green and brown plant on water

อรูปสมาบัติ

เวลาอ่าน : 5 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”

วันอาทิตย์ที่ 5 มีนาคม 2566

เรื่อง อรูปสมาบัติ

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

 

กำหนดสติอยู่กับลมหายใจสบาย  จินตภาพว่าลมหายใจของเราเป็นเหมือนกับแพรวไหม   พลิ้วผ่านเข้าออกภายในกาย  กำหนดรู้ในอารมณ์สบาย  อารมณ์จิตเบาสงบ ปล่อยวางความรู้สึก ความกังวล และความพะวักพะวง         ในอาการที่เกิดขึ้นทางร่างกาย   ปล่อยวางร่างกาย   ผ่อนคลายร่างกายกล้ามเนื้อทุกส่วน   พร้อมกับปลดปล่อย ความสนใจจดจ่อในร่างกายออกไปให้หมด  จิตอยู่กับความผ่องใส  อยู่กับลมหายใจสบาย  กำหนดรู้อยู่เสมอว่าลมหายใจที่ปรากฏขึ้นนั้น  สัมพันธ์เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับระดับของสมาธิ

ในอานาปานสตินั้น ยิ่งลมหายใจมีความเบา มีความละเอียด ฌาน ระดับของสมาธิ  ยิ่งขึ้นระดับที่สูงขึ้น ลมหายใจยิ่งเบา ยิ่งสงบ ยิ่งละเอียด จิตเข้าสู่ฌานที่สูง  ลมหายใจไม่ราบเรียบ วุ่นวาย  หายใจหนัก  คือจิตใจว้าวุ่นสับสน จิตไม่เป็นสมาธิ เมื่อไหร่ก็ตามที่ลมหายใจสงบระงับ  นั่นก็คือจิตรวมลงสู่สมาธิ อยู่กับลมหายใจละเอียด เบาสบาย และก็กำหนดรู้ในขณะเดียวกัน ว่าในลมหายใจที่ละเอียด  เบาสบายนั้น มีพลังของปราณ อยู่กับลมหายใจที่ละเอียดนั้น กำหนดจดจ่อ   อยู่แต่กับลมหายใจ   จดจ่ออยู่กับความสงบเย็น   สติกำหนดรู้ว่าจิตเราได้พักอยู่กับความสงบ   พิจารณาธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนว่าความสุข เสมอด้วยความสงบนั้นไม่มี

จิตเราเป็นสุข กำหนดรู้ในสุข  คือเวทนา  สุขที่ปรากฏขึ้น สุขเวทนาที่ปรากฏนั้น  เป็นสุขจากความสงบของฌาน  จากความสงบของสมาธิ  สุขที่เกิดขึ้นจากการที่จิตเราหยุดความฟุ้งปรุงแต่ง  ความกังวลทั้งหลาย   เป็นความสุขที่ประณีตกว่าความสุข     ที่เจือไปด้วยอามิส    คำว่าสุขที่เจือไปด้วยอามิสก็คือ   สุขอันเกิดขึ้นจากกาม    คือกามคุณทั้ง 5 ประการ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส  ต้องได้รับการตอบสนอง  ทางรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส   ซึ่งกามที่กล่าวถึงนี้ไม่ได้หมายถึงเรื่องราคะเพียงอย่างเดียว  แต่รูปก็คือ การได้วัตถุที่สวยงามถูกใจ ได้เสื้อผ้าได้กระเป๋า อันนี้ก็เป็นความสุขที่จะต้องมีวัตถุคืออามิส หากยังไม่ได้เราก็ทุกข์ หากเสียไปมันก็ทุกข์ แต่ความสุขที่ปรากฏขึ้นจากจิตใจ คือความสุขจากฌานสมาธิ  ความสุขนี้มันจะมีความละเอียดกว่า ความสุขต่อมาก็คือ ความสุข ที่เกิดจากจิตที่มีเมตตาเข้าถึงเมตตาพรหมวิหาร 4 สุขนี้ก็ละเอียดประณีตขึ้นไปมากกว่า สภาวะที่จิตเรา เข้าถึงฌานสมาบัติ อันที่จริงการฝึกสมาธิคือสมถะ หรือการเจริญพรหมวิหาร 4  ล้วนแล้วแต่เป็นบาทฐานแห่งความเป็นพรหม  เป็นสุขที่ละเอียดปราณีต กุศลที่ปรากฏขึ้น  กับความสุขที่เกิดขึ้นจากฌานหรือเมตตา  ความสุขจากฌานหรือเมตตานั้น  ละเอียดกว่าความสุขที่เราอิ่มใจจากการทำทาน  ความประณีตสูงขึ้นตามลำดับ  ของทาน  ของศีล  ของภาวนา

