค้นพยาบาท ขอกระแสแห่งบุญกุศลความสงบเย็น จงแผ่ถึง ส่งถึง ทุกดวงจิต ดวงวิญญาณ ด้วยเทอญ
แผ่เมตตาต่อไปยัง เปรต อสุรกาย รวมไปถึงสัตว์นรกทั้งหลาย นรกทุกขุม ขอกระแสบุญ กระแสเมตตาที่เราแผ่ไป ขอลุงพุฒ พญายมราช นายนิรยบาลทั้งหลาย ได้รับรู้ รับทราบ เป็นประธานในการรับรู้ในการอุทิศส่วนกุศล แผ่เมตตาอันไม่มีประมาณของข้าพเจ้าด้วยเทอญ ขอสรรพสัตว์ทั้งหลาย จงเป็นสุข พ้นจากทุกข์ พ้นภัยจากวัฏสงสาร เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน อันเป็นเอกบรมสุขด้วยเทอญ
ใจสบาย สงบ ผ่องใส บุญกุศลแห่งการเจริญพระกรรมฐาน บุญกุศลจากการแผ่เมตตาอัปมาณฌาน เป็นเกาะแก้วคุ้มครอง กาย วาจา ใจ คุ้มครองชีวิตตัวเราและครอบครัว สินทรัพย์ ทรัพย์สิน บ้านเรือน ให้รอดปลอดภัย กำลังกุศล กำลังพระกรรมฐาน คุ้มครองรักษาผืนแผ่นดินประเทศไทย ให้ปลอดภัยจากภัยพิบัติ
จากนั้น น้อมจิตนะ กราบลาพระพุทธเจ้า กราบลาทุกๆ พระองค์ ใจเราสะอาด ผ่องใส ปัญญาเรากระจ่างแจ้ง ละวางความกลัว ความอาฆาตแค้น ความเกลียดชัง อคติทั้งปวง ภูมิจิตเราสูง พ้นจากสมมุติทั้งหลาย พ้นจากโลกธรรมทั้ง 8 พ้นจากโลก พ้นจากสมมุติ
จากนั้นพุ่งอาทิสมานกาย แสงสว่างลงมายังกาย เป็นลำแสงสว่าง เป็นรุ้ง เป็นประกายพรึก เป็นกระแสจากพระนิพพาน ลงมายังกาย ลำแสงสว่าง กระแสแห่งพระนิพพาน เมื่อส่งตรงลงมายังกายเนื้อขันธ์ 5 ก็ชำระล้างฟอกขันธ์ห้า เห็น ผม ขน ฟัน หนัง กลายเป็นแก้วใสเป็นเพชร โครงกระดูกทั่วกาย ขาวขึ้น ใสขึ้น เป็นเพชร หัวกระโหลกของเรากลายเป็นแก้ว เป็นเพชร กระดูก เส้นเอ็น กลายเป็นแก้ว เป็นเพชร ตับ ไต ไส้พุง อาการ 32 อวัยวะภายในทุกส่วนกลายเป็นเพชร สว่าง กายเนื้อ กายทิพย์สอดประสาน ฟอกธาตุขันธ์ กายหยาบ ธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ กายของเราสว่าง กลายเป็นเพชร กาย จิต สะอาดผ่องใส กระแสจากพระนิพพานคุม คุ้มครองบ้านเรือนของเรา ขอมีกำลังพุทธคุณ คุ้มครอง
จากนั้น อาราธนาบารมีให้เห็นองค์พระ อยู่เหนือเศียรเกล้าของกายเนื้อ ภายในศีรษะเป็นองค์ที่สอง ภายในอกเป็นองค์ที่สาม ทรงกำลังใจว่าเราทรงพระสามฐาน รวมทั้งมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ใหญ่กว่ากายของเราครอบกายของเราทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง กำหนดน้อมจิต ว่าเรามีกำลังพุทธคุณรักษา ธรรมคุณรักษา สังฆคุณรักษา ปลอดภัยแคล้วคลาดจากภัยพิบัติทั้งปวง
จากนั้นก็ค่อยๆ กำหนดใจของเราให้ผ่องใส เบิกบาน ยินดีในกุศล ในจิต ที่เราเจริญพระกรรมฐาน มีความสุข ความผ่องใส ดับความเร่าร้อน จากความทุกข์ จากความหวาดกลัว จิตเราเบิกบาน
จากนั้น หายใจเข้าลึกช้าๆ พุท ออก โท ช้า ลึก ยาว ครั้งที่สอง ธัมโม ครั้งที่สาม สังโฆ
