green and brown plant on water

การผ่อนคลายเพื่อตัดกายขันธ์ 5

เวลาอ่าน : 4 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”  

วันอาทิตย์ที่ 2 เมษายน  2566

เรื่อง การผ่อนคลายเพื่อตัดกายขันธ์ 5

โดย อาจารย์ คณานันท์  ทวีโภค

 

สวัสดีครับวันนี้เสียงสัญญาณชัดเจนดีนะครับ สำหรับวันนี้เราจะเริ่มฝึกปรับพื้นฐานในการปฏิบัติ เพื่อให้คนที่เคยปฏิบัติเข้ามาทีหลัง ได้ปรับพื้นฐานรวมถึงผู้ที่เคยฝึกมาแล้วก็ดี ได้สามารถพัฒนาเข้าถึง ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจุดเล็กๆในการปฏิบัติของเรา ให้มีความก้าวหน้าขึ้น สำหรับวันนี้ก็จะเป็นหัวข้อในเรื่องของการผ่อนคลายเพื่อตัดร่างกาย ในการตัดร่างกาย ศัพท์ในการปฏิบัติเรียกว่าการตัดขันธ์ 5 การตัดขันธ์ 5 นั้นส่วนใหญ่ที่เราทราบกันก็คือ เรามักจะใช้การพิจารณา คือการพิจารณาว่าร่างกายนี้เป็นของสกปรกบ้าง ร่างกายนี้เป็นทุกข์บ้าง ร่างกายนี้มีมรณานุสติ ความตายไปในที่สุด ดังนั้นในหมวดของกรรมฐาน 40 กอง ที่ถือว่าเป็นการตัดขันธ์ 5 เป็นการตัดร่างกายก็คือ การพิจารณากายในธาตุทั้ง 4 มรณานุสติกรรมฐานที่เรียกว่าอาการ 32 ธาตุทั้ง 4 ก็คือจตุธาตุวัฏ แต่คราวนี้ในการปฏิบัติบางครั้ง ถ้าเราฝึกในรูปแบบของการฝึกกรรมฐานตามมาตรฐานทั่วไป ก็จะต้องเริ่มมาจากสมถะ จากสมถะถึงไปวิปัสสนา แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่การปฏิบัติของเราเข้ามีความคล่องตัว มีวสี ในระดับของการฝึกวสี เราต้องเข้าใจก่อนว่า วสีนั้นแปลว่าความชำนาญ ความเชี่ยวชาญในการฝึกสมาธิ ในการเจริญวิปัสสนา

ถ้าเราเคยได้ยินหรือได้ฟังว่ากีฬาสมาบัติหรือการฝึกจิตของพระโยคาวจรก็คือ ผู้ปฏิบัติทางจิตในระดับของอภิญญาจิต ท่านก็จะไม่ไล่ตามลำดับ อย่างเช่นฌาน ก็จะมีการเข้าอนุโลมปฏิโลม ก็คือไล่ฌาน 1 ฌาน 2 ฌาน 3 ฌาน 4 ปฏิโลมทวนกลับก็คือย้อนมาจากฌาน 4 ฌาน 3 ฌาน 2 ฌาน  1 เข้าคืบเข้าศอกก็คือฌาน 1 ไปฌาน 3 ฌาน 3 ไปฌาน 4 ฌาน 4 ย้อนกลับฌาน 2 คือเรียกว่าจะเข้ากองไหนก็เข้าได้ดั่งใจไปหมด ตรงนี้เป็นเรื่องสำคัญ อันที่จริงแล้ว การที่เราฝึกสมถะกับวิปัสสนา ถ้าเราเข้าใจเคล็ดลับเข้าใจให้ดี ทำไปทำมาว่าถ้าเราตัดร่างกายก่อน กลับกลายทำให้เราเข้าสมถะได้ดีกว่า เพราะอย่าลืมว่าศัตรูของการฝึกสมาธิก็คือสภาวะที่จิตของเรานั้นมันมีความวุ่นวาย ห่วงเกาะอยู่กับร่างกาย ดังนั้นทำไปทำมา ถ้าเราเข้าใจเคล็ดลับกลับกลายเป็นว่า แค่ผ่อนคลายตัดร่างกายปุ๊บ จิตเข้าถึงฌาน 4 ได้ทันที ทิ้งกายปุ๊บจิตเข้าฌาน 4 ได้แล้วไม่พอ ทิ้งกายปุ๊บปรากฏสภาวะการแยกรูปแยกนาม กายเนื้อกายทิพย์ กลายเป็นว่าผ่อนคลายทิ้งกาย อทิสมานกายกลับปรากฏความชัดเจนขึ้นมาทันทีได้ คราวนี้สิ่งสำคัญที่เป็นเคล็ดลับเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นเคล็ดวิชาพิเศษในเมตตาสมาธิ นั่นก็คือการผ่อนคลายเป็นพื้นฐานสำคัญของวิชาต่างๆทางด้านจิต ที่คนมองข้าม คนไม่ได้สนใจหรือว่าเข้าใจลึกซึ้งถึงเรื่องของความผ่อนคลาย การที่เราผ่อนคลายได้ ความหนัก ความเพ่ง ความตึง มันก็จะถูกคลายไป ผ่อนคลายเมื่อไหร่ อารมณ์จิตที่เป็นความหนักก็จะถูกคลายตัวไปด้วย พออารมณ์จิตที่มันหนักที่เพ่งมันคลายตัวไป ตรงนี้ก็กลายเป็นว่า ญาณทัศนะทั้งหลายมันก็เกิด ถ้าใครฝึกมโนมยิทธิแล้วเข้าใจ ไอ้การที่เราไม่ได้มโน ไม่ได้มโนกัน เหตุผลสำคัญที่สุดก็คือวางอารมณ์หนักเกินไป เพ่งเกินไป เคร่งเครียดเกินไป ดังนั้นการที่เราผ่อนคลายแต่ต้น กลับกลายเป็นว่ากายทิพย์กลับสามารถที่จะปรากฏสภาวะแยกรูปแยกนาม แยกจากกายเนื้อได้ดีกว่ามากกว่า การที่เราไม่ได้ผ่อนคลายตัดร่างกาย คราวนี้ให้เราทวนย้อนไปอีกว่า เวลาที่เราฝึกมโนมยิทธิตามมาตรฐาน หลวงพ่อท่านสอนก็ให้เราภาวนา นะ มะ พะ ทะ จับลมหายใจสบาย ภาวนานะ มะ พะ ทะ ถ้าเป็นมโนเต็มกำลัง ก็ภาวนานะโมพุทธายะ คราวนี้ในขณะที่บริกรรมจนจิตเริ่มเบาสบาย แต่บางครั้งบางคนก็ยังไม่ทันเบาสบาย ยังมีความสนใจ ยังมีความเกาะในกายอยู่ ท่านก็ให้ต่อมาเป็น การพิจารณาตัดร่างกาย พิจารณาว่าร่างกายนี้มันเป็นของสกปรก เรามีความตายไปในที่สุด ในที่สุดแล้วก็ต้องทิ้งร่างกายขันธ์ 5 ร่างกายในสภาวะความเป็นอสุภะสัญญา คือของสกปรกมีมูตรคูถออกมาจากทวารทั้ง 5 สภาวะเห็นกายในอาการ 32 คือผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ตับ ไต ไส้ พุงทั้งหลายต่างๆ เป็นต้นพิจารณาจนเพื่อให้จิตมันหยุด เกิดเป็นญาณ มองเห็นไม่อยากเกาะกายอีกต่อไป แล้วจึงกำหนดการทรงภาพพระ อาราธนาบารมีพระ น้อมกระแสมาเป็นมโนมยิทธิครึ่งกำลัง