ตอนนี้ให้เรากำหนดรู้ว่าเรา ก้าวเข้ามาสู่เขตของพระพุทธศาสนาที่เข้าสู่การภาวนา การภาวนานั้น ก็คือการเจริญสมถะ วิปัสสนากรรมฐาน   ตอนนี้เราพิจารณาในเรื่องสุข  ตามคำสอนที่ครูบาอาจารย์สอน บางครั้งครูบาอาจารย์ท่านสอนว่าอย่าติดสุข  คำว่าติดสุขนั้นมีตั้งแต่ ไปติดในสุขของกามคุณ  คือเพลิดเพลินอยู่กับ วัตถุธาตุ สิ่งของในโลก ตามปุถุชนวิสัย  หลงใหลใฝ่ฝันไปกับวัตถุ     อันนี้ก็เป็นการติดสุขจากวัตถุ   ซึ่งถือว่าเป็นของหยาบ    พอเราปฏิบัติมากเข้า เราก็ติดสุข ติดความสุขที่เกิดขึ้นจากการบำเพ็ญทาน  การติดสุขนี้ก็ทำให้เราไม่ก้าวเข้าไป  มีหลายคนทำทานครั้งแล้วครั้งเล่า  แต่ยังไม่ถึงเวลาที่เขาจะมาปฏิบัติ  ไม่ถึงเวลาที่จะมาภาวนา  อันนี้ก็ถือว่าเป็นติดสุข  เป็นการติดสุขในทาน พอละเอียดขึ้นไปอีก ติดสุขในฌานสมาบัติ อยากเข้าฌานละเอียด อยากเข้าฌานลึก  อยากไม่ถอนจิตออกจากฌานสมาธิเลย  อันนี้ก็เพราะว่าติดสุขจากฌานสมาบัติ   ครูบาอาจารย์ท่านก็สอนว่าต้องออกจากฌานสมาบัติ     มาสู่ภูมิของวิปัสสนาญาณ คราวนี้พอถึงจุด ที่เข้าถึงความสุขในฌาน  ความสุขที่ละเอียดกว่าฌาน ก็คือความสุขของอารมณ์ที่เข้าถึงอรูป สภาวะที่เข้าถึงอรูปฌาน

ตอนนี้ก็ให้เราเจริญจิตต่อไป กำหนดจิต สลายล้างภาพวัตถุทั้งหลาย กำหนดจินตภาพสลายล้างร่างกาย กลายเป็นความว่างเวิ้งว้างว่างเปล่า  ทุกสรรพสิ่ง  ทุกสิ่งที่เราทุกข์  ทุกสิ่งที่เรากังวล สลายล้างเป็นความว่าง ขาว โล่ง ว่าง   พิจารณาว่าทุกสิ่งทุกอย่าง  ล้วนแต่ไร้แก่นสาร   ในที่สุดต้องสูญสลายไป   จิตเราสลายความเกาะ     ความยึดในวัตถุธาตุทั้งหลาย ในทุกสิ่งทุกอย่าง กำหนดเป็นความโล่งว่าง วางเบาอย่างยิ่ง  สิ่งใดที่ทำให้เราพะวง   สิ่งใดที่ทำให้เราทุกข์ กำหนดจิตสลายเป็นอรูป  เป็นความว่างงไปให้หมด ความทรงจำ ที่ทำให้ทุกข์  สลายออกไปให้หมด  โรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายสลายออกไปให้หมด อวิชาคุณไสยทั้งหลาย  สลายออกไปให้หมด เหลือแต่ความว่างขาว สว่าง โล่ง ว่าง เบาอย่างยิ่ง  ใจสงบ ยิ้ม เอิบอิ่ม

กำหนดรู้ว่าจิตเราในขณะนี้ กำลังทรงอารมณ์อยู่ในอรูปสมาบัติ  อรูปสมาบัติถือว่าเป็นอารมณ์จิต  เป็นอารมณ์กรรมฐานในสมถะ ที่มีกำลังสูงสุด คือทรงในสมาบัติแปด กำหนดจิต สลายล้างความทรงจำที่ทำให้ทุกข์ ความทรงจำที่ทำให้เกิดความโกรธ  ความทรงจำ ในสิ่งที่ทำให้เกิดความใคร่ครวญ  ถวิลหา  คิดถึง   สลายล้างสัญญาทั้งปวง     เข้าถึงเนวสัญญายตนะ  สลายกลายเป็นความว่าง เวิ้งว้างว่างปล่าว  จิตเป็นอิสระจากความทุกข์ จากภาพจำ  จากความกังวลทั้งปวง โล่งว่าง สว่าง

เมื่อกำหนดทรงในอารมณ์สมาบัติ  ทรงอารมณ์ไว้เพื่อเป็นการเพาะบ่ม สะสมกำลังแห่งฌาน อันที่จริงจำเป็นที่จะต้องทรงอารมณ์ให้นานยิ่งกว่านี้ ให้อารมณ์จิตของอรูปเสถียร ยาวนานต่อเนื่อง จนรู้สึกว่าเราทรงได้นานเท่าไรก็ได้ ไม่หวั่นไหว ไม่เคลื่อน ไม่หลุดออกไป พออารมณ์อรูปสมาบัติเราทรงตัว  เราปฎิบัติมามีปัญญารู้ ไม่ติด ในสุขแห่งอรูป  นั่นก็คืออรูปราคะ  หรือไม่เป็นโมหะ  หลง   สำคัญผิดคิดว่าอรูป  ความว่าง สว่างโล่ง  ว่าง   ปราศจากความปรุงแต่ง   ความยึด  คิดว่าตรงนั้นก็คือนิพพานซะแล้ว  จิตเราไม่มีความคิด  ไม่มีความไม่รู้เช่นนี้  ไม่มีความสำคัญผิดเช่นนี้ ไม่คิดว่าความว่างคือพระนิพพาน  เป็นแค่อรูป