จากนั้นกำหนดจิต โมทนากับกัลยาณมิตร กับเพื่อนที่ปฏิบัติเจริญกรรมฐานด้วยกัน รวมถึงที่ฟังภายหลังขอโมทนาบุญกุศล ความผ่องใส สมาธิ สมาบัติฌาน เมตตาฌาน กำลังญาณวิปัสสนา ขอยินดีโมทนาสาธุกับทุกความดี ทุกกุศลของทุกคน ขอโมทนาสาธุกับเทวดาพรหม ที่มาปกปักรักษาขณะที่เราทั้งหลายเจริญกรรมฐาน ขอน้อมกุศลถึงสยามเทวาธิราช เทพพรหมที่ปกปักรักษา ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ทุกๆ พระองค์ ขอจงมีส่วนร่วมในบุญกุศล ทาน ศีล ภาวนา ของข้าพเจ้าทุกคน เพิ่มพูนบุญฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ เทพฤทธิ์ พรหมฤทธิ์ ยิ่งมีกำลังในการปกปักรักษาคุ้มครองแผ่นดิน และเขตของพระพุทธศาสนาเต็มกำลังด้วยเทอญ
แล้วก็ขอฝาก ให้เราร่วมจิตร่วมใจกันนะ คนไหนที่สะดวกก็มาร่วมบุญ ในเรื่องของการเดินทางจัดพิธี ไปบวงสรวง อัญเชิญพระอุปคุตขึ้นจากสะดือทะเล ตั้งจิตใจร่วมกัน เป็นกิจสำคัญที่เราทำเพื่อส่วนรวม อันที่จริงเคยบอกกันกับ คณะที่จัด ร่วมกันจัดงาน บอกว่าถ้าหากเราประกาศไปว่า ใครที่มาร่วมงานบวงสรวง จะเกิดโชคลาภมากมายมหาศาล กล้ารับรองว่าคนคงจะเยอะ แต่พอประกาศว่าทำเพื่อส่วนรวม ทำเพื่ออาราธนาบารมี พระอุปคุตขึ้นมาตักบาตร ขึ้นมาให้บ้านเมืองนั้น เข้าสู่ยุคชาวิไล คราวนี้คนอาจจะน้อย แต่คนที่มา มาด้วยกำลังใจบริสุทธิ์ มาด้วยกำลังใจที่คิดว่าทำเพื่อส่วนรวม คิดว่าทำเพื่อเข้าสู่ยุค ที่จะเกิดประโยชน์ต่อผู้คนออกมา ดังนั้นจำนวนคนกลายเป็นว่าถูกคัดกรอง ถูกคัดเลือก คนที่มีบารมีเชื่อมโยงกับอาณาจักรทวราวดีในยุคนั้น คนที่มีกำลังใจทำเพื่อส่วนรวมตัว คนที่มีกำลังใจ มีวาสนาบารมีกับพระอุปคุต มีวาสนาบารมีกับมวลเหล่าพญานาคทั้งหลาย ผู้ที่มีวาสนาบารมีเชื่อมโยงเกิดเป็นลูกศิษย์ของท่านฤาษีที่เขางู ซึ่งเป็นพระฤาษีที่อยู่มาตั้งแต่สมัยพุทธกาล อายุหลาย 1000 ปี บุคคลทั้งหลายนั้น จึงมีกำลังใจที่ไปร่วมงาน
ดังนั้นหากผู้ใด ที่ตั้งใจ ตั้งจิต ทำเพื่อส่วนรวม เราก็มาช่วยกัน แต่พยายามร่วมบุญ พยายามบอกกันพยายามมา อันนี้ก็ฝากไว้ รวมถึงตอนนี้ก็พยายามเร่งเขียนแผ่นทอง อธิษฐานพระนิพพาน คนไหนที่ยังไม่มีแผ่นทอง ยังไม่ได้แผ่นทอง ก็ยื่นความจำนงขอได้ แจกให้ฟรี ขอเพียงแค่เราตั้งจิตขึ้นไปบนพระนิพาน ทุกครั้งที่ขึ้นบนพระนิพพาน เขียนแผ่นทอง อธิษฐาน เพื่อทั้งตัวเราเองด้วย และก็เพื่อทำเพื่อส่วนรวม คือเพื่อนำมารวบรวมหล่อพระ จิตที่ยกขึ้นสู่พระนิพพาน 100,000 ดวงจิต กำลัง 100,000 เป็นกำลังมากมาย ต้องใช้ความเพียร ต้องเป็นปรมัติ เราช่วยกันทำเพื่อให้เกิดผล ทำเพื่อให้เกิดประโยชน์ อันนี้ก็ฝากไว้
สำหรับสัปดาห์หน้า อาจารย์ติดภารกิจเดินทางไปปรับภพภูมิที่ต่างประเทศ ทั้งสองวัน ข้ามไปอีกอาทิตย์ พบกันใหม่ ตอนนี้ก็ขอให้เราทุกคนเร่งรัด ในการปฎิบัติธรรมให้เข้มข้นขึ้นทุกคน เพื่อตัวเองด้วยและเพื่อส่วนรวม เมื่อไหร่ที่เราคิดเพื่อส่วนรวม เทพพรหมเทวา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยิ่งสงเคราะห์มาก ทำแค่เพื่อตัวเองพระท่านก็สงเคราะห์ แต่พอควร ดังนั้นยิ่งกำลังใจใหญ่มากเท่านั้น ยิ่งให้ ยิ่งได้ ยิ่งทำเพื่อส่วนรวม จิตเรายิ่งยกระดับความเสียสละ ยิ่งมีมากเท่าไหร่ เทพพรหมเทวา ยิ่งเล็งเห็น ดังนั้นก็ขอให้เราทุกคน ซึ่งมีกำลังใจ ยังมีคนอีกมากมาย ที่เขายังไม่มีโอกาสฝึกสมาธิ จนถึงเข้าได้ในระดับสมาธิ เอาแค่ฌานหนึ่ง ฌานสองก็ยังเป็นเรื่องยาก เราทรงอารมณ์จนถึงระดับที่ใช้กำลังมโนมยิทธิ ใช้กายทิพย์ได้ยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพานได้ เราทำได้ขนาดนี้ก็อย่าให้เสียเปล่า เสียของ พยายามรู้ประโยชน์ รู้คุณแห่งกรรมฐานที่ฝึก ให้ได้เต็มกำลังตำหนักด้วยเช่นกัน ขอให้ธรรมะทั้งหลายเจริญขึ้นในจิต ขอกำลังใจอันยิ่งใหญ่ กำลังใจเพื่อส่วนรวม จงงอกงามขึ้นในจิตของเราทุกคน เพื่อธรรมจะได้เบิกบาน รุ่งเรือง เข้าสู่ยุคชาววิไล
ก็ฝากไว้ รวมถึงตอนนี้ก็พยายามเร่งเขียนแผ่นทอง อธิษฐานพระนิพพาน คนไหนที่ยังไม่มีแผ่นทอง ยังไม่ได้แผ่นทอง ก็ยื่นความจำนงขอได้ แจกให้ฟรี ขอเพียงแค่เราตั้งจิตขึ้นไปบนพระนิพาน ทุกครั้งที่ขึ้นบนพระนิพพาน เขียนแผ่นทอง อธิษฐาน เพื่อทั้งตัวเราเองด้วย และก็เพื่อทำเพื่อส่วนรวม คือเพื่อนำมารวบรวมหล่อพระ จิตที่ยกขึ้นสู่พระนิพพาน 100,000 ดวงจิต กำลัง 100,000 เป็นกำลังมากมาย ต้องใช้ความเพียร ต้องเป็นปรมัติ เราช่วยกันทำเพื่อให้เกิดผล ทำเพื่อให้เกิดประโยชน์ อันนี้ก็ฝากไว้ สำหรับสัปดาห์หน้า อาจารย์ติดภารกิจเดินทางไปปรับภพภูมิที่ต่างประเทศ ทั้งสองวัน ข้ามไปอีกอาทิตย์ พบกันใหม่ ตอนนี้ก็ขอให้เราทุกคนเร่งรัด ในการปฎิบัติธรรมให้เข้มข้นขึ้นทุกคน เพื่อตัวเองด้วยและเพื่อส่วนรวม เมื่อไหร่ที่เราคิดเพื่อส่วนรวม เทพพรหมเทวา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ยิ่งสงเคราะห์มาก ทำแค่เพื่อตัวเองพระท่านก็สงเคราะห์ แต่พอควร ดังนั้นยิ่งกำลังใจใหญ่มากเท่านั้น ยิ่งให้ ยิ่งได้ ยิ่งทำเพื่อส่วนรวม จิตเรายิ่งยกระดับความเสียสละ ยิ่งมีมากเท่าไหร่ เทพพรหมเทวา ยิ่งเล็งเห็น
ดังนั้นก็ขอให้เราทุกคน ซึ่งมีกำลังใจ ยังมีคนอีกมากมาย ที่เขายังไม่มีโอกาสฝึกสมาธิ จนถึงเข้าได้ในระดับสมาธิ เอาแค่ฌานหนึ่ง ฌานสองก็ยังเป็นเรื่องยาก เราทรงอารมณ์จนถึงระดับที่ใช้กำลังมโนมยิทธิ ใช้กายทิพย์ได้ยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพานได้ เราทำได้ขนาดนี้ก็อย่าให้เสียเปล่า เสียของ พยายามรู้ประโยชน์ รู้คุณแห่งกรรมฐานที่ฝึก ให้ได้เต็มกำลังตำหนักด้วยเช่นกัน ขอให้ธรรมะทั้งหลายเจริญขึ้นในจิต ขอกำลังใจอันยิ่งใหญ่ กำลังใจเพื่อส่วนรวม จงงอกงามขึ้นในจิตของเราทุกคน เพื่อธรรมจะได้เบิกบาน รุ่งเรือง เข้าสู่ยุคชาววิไล
เรียบเรียงและถอดความโดย คุณ สิริญาณี แลบัว