แต่คราวนี้ถ้าเราปรับเรียงลำดับ อันนี้มันเป็นเรื่องของเทคนิค เทคนิคที่ถูกพัฒนามาถึงที่สุด อย่างเวลาอาจารย์ฝึกของอาจารย์เอง เวลาที่เรากำหนดผ่อนคลายปุ๊บ เรากำหนดทิ้งกาย บางคนฟังตรงจุดนี้ ยังเข้าใจหรือฟังผ่านๆไม่สามารถเข้าถึงสภาวะอย่างที่อาจารย์อธิบายได้ เดี๋ยววันนี้เราจะฝึกโดยละเอียดในเรื่องของการกำหนดผ่อนคลายร่างกายเพื่อทิ้งกาย ประโยชน์นอกเหนือจากที่บอกว่า ขั้นสูงสุดคือเมื่อกำหนดผ่อนคลายทั่วกายปุ๊บ จิตเราทิ้งร่างกายทันที จิตเข้าถึงฌาน 4 ได้ทันที จิตแยกอทิสมานกายได้ทันที แค่ลัดนิ้วมือเดียว อันนี้อันที่ 1 ประโยชน์ต่อมาอันที่ 2 ของการผ่อนคลายเพื่อทิ้งกาย อันนี้จะเป็นเรื่องคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับทางด้านสุขภาพ คือสภาวะต่างๆในร่างกายของเรา เวลาที่เราเครียด เวลาที่อารมณ์หนัก เวลาที่เรากังวล ไม่ว่าเราจะกังวลในเรื่องใดก็ตาม เรื่องกิจการงานทั้งหลาย เกาะร่างกาย เพ่งกับความเจ็บไข้ไม่สบาย ความเครียดที่ปรากฏขึ้น มันจะเกิดปรากฏการณ์ที่เรื่องว่า muscle spasmodic การหดเกร็ง การบีบรัดของกล้ามเนื้อ ซึ่งการหดเกร็งดังกล่าวจะไปเริ่มต้น จุดสำคัญจะไปเริ่มที่บริเวณกระดูกสันหลัง เส้นประสาท เกิดการรัดตัวของกล้ามเนื้อรอบกระดูกสันหลัง พอรัดพอบีบมากเข้าบ่อยเข้านานเข้า ผลลัพธ์ก็คือหมอนรองกระดูกอักเสบ แนวกระดูกสันหลังมีการเคลื่อน เนื่องจากเหมือนกับถูกจับถูกกักถูกบีบบ่อยๆเข้า คราวนี้ความเครียดที่เกิดขึ้นมันก่อให้เกิดโรคเช่นนี้  รวมไปถึงออฟฟิศซินโดรมอาการที่กล้ามเนื้อบริเวณบ่ามันมีอาการตึง อันนี้ก็เกิดจากความเครียด ความเกาะ ต้องฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ผ่อนคลายตัดร่างกาย คราวนี้โทษของความไม่ผ่อนคลายต่อมา ก็คือยิ่งเครียดมากเท่าไหร่ ฮอร์โมนที่เป็นฮอร์โมนเป็นโทษเช่น Cortisol ฮอร์โมนความเครียดเกิด ฮอร์โมนความเครียดเกิด ร่างกายต้องใช้สันดาษวิตามินซีเข้ามา ภูมิคุ้มกันในร่างกายลดลง ป่วยง่ายเจ็บไข้ไม่สบายมาก ยิ่งเครียด ยิ่งกังวลมาก ยิ่งสร้างสารที่ก่อให้เกิดเนื้องอก นั่นก็คือยิ่งเครียด ยิ่งกังวล ไม่ตัดกาย ยิ่งกลายเป็นว่า ร่างกายกลับมีสภาวะที่มันผิดปกติ

ดังนั้นอันที่จริงแล้วเนี่ย คนที่เขารู้ เขาก็จะพยายามผ่อนคลายตัดร่างกาย เข้าสู่ที่นั่งปุ๊บ ผ่อนคลายทั่วเข้าที่กำหนดจิตเข้าสู่สมาธิได้ทันที อันนี้ก็คือเคล็ดลับที่มันรวม เทคนิคหลายๆอย่าง ที่ทำให้เราสามารถเข้าถึงสมาธิได้อย่างรวดเร็ว เกิดประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผลสูงมากกว่าคนทั่วไป ตรงนี้ใครฟังแล้วเข้าใจ ก็เพิ่งเห็นประโยชน์ในการปฏิบัติ คราวนี้วิธีฝึก ถ้าหากจะฝึกในการผ่อนคลายร่างกาย การผ่อนคลายร่างกายนั้นจะมีอยู่ในศาสตร์หลายๆศาสตร์ทางด้านจิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาฝึกในเรื่องของจิตใต้สำนึก เวลาที่จะฝึกทำ trans เวลาที่เราจะฝึกโยคะ จำเป็นที่จะต้องฝึกในเรื่องของการผ่อนคลายร่างกายซะก่อน การที่เราจะผ่อนคลายร่างกายทั้งหมดได้ มีการฝึกที่จำเป็นจะต้องเป็นการฝึกเพื่อปรับพื้นฐาน นั่นก็คือการกำหนดรู้ในกายที่เรียกว่า ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ก็คือเราต้องฝึกเอาสติมาจับรู้ทั่วร่างกายได้ทันที ในอึดใจเดียว เรารู้สึกผัสสะสัมผัสรู้ในกายทั่วกายได้ทันที จิตพุ่งไปที่อวัยวะส่วนใดในร่างกายก็ไปกำหนดรู้ในกายส่วนนั้น กำหนดรู้ที่ปลายเท้า กำหนดรู้ที่ปลายฝ่ามือ กำหนดรู้ที่บริเวณกึ่งกลางคิ้วตาที่ 3 กำหนดรู้ที่หัวใจ เรียกว่าจะไปกำหนดรู้ในกล้ามเนื้อหรืออวัยวะส่วนใดในร่างกาย จิตสติเราไปกำหนดรู้ได้ทั้งหมด อันนี้อันที่ 1 อันที่ 2 ก็คือรู้ทั่วทั้งตัวพร้อมกันได้ เมื่อฝึกมากเข้ามากเข้ารู้สึกทั่วทั้งตัวได้ พอเมื่อไหร่ที่เราฝึกรู้ทั่วทั้งกายได้ รู้กายรู้สึกตัวทั่วพร้อมได้ ทั่วถึงทั้งหมด เรากำหนดความรู้สึกผ่อนคลายทั่วร่างกายได้ พอผ่อนคลายทั่วร่างกายได้เมื่อไหร่ เราจะรู้สึกเบา