ดังนั้นเราจึงกำหนดจิตต่อไปว่า เราอาศัยการทรงสมาบัติแปด  คืออรูปสมาบัติ  มาเป็นกำลังในการปฏิบัติ เพื่อให้ถึงซึ่งพระนิพพาน เราก็เอาหลักในการพิจารณาของอรูปมาใช้ ตามที่หลวงพ่อฤาษีฯ  ท่านสอน   ท่านสอนว่าหากบุคคลใดที่เข้าถึงอรูปสมาบัติ เพียงพิจารณาต่อในวิปัสสนาญาณอีกเล็กน้อย  ก็สามารถตัดเข้าสู่อรหันตผลได้โดยง่าย และเป็นบุคคลที่ถึงพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ  คำว่าปฏิสัมภิทาญาณก็คือ มีความสามารถพิเศษในเขตพระพุทธศาสนา นั่นก็คือ หนึ่งทรงอภิญญาสมาบัติที่เป็นอภิญญาใหญ่ อิทธิวิธีต่างๆ ญาณต่างๆ ปรากฏขึ้น ต่อมาก็คือ มีปัญญาเฉียบแหลมในธรรมอย่างยิ่ง  ธรรมที่ลึกซึ้งพิสดาร  ยากแก่ความเข้าใจ  สามารถที่จะแสดงธรรมออกมา ให้ธรรมที่ยากพิสดารนั้นง่ายดายเข้าใจได้ง่าย  ด้วยคำเพียงไม่กี่คำ  ประโยคเพียงไม่กี่ประโยค สามารถทำให้คนรู้สึกว่า  หรือผู้ที่ฟังทางนั้นรู้สึกว่า รู้แจ้งขึ้นด้วยคำไม่กี่คำ  และต่อมาก็คือการแสดงธรรมที่ง่าย   ธรรมที่ง่าย  ที่ทุกคนคิดว่าเป็นธรรมะพื้นๆ  เข้าใจอยู่แล้ว ก็สามารถอธิบายขยายความขอบเขต ให้มีความละเอียดลึกซึ้ง จากธรรมง่ายๆ ให้ลึกซึ้งพิสดารได้ จากยากๆ ให้กลายเป็นง่ายได้ อันนี้ก็คือคุณสมบัติพิเศษของปฏิสัมภิทาญาณ

มีอีกสองข้อก็คือ ด้วยกำลังของจิตที่มีสูง ทำให้รู้ภาษาทุกภาษา  รวมทั้งภาษาสัตว์ อันที่จริง การที่รู้ภาษาทุกภาษาหรือภาษาสัตว์ ภาษาดาวต่างๆ ได้  เป็นผลจากการที่ สิ่งที่รู้  รู้จากวาระจิต คำว่ารู้จากวาระจิต  ก็คือรู้ว่าเขาคิดอะไร จะสื่อสารอะไร นึกอะไร เป็นโทรจิตแบบหนึ่ง  อันนี้ก็คือเรื่องของการรู้ภาษาต่างๆ  ส่วนข้อสุดท้ายที่เป็นคุณสมบัติพิเศษของปฏิสัมภิทาญาณก็คือ  สามารถทรงพระไตรปิฏกได้ทั้งหมด   การที่ทรงพระไตรปิฏกได้ทั้งหมดก็คือ  การที่จิตมีกำลังจิต   มีญาณในระดับสูง  การที่จะรู้ธรรม  ธรรมนั้นพระพุทธเจ้าเมตตามาสอนโดยตรง   พอพระพุทธองค์เมตตามาสอนโดยตรง ปุ๊บ ธรรมจะรู้ข้อไหนก็พลอยรู้ไปได้ทั้งหมด เนื่องจากถ่ายทอดมาได้ตรง  จากองค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

ดังนั้นกลายเป็นว่าบุคคลที่เข้าถึงปฏิสัมภิทาญาณนั้น  สามารถที่จะทรงพระไตรปิฏกได้ทั้งหมด ปัญญาเกิดความเฉียบแหลมอย่างยิ่ง ซึ่งอรูปสมาบัตินี้ อันนี้หลวงพี่เล็กวัดท่าขนุน  สอนอาจารย์เอง สมัยที่ไปปฏิบัติ แล้วท่านเมตตามาโปรด มาพักอยู่ที่ ปิยนันท์ธรรมสถาน บริเวณปากทางพยุหะคีรี เป็นวัดที่กลุ่มพลังจิตพิชิตภัยพิบัติร่วมกันสร้าง   ตอนนั้นหลวงพี่เล็กท่าน เมตตา ในช่วงค่ำนั่งอยู่รอบกองไฟ จำได้ว่าครั้งนั้นท่าน   เล่าเรื่องกสิณไฟ  พูดเรื่องกสิณไฟ    แล้วก็มีคนถ่ายรูป  ปรากฏว่ามีเปลวไฟ   เป็นปฏิภาคปรากฏขึ้นจริงๆ   และพอถึงเวลาที่สนทนาธรรมจบ ท่านก็เมตตา คุยกับอาจารย์ บอกว่า ไอ้ที่เราเข้าใจอยู่ ว่าการที่จะได้ปฏิสัมภิทาญาณ  จำเป็นที่จะต้องได้ สมาบัติทั้งแปด คืออรูปสมาบัติหนึ่ง สอง สาม สี่ ก็คือ สมาบัติ ห้า หก เจ็ด แปด อันที่จริง อรูปได้อรูป แค่สมาบัติห้า สมาบัติหก สมาบัติเจ็ดหรือสมาบัติแปด  อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็สามารถที่จะได้ปฏิสัมภิทาญาณ  เพียงแต่ว่า บุคคลที่จะได้ปฏิสัมภิทาญาณ  จะเป็นฌานแบบโลกีย์ ท่านที่จะได้ปฏิสัมภิทาญาณแบบตัวเต็ม  จะเริ่มตั้งแต่ พระอนาคามีผล อรหันตผล  แต่ถ้าเป็นฆราวาสที่ยังไม่เป็นพระอริยเจ้า แต่ทรงสมาบัติ สมาบัติแปดที่เกิดขึ้นนั้น  มีผลให้ปรากฏในบางสภาวะ เกิดญาณที่เป็นปฏิสัมภิทาญาณเกิดขึ้น  หรือหากคนที่เป็นพุทธภูมิ ญาณแห่งปฏิสัมภิทาญาณก็ปรากฏขึ้นมาได้ อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ว่า

ดังนั้นจริงๆ อย่างเรา  ที่ปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติถึงจริง เค้าลาง บางสภาวะ บางอารมณ์ อารมณ์จิตเราดี  เราก็รู้ว่าสัตว์ มันจะสื่อสารอะไรกับเรา  หมาแมวมันมางึดงึด เราก็รู้ว่ามัน จะมาขออะไร อันนี้มันก็เป็นเรื่องที่มันปรากฏขึ้นมาได้ หรือบางครั้ง บางคนอยู่ในห้องปฏิบัติ เป็นครูเมตตาสมาธิ  เวลาสอนสมาธิ ญาณที่พระพุทธองค์ทรงสื่อ  ให้เราสามารถแสดงธรรมโปรดตรงวาระจิต  อันนี้มันก็ปรากฏขึ้นมาได้

ดังนั้นสิ่งต่างๆ ที่เป็นอภิญญา  ที่เป็นปาฏิหาริย์ ถ้าสังเกตดู ท่านที่ได้ปฏิสัมภิทาญาณ  จะเป็นประโยชน์โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เกิดปาฏิหาริย์  หรืออภิญญาที่เป็นภาคที่เรียกว่า  อนุสาสนีปาฏิหาริย์  อนุสาสนีปาฏิหาริย์แปลว่า ปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นในการแสดงธรรม การแสดงธรรมนั้นหนึ่งตรงวาระจิต  การแสดงธรรมนั้นตรงจริตของผู้ฟัง การแสดงธรรมนั้น  ยังประโยชน์ให้ผู้ฟัง ผู้น้อมจิต  ผู้ปฏิบัติตาม เกิดผลได้อย่างรวดเร็ว เป็นที่อัศจรรย์  อันนี้ก็คือเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการเผยแพร่พระพุทธศาสนา เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง หากถึงวาระที่จำเป็นจะต้อง สังคายนาพระไตรปิฎก เพราะว่าบุคคลที่ได้ปฏิสัมภิทาญาณ  สามารถทรงพระไตรปิฏกได้ทั้งหมด สามารถย้อนอตีตังสญาณ  เทียบเคียงในคำสอนของพระพุทธองค์  ดังนั้นจุดนี้ ทำให้การตีความ  เข้าใจความหมายของธรรมะ  เป็นไปตรงตามที่พระพุทธองค์ทรงมีพุทธประสงค์ ทำตามหน้าที่  ตามที่พระพุทธองค์ทรงมีพุทธบัญชา ดังนั้นกลุ่มคนที่ฝึกได้ เข้าถึง ปฏิบัติตรง ก็เป็นประโยชน์   ในการยังให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองได้ตราบห้าพันปี

ดังนั้น เราจงอย่ากลัวในการปฏิบัติในอรูปสมาบัติ วันนี้ก็จะมาเน้นในเรื่องของอรูปสมาบัติเพิ่มเป็นพิเศษ เพราะถือว่าเป็นกำลังสมถะ ในขั้นสูงสุดของการปฏิบัติ  อันที่จริงในอรูป  หาบุคคลที่สอนได้ยาก  สอนแล้วทำให้เข้าสู่สภาวะนั้นยาก ความเข้าใจในเรื่องอรูป สำหรับบางบุคคลก็ถือว่าเป็นของยาก แต่ที่จริงอรูป เป็นเรื่องง่าย เป็นเรื่องที่ไม่หนัก อันที่จริงเป็นเรื่องที่สบายด้วยซ้ำ อรูปก็คือกำหนดจิตสลายล้างรูปวัตถุทั้งหลายออกไป หากพูดว่าเป็น ภาษาที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ก็หมายความว่างเรา  Delete ภาพจำ Delete ภาพวัตถุหรือวัตถุทั้งหลาย สิ่งใด ทรงจำใด เมมโมรี่ใด ที่มันทำให้เราทุกข์หรือทำให้เราหลง  เราลบมันทิ้ง  มือถือ  โทรศัพท์มือถือของเรา เจอสิ่งกระทบ  เจอสิ่งเร้าก็คือ เราดาวน์โหลดรูปมามากขึ้น เก็บรูปมากขึ้น  เก็บข้อความมากขึ้น มีข้อความทางไลน์มามากขึ้น  เมมโมรี่โทรศัพท์มันเต็ม   พอมันเต็มปุ๊บ    มันเป็นยังไงมันมีความแฮงค์   มีความวุ่นวาย  มีการทำงานที่แปรปรวน     มีการทำงานที่ช้า  จิตก็เช่นกัน ถึงเวลาเราลบ ภาพวัตถุ ลบภาพที่ทำให้เรากระทบใจ คือความทรงจำ ภาพจำเรื่องราว ที่ทำให้เราทุกข์     ลบมันทิ้งด้วยอรูปทั้งหมด  หรือแม้แต่โรคภัยไข้เจ็บ เราก็ล้าง ดับล้างด้วยอรูป  Delete มันทิ้งไป   อวิชาคุณไสยที่ใครทำมา ใส่มา เราก็ลบก็ล้างไปด้วยอรูป  เชื่อเถอะว่า อวิชาคุณไสยของคนที่ทำนั้น กำลังเขาไม่ถึงอรูปซะส่วนใหญ่ เป็นกำลังของพลังลบ เป็นพลังของความเกลียด  ความโกรธ ความหมั่นไส้ ความริษยา  อารมณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซึ่งเป็นของต่ำ  เราเป็นของสูง  คือจิตมีเมตตา  จิตผ่องใส  จิตสละล้างกิเลส จิตเข้าถึงพระนิพพาน  ดังนั้นจิตเราสูงกว่า กำลังฌานเราสูงกว่า ฌานเราไม่ใช่เพียงแค่ฌาณ 4  กำลังฌานเราถึงอรูป  กำลังฌานเราถึงอรูป กำลังเราสูงกว่า บริสุทธิ์มากกว่า ดังนั้นจิตเราย่อมสูงกว่า

กำหนดในอรูปเป็นการลบ เป็นการดับ ตอนนี้ให้เรากำหนดจิต ทรงอารมณ์สลายล้างความทุกข์ ภาพสิ่งใดความรู้สึกใด เรื่องราวใด ภาพบุคคลใด ที่ทำให้เราทุกข์ ทำให้เรากังวล สลายล้างเป็นความว่างไปจนหมด ความรู้สึกว่าเราปลอดปล่อยเป็นอิสระ ปราศจากความยึดมั่นถือมั่นในรูป  ในวัตถุ ล้าง Delete ความทรงจำทั้งปวง  ทั้งสุข  ทั้งทุกข์ภาพทรงจำในอดีตชาติ ข้อมูลที่เป็นข้อมูลขยะทั้งหลาย เรื่องราวสัพเพเหระ ขี้หมูลา ขี้หมาแห้ง เรื่องราวไร้สาระ ดราม่าทั้งหลาย สลายล้าง Delete ทิ้งออกไปจากจิตใจ ตอนนี้เรากำลังใช้กำลังของอรูป มาจัดเรียงฐานข้อมูลของเราใหม่   สลายล้างออกไปให้หมดก่อน ทั้งสุข ทั้งทุกข์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลบความทุกข์ ความกังวล ความขุ่นใจ ความเศร้าหมอง อกุศล ภาพจำ สัญญาในอดีตชาติ ล้างสลาย กลายเป็นความว่างออกไปให้หมด ภาพจำ ภาพความทุกข์ ภาพอกุศล สลายล้าง ความรู้สึกผิดบาป  ความรู้สึกที่เราฝังจำไว้ ในระดับจิตสำนึก  จิตใต้สำนึก  หรือบันทึกไว้ในอดีตชาติ สลายล้างเป็นความว่างงออกไปให้หมด

อกุศลทั้งปวงสลายล้างกลายเป็นความว่าง  ภาพแห่งความโกรธแค้นเกลียดชัง อิจฉาริษยาทั้งหลาย สลายล้างเป็นความว่าง  ดับล้างอกุศลทั้งปวง  ความโลภโกรธหลงทั้งปวง วิธีฝึก  วิธีจำ วิธีปฏิบัติแนวอรูปคือ

  1. วัตถุที่เป็นของหยาบ ล้างกลายเป็นความว่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งร่างกายขันธ์ 5 สลายกลายเป็นความว่าง
  2. สิ่งที่เป็นวัตถุธาตุ คือโลก บ้านเรือน ภูเขา ต้นไม้ จักรวาล ทุกสรรพสิ่ง ที่เป็นของหยาบ เป็นวัตถุธาตุไปถึงจักรวาล อนันตจักรวาล ดับสลายล้างกลายเป็นความว่าง
  3. ต่อมาคือ สิ่งที่มากระทบทางอายตนะทั้งปวง มากระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ สลายล้างกลายเป็นความว่าง  สัญญา เนวสัญญานาสัญญายตนะ  สัญญาคือความจำทั้งหลาย ความจำ ความทรงจำ ทั้งสุข ทั้งทุกข์  ความจำที่เราไปทำผิด ความจำที่เราไปจด ไปจำ ไปรู้สึกผิดบาป  สลายล้างออกไปให้หมด ดับล้างไปให้หมด ความทรงจำทั้งปวงทั้งสุข  ทั้งทุกข์   ทั้งที่ยึดมั่นถือมั่น   ทั้งที่รู้สึกถวิลหาใคร่ครวญ    สลายล้างออกไปกลายเป็นความว่างจนหมด จริงๆ อันนี้ก็เท่ากับเข้าถึงสมาบัติ 8   ครบสี่ไปเรียบร้อย   ครบอรูปสมาบัติทั้งสี่ไปเรียบร้อย    ทรงสภาวะอยู่ในความว่างนั้น    ว่างเปล่า

กำหนดให้รู้สึกว่าใจเราเป็นสุขจากความว่าง ว่างจากความยึดติด จากความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง ความรู้สึกของเราตอนนี้ เป็นอารมณ์ของอรูปพรหม จะมีความรู้สึกไม่อยากสุงสิงกับใคร  ไม่อยากวุ่นวายกับใคร ไม่อยากรับรู้ในสิ่งใด อยากอยู่กับความว่าง โล่ง สว่าง สลายล้างออกไปให้หมด

จากนั้นกำหนดจิตต่อมา  กำหนดจิตว่า  เราอาศัยอรูปสมาบัติ  เป็นกำลังแห่งวิปัสสนาญาณ  เป็นฐานแห่งวิปัสนาญาณ เป็นฐานแห่งกุศล เป็นฐานแห่งการปฏิบัติธรรม กำหนดจิตต่อมาว่า เรามีคุณพระพุทธเจ้าเป็นที่สุด ท่ามกลางความว่างนั้น  ปรากฏองค์พระ สว่างผ่องใส  ภาพสมเด็จองค์ปฐม  ปรากฏสว่างชัดเจนเจิดจ้าอย่างยิ่ง  กำหนดจิตให้เห็น อาทิสมานกาย อยู่จำเพาะเจาะจงโดยตรงกับสมเด็จองค์ปฐม ท่ามกลางความว่าง

จากนั้นอธิษฐานจิตต่อ ขอบารมีพระพุทธเจ้า ขอบารมีสมเด็จองค์ปฐมทรงเมตตาสงเคราะห์ ขอปรับจิต ปรับใจของข้าพเจ้า กำลังแห่งอรูปสมาบัติ  ดับอกุศล ดับอวิชาทั้งปวง  จากจิตข้าพเจ้า เมื่อล้างจนกระทั่งจิตข้าพเจ้าว่าง จากข้อมูล จากความจำ จากสัญญาที่เป็นข้อมูลขยะ ที่เป็นความทุกข์ ที่เป็นความเศร้าเหมาออกไปจนหมด ขอให้นับแต่นี้ภาพสัญญาแห่งกุศลผลบุญ บุญใหญ่ในอดีตชาติที่ข้าพเจ้าเคยสร้าง เคยบำเพ็ญ เคยสร้างพระพุทธรูปองค์สำคัญ เคยร่วมสร้างพระธาตุ พระมหาธาตุเจดีย์ เคยบวช เคยปฏิบัติในเขตพระพุทธศาสนา   เคยถวายทานอันพิเศษปราณีตแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า แด่พระพุทธเจ้า แด่พระอรหันต์ ท่านใดหมู่ใดในอดีตชาติ  ขอให้ภาพสัญญา ญาณเครื่องรู้ สัญญานั้น  จงฟื้นคืนกลับมาปรากฏเป็นภาพชัดเจนในจิตด้วยเทอญ ขอภาพแห่งกุศลทั้งหลาย   ขอสัญญาแห่งกุศลทั้งหลาย  จงมาปรากฏ  อกุศล  ภาพอกุศล  สัญญาแห่งอกุศล  ความเศร้าหมองทั้งปวงจงสลายดับล้าง ภาพแห่งกุศลจงชัดเจน

จากนั้น    อธิษฐานต่อสมเด็จองค์ปฐมว่า   เมื่อกำหนดจิตอธิษฐาน   จิตรำลึกถึงบุญ  จิตรำลึกถึงกุศล  เมื่อจิตรำลึกถึง จิตจดจ่อ ขอบุญนั้นจงส่งผลรวดเร็วทันใจ จัดเรียงให้กุศล ให้บุญ ขึ้นมาอยู่ใกล้จิต ให้เรารำลึกนึกถึง สิ่งใดที่รำลึกนึกถึง  สิ่งนั้นส่งผล   สิ่งใดที่จดจ่อสิ่งนั้นขยายใหญ่    กำหนดจิตอธิษฐาน  ใช้กำลังแห่งอรูป    จัดเรียงฐานข้อมูลของจิต  ความทรงจำของจิต บุญใหญ่อยู่ไกลในอดีตชาติ ไกลแค่ไหน ก็ขอให้ทบขึ้นมาไกล อกุศลทั้งหลาย  ที่ใช้กำลังอรูปสลายล้าง   ก็ขอจงสลายให้ห่างไกล   อยู่ไกล   กำลังแห่งการส่งผลในกรรมชั่ว ในวิบาก  ไม่อาจส่งผลมาได้ฉันนั้น    ตรงนี้ให้เรากำหนดจิต  ทำความเข้าใจนะ บุญกุศลให้ส่งผลใกล้ๆ  อกุศลขอจงห่างหายไปไกล บุญใหญ่จงมาอยู่ใกล้ ขอให้เกิดผล เกิดความสุข ความเจริญ ได้โดยเร็ว โดยไว  กำหนดจิตใช้กำลังแห่งอรูป จัดเรียง ความจำสัญญาทั้งปวงทั้งหมดทั้งสิ้นไว้

ตอนนี้สงบนิ่งนะ กำหนดจิต ให้ภาพกุศลที่ทำ กำหนดเรียง กุศลที่เราเคยถวาย ร่วมถวายมหาสังฆทาน ที่ร่วมถวายทองคำ ที่ร่วมสร้างพระพุทธรูป มาเรียงซ้อน ใกล้ชิดติดกัน เฉพาะในชาตินี้ก็มากมายมหาศาล ในอดีตชาติมากมายหลายหมื่น หลายแสน หลายล้านกัปป์  ก็มากมายมหาศาล  เรียงทับซ้อนให้มาอยู่ใกล้  ในวาระจิตในชาติปัจจุบันนี้ ใช้อรูปสมาบัติกลั่นเรียงให้เฉพาะบุญกุศล บารมีทั้ง 30 ทัศ มาเรียงตัวอัดแน่นอยู่ใกล้เรา ไอ้ในชาติต่างๆ ที่เราทำพลาดพลั้ง ทำอกุศล ทำสิ่งไม่ดี สลายล้างสัญญาความจำให้มันอยู่ห่าง อยู่ไกลออกไปให้หมด กำหนดจิตโฟกัสอยู่   จดจ่ออยู่แต่กับกุศลผลบุญที่เราทำ บุญใหญ่มารวมตัวกัน เกาะกลุ่ม เหมือนกับตอนนี้ ในปัจจุบันเป็นยอดของปิรามิด บุญกุศลมาอยู่บนยอดปิระมิด  รวมตัวหนาแน่น  อกุศลก็ไปอยู่ไกลๆ  บุญ ความดี กุศล กรรมฐานเก่าที่เคยฝึก ดึงกลับมาให้หมด กสิณไฟเคยฝึกกันมาแล้ว อานาปาเคยฝึกมาแล้วในอดีตชาติ  วิปัสสนาญาณเคยปรากฏแล้วในอดีตชาติ    หลายชาติ หลายภพ เคยเห็นคนตายในสภาวะการณ์ต่างๆ  จนจิตเราเกิดสลดสังเวช อารมณ์ที่สลดสังเวช ปรงในความตาย มรณานุสติและอสุภสัญญาจงรวมตัวกัน ของเก่าตอนนี้  หลั่งไหลเข้ามามากมายมหาศาลในจิต กรรมฐานทั้ง 40 ทัศความดีที่เราเคยทำ ความสงบที่เราเคยบำเพ็ญ การบวชในเพส  ในพรตต่างๆ  ทั้งที่บวชเป็นฤาษีก็ดี  บวชเป็นสามเณร บวชเป็นภิกษุ ภิกษุณี  กำหนดจิตให้ภาพสัญญา แห่งกุศลทั้งหลายรวมตัวเป็นกลุ่มเป็นก้อน ส่งผลรวดเร็วทันใจ  กรรมฐานทั้งหลาย หวนคืนกลับมา ที่เราฝึกกันตอนนี้จะยิ่งเกิดผล  ส่งผลให้กำลังแห่งปฏิสัมภิทาญาณเพิ่มพูนขึ้น เพราะเราดึงของเก่ากลับมา   ด้วยกำลังแห่งอรูปสมาบัติ  ทรงอารมณ์สว่างผ่องใส  ภาพแห่งกุศล ปรากฏ ผุดขึ้น ผุดขึ้น เพิ่มขึ้น ปรากฏขึ้นในจิตของเราทุกคน ให้น้อมใจของเราให้เป็นสุขผ่องใสแย้มยิ้ม ยินดีในกุศลที่เราสร้าง เรียกบุญกุศล สัญญาแห่งกุศล สัญญาบารมีจงกลับฟื้นคืนมา

จากนั้นตั้งจิตอธิษฐานต่อหน้าสมเด็จองค์ปฐมว่า ขอให้บารมีทั้งหลายที่ปรากฏ สัญญาแห่งกุศล ตลอดรวมจนถึง บารมีทั้ง 30 ทัศ กรรมฐานเก่าที่ข้าพเจ้าเคยเจริญมาในกาลก่อน และในอดีตชาติสะสมรวมตัว  ขอจงเป็นปัจจัย  ให้ข้าพเจ้าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้อย่างง่ายดาย ในชาติปัจจุบันด้วยเทอญ  จากนั้นกำหนดจิตเห็น กายทิพย์             กายพระวิสุทธิเทพเราพุ่งขึ้นไปพร้อมกับสมเด็จองค์ปฐม  ขึ้นไปบนพระนิพพาน ขอให้ปรากฏ กายพระวิสุทธิเทพ อยู่ในวิมานของสมเด็จองค์ปฐม  ห้อมล้อมด้วย  พระพุทธเจ้า  พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกๆ พระองค์บนพระนิพพาน

จากนั้นเราทรงอารมณ์ต่อไปพิจารณา เห็นกายของเราคือกายพระสุเทพสว่าง มีเครื่องทรง เครื่องประดับปรากฏชัดเจน สว่างเป็นเพชรแพรวพราวอย่างยิ่ง กำหนดรู้ว่าเราคือกายทิพย์ คือกายพระวิสุทธิเทพ ที่ตั้งจิต เจตจำนง ชัดเจนว่า เราปฏิบัติเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด กำหนดรู้สึกถึงความเป็นกายทิพย์นั้นชัดเจนสว่าง ใจมีความสุข มีความเอิบอิ่ม อันนี้คือการกำหนดชัดเจนในนิมิต และความรู้สึกว่ากายของเรานั้นอยู่บนพระนิพพาน

 

จากนั้นกำหนดต่อไปในการพิจารณาอารมณ์ อารมณ์กรรมฐาน ก็คืออุปมานุสติกรรมฐาน คืออารมณ์พระนิพพาน พิจารณาเบื้องต้นก็คือพิจารณาว่า ภพชาติทั้งหลาย คือภพแห่งความเป็นมนุษย์ ความเป็นเทวดา  ความเป็นพรหม อรูปพรหม เราไม่ปรารถนา อกุศลภพ อันได้แก่ ภพแห่งการเป็นสัตว์เดรัจฉาน เปรตอสูรกาย สัตว์นรก   เรายิ่งไม่ปรารถนา   เราไม่ปรารถนาซึ่งการเกิด    กำหนดจิตว่าเรา ตั้งใจสิ้นภพจบชาติ     ปรารถนาก็จบกิจในพระพุทธศาสนา คือการไม่เกิด ดับไม่เหลือเชื้อแห่งการเกิด เชื้อแห่งการเกิดคือ ความปรารถนา ความติด ความยึด ความห่วง ในภพใดภูมิใด ไม่มีในจิตของเรา  คือสิ้นภพจบชาติ   จิตของเราปรารถนาอยู่กับพระนิพพานที่เราทรงอยู่ ณ เวลานี้ จุดเดียว

จากนั้นกำหนดจิต เสวยวิมุตติสุขในอารมณ์พระนิพพาน คืออารมณ์ที่เทียบเคียงกับการเข้านิโรจสมาบัติของพระอริยเจ้า  ทรงอารมณ์ว่าเมื่อเราขึ้นมาอยู่บนพระนิพพานแล้ว   จิตเป็นสุขอย่างยิ่ง    เป็นสุขจากสภาวะที่จิตจบกิจ คือไม่เหลือเยื่อใยความห่วง ความอาลัยในภพทั้งปวง จิตเป็นสุขจากความสะอาด ปราศจากความโลภ โกรธ หลง ทั้งปวง      จิตปราศจากภาระความห่วงทั้งปวง  จิตปราศจากวิบากกรรมที่จะมาให้ผลอีก   กรรมทั้งหลาย  วิบากทั้งหลายสิ้นแล้ว ไม่อาจที่จะส่งผลกับเราได้อีกแล้ว  อกุศลทั้งหลาย  ที่จะทำให้เราไปเสวยความทุกข์ ทั้งทุกข์จากการเป็นมนุษย์ในระหว่างมีขันธ์ 5 หรือต้องไปเสวยความทุกข์ จากบาปอกุศล ที่ทำให้เรากลายเป็นเปรต อสูรกาย สัตว์เดรัจฉาน สัตว์นรก ไม่มีกับเราอีกต่อไป  จิต โล่ง ปราศจากพันธะ เข้าถึงวิมุตติสุขอย่างแท้จริง เมื่อพิจารณาโดยละเอียดแล้ว ก็กำหนดน้อมจิตเข้าถึงสุขแห่งพระนิพพาน

นิพพานัง ปรมัง สุขัง  พระนิพพานแต่สุขอย่างยิ่ง

กำหนดจิต แผ่ฉัพพรรณรังสี รัศมีจากกายทิพย์ สว่างเบิกบาน ผ่องใส จิตผ่องใส ประภัสสรอย่างยิ่ง กำหนดจิตตอนนี้ให้กายพระวิสุทธิเทพ สว่างผ่องใสเต็มกำลัง แผ่แสงสว่าง แผ่ประกายพรึกเต็มกำลัง จิตแย้มยิ้มเป็นสุขเต็ม ทรงอารมณ์ในวิมุตตินี้ไว้ จิตยิ่งยินดีในพระนิพพาน กำหนดรู้  ว่าเมื่อเราใช้กำลังแห่งอรูปสมาบัติ ความชัดเจนในกำลังของกายทิพย์ ความชัดเจนในกำลังมโนมยิทธิยิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นกว่าปกติ กำหนดจิตแผ่รัศมีพร้อมกับเสวยวิมุตติสุข  ทรงอารมณ์นี้ไว้ แล้วก็ตั้งใจว่าเราจะฝึกให้มากที่สุด  นานที่สุด  เท่าที่จะทำได้ ตามที่วาระโอกาสจะจัดสรร ผ่องใสที่สุด  สว่างที่สุด รัศมีเป็นสายรุ้งแพรวพราว พวยพุ่งรายรอบจากกายพระวิสุทธิเทพ  พร้อมกับอารมณ์ภายในจิตเป็นสุข แย้มยิ้มเป็นสุขอย่างยิ่ง ประคับประคองทรงอารมณ์ไว้ ทั้งในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ  ทั้งรัศมีกายที่สว่าง  ที่เปล่งประกายออกมาจากจิต  จากกาย ทั้งอารมณ์ความรู้สึก ที่เป็นสุขมากยิ่งยวดอย่างยิ่ง อันนี้ถือว่าเป็นปรมัตถ์สุข คำว่าสุข ในพระนิพพานนี่ถือว่าไม่ติดสุข ดังนั้นจำไว้ ว่าคำว่าติดสุขนั้น ถ้าเราเสวยวิมุตติอยู่ในสุขของพระนิพพาน ถือว่าไม่ติดสุข  ถือว่าเป็นปรมัตถ์สุข แต่ถ้ายังติดสุข ในกามวัตถุ เป็นสุขในฌานสมาบัติ เป็นสุขในอรูป  ก็ยังถือว่าติดสุข เพราะยังเป็นเหตุที่ทำให้สุขนั้น ทำให้เรายังต้องมีเกิดในภพนั้น ติดสุขแห่งกามคุณก็ทำให้เราไปเกิดเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา ติดสุขในฌานสมาบัติก็ทำให้เราไปเกิดเป็นพรหม ติดสุขในอรูป  ก็ทำให้เราไปเกิดในอรูปพรหม แต่หากเราทรงอารมณ์สุข ในอารมณ์พระนิพพาน ก็ทำให้เรา อยู่ที่บนพระนิพพาน จบกิจ ดังนั้นเราทรงอารมณ์   เสวยวิมุตติสุขในอารมณ์พระนิพพาน ทรงอารมณ์ไว้  สว่าง

เข้าใจกระจ่าง ชัดเจนในธรรมนะ ในการปฏิบัตินะ เข้าใจในเรื่องสุขอย่างละเอียด ทรงอารมณ์ไว้ อันนี้คือเหตุผลว่าทำไมหลวงพ่อถึงสอนให้ ยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานบ่อยๆ ขึ้นมาบ่อยๆ อันนี้ติดไปเลยนะ ติดพระนิพพาน ในปรมัตถ์สุข เสวยวิมุตติสุขในพระนิพพาน จิตเบาละเอียดเป็นสุข  สว่างอย่างยิ่ง กำหนดรู้ว่าจิตขณะนี้  ไม่มีความโลภโกรธ หลง  อารมณ์กรรมฐานละเอียด อารมณ์สุขปราณีต จิตผ่องใสบริสุทธิ์ที่สุด ทรงในอารมณ์พระนิพพาน  กำหนดว่าทุกครั้งที่เราฝึกกรรมฐาน  ต้องเข้าถึงอารมณ์นี้ให้ได้ทุกครั้ง เสวยวิมุตติสุข ในอารมณ์แห่งพระนิพพาน

จากนั้นอาราธนาบารมี ของพระพุทธเจ้า  พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระอริยเจ้า พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ แผ่เมตตาจากการที่เราเสวยวิมุตติสุขนั้น  และน้อมกระแสรