green and brown plant on water

วิปัสสนาญาณในมรณานุสติ

เวลาอ่าน : 4 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน” 

วันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน 2566

เรื่อง วิปัสสนาญาณในมรณานุสติ

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม กำหนดรู้ทั่วร่างกายของเรา  ผ่อนคลายปล่อยวาง ความเกาะ ความยึด ความรู้สึกสัมพันธ์ผูกพันกับร่างกาย กล้ามเนื้อทั่วร่างกายผ่อนคลาย ใจเรากำหนดในความผ่อนคลายปล่อยวางร่างกาย เป็นการตัดขันธ์ห้าตัดอาการความสนใจสิ่งที่ปรากฏขึ้นทางกายทั้งหมด ปล่อยวางร่างกายเพื่อแยกกายแยกจิตเข้าสู่ความสงบ เข้าสู่สติที่กำหนดรู้อยู่กับจิตของเรา ปล่อยวางความรู้สึก การปรุงแต่ง ความกังวล ภาระทางใจทั้งหลาย กิจการหน้าที่ทั้งหลาย เรากำหนดว่าเราปฏิบัติเจริญสมาธิ เจริญพระกรรมฐาน เราทำงานของจิต ทำงานเพื่อมรรคเพื่อผลเพื่อพระนิพพาน ปล่อยวางภาระของใจออกไป ผ่อนคลายร่างกาย ปล่อยวางร่างกาย ปล่อยวางเรื่องราวในจิตใจของเราให้หมด กำหนดว่าการทำสมาธิการเจริญวิปัสสนาญาณ ฝึกที่จะวาง ฝึกที่จะเบา ฝึกที่จะเข้าถึงความสงบ ฝึกเพื่อให้จิตของเราสงบสงัดจากสรรพกิเลสทั้งปวง ผ่อนคลาย ปล่อยวางร่างกายจิตใจ 

จดจ่ออยู่กับความสงบ กำหนดอยู่กับความผ่องใส 

จากนั้นเรากำหนดสติ กำหนดรู้ในลมหายใจ น้อมจิตจินตภาพให้เห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรไหมพลิ้วผ่านเข้าออกภายในกายของเรา ลมหายใจเป็นปฏิภาค  เป็นอนุภาคระยิบระยับเหมือนกับกากเพชรแพรวพราวพลิ้วผ่านเข้าออกในกาย สัมผัสได้ถึงความละเอียดของลมหายใจ ยิ่งลมหายใจละเอียด ยิ่งลมหายใจมีความประณีต จิตเรายิ่งเข้าถึงฌานเข้าถึงสมาธิเข้าถึงความสงบในระดับที่สูงขึ้น ลมปราณสัมพันธ์จิตใจ ความละเอียดความเบาของลมหายใจสัมพันธ์กับความสงบของฌานสมาธิ ลมหายใจสบาย อารมณ์จิตเบาสบาย ลมหายใจยิ่งละเอียด จิตยิ่งเข้าถึงความสุขแห่งความสงบของสมาธิ 

สงบนิ่งจดจ่ออยู่กับลมหายใจสบาย จดจ่ออยู่กับอารมณ์จิตที่ผ่องใสเอิบอิ่มเป็นสุข 

ให้จิตของเราได้พักอยู่กับความสงบ ปล่อยวางเรื่องราว ปล่อยวางร่างกาย ปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างออกไปจากใจ ในทุกการปล่อยวาง ให้เราฝึกซ้อมใจของเราในวิปัสสนาญาณในมรณานุสติว่าถ้าหากเราต้องตายลง ณ บัดนี้ จิตเราปล่อยวางทุกอย่างได้ไหม จิตเรายังเกาะยังห่วงยังยึดในบุคคลใด ในร่างกาย ในชีวิตของเรา ในภาระ ในสิ่งสมมุติ ในความเป็นเจ้าเข้าเจ้าของ เราปล่อยวางทุกอย่างได้ไหม ปล่อยวางร่างกาย ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวางสมมุติ ปล่อยวางในบุคคลทั้งหลายที่เป็นบุคคลใกล้ชิด ปล่อยวางทุกอย่างออกไปจากใจ จิตยิ่งวางยิ่งละ จิตยิ่งเข้าถึงความสงบ จิตยิ่งเข้าถึงอริยมรรคอริยผล ปล่อยวางทุกสิ่ง ยิ่งซ้อมวาง ใจเรายิ่งเข้าถึงธรรม จิตปุถุชนคนทั่วไปมีแต่ความเกาะมีแต่ความยึด ยิ่งคิดยิ่งปรุง ยิ่งยึดยิ่งอยาก จิตอริยะยิ่งละยิ่งวางยิ่งเบา 

กำหนดน้อมใจของเรา วาง ปล่อยวางในทุกสิ่ง ปล่อยวางในสมมุติ จนจิตเข้าถึงความสงบ เข้าถึงความละเอียดขึ้น พระอริยะเจ้าท่านปล่อยวางได้ละเอียด ปล่อยวางสมมุติ ปล่อยวางชาติภพ  ปล่อยวางความอยาก ปล่อยวางจากความพยาบาท ปล่อยวางจากความจองเวร ยิ่งปล่อยวางได้มากเท่าไหร่ ปล่อยวางก็ยิ่งง่ายขึ้นเพียงนั้น ยิ่งปล่อยวางได้มากได้ง่ายเท่าไหร่ การที่ใจเราจะสามารถให้อภัยทานก็ยิ่งง่ายขึ้นเพียงนั้น ยิ่งปล่อยวางได้มากเท่าไหร่ จิตเราก็ ละ วางกิเลสทั้งหลายได้ง่ายเพียงนั้นเช่นกัน 

ดังนั้นการฝึกวาง ฝึกปล่อยวาง ตั้งแต่การปล่อยวางร่างกายตัดขันธ์ห้า ปล่อยวางจากสมมุติ ปล่อยวางจากภพ ยิ่งฝึกมากเท่าไหร่ ยิ่งวางได้มากเท่าไหร่ อารมณ์ใจเราก็ใกล้ความเป็นพระอริยะเจ้า ยิ่งใกล้พระนิพพานมากขึ้นเพียงนั้น 

บางครั้งเราปล่อยวางได้ในขณะที่กำลังเข้าสมาธิเจริญวิปัสสนา แต่นอกอารมณ์ฌาน นอกอารมณ์สมาธิ ในช่วงเวลาที่เรายังอยู่ในการงานบ้าง ในกิจทั้งหลาย นอกอารมณ์สมาธิบ้าง ตราบที่เรายังตัดกิเลสไม่ได้หมด มันก็ยังมีอารมณ์ที่ยังอยาก ยังมีอารมณ์ที่ยังหลง มีอารมณ์ที่ยังรัก แต่ให้เราทำความเข้าใจว่าอารมณ์ทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อเราปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอริยะเจ้า ปฏิบัติเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด ในความรักก็ดี ในความอยากก็ดี มันยังอยู่ในขอบเขตของศีลห้า ยังอยู่ในขอบเขตของศีลธรรม ยังอยู่ในขอบเขตที่เราไม่ไปเบียดเบียนผู้อื่น ดังนั้นเมื่อเรากำหนดใจของเราพิจารณาไว้เช่นนี้แล้ว เราก็ตั้งใจว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเจริญพระกรรมฐาน เราทำเต็มที่ เราทำเต็มกำลัง เรากำหนดน้อมจิต พิจารณาตัดกิเลส วางให้สุด หยุดให้หมด ดับให้ไม่เหลือเชื้อในขณะที่อารมณ์เราเจริญพระกรรมฐานอยู่ นอกอารมณ์พระกรรมฐานถ้ามีสติกำหนดรู้ เราก็อาศัย ศีลเป็นเครื่องกั้นเป็นกำแพงเป็นเครื่องรักษาเรา

ในเรื่องของศีลนั้น พระท่านสอนว่า หากเราเป็นปุถุชนยังหนาแน่นด้วยกิเลส เราจะรู้สึกว่าศีลนั้นเป็นเหมือนกับภาระ เป็นเรื่องจุกจิกวุ่นวาย เป็นข้อห้ามน่ารำคาญใจ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอริยะเจ้า  ศีลเป็นเครื่องกั้นอเวจี เป็นเครื่องกั้นนรก เป็นเครื่องปิดอบายภูมิ ศีลเป็นเหมือนกับเกาะแก้วที่คุ้มครองใจเราจากอกุศลทั้งหลาย ศีลนี้เป็นสัจจะวาจาที่เป็นเครื่องรักษาใจของเรา ดังนั้นอารมณ์จิตของผู้ที่มีศีลในการปฏิบัติเพื่อพระนิพพานกับปุถุชนคนทั่วไปนั้น ย่อมมีความรู้สึกที่แนบ ความรู้สึกที่เกี่ยวพันเข้าใจในเรื่องศีลแตกต่างกันออกไป

ปุถุชนทั่วไปหาทางที่จะโลเลหลีกเลี่ยง หาทางจะเฉไฉ ภาษาของทางพระก็เรียกว่าหาทางเลี่ยงบาลีที่ว่าเป็นข้ออ้างที่ว่าตนสิ่งที่ทำนั้นไม่ผิดศีล จริงๆการเลี่ยงบาลีนั้น เจตนามันก็เจตนาจะผิดศีลแต่คิดว่าใช้ปัญญาเป็นข้ออ้างไว้ ไอ้สิ่งที่ทำนั้นไม่ผิดแต่ถามว่าผิดไหม ก็ผิดเต็มประตู

ดังนั้นการที่เราจะรักษาศีล ต้องมีความบริสุทธิ์มีความจริงใจกับตัวเราเองก่อน ต้องมีความเข้าใจว่า ศีลนั้นเป็นกำแพงแก้ว เป็นเกาะแก้ว เป็นเครื่องกั้นเราจากอบายภูมิ เป็นเครื่องปกป้องเราจากนรก เป็นเครื่องปกป้องป้องกันเราจากอกุศล อันนี้ก็เป็นเรื่องศีลที่เราควรหมั่นพิจารณา เพื่อตัดสังโยชน์ในข้อสีลัพพัตตปรามาสให้ขาดไปให้หมด เป็นผู้ที่ทรงศีลโดยความบริสุทธิ์ของใจ เป็นผู้ที่ทรงศีลโดยเป็นผู้ที่มีจิตอันปรารถนาในความไม่เบียดเบียนผู้อื่น

ตอนนี้ให้เราน้อมใจน้อมจิตพิจารณาในธรรม พิจารณาปล่อยวาง พิจารณาตัดร่างกาย พิจารณามรณานุสติ เมื่อไหร่ที่พิจารณามรณานุสติ ก็จงน้อมมาสู่ตนว่าเมื่อไหร่เราตายเราปล่อยวางได้ไหม 

ความตายนี้พระพุทธองค์ทรงตรัสสอบถามพระอานนท์ว่า “พระอานนท์ เธอพิจารณาความตายวันละกี่ครั้ง” 

พระอานนท์ตอบว่าเจ็ดครั้ง 

พระพุทธองค์ทรงตรัสตอบว่า เจ็ดครั้งยังน้อยไป ตถาคตพิจารณาความตายในทุกลมหายใจ คือพิจารณาในลมหายใจที่เข้าและออก เกิดและดับ พิจารณาในความเกิดดับ ในความเกิดความดับก็พิจารณาในมรณานุสติ ดับเมื่อไหร่ตายเมื่อไหร่ไปพระนิพพาน 

สำหรับเราเองเป็นผู้ปฏิบัติ เอาเต็มที่เรียกว่าขยัน เราถามตัวเราว่า “คิดถึงความตายทุกวันไหม”  ถ้าคิดถึงทุกวันนี้ถือว่าใช้ได้ คิดถึงวันละกี่ครั้ง อย่างน้อยที่สุดเวลาที่ดีที่สุด คือรำลึกนึกถึงความตายอย่างน้อยที่สุดหนึ่งครั้ง อันที่จริงขอเท่านี้เต็มที่ หนึ่งครั้งในเวลาที่สำคัญที่สุด คือเวลาที่เราก่อนนอน เวลาที่เราเริ่มนอนทอดกายลง เราก็กำหนดทางภาษาของวิชาโยคะก็เรียกว่า”ศพอาสนะ” คือเมื่อนอนลงปับ เราก็กำหนดผ่อนคลายทั่วร่างกาย ทิ้งกายตัดร่างกาย พิจารณาว่า เรานอนปล่อยวางผ่อนคลายตัดร่างกายตัดขันธ์ห้าทั้งหมด แล้วก็พิจารณาว่าถ้าตายแล้วเราจะไปไหน ในขณะที่พิจารณาว่าตายแล้วจะไปไหนก็พิจารณาว่า ถ้าเราตายไปคืนนี้ ภาระหน้าที่ในวันพรุ่งนี้ที่เราต้องทำ เราค้างคาใจไหม เราปล่อยวางได้ไหม บุคคลทั้งหลายที่เป็นบุคคลข้างหลัง เราห่วงไหม เราปล่อยวางได้ไหม ร่างกายที่ทอดกายลงตอนนี้เราติดเรายึดไหม ถ้าเราตายไปเราเกาะกายหรือเราคิดว่าเราทิ้งกายเพื่อไปพระนิพพานได้ เมื่อตัดทุกอย่าง ฝึกซ้อมตัดของรัก ตัดสิ่งที่ติดสิ่งที่ยึดไว้ก่อนนอน ตัดว่าเราตาย เมื่อตัด ละ วางทุกอย่างจนหมด เป็นการซ้อม แล้วก็ยกจิต รำลึกนึกถึงพระพุทธองค์ พระธรรม พระอริยะสงฆ์ แล้วก็ยกจิตไปบนพระนิพพาน กำหนดว่าเราอยู่บนพระนิพพานตั้งแต่หลับยันตื่น จริงๆขอแค่นึกถึงความตายวันละหนึ่งครั้งแต่ทำทุกวัน ขอรับรองว่า ถ้าเราวางกำลังใจเต็มที่ เชื่อมั่นว่าเราขึ้นไปบนพระนิพพานได้ ถ้ากลางคืนเราตายไปคืนนั้น เราไปพระนิพพานได้แน่นอน การฝึกซ้อมปล่อยวางตัดร่างกายปล่อยวาง เราฝึกทุกวัน จิตมีความเคยชิน จิตมีความชินกับอารมณ์  จิตมีเป้าหมายว่าตายเมื่อไหร่ไปพระนิพพานชัดเจน เมื่อนั้นเราก็ย่อมสามารถไปยังพระนิพพานได้ 

อันนี้บางคนเพื่อให้เกิดมีความมั่นใจ มีศรัทธา มีความเชื่อมั่นในการปฏิบัติ วันนี้ก็ขอเล่าประสบการณ์ ประสบการณ์ของลูกศิษย์ที่อยู่ในกลุ่มปฏิบัติของพวกเราเอง 

กรณีที่ 1 

เป็นเพื่อนของลูกศิษย์ที่ฝึกอยู่ในเมตตาสมาธิ บุคคลนี้ก็ไม่ได้เข้ามาฝึกในกลุ่มเรา แต่ว่าบังเอิญมีเพื่อนที่ฝึกอยู่ในกลุ่มเรา บุคคลที่กล่าวถึงนี้ก็ป่วยเป็นโรคมะเร็ง มีสภาวะอาการที่ป่วยร้ายแรง เพื่อนที่อยู่ในเมตตาสมาธิก็อาสาที่จะเอาหนังสือธรรมะของหลวงพ่อฤษีของวัดท่าซุงไปให้ อาสาไปถวายสังฆทานแล้วก็ให้โมทนาบุญ แล้วก็ให้นึกถึงหลวงพ่อ คนนี้เขาก็รู้สึกว่าร่างกายมันมีความเจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบายมาก มีความทรมานจากอาการของโรคเกิดขึ้น  มีความทรมานในร่างกาย ความทรมานในร่างกายถ้าเรามองเป็นข้อดี พลิกให้มันมาเป็นข้อดีก็คือทำให้เราเบื่อ ทำให้เราเห็นธรรม คือ สัจธรรมว่าขันธ์ห้านี่มันเป็นทุกข์ ดังนั้นเมื่อเห็นว่าเป็นทุกข์ การตัดการปล่อยวางก็เป็นไปได้

คราวนี้เมื่ออาการของเขามันมีอาการที่มันเพียบแป้เต็มที่ เริ่มพูดไม่ได้ พูดได้น้อย พูดได้เบา เขาก็บอกกับแฟนของเขาว่า เขาเห็นพระมาปรากฏอยู่ที่ข้างเตียงสองรูป แฟนก็ถามว่ามีลักษณะเป็นยังไง แล้วก็เอารูปหลวงพ่อให้ดู เขาก็พยักหน้าว่าเป็นหลวงพ่อ ดังนั้นถึงเวลาอย่างที่บอก ถึงเวลาที่เราเคยตั้งจิตอธิษฐานกันว่าตายเมื่อไหร่ ขอหลวงพ่อมารับไปพระนิพพาน ก็กลายเป็นอันว่าบุคคลนี้ก็ไม่ได้ปฏิบัติพระกรรมฐานมากนัก ยังไม่เคยฝึกมาก แต่อารมณ์ใจนั้นมีอาการตัดร่างกายเต็มที่ มีธรรมะ มีกุศลเข้ามา หลวงพ่อท่านก็ยังเมตตามารับ แล้วในเวลาอีกไม่นานเขาก็เสียชีวิตไปโดยสงบ 

ดังนั้น เรื่องนี้ก็เป็นกรณีแรกที่ยืนยันว่า ถึงเวลา ถ้าถึงวาระ ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน ถึงเวลา พระท่านก็ดีคือพระพุทธองค์ก็ดี หลวงพ่อท่านก็ดี ท่านก็เมตตามาสงเคราะห์มารับ ดังนั้นให้เราเชื่อมั่น มั่นใจ ที่ยิ่งเชื่อมั่นมั่นใจก็คือนี่ขนาดเขายังไม่ได้ปฏิบัติลึกมากหรือแนบหรือรู้จักกับหลวงพ่อท่านมาก เพียงได้โมทนาบุญในสังฆทานในมหาสังฆทาน ได้อ่านหนังสือได้รู้จักบ้างเล็กน้อย แต่หลวงพ่อท่านก็ยังมารับ แต่ของเราเข้าไปกราบขึ้นไปกราบหลวงพ่อกี่ครั้ง ฟังธรรมจากหลวงพ่อกี่ครั้ง ปฏิบัติเจริญพระกรรมฐานมากี่ครั้ง ถึงเวลาถ้าจำเป็นจริงๆ คิดว่าท่านจะมารับไหม อันนี้คือกรณีที่หนึ่งให้เราเชื่อมัน 

กรณีที่ 2 

เพราะวันนี้ก็ฟังประสบการณ์ที่ถ่ายทอดมาหลายคน กรณีที่สองนี้ก็คือกรณีล่าสุด ก็เป็นลูกศิษย์ในกลุ่มของเมตตาสมาธิ ก็ป่วย ป่วยเป็นเนื้องอกในสมอง คราวนี้กำลังใจคนนี้ก็อาจจะอ่อน บอกให้ฟอกธาตุขันธ์ บอกให้ปฏิบัติ ก็ไม่ค่อยตั้งใจทำนัก มีเวลาตั้งนาน เพื่อนกันมีเนื้องอกในปอด พอเขากำหนดตรวจดูว่าเจอเนื้องอกในปอด เขาตัดเป็นตัดตาย กำหนดจิตว่าตายเป็นตาย ตายเมื่อไหร่ไปพระนิพพาน กำหนดจิต ฟอกธาตุขันธ์เต็มที่เต็มกำลัง ปรากฏว่าสองอาทิตย์ เพียงแค่สองอาทิตย์ เนื้องอกในปอดหายไปจนหมด จากการทำเอกซเรย์ หรือ CT Scan เนื้องอกในปอดหายไปหมด ใช้เวลาแค่สองอาทิตย์ อันนี้มีเวลาตั้งหลายเดือน จากเนื้องอกขนาด 3 cm ขยายใหญ่จนต้องผ่าตัด พอผ่าตัดออกมาก็ขนาดเท่ากำปั้น ถึงเวลาก็เน้นเพียงแต่ว่าขออาจารย์ช่วยส่งพลัง อาจารย์ช่วยด้วย ขอบารมีพระ เน้นทำบุญ แต่ว่าเรื่องการรักษาจิตให้ผ่องใส ยังไม่ค่อยทำ กังวลกับร่างกาย เกาะร่างกายจนขยายใหญ่ จิตมันปรุง จิตมันเกาะ จิตมันกลัว จนกระทั่ง ยิ่งกลัวมาก ยิ่งเครียดมาก ยิ่งปรุงแต่งมาก มันยิ่งทำให้เนื้องอกต่างๆ เซลล์ที่มันเป็นเซลล์ต่างๆที่มันไม่ดี มันขยายตัว มันเกิดขึ้นจากอุปทานปรุงแต่งสังขารคือ ความคิดอุปทานคือ ความคิด คิดดีก็เป็นอุปทานดีเป็นกุศล คิดไม่ดีคือกลัว มันจะเป็นหรือเปล่า มันจะงอกหรือเปล่า มันจะขยายใหญ่หรือเปล่า มันจะเป็นอะไรหรือเปล่า ไอ้เนี่ยคือการที่เราปรุงจนมันเกิดจริงๆ อุปทานปรุงแต่งสังขารคือมันก็เกิดก้อนเนื้อขึ้นมาจริงๆ เสียดายอย่างว่าถ้าคิด ถ้าคนที่มีพลังจิต สามารถคิดลบจนมันเกิดผล ถ้าภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Thinking to Reality คิดจนมันเกิดสภาวะความเป็นจริง

พลิกมาอีกด้าน เปลี่ยนมาคิดว่าโอ๊ย ถ้าเป็นแบบนี้ฉันรวยแน่นอน คิดให้ตัวเองรวยทางโลกก็รวยละ หรือคิดว่าฉันจะตัดกิเลสให้ได้ ก็ตัดกิเลสเป็นพระอริยะเจ้าได้ แต่คราวนี้มันดันไปคิด คิดแต่กลัวกังวล เนื้องอกมันก็ขยายใหญ่จนในที่สุดต้องผ่าตัด ผ่าตัดกลายเป็นว่าเนื้องอกขยายขึ้นมาเท่ากำปั้นต้องเอาออก คราวนี้ก็ขอบารมีพระ เพราะเราคิดเอาว่าสมองศีรษะเราก็มีขนาดใหญ่ แต่คราวนี้มีเนื้องอกขนาดเท่ากำปั้นอยู่ในสมอง มันกินเนื้อที่ไปเยอะแค่ไหน

เมื่อผ่าไปแล้ว การผ่าก็เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ใช้เวลาหลายชั่วโมง ร่วมๆสิบสองชั่วโมง ถือว่าเป็นการผ่าตัดใหญ่เป็นเคสที่ถือว่ายากมาก เพราะว่าต้องผ่ากระโหลกส่วนของสมองที่มีความเซนซิทีฟค่อนข้างเยอะ ผ่าตัดไปเรียบร้อยก็สามารถพูดจาได้ รู้เรื่อง ทานข้าวได้ ฟื้นตัวกลับมาคนที่มีสุขภาพปกติเหมือนเดิม อันนี้ก็ถือว่าเป็นความโชคดี จากการปฏิบัติ จากการทำทาน จากการทำความดีสะสมสม่ำเสมอ 

คราวนี้ สิ่งที่เป็นพิเศษก็คือ คราวนี้ในระหว่างที่พักฟื้นก็ดี ในระหว่างที่ผ่าตัด ผู้ป่วยเขาฟื้น เขาก็มาเล่าว่าพระท่านมาเต็มห้องไปหมด คือพระสงฆ์ มีหลวงพ่อ มีครูบาอาจารย์ มีแสงสว่างมาเต็มห้องเต็มห้องไปหมด เรียกว่า ถ้าพลาดยังไงก็มีคนมารับ รับไปพระนิพพานก็ดี แต่เขาก็ตั้งใจว่าก่อนผ่าว่ายังไง ถ้าเป็นอะไร ก็ขอยกจิตไปพระนิพพาน แล้วถึงเวลาในช่วงที่จิตอยู่ในภวังค์ เขาก็เห็นว่ามารับจริงๆ มากันเต็มห้องมาเต็มไปหมด อันนี้ถือว่าเขาเป็นประสบการณ์จาก ถ้าภาษาอังกฤษก็เรียกว่า “near death experience” ดังนั้นสิ่งนี้ก็ล้วนแต่เป็นเครื่องยืนยันว่าไอ้การที่เราปฏิบัติ เราปฏิบัติแล้วเกิดผลจริง สิ่งสำคัญก็คือครูบาอาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านก็เมตตาเราจริงถ้าเราตั้งใจ ดังนั้นเราอย่าน้อยอกน้อยใจไปว่าเราจะได้หรือไม่ได้ ถ้ายิ่งเราปฏิบัติทุกวัน เจริญพระกรรมฐานทุกวัน ยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพานทุกวัน ถึงเวลาถ้าเราจะตาย ถ้าเราตั้งจิตว่าตายเมื่อไหร่ไปพระนิพพาน ถ้าเรายกจิตกำลังเรายกอาทิสมานกายขอบารมีพระไปพระนิพพานไม่ได้จริงๆ ถึงเวลาถ้าเราตั้งใจมั่น ยังไงพระท่านก็ต้องเมตตามาสงเคราะห์ อันนี้ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ตรง ให้เราทุกคนโมทนาสาธุในตัวอย่างธรรมทาน เป็นประสบการณ์ที่ทำให้ประสบการณ์แห่งการปฏิบัติ ประสบการณ์แห่งชีวิตจริง ให้เราไม่ประมาท ในความตาย

คราวนี้ก็พิจารณาเปรียบเทียบน้อมตาม แล้วถ้าบุคคลธรรมดาทั่วไปที่เขาไม่เคยฝึกไม่เคยเจริญพระกรรมฐาน ถึงเวลาถ้าช่วงใกล้ตาย คราวนี้ไม่ใช่เป็นพระมารับ ด้วยเหตุที่ไม่เคยถือศีล ด้วยเหตุที่ไม่เคยทำทาน ด้วยเหตุที่ไม่เคยไหว้พระสวดมนต์ปฏิบัติเจริญพระกรรมฐาน หรือบางครั้งบางคนปรามาสพระรัตนตรัย บางคนลบหลู่ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เกิดคนที่มารอคนที่มารับเขาเป็นนายนิรยบาล ตัวดำ ตาโปน นุ่งผ้าแดงหยักรั้งถกเขมร มายืนเท้าสะเอวอยู่ข้างเตียง ถ้าเป็นอย่างนั้น ถึงเวลาก็มีคนมารับเหมือนกัน แต่มารับไปไหนก็ขึ้นอยู่กับกรรมบุพกรรมของบุคคลนั้น ดังนั้นสิ่งต่างๆเหล่านี้มันผูกโยง เชื่อมโยงกับเรื่องของความตาย เชื่อมโยงของภพภูมิ เชื่อมโยงของเรื่องมรรคผลพระนิพพาน ดังนั้นธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนว่า ยังไงเราก็ต้องตาย แต่ตายแล้วเราจะไปไหน ถ้าเราปฏิบัติเจริญพระกรรมฐาน เราเข้าใจในเรื่องอารมณ์พระกรรมฐาน อารมณ์พระกรรมฐานนั้น ทำให้เราสามารถกำหนดทรงอารมณ์ เลือกภพภูมิที่เกิดที่จุติของเราได้ จิตก่อนตายนึกถึงทาน นึกถึงศีล นึกถึงกุศล นึกถึงความดี เราก็ไปจุติเป็นเทวดา นึกถึงในอนุสสติสิบ คือพุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติ จาคานุสติ อารมณ์ที่เป็นอนุสตินั้นผูกโยงกับกุศล ทำให้เราไปจุติเป็นเทวดา หากเราอยากไปเกิดไปจุติเป็นพรหม เราก็ทรงอารมณ์เมตตา ทรงฌาน ทรงสมาธิ ทรงอานาปานสติ ทรงภาพกสิณปฏิภาคนิมิต ถึงเวลาเรา อารมณ์จิตสุดท้ายเป็นเช่นไร เราก็ไปยังพรหมโลก หากเราเมื่อไหร่ก็ตาม ตั้งจิตว่าปรารถนาตายเมื่อไหร่ไปพระนิพพาน เราได้มโนมยิทธิกันอยู่แล้ว วิธีง่ายที่สุดก็คือน้อมจิตขอบารมีพระยกอาทิสมานกายขึ้นไปนั่งเป็นพระวิสุทธิเทพรออยู่บนพระนิพพาน ส่องญาณทัศนะลงมาดูกายเนื้อของเรา ตายเมื่อไหร่ช่างมัน ตอนนี้ฉันอยู่บนพระนิพพานแล้ว ถ้าเรายกมาแบบนี้ได้ กายเนื้อข้างล่างมันหมดวาระดับเมื่อไหร่ สายโยงใยของกายทิพย์ขาดลง จิตอาทิสมานกายก็บรรลุอรหัตผล ตัดหมด ตัดสิ้น ตัดกาย ตัดภพจบชาติ เข้าพระนิพพาน จริงๆมันก็ไม่ได้ยากเกินไป

แต่คราวนี้ มีบางคนที่ฟังอยู่ตอนนี้ มีคำถามขึ้นมาในจิตว่า ถ้าหนูถ้าผมยังไม่ได้มโนมยิทธิ แล้วจะไปพระนิพพานได้ไหม อันนี้ก็ต้องอาศัยแนวทางของสุกขวิปัสสโก สุกขวิปัสสโกนี้ก็คือเหมือนกับว่าเราไม่รู้ไม่เห็น คือไม่มีความเป็นทิพย์ ตาบอดจากความเป็นทิพย์ ไม่รู้ไม่เห็นภพภูมิความเป็นทิพย์ แยกอาทิสมานกาย ยกอาทิสมานกาย ถอดอาทิสมานกายไม่ได้ไม่เป็น สิ่งที่ทำได้ก็คือ ศรัทธามั่นคงในพระพุทธองค์ วิธีการก็คือกำหนด นึกอย่างเดียว นึกเอาอย่างเดียว ว่าพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าที่ทรงดับขันปรินิพพานแล้ว ท่านอยู่ที่พระนิพพานในสภาวะใด ลูกขอตามเสด็จทุกท่านทุกพระองค์ไปยังพระนิพพานเช่นนั้นด้วยเถิด อธิษฐานไว้เช่นนี้เพียงอย่างเดียว อาศัยจิตปักมั่นคงไม่สงสัย เราก็ไปพระนิพพานได้เช่นกัน อันนี้ก็คือคนที่ทำไม่ได้ แต่คนที่ทำได้คือได้มโนมยิทธิยกอาทิสมานกายมาพระนิพพานได้ ทำได้แต่ไม่ขยันก็น่าเสียดายของ ถ้าขยัน ฝึกขยันทำ ขยันตัดร่างกาย ขยันละกิเลส ขยันตัดขันธ์ห้า ทำทุกวันเป็นนิจ ยังไงชาตินี้ก็ไปพระนิพพานได้

สำหรับวันนี้ ก็ขออนุญาตฝึกสั้นๆ ให้เราทำความเข้าใจ เอาประสบการณ์ เอาเรื่องราวจริง มาพิจารณาเป็นกำลังใจให้ตัวเราเอง เขาถึงเวลายังทำได้ ขนาดไม่ได้ฝึกแนบแน่นมั่นคง อยู่นอกวง แค่มีเพื่อนอยู่ในวง แต่เพื่อนก็อยู่เรียนในห้องครูเมตตาสมาธิ อาราธนาบารมีพระได้ มีกำลังสมาธิ มีกำลังมโนมยิทธิ อันนี้ก็ถือว่าโชคดีมีกัลยาณมิตร ดังนั้นตัวเราเองโชคดีมีกัลยาณมิตรตั้งหลายคน เราเอาประสบการณ์ของเขามาเป็นครูของเรา เราจะได้มีกำลังใจในการปฏิบัติ ว่าการที่เราปฏิบัตินั้น ของจริงมีจริง พระท่านสงเคราะห์จริง เราจะได้มีกำลังใจว่ายังไงชาตินี้ก็ไปพระนิพพานได้

ดังนั้นเมื่อกำหนดน้อมจิตมาถึงจุดนี้แล้ว ก็ให้เราน้อมใจ นึกภาพพระรูปพระโฉมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กำหนดน้อมด้วยความเคารพ กำหนดน้อมรำลึกถึงด้วยความเคารพเลื่อมใสสูงสุด จากนั้นน้อมจิตยกอาทิสมานกายขึ้นไปกราบพระพุทธองค์บนพระนิพพาน อธิษฐานขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอให้จิตข้าพเจ้าจงปรากฏสภาวะความเป็นกายพระวิสุทธิเทพบนพระนิพพาน

จากนั้นกำหนดจิตอยู่เบื้องหน้าพระแล้ว นั่งกระโหย่งประนมมือกราบด้วยความเคารพแทบเบื้องพระบาท จากนั้นประนมมือกราบบังคมทูลถามพระพุทธองค์ว่า ถึงเวลาถ้าลูกตายจากความเป็นมนุษย์ ท่านเมตตามารับไหม ลองดูว่าท่านยิ้มหรือท่านพยักหน้า หรือท่านลูบศีรษะไหม หลวงพ่อท่านเมตตาสงเคราะห์ ท่านยืนอยู่ไหม ท่านหัวเราะไหม หรือบางคนท่านใช้ไม้เท้าเขกหัวอยู่ เราก็กำหนดจิตน้อมรู้สึกสัมผัสด้วยความเป็นทิพย์ กำหนดน้อมใจว่า หลวงพ่อฤษีหลวงพ่อพระราชพรหมญาณท่านเมตตาให้สัญญากับลูกหลาน ว่าท่านจะรื้อขนลูกหลานของท่านไปพระนิพพานให้ได้เป็นแสนแสนคน ถามว่าเราเป็นลูกหลานท่านไหม ท่านเมตตาเราไหม เราขยันปฏิบัติ เราขยันฝึก คนที่ตั้งใจปฏิบัติ   ฟังซ้ำๆ มาทุกครั้ง คนหน้าเดิมปฏิบัติทุกครั้ง ขยันยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพาน บางครั้งก็ฝึกเองปฏิบัติเองทุกวัน ถึงเวลาเรามีความเพียร มีธรรมฉันทะแบบนี้ หลวงพ่อท่านเมตตาไหม ถ้าท่านเมตตาก็ขอให้ท่านเมตตาดึงกายทิพย์เรามากอด กายทิพย์ไม่เป็นไรนะไม่มีเพศ ตั้งแต่พรหมขึ้นไปกายพระวิสุทธิเทพก็ไม่มีเพศ ในความเป็นทิพย์ในความเป็นอารยะ ไม่มีอารมณ์ใจที่เกี่ยวเนื่องในความรักระหว่างเพศตรงข้าม ดังนั้นกายทิพย์นั้นถึงแม้ว่ากายเนื้อเราเป็นผู้หญิงบนโลกมนุษย์ แต่พอเป็นกายทิพย์นั้น เรากอดพระบาท กราบที่ตักของพระพุทธเจ้า กอดหลวงพ่อ กอดหลวงปู่หลวงตาท่านได้หมด

ตอนนี้ดูซิว่าท่านเมตตามากอดเราไหม อารมณ์จิตเรามีความอิ่มใจ มีความอุ่นใจ มีความมั่นใจมั่นคงเคารพในพระรัตนตรัย มีความแนบในอารมณ์พระนิพพานไหม อารมณ์จิตเรามีความผ่องใสไหม น้อมจิตพิจารณาจนจิตของเราสว่าง น้อมใจขอบคุณ กรณีที่เราได้ฟังเป็นธรรมทาน เป็นกำลังใจในการปฏิบัติให้กับผู้คนอีกมากมายในโอกาสในวาระต่อไป 

กำหนดน้อมจิตตอนนี้ให้เราพนมมืออธิษฐาน โมทนาสาธุกับทุกท่านที่เข้าถึงแล้วซึ่งพระนิพพาน นับตั้งแต่พระพุทธเจ้าพระองค์แรกที่เข้าถึง คือสมเด็จองค์ปฐมพระสิกขีทศพลที่ 1 พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ที่เข้าถึงพระนิพพานแล้ว เราขอน้อมกราบโมทนาสาธุกับทุกท่านทุกๆพระองค์ด้วยเถิด

ขอให้กระแสแห่งพระนิพพาน กระแสธรรม กระแสแห่งมรรคผล ขอจงหลั่งไหลรวมสู่กายทิพย์กายพระวิสุทธิเทพของข้าพเจ้าแต่ละคนด้วยเทอญ กายทิพย์ข้าพเจ้าขอจงสว่างเจิดจ้าเป็นประกายพรึก เปล่งฉัพพรรณรังสีสว่าง ผ่องใส สว่างงามอย่างยิ่ง ทรงอารมณ์พระนิพพาน พิจารณาตัดภพจบชาติ ปล่อยวางสมมุติ ปล่อยวางขันธ์ห้ากายเนื้อ ปล่อยวางภาระความผูกพัน ปล่อยวางความยึดเกาะกังวลพะวงถึงบุคคลทั้งหลาย มีแต่อารมณ์ที่แนบอยู่กับพระนิพพานเป็นที่สุด น้อมอารมณ์จิตเราประดุจเราตายไปอยู่บนพระนิพพานแล้ว กิจทั้งหลายจบแล้ว กิจทั้งหลายสิ้นแล้ว สิ้นภพจบชาติปราศจากภาระ ปราศจากแรงของกรรม ปราศจากอาสวะกิเลสทั้งปวง กายทิพย์กายพระวิสุทธิเทพสว่างผ่องใสอย่างยิ่ง “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง “นิพพานัง ปรมัง สุญญัง” พระนิพพานเป็นความว่างจากกิเลส ว่างจากภาระ ว่างจากกระแส ว่างจากความยึดมั่นถือมั่นเกาะเกี่ยว ความยึดโยงกับกระแสจิตดวงอื่น คือกระแสกรรมที่ไปผูกโยงกับจิตดวงอื่นทั้งหมด ขาดสะบั้น ว่างอย่างยิ่ง  วางอย่างยิ่ง มีเพียงอารมณ์จิตเป็นสุข อิสระจากกระแสกรรม กระแสโลก กระแสแห่งสังสารวัฏทั้งปวง ทรงอารมณ์พระนิพพานไว้ กายพระวิสุทธิเทพสว่างผ่องใส 

จากนั้นน้อมจิต ขอกระแสแห่งพระนิพพาน เชื่อมโยงกับจิตเรา แผ่เมตตา

น้อมกระแสบุญจากพระนิพพานเป็นกระแสบุญศักดิ์สิทธิ์ แผ่ไปยังภพภูมิทั้งหลาย สรรพสัตว์ทั้งหลาย นับตั้งแต่อรูปพรหม พรหมโลก สวรรค์ทั้งหก รุกขเทวดา ภูมิเทวดา มนุษย์สัตว์ที่มีขันธ์ห้ากายหยาบทั่วโลกทั่วอนันตจักรวาล ดวงจิตดวงวิญญาณโอปปาติกะสัมภเวสีที่ติดหลงอยู่ในมิติ ติดหลงอยู่ในภพภูมิต่างๆ ติดหลงอยู่ในจักรวาล รวมไปถึงสรรพสัตว์ดวงจิตแห่งเปรตอสูรกายทั้งหลาย ดวงจิตของสัตว์นรกในทุกขุม ขอกระแสแห่งบุญ ขอกระแสแห่งเมตตา ขอกระแสแห่งพระนิพพาน ขอกระแสแห่งความบริสุทธิ์ของจิต แผ่สว่างกระจาย เป็นกระแสบุญ ส่งถึงแผ่ไปถึง เป็นความสงบเย็น เป็นทิพยสมบัติ เป็นพรหมสมบัติ เป็นมนุษย์สมบัติ เป็นทิพยสมบัติ อาหารทิพย์ ความเป็นทิพย์ แผ่ไปถึงสรรพสัตว์ทั่วสังสารวัฏด้วยเทอญ

จากนั้นน้อมกระแสจากพระนิพพานลงมายังวัดวาอารามทั้งหลาย สถานปฏิบัติธรรมทั้งหลาย กระแสมรรคผล กระแสธรรม คุณธรรมความดี กระแสแห่งบุญกุศล จงแผ่สว่าง สลายล้างอกุศลอวิชชามิจฉาทิฐิ วัดวาอารามใด สถานธรรมใด ที่ยังเป็นกระแสแห่งมิจฉาทิฏฐิ ขอจงสลายไปด้วยสัมมาทิฏฐิ สลายมิจฉาทิฏฐิออกไปด้วยกระแสแห่งมรรคผล          พระนิพพาน ขอกระแสแห่งกุศล กระแสแห่งบุญ กระแสแห่งความดีความผ่องใส ความสงบร่มเย็นสันติ ความสุขความเจริญรุ่งเรืองทั้งหลาย จงปรากฏต่อโลก ต่อพุทธบริษัทสี่ ต่อดินแดนอาณาจักรสุวรรณภูมิ สยามประเทศ

น้อมกระแสบุญกุศล น้อมลงสู่เทวดาผู้รักษาเศวตฉัตร เทวดาผู้รักษาอภิบาลองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมวงศานุวงศ์ตลอดรวมไปจนถึงบุคคลผู้ทำความดีด้วยความบริสุทธิ์ด้วยความจริงใจ ขอบุญจงรักษาเทพพรหมสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทวดาที่ท่านอยู่ในระดับสูงอาทิเช่น ท้าวมหาราชทั้งสี่ มเหสักขา พระอินทร์ ท่านท้าวสหัมบดีพรหม เป็นอาทิ ขอจงเมตตาอภิบาลรักษาคุ้มครองคนดี ผู้ที่มีความจงรักภักดี ผู้ที่ทำคุณประโยชน์ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ขอจงมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกทางธรรม มีบุญคุ้มครองเป็นเกาะแก้ว มีกุศล มีความคล่องตัว มีความสุข มีความเจริญ

จากนั้นน้อมจิตต่อไป ทรงอารมณ์อยู่บนพระนิพพาน ตั้งจิต ทรงอารมณ์ น้อมให้แนบอยู่กับพระนิพพาน ภาวนาบริกรรม “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง 

สงบนิ่ง สว่าง อยู่ในสภาวะกายพระวิสุทธิเทพในวิมานของเราบนพระนิพพาน กำหนดฝึก ประดุจว่าเราตายแล้วเราอยู่บนพระนิพพานฉันใด เราทรงอารมณ์บนพระนิพพานก็ทรงความรู้สึกเช่นนั้น ถึงเวลาสัญญาและการปฏิบัติที่เราฝึก กรรมฐานที่เราปฏิบัติ อารมณ์จิตที่เราทรงไว้มันจะรวมตัวในอารมณ์จิตสุดท้ายก่อนตาย และอาทิสมานกายเราก็จะมาปรากฏ เข้าถึงพระนิพพาน ทรงในสภาวะกายพระวิสุทธิเทพเช่นนี้ ฝึกทรงอารมณ์ไว้ให้มีความแนบ มีธรรมฉันทะอยู่ในพระนิพพาน เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระนิพพาน เรามั่นคงในพระนิพพาน เราแนบเรารักอยู่ในพระนิพพาน

จากนั้นให้เราใช้อาทิสมานกายกราบพระพุทธเจ้า กราบลาทุกท่านทุกๆพระองค์ จิตเราสัมผัสครูบาอาจารย์ พระอริยะเจ้า พระอริยสงฆ์ พระพุทธเจ้า พระพุทธองค์พระอสีติมหาสาวกพระองค์ใด เทพพรหมสิ่งศักดิ์สิทธิ์พระองค์ใด แม้แต่พญานาคราช ท่านปู่ศรีสุทโธ เราก็น้อมจิตกราบลาทุกท่านทุกๆพระองค์ น้อมจิตกราบลาเทวดาที่พิทักษ์อภิบาลรักษากายเนื้อกายทิพย์ของเราในขณะที่เจริญพระกรรมฐาน

เมื่อกราบลาแล้วก็พุ่งจิตเป็นแสงเป็นกระแสเป็นพลังงานลงมายังกายเนื้อบนโลกมนุษย์ น้อมกระแสจากพระนิพพานเป็นแสงสว่างสีขาวคลุมกายเนื้อ ฟอกชำระธาตุขันธ์ให้กลายเป็นแก้วสะอาดบริสุทธิ์ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง อาการสามสิบสอง กระดูกเส้นเอ็น กลายเป็นแก้วสว่าง เป็นแก้วเป็นเพชรประกายพรึก โรคภัยไข้เจ็บสลายล้างออกไปจนหมด มีแต่ความผ่องใสทั้งกายเนื้อขันธ์ห้าทั้งจิต กายจิตสว่างเป็นแก้วเป็นเพชร จิตสว่างผ่องใสอย่างยิ่ง อารมณ์จิตสว่าง กายเราสะอาดบริสุทธิ์ด้วยกระแสแห่งพระนิพพาน

น้อมใจของเราให้สว่าง น้อมกระแสขอให้สายบุญสายทรัพย์สายสมบัติจงมาปรากฏ มีแต่ความคล่องตัว ขอทิพยสมบัติ เทวสมบัติ พรหมสมบัติ ทานทั้งหลายอันเคยบำเพ็ญมาดีแล้ว จงปรากฏเป็นมนุษย์สมบัติให้ข้าพเจ้าใช้สร้างบารมี ทำนุบำรุงบำรุงรักษาชีวิตตน ครอบครัว ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ บำเพ็ญความดีสร้างบารมีสืบต่อไปด้วยเถิด

จากนั้นน้อมจิตโมทนาสาธุกับกัลยาณมิตรทุกคนที่ปฏิบัติ และที่ตามฝึกตามปฏิบัติในภายหลัง น้อมใจของเราให้เอิบอิ่มผ่องใส กายและจิตสว่างเป็นสุข กายใจเรายิ้มสว่าง นึกคิดในกิจการงานในชีวิตมีแต่ความสำเร็จ มีแต่ความสมปรารถนา

จากนั้นจึงค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆ หายใจเข้าลึกๆ ช้า ลึก ยาว หายใจเข้าพุท ออกโธ กายจิตสะอาดผ่องใส พุทธานุภาพคุ้มครองรักษากายวาจาใจเราเต็มกำลัง หายใจช้า ลึก ยาว ครั้งที่2 ธัมโม กระแสธรรมผุดรู้เกิดปัญญาญาณกระจ่างแจ้งรู้แจ้งแทงตลอดในธรรมทั้งปวง กายยิ้มจิตยิ้มสะอาดบริสุทธิ์ผ่องใส หายใจช้า ลึก ยาว ครั้งที่3 สังโฆ แรงครูพระอริยะเจ้า ครูบาอาจารย์ พระอริยะสงฆ์ เมตตาสงเคราะห์คุ้มครองรักษากาย วาจา ใจ จิตมีครูบาอาจารย์รักษาคุ้มครอง จิตเป็นสุขผ่องใสอบอุ่นมั่นใจในกุศลในความดีในการปฏิบัติ

สำหรับวันนี้ก็โมทนาในบุญที่เราร่วมใจกันถวายมหาสังฆทาน บุญกุศลเกิด ความดีจากการให้ทาน การรักษาศีล การเจริญภาวนา เราทำครบสมบูรณ์เต็ม จิตเราปฏิบัติในกรรมฐานในกำลังสูงสุด คือปฏิบัติจนสุดถึงอารมณ์พระนิพพานอุปมานุสติกรรมฐาน ดังนั้นใจของเรานั้นเป็นกุศลสูงสุด ลำพังเพียงแค่ทำสมาธิแค่ช้างกระดิกหูงูแลบลิ้นก็เป็นบุญมหาศาล แต่จิตเราทรงในอารมณ์กรรมฐานสูงสุด บุญยิ่งปรากฏ กุศลยิ่งปรากฏ ผลอานิสงส์แห่งการปฏิบัติยิ่งปรากฏ

ดังนั้นยังไงก็ตาม หากเราปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน เราก็จงตั้งกำลังใจให้เด็ดเดี่ยวเด็ดขาด ว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา ยังไงชาตินี้เราไปพระนิพพานได้แน่นอน 

ก็ขอให้เราทุกคนที่ปฏิบัติ ตั้งใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่าลืมช่วยกันเขียนแผ่นทองอธิษฐานพระนิพพานหลังจากที่เราฝึกปฏิบัติในทุกครั้ง ขึ้นไปพระนิพพาน1ครั้ง เขียนแผ่นทองอธิษฐานพระนิพพาน1ครั้ง ทำจนเป็นนิจ ทำจนเกิดพระสุพรรณบัติจารึกชื่อบุคคลที่เข้าถึงพระนิพพาน ใจของเราเป็นกุศลตั้งใจเพื่อพระนิพพานอย่างแท้จริง

สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน ให้ทุกคนมีความสุขความเจริญ

แล้วก็สำหรับใครที่สนใจในคอร์สที่จะมีการปฏิบัติกึ่งเสวนาที่จัดที่ริเวอร์ซิตี้ในวันที่17กับ24 ใครลงทะเบียนแล้วก็อย่าลืมที่จะเดินทางไป รวมถึงมีคอร์สพลังแห่งความโชคดีเหลืออีก3ที่ วันที่10 กันยายนที่จะถึง ใครสนใจก็ยังสามารถสมัครลงทะเบียนเรียนได้ทัน

วันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน พบกันใหม่สัปดาห์หน้า

ขอให้ตั้งใจปฏิบัติ เอาประสบการณ์ที่เล่าให้ฟังในวันนี้มาเป็นกำลังใจ มาเป็นครู มาเป็นบทเรียนให้กับชีวิตของเรา ขอให้ทุกคนมีแต่ความสุขความเจริญทั้งทางโลกทางธรรม ทุกอย่างในเรื่องของสถานการณ์บ้านเมืองในเวลาไม่นานก็จะเริ่มคลี่คลาย ให้เราทุกคนช่วยกันส่งกระแสบุญช่วยบ้านเมืองด้วย 

สวัสดีครับ

เรียบเรียงและถอดความโดย คุณ Be Vilawan

You cannot copy content of this page