ตอนนี้ให้เราทุกคนลองฝึกทำความรู้สึกผ่อนคลายทั่วร่างกาย กำหนดจิตไปด้วยว่า เมื่อไหร่ที่เราผ่อนคลายร่างกาย เราคลายโรคภัยไข้เจ็บออกไป เคยมีคำพยากรณ์เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ในอนาคต บอกว่าหลายๆโรคในอนาคตจะถูกค้นพบจากห้องทดลอง จากการรักษาในอวกาศ บอกแค่นี้ อาจารย์ก็สามารถตอบได้ เหตุผลก็คือเมื่อไรที่เราอยู่ในอวกาศ เราอยู่ในสภาวะไร้น้ำหนัก ไร้แรงกดดัน ไร้pressure ไร้แรงโน้มถ่วงที่จะมาถ่วงมาดึงให้เกิดความเครียด เซลล์ทั่วร่างกายมันอยู่ในสภาวะที่ไร้น้ำหนัก ไร้แรงบีบ ไร้แรงกด ถึงเวลาที่ผ่อนคลาย ยิ่งผ่อนคลายได้มากกว่าสภาวะที่เราอยู่บนโลกที่มีแรงโน้มถ่วง เมื่อเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของเราอยู่ในสภาวะที่ไร้แรงโน้มถ่วง ไร้แรงกดดันอย่างแท้จริง เซลล์ก็สามารถที่จะเยียวยาตัวเองได้มากกว่าสภาวะที่เราอยู่บนโลก อันนี้ก็คือเหตุผลหนึ่งที่เป็นเรื่องลึกให้เราได้รู้เถอะว่า การที่เรามาฝึกในห้องเมตตาสมาธิเมตตาภิรมย์ ศาสตร์ ความรู้ต่างๆที่เรารู้เราไม่ได้รู้แค่มิติเดียวเรารู้ลึกในหลายๆด้าน เรารู้สืบค้นไปได้ถึงปูม เรารู้สืบค้นต่อไปได้ถึงอนาคต ดังนั้นตั้งใจฝึก ตั้งใจปฏิบัติ เคล็ดลับที่ว่าหลังจากที่เราเรียน เราเข้าใจในประโยชน์ของการผ่อนคลายเพื่อตัดกาย ในที่นี้เรามุ่งหมายประโยชน์หลัก คำว่าประโยชน์หลักก็คือเพื่อให้จิตทิ้งจากร่างกายเข้าสู่ฌาน และใช้กำลังของมโนมยิทธิได้อย่างคล่องแคล่ว ให้คิดเอาง่ายๆว่าการที่เราไม่ตัดกายหรือยังเกาะกายหรือยังยึดกายหรือสนใจอาการที่เกิดขึ้นทางกาย มันก็แปลว่าจิตหรืออทิสมานกายที่เราแยกนั้น มันแยกไม่ขาด มันมีเยื่อ มันมีสายใยที่มันพันรุงรังอยู่กับกายเนื้อของเราอยู่ ดังนั้นถึงจะถอดกายทิพย์ออกไปมันก็จะมีสภาวะที่มันไม่มีความคล่องตัวมันช้า คนอื่นเขาพุ่งไปถึงภพไหน ของเรามันยังหนืดๆมันยังอยู่ที่ตัว มันยังไม่ขยับไปที่ไหนได้ ดังนั้นการฝึกตรงนี้ ประโยชน์ที่เราจะใช้ก็คือเพื่อจุดนี้เป็นหลัก ส่วนในเรื่องของการที่เมื่อเราตัดร่างกายและผ่อนคลายบ่อยมากเท่าไหร่ ระดับความเครียดในร่างกายต่ำ ภูมิคุ้มกันสูง สุขภาพก็ดีขึ้น อันนี้เรื่องหนึ่ง อีกเรื่องต่อมาที่มันเกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับการที่เราผ่อนคลายตัดร่างกายก็คือ หากเราเป็นสายที่ใช้พลังส่งพลัง ยิ่งเราผ่อนคลายมากเท่าไหร่ เรายิ่งใช้พลังจิตได้มากเพียงนั้น ยิ่งเกร็งมากยิ่งเครียด ยิ่งไม่สามารถใช้พลังจิตได้มาก ยิ่งผ่อนคลายมากเท่าไหร่ ยิ่งใช้พลังจิต ยิ่งส่งพลัง ยิ่งใช้ญาณได้มากขึ้นเพียงนั้น อันนี้คือประโยชน์นะ จะเอาข้อเดียวหรือเอาทั้งหมดตั้งใจว่าให้ได้ประโยชน์ครบถ้วนบริบูรณ์ในทุกมิติ

คราวนี้ในส่วนของการฝึกเราจะฝึกอยู่ 2 ส่วน เราฝึกเกร็งทั่วร่างกาย ทำไมเราต้องฝึกเกร็งก่อน เราฝึกเกร็งเพื่อให้เข้าใจถึงอารมณ์แห่งการปล่อยวางและผ่อนคลาย เดี๋ยวสักครู่อาจารย์จะบอกจังหวะให้เราฝึกเกร็ง คนไหนที่ป่วยมากหรือเครียดก็ไม่ต้องเกร็งจนเต็มกำลัง ดูสังขารร่างกายของเรา แต่หากคนไหนสุขภาพดีเราก็เกร็งตามกำลังที่เราทำได้ ในขณะที่เกร็งก็จะให้เราเกร็งกล้ามเนื้อร่างกายทั่วทุกส่วน การที่เราเกร็งทั่วทุกส่วนก็ทำให้เราฝึกในเรื่องของความรู้สึกตัวทั่วพร้อมทั่วทั้งร่างกายไปด้วยพร้อมกัน ตอนนี้เราจะเริ่มเข้าสู่การฝึก

  • เริ่มต้นเกร็งกล้ามเนื้อทุกส่วน กำมือ เกร็งแขน เกร็งขา เกร็งลำตัว เกร็งหน้า เกร็งจนรู้สึกว่าร่างกายทั่วร่างนั้นสั่นเทิ้ม เกร็งทุกส่วน ความรู้สึกของเราสติของเราไล่จับดูในระหว่างที่เกร็งก็หายใจได้ สังเกตดูลมหายใจว่า ลมหายใจมันจะอึดอัด มันจะหนักเวลาที่เราเกร็ง 1 2 3 4 ผ่อนคลาย ผ่อนคลายให้แบมือออกไปให้สุด ผ่อนคลายให้ทั่วร่างกาย ปล่อยวางร่างกาย ดูอารมณ์ความรู้สึกสติไปกำหนดรู้ทั่วกายว่าส่วนไหนที่มันยังตึงยังเกร็ง ผ่อนคลายมันให้หมด เพิ่มความรู้สึกว่าเมื่อผ่อนคลายให้ใจเรายิ้ม กำหนดรู้ว่าเมื่อผ่อนคลายแล้วมันเบาไหม ไม่สนใจกาย สงบไหม ลมหายใจละเอียดขึ้นไหม หรือลมดับกลายเป็นฌาน 4 ไปเลย สังเกตดู เมื่อผ่อนคลายครั้งที่ 1 แล้ว ผ่อนคลายครั้งที่ 1 ผ่านไป
  • เกร็งกำลังครั้งที่ 2 เริ่ม เกร็ง กำมือ เกร็งทั่วร่างกาย แขน ขา ใบหน้า ทั่วร่างกายเกร็งให้หมด เกร็งทั่วร่างกาย ความรู้สึกกล้ามเนื้อทั่วร่างกายเกร็ง ในขณะที่เกร็งก็รู้สึกว่าร่างกายเราเปียมพลังไปด้วย เกร็งพลัง เกร็งกล้ามท้อง เกร็งกล้ามเนื้อ หายใจรู้ลมหายใจ ผ่อนคลาย แบมือ ใจยิ้ม ผ่อนคลายทั่วร่างกาย กล้ามเนื้อทุกส่วนผ่อนคลาย ปล่อยวางความสนใจความรู้สึกในร่างกาย กำหนดรู้เวทนาว่า เมื่อเราผ่อนคลาย แล้วมันสบายไหม เบาไหม ลมหายใจละเอียดไหม จิตอยากเข้าถึงความสงบไหม ฝึกต่อไป
  • เกร็งกำลังครั้งที่ 3 เริ่ม กำมือ กำแขนเกร็งทั่วร่างกาย เกร็งแขน เกร็งกล้ามท้อง เกร็งกล้ามอก เกร็งขา เกร็งกล้ามเนื้อขา หายใจ กำหนดรู้ในลมหายใจในขณะที่เราเกร็ง ลมหายใจมันจะหยาบ มันจะอึดอัด แต่เราก็หายใจตามรู้ตามอาการ เกร็ง จากนั้นผ่อนคลายปล่อยวาง มือที่กำคลายออก ใบหน้ายิ้ม จิตยิ้ม กล้ามเนื้อทั่วร่างกายทั่วอวัยวะทุกส่วนหรือแม้แต่อวัยวะภายในผ่อนคลาย กำหนดในความผ่อนคลายทั่วร่างกาย สงบปล่อยวาง ตัดร่างกาย ตัดความสนใจในร่างกาย อยู่กับอารมณ์สบาย ความรู้สึกตัวทั่วพร้อม รู้ว่าทั่วกายเราผ่อนคลาย ทั่วกายเราเบาสบาย กำหนดรู้ในลม กำหนดรู้ในสภาวะความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ว่าร่างกายถูกปล่อยวางผ่อนคลาย จิตมันจะอยากสงบ มันจะเข้าฌานของมันเอง สังเกตไหม อยู่กับลมสบาย อยู่กับอารมณ์จิตสบาย ปล่อยวางร่างกายตัดร่างกาย

 

จากนั้นนะ ให้เรากำหนดรู้ในจิตของเราว่าเมื่อตัดกายไปแล้ว เมื่อจิตเกิดความสงบระงับในกายสังขารแล้ว จิตย่อมเข้าถึงสุขแห่งสมาธิ ทิ้งกายแล้วกลับเป็นสุข ทิ้งกายแล้วกลับสบาย ทิ้งกายแล้วเวทนามันคลายมันเบา คราวนี้กำหนดจิตต่อไป ให้เราทุกคนนะ คนไหนที่สะดวกทำได้ก็ทำ เปลี่ยนอิริยาบทมาเป็นท่านอน นอนวางฝ่ามือทั้ง 2 ข้างหงายข้างลำตัว บางคนก็ตั้งท่าฝึกสมาธิกับอาจารย์ ก็ขอนอนฝึกเป็นประจำก็เข้าที่ไปเลย คราวนี้เราฝึกต่อไป พอปรับอิริยาบทอยู่ในท่านอนได้ คราวนี้กำหนดผ่อนคลายทั่วร่างกาย เข้าที่แล้วผ่อนคลายในท่านอน พอทิ้งกายในท่านอนเสร็จ กำหนดจิตต่อไป อันนี้ก็จะถูกเอาไปฝึกเป็นนิทราสมาธิ หรือสมาธิก่อนนอน พอเราทิ้งกายไปแล้วคราวนี้มาผนวกกับมรณานุสติ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมของเรา เรากำหนดว่าเราเหมือนกับซากศพ กำหนดจิตว่าเราตายไป ในคืนนี้ที่เรานอนหลับ ถ้าเราตายไปเราไปพระนิพพาน ความรู้สึกเราทิ้งเราตัดความห่วงใยร่างกายทั้งหมด

จากนั้นฝึกละเอียดต่อไปในเรื่องของการผ่อนคลาย ทำความรู้สึกว่าเราผ่อนคลายทั่วร่างกาย จากนั้นไล่ตั้งแต่ศีรษะ ใบหน้าของเรา กล้ามเนื้อทุกส่วนผ่อนคลาย ใจยิ้ม อก แขน ลำตัว ทั่วร่างกายของเราผ่อนคลาย กล้ามเนื้อ อวัยวะภายใน ผ่อนคลาย กล้ามเนื้อแขนและขา จนกระทั่งถึงปลายมือผ่อนคลาย กล้ามเนื้อต้นขา หัวเข่า น่อง หน้าแข้ง เท้า ปลายเท้าผ่อนคลาย จิตปล่อยวางความสนใจทั้งหมดในร่างกาย เพราะร่างกายเราเหมือนกับซากศพ ทิ้งกายตามประสาของวิชาโยคะศาสตร์ก็เรียกว่าศพอาสนะ ทิ้งกายผ่อนคลาย หากมีการฝึกปฏิบัติ การที่เราผ่อนคลายภาษาอังกฤษเรียกว่า Deep relax กำหนดว่าทิ้งกายและผ่อนคลายถึงที่สุด Deep relax ทิ้งร่างกาย ทิ้งความสนใจในร่างกาย รู้สึกว่ากายนี้เป็นเหมือนกับซากศพ วางกาย ทิ้งกาย ผ่อนคลายอย่างที่สุด กำหนดรู้พิจารณาในจิตของเราว่าลมหายใจเราละเอียดไหม ลมหายใจเหลือน้อยเป็นเพียงแค่ฌาน 3 ไหม หรือลมหายใจสงบระงับกลายเป็นฌาน 4 ในอานาปา เวทนาความรู้สึกมีความเบาสบายไหม กายสบายไหม กำหนดรู้อยู่กับการทิ้งกาย

เมื่อกำหนดทิ้งกายแล้ว ต่อไปก็จะเป็นภาคของการฝึก อันเนื่องจากการฝึกในการทิ้งกาย และการกำหนดว่าร่างกายนี้เป็นเหมือนกับซากศพที่เราตาย เราก็กำหนดจิตต่อไป ตั้งใจว่านับแต่นี้เราฝึกเช่นนี้ก่อนนอนทุกคืน ทิ้งกายลง ทอดกายลง ผ่อนคลายทั่วร่างกาย ไล่ความรู้สึกในความรู้สึกตัวทั่วพร้อมไปอย่างส่วนต่างๆทั่วร่างของเรา ส่วนไหนเรายังรู้สึกว่ามันยังเกร็ง มันยังหนักเราก็คลาย ขามันเกร็งไป คลาย มือกำเกร็งไป คลาย ใจยังไม่ยิ้มใบหน้ายังไม่ยิ้ม ก็ผ่อนคลายยิ้ม จากนั้นกำหนดต่อไปว่า ถ้าเราตายไปในคืนนี้ เราจะยกจิตขึ้นไปอยู่บนพระนิพพานไว้ทุกคืน เราก็ค่อยกำหนดเห็นกายที่เป็นกายทิพย์เป็นแสงสว่างค่อยๆลอยขึ้นในท่านอนอยู่เหนือกายเนื้อ กายทิพย์ที่ค่อยๆลอยขึ้นเป็นแสงสว่างขาวๆใสๆ ค่อยๆลุกขึ้นนั่งปรับเป็นท่ายืน กำหนดจิตขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ กายทิพย์ข้าพเจ้าขอจงปรากฏสภาวะแห่งกายพระวิสุทธิเทพ พุ่งจิตอทิสมานกายพุ่งขึ้นไปบนพระนิพพาน อยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐม พอขึ้นไปแล้วก็กำหนดจิตกราบทุกท่านทุกๆพระองค์ สังเกตดูว่าเราฝึกแล้ว ผ่อนคลายปล่อยวางทิ้งกายแล้ว การพุ่งของจิตที่เราพุ่งไปพระนิพพานมีความคล่องตัวไหม มีความเร็วไหม อันนี้เราก็ค่อยๆดูพิจารณาไปช้าๆให้เห็นรายละเอียดดีเทลต่างๆเวลาที่เราฝึก พอขึ้นไปบนพระนิพพานเสร็จ กายเนื้อมันนอนอยู่บนโลก เราก็ไม่ให้เสียของ น้อมกระแสจากพระนิพพานลงมา เป็นแสงสว่าง ขอกระแสจากพระนิพพานฟอกชำระล้างธาตุขันธ์ กำหนดจิตอธิษฐานเห็นเป็นสนามพลังงานเป็นเหมือนกับรังไหมเป็นพลังไหมฟ้าจักรวาล ห้อมล้อมครอบคลุมกายเนื้อของเราทั้งหมด กำหนดจิตว่าเราน้อมกระแสจากพระนิพพานลงมา ในขณะที่เรานอนหลับ กระแสจากพระนิพพานที่มาฟอกธาตุขันธ์ก็บำบัดเยียวยา เติมพลังชีวิต เติมพลังลมปราณให้กับร่างกายขันธ์ 5 นี้ ในขณะเดียวกันกายทิพย์อทิสมานกายเรา กายพระวิสุทธิเทพเราอยู่ข้างบนเรียบร้อย พิจารณาโดยที่เราก็นั่งอยู่บนแท่นบนพระนิพพานในวิมานของเรานั่นแหละ พิจารณามองลงมาว่าถ้าคืนนี้กายเนื้อมันตายเราก็จบกิจอยู่บนพระนิพพานบรรลุอรหันตผลในขณะที่กายเนื้อมันแตกดับ เรามีแต่ได้กับได้ ถ้าเรายังไม่ตาย กายเนื้อมันยังไม่ตายคืนนี้ ตอนเช้าตื่นมา เรากลับไป ขันธ์ 5 ร่างกายที่ถูกเติมพลัง เติมพลังกระแสจากพระนิพพาน ไหมฟ้าพระนิพพานที่เรารับพลังเป็นสนามพลังห่อหุ้ม ร่างกายก็พลอยแข็งแรง มีพลังชีวิต มีสุขภาพอนามัยที่แข็งแรงมากกว่าคนทั่วไป สรุปว่าได้ประโยชน์ทั้งทางโลกทางธรรมไม่มีจุดใดเสียของ

เวลาที่อาจารย์สอน อาจารย์ก็จะเน้นว่าพลังจิต พลังสมาธิก็คือพลังงาน พลังงานแล้ว พลังงานที่มันเกิด เราอย่าใช้ทิ้งใช้ขว้าง ประโยชน์ที่พึ่งได้จากพลังงานทุกเม็ด เราเก็บไว้ใช้ให้เกิดประโยชน์ให้ครบถ้วนทุกมิติ ตรงจุดนี้ก็เป็นเรื่องที่มันเป็นเรื่องเคล็ดลับที่สอนเฉพาะในเมตตาสมาธิ ดังนั้นเราพยายามฝึก พยายามเก็บรายละเอียดในการฝึกในการปฏิบัติ คราวนี้ในเรื่องของนิทราสมาธิเราก็เข้าใจว่า เรากำหนดกาย ผ่อนคลาย ตัดร่างกายทิ้ง กายพิจารณาว่ากายนี้ถ้ามันตายก็ตาย แล้วก็ยกจิตขึ้นไปอยู่กับพระพุทธองค์บนพระนิพพาน เวลาที่เรายกจิตขึ้นไปพระนิพพานตั้งแต่หลับยันตื่น เรานอนอยู่บนพระนิพพาน ถ้าเรานอนไป 7 ชั่วโมง ก็เท่ากับเราทรงอารมณ์พระนิพพานตั้งแต่หลับยันตื่น นั่นก็คือ 7 ชั่วโมง 8 ชั่วโมงเราทรงฌานสมาบัติ เราทรงอารมณ์อรหัตผล พอทำมากเข้า นานเข้า หากินกับการนอนหลับ แต่ผลอานิสงส์ มันเกิดมากเพราะจำนวนชั่วโมงมันสูง รวมไปถึงว่าเวลาที่เราฝึกในช่วงก่อนนอน มันมีผลโดยตรงที่บันทึกลงในจิตใต้สำนึก จิตใต้สำนึกที่เราบันทึกลงไว้เสมอทุกคืนทุกคืนทุกคืน ว่าตายเมื่อไหร่เราไปพระนิพพาน เราหลับไปปุ๊บเรากำหนดจิตไปพระนิพพาน ในที่สุดถ้าเมื่อไหร่วาระนั้นมาถึง ก็คือเมื่อเราหมดอายุขัย เกิดเราไหลไปไหลตายไปคืนนั้น แต่ว่าเราจัดการ ไว้เสร็จเรียบร้อย ก่อนนอนเรายกจิตไปพระนิพพานละ แต่บังเอิญคืนนั้นเราไหลตาย ตายไป มันก็กลายเป็นว่า เรารู้สึกไปปรากฏพรึบเต็มขึ้นจากที่เราหลับ แต่คราวนี้เรารู้สึกตื่น ในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพอย่างสมบูรณ์ ก็คือเข้าถึงอรหัตผลในขณะนั้น กายเนื้อมันแตกดับ แต่ปรากฏว่ากายพระวิสุทธิเทพนั้นปรากฏ เข้าสู่อรหัตผล ดังนั้นเราก็ฝึกไว้เป็นกำไร อันนี้หลวงพ่อท่านก็สอนท่านก็ยืนยันในเรื่องนี้ว่าให้หากินในช่วงที่เรานอน ดังนั้นเราจะเห็นว่าประโยชน์ของการผ่อนคลายเพื่อตัดกาย ถามว่ามันเป็นการปฏิบัติที่หนักไหม หรือเป็นการปฏิบัติที่แสนสบายอย่างยิ่ง แสนสบายอย่างยิ่ง เกิดผลอย่างยิ่ง เราจะฝึกแบบยากเย็น แสนเข็ญ แต่กว่าจะได้ กว่าจะสำเร็จ หรือว่าสบายอย่างยิ่ง เป็นสุขอย่างยิ่ง เกิดผลอานิสงส์ที่สูงและปรากฏผลประจักษ์ชัดเจน ชัดเจน เราก็พิจารณา คราวนี้กำหนดนะ กายพระวิสุทธิเทพของเราอยู่ข้างบนเรียบร้อยแล้ว กำหนด ทรงอารมณ์ ทรงอารมณ์พระนิพพาน

การทรงอารมณ์พระนิพพานก็ให้เราจับไว้ 3 อย่าง

  • กำหนดในความชัดเจนว่าเราเป็นกายพระวิสุทธิเทพอยู่กับพระพุทธองค์บนพระนิพพานแล้วขณะนี้ อยู่ที่วิมานของเราเองแล้วขณะนี้
  • ตัวที่ 2 ก็คือพิจารณาอารมณ์กรรมฐาน คือพิจารณาตัดสังโยชน์ 10 พิจารณาว่าจิตเราไม่ปรารถนาในภพใดภูมิใด พิจารณาในอารมณ์ที่เรียกว่าสิ้นภพจบชาติ ไปเกิดในสวรรค์ก็ไม่เอา เป็นเทวดาก็ไม่เอา เป็นพรหมก็ไม่เอา ไปเกิดไปจุติเป็นมนุษย์ก็ไม่เอา กำหนดพิจารณาไว้เช่นนี้
  • จากนั้นกำหนดสิ่งที่ยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานเรียบร้อย ก็คือเสวยวิมุตในอารมณ์พระนิพพาน ทรงอารมณ์ความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ พิจารณาทรงอารมณ์ นิพพานัง ปรมังสุขัง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

 

พอเราตั้งอารมณ์ใจเช่นนี้ จิตเข้าถึงอารมณ์วิมุติสุขบนพระนิพพาน แล้วก็ทรงอารมณ์ไว้เช่นนี้ตลอด ถ้าจะหลับก็ทรงในอารมณ์นี้บนพระนิพพานไปเลย จนกระทั่งเราหลับจนตื่น นั่นก็คือเสวยวิมุตสังเกตุว่าถ้าเราทรงในอารมณ์เช่นนี้ ใจเป็นสุขอย่างยิ่ง เบาอย่างยิ่ง ละเอียดอย่างยิ่ง ตื่นเช้ามาใบหน้าจะยิ่งผ่องใสมีราศี เพราะอารมณ์เราเสวยอยู่ในอารมณ์ของสุข อารมณ์ของวิมุติ รัศมีกายก็ปรากฏชัดเจน ความเป็นทิพย์ก็ปรากฏชัดเจน อารมณ์วิมุติที่เราเสวยในอารมณ์พระนิพพานนั้น อันที่จริงก็ถือว่าเป็นอารมณ์ความเป็นทิพย์ขั้นสูง เราทรงได้บ่อยมากเท่าไหร่ คล่องตัวมากเท่าไหร่ เข้าถึงสภาวะโดยละเอียดอย่างยิ่งได้มากเท่าไหร่ ศักยภาพของจิตเราก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นมากเพียงนั้น ตอนนี้ให้เราเสวยในอารมณ์พระนิพพานนะ นิพพานัง ปรมังสุขัง ในขณะที่รู้สึกก็ให้กายทิพย์มีแสงสว่างเจิดจ้า ใจยิ้มอย่างยิ่ง เป็นสุขอย่างยิ่ง สว่างอย่างยิ่ง ใสอย่างยิ่ง เมื่อเสวยอารมณ์วิมุติแล้ว ก็กำหนดต่อไป อารมณ์อันเป็นสุข อารมณ์ในวิมุติสุข ในมรรคผลพระนิพพาน ยิ่งทำให้เรารักในพระนิพพาน คือเกิดธรรมฉันทะในพระนิพพาน รักในพระนิพพาน มั่นคงในพระนิพพาน มั่นคงในพระนิพพานคืออารมณ์จิตเราไม่ถอยกลับว่า ไม่เอาละเราไม่ไปพระนิพพานดีกว่า เกิดต่อดีกว่า อารมณ์จิตเช่นนี้ก็จะไม่มี มั่นคงในพระนิพพาน พอใจในพระนิพพาน คือมีธรรมมาฉันทะ พอใจในพระนิพพานเป็นจุดเดียว ไม่เอาภพอื่นภูมิใด รักในพระนิพพาน มั่นคงในพระนิพพาน พอใจในพระนิพพาน กายทิพย์เรายิ่งสว่างขึ้น ผ่องใสขึ้น เมื่อจิตเป็นสุข

เมื่อทรงอารมณ์ของเราดีแล้ว ก็กำหนดจิตนะ อาราธนาบารมีกระแสจากพระนิพพาน กระแสจากพระพุทธองค์ลงมาเป็นกระแสเมตตา แผ่เมตตาจากพระนิพพานลงมายังอรูปพรหมทั้ง 4 พรหมโลกทั้ง 16 ชั้น สวรรค์ทั้ง 6 รวมไปถึงรุกขเทวดา ภุมมเทวดา กำหนดน้อมขอให้อานิสงส์แห่งสังฆทาน มหาสังฆทานที่เราร่วมทำบุญร่วมถวาย เกิดพรหมสมบัติ ทิพยสมบัติ มนุษย์สมบัติ หลั่งไหล ทวีคูณมากมายมหาศาล ให้ท่านทั้งหลายได้โมทนาสาธุ แผ่เมตตาต่อไป ลงไปยังภพของมนุษย์ สัตว์ที่มีขันธ์ 5 กายเนื้อ กายหยาบ แผ่สว่างไปทั่วอนันตจักรวาล จากนั้นแผ่เมตตาต่อไป ยังภพของโอปปาติกะ สัมภเวสี ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลาย แผ่เมตตาต่อไปยังภพของเปรต อสุรกายทั้งหลาย แผ่เมตตาต่อไปยังภพของนรกภูมิทุกขุม กำหนดจิตรู้เห็นเปิดญาณ เปิด 3 แดนโลกธาตุ แผ่เมตตา บุญญราศี รัศมีบุญฤทธิ์ลงมาจากพระนิพพานลงมาทั้ง 3 ครบ 3 ภูมิ จิตมีความเอิบอิ่ม มีความสุขในการแผ่เมตตาอย่างยิ่ง ในขณะที่เราแผ่เมตตา ให้น้อมอารมณ์ใจเรา อบอุ่น เมตตา เยือกเย็นประดุจดวงจิตแห่งพระโพธิสัตว์ เมล็ดพันธุ์แห่งโพธิจิต บนพระนิพพานได้เติบโตงอกงามในจิตเรา ใบหน้าเรายิ้ม เยือกเย็น อบอุ่น กระแสเมตตาสงบเย็น บริสุทธิ์อย่างยิ่ง แผ่กระแสเมตตาไปยัง 3 ภพภูมิ 3 แดนโลกธาตุ กระแสพลังเป็นสีทองสว่างพร่างพรายเป็นประกายพรึกละเอียด อารมณ์จิตของเราละเอียด

เมื่อแผ่เมตตาแล้วก็ตั้งจิตนะ อธิษฐานกับพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ เทพพรหมเทวา ที่ท่านมาเมตตาปรากฏให้เรารู้เห็นขึ้นในจิตอทิสมานกาย โดยที่ท่านทั้งหลายเป็นมหาสมาคมอันมีสมเด็จองค์ปฐมทรงเมตตาเป็นประธาน แยกอทิสมานกายกราบทุกท่านทุกๆพระองค์เป็นจำนวนมากมายมหาศาล อารมณ์จิตของเรามีความนอบน้อมอ่อนโยนต่อทุกท่านทุกๆพระองค์ที่เมตตามาโปรด มาสงเคราะห์เรา จิตเรามีความรู้สึกเอิบอิ่มปลื้มปิติว่า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เมตตาคุ้มครองรักษา เมตตาสอนธรรมะ สอนอารมณ์พระกรรมฐานกับเรา ในรูปแบบของญาณเครื่องรู้ที่ผุดรู้ขึ้นมาในจิต

เมื่ออารมณ์เราเป็นสุขสว่าง กราบลาทุกท่านแล้ว เราก็พุ่งอทิสมานกายกลับมายังโลกมนุษย์ กำหนดจิตอธิษฐาน ขออาราธนากระแสจากพระนิพพาน กำลังบุญแห่งกรรมฐาน กำลังแห่งมหาสังฆทาน ที่ข้าพเจ้าได้กระทำบำเพ็ญเป็นนิจด้วยสามัคคีธรรม ด้วยกำลังจิตตานุภาพ ขณะที่ยกถวายก็ทรงในกำลังแห่งฌานสมาบัติ ยังให้ผลอานิสงส์แห่งมหาสังฆทานเพิ่มพูนทวีคุณขึ้นด้วยจิตตานุภาพ ด้วยความผ่องใส ด้วยความเป็นทิพย์ ขอเปิดสายบุญ สายทรัพย์  สายสมบัติ สายบารมี สายกรรมฐานเก่าดั้งเดิมของข้าพเจ้า ให้มาปรากฏส่งผล ยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นต่อข้าพเจ้า ทั้งทางโลก  ทางธรรม บุญใหญ่บุญส่งผลทันใจ บุญใหญ่ส่งผลทันที บุญส่งผลทันใจ บุญใหญ่ส่งผลทันที วิบากทั้งหลายจงถอยห่างออกไป อกุศลกรรมทั้งหลายจงสลายตัวไป กำหนดน้อมให้เห็นแสง เห็นทรัพย์สินสมบัติ อันเป็นมนุษย์สมบัติ อันจับต้องได้ โปรยปรายหลั่งไหลมาสู่ชีวิตของเรา ใจเราเป็นสุข ใจเราละเอียด ใจเราขอบคุณสายสมบัติหลั่งไหลเข้ามา ความคล่องตัวหลั่งไหลเข้ามา ใจเราเป็นสุข จากนั้นกำหนดนะ ว่าเราตั้งจิตมั่น เห็นจิตเป็นประกายพรึกสว่าง กายทิพย์เป็นประกายพรึกสว่าง กายเนื้อสว่างใสเป็นแก้ว มองทะลุเห็นโครงกระดูกทั้งหมดเป็นแก้วสว่าง อธิษฐานหลังการเจริญพระกรรมฐาน หลังการทรงอารมณ์พระนิพพาน อารมณ์สูงสุดแห่งการปฏิบัติธรรม ให้คำอธิษฐานนั้น จงสำเร็จสัมฤทธิ์อัศจรรย์เป็นจริง จิตสว่างผ่องใสอย่างยิ่ง

เมื่ออธิษฐานเรียบร้อยแล้ว จิตเป็นกุศล จิตเป็นบุญ จิตมีจิตตานุภาพ กำหนดว่า เราขอโมทนาสาธุกับเพื่อนที่ปฏิบัติธรรมด้วยทุกคน กัลยาณมิตรทั้งหลายที่ฝึกปฏิบัติ บุญที่เกิดขึ้นขอเทวดาพรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านผู้มีพระคุณ พ่อแม่ทั้งชาติปัจจุบัน อดีตชาติ ปิยชนอันเป็นที่รัก เทพพรหมเทวาที่ปกปักรักษาคุ้มครองตัวเรา ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย คุณครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ผู้สั่งสอนอบรมเพาะบ่มสรรพวิชาทั้งปวงทั้งทางโลกทางธรรม ขอกุศลทั้งหลายเหล่านี้ จงถึงจงสำเร็จแด่ทุกท่าน จากนั้นก็หายใจเข้าลึกๆช้าๆ หายใจเข้าพุท ออกโธ ครั้งที่ 2 ธัมโม ครั้งที่ 3 สังโฆ จากนั้นนะเราก็ค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆด้วยจิตอันเป็นสุข ใบหน้าแย้มยิ้มสว่าง ความรู้สึกในขณะที่เราลืมตา รู้สึกได้ว่ามีแสงสว่าง มีออร่าฉายออกจากใบหน้า ออกจากกายของเรา แสงสว่างรัศมีกาย ขอจงประกอบไปด้วย กำลังแห่งพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ เทวดาพรหม ประสิทธิ์ประสาท กระแสที่แผ่ออกจงเปี่ยมไปด้วยกระแสแห่งเมตตามหานิยม ใครเห็นใครเมตตา ใครเห็นใครรักใครเอ็นดู ใครเห็นใครรักคนนั้นดูแล กระแสแสงสว่างที่แผ่ออกเป็นออร่าของเรา รัศมีกายของเรา จงมีพลังงานแห่งการคุ้มครอง ปกป้องจากจิตวิญญาณฝ่ายลบฝ่ายร้าย กระแสพลังงานลบเป็นแหล่งโกรธแค้นเกลียดชังอาฆาต จงไม่อาจกล้ำกรายมาใกล้ ในขอบเขตแห่งกระแสราศีรัศมีกำลังบุญของเราได้ ดวงจิตดวงวิญญาณในระดับต่ำ ไม่สามารถมาเกาะ มาติด มารบมากวนมาอยู่ใกล้ในเขตรัศมีที่เรากำหนดไว้ได้ กระแสแสงสว่างแห่งกุศล เราสะสมเพาะบ่ม จิตตานุภาพแห่งพระกรรมฐานไว้ดีแล้ว จิตย่อมนำประโยชน์มาให้ กระแสแสงสว่างออร่าที่ฉายออกจากรอยยิ้ม ออกจากกาย ออกจากอารมณ์ความรู้สึก จงเกิดผล เกิดเป็นมหาลาภ เกิดเป็นเมตตามหานิยม เกิดเป็นสิทธิผล เจรจาสิ่งใดสำเร็จสัมฤทธิ์อัศจรรย์

สำหรับวันนี้ ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน พยายามเขียนแผ่นทองอธิษฐานพระนิพพานไว้ ใครที่ยังพึ่งทราบ ใครที่ยังไม่เคยเขียนก็ตั้งจิตเขียนไว้นะครับ แล้วก็วันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับผู้ที่ร่วมบุญกุศลในการถวายมหาสังฆทานร่วมกัน โมทนาบุญกับผู้ที่ร่วมบุญบริจาคเป้น้ำให้กับเจ้าหน้าที่ส่วนหน้า ตอนนี้ก็มีผู้ใจบุญมหาเศรษฐีมาปิดกองเรียบร้อยครบ 100 ใบได้สำเร็จนะ ก็ขอโมทนาด้วยแล้วก็ขออนุโมทนาบุญพิเศษ มีพี่ๆที่เขามีความฉลาดในการทำบุญก็ร่วมบุญกับอาจารย์ ในเรื่องของอุปกรณ์ในการทำสื่อธรรมทาน มีร่วมบุญกันอยู่ 2-3 ท่าน อันนี้ก็ถือว่าอานิสงส์ทำให้เกิดผลในการที่ว่า มีผู้เข้าถึงความดีเข้าถึงกุศลเข้าถึงธรรม และก็ขออนุโมทนาบุญกับท่านที่ร่วมบุญมาด้วยนะครับ สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน เรากำหนดจิตทบทวนให้ดี แล้วก็เอาไปใช้ ใช้แล้วก็ใช้ให้ถึงขั้นสุดยอด บางเรื่องเป็นเรื่องที่ดูง่ายๆ แต่ความลึกซึ้งมันมีซ่อนอยู่ในความเรียบง่าย ถ้าเราใช้ประโยชน์เขาได้ครบถ้วนหมด เรียงร้อยการปฏิบัติให้มันเกิดประสิทธิผลสูงสุด การปฏิบัติเราก็ก้าวหน้าขึ้นนะครับ สำหรับวันนี้สวัสดีครับ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า แล้วก็ขออนุญาตว่าสำหรับคนที่ถอดไฟล์เสียงก็บันทึกไปได้เลยว่าวันนี้เป็นการสอนในเรื่องของการผ่อนคลายเพื่อตัดกายขันธ์ 5 อันนี้ถือว่าเป็นพื้นฐานที่สำคัญและพิเศษ สำหรับเราที่ฝึกเมตตาสมาธิ ขอบคุณมากสำหรับทุกคน

 

ถอดเสียงและเรียบเรียง โดย คุณ Wannapa

You cannot copy content of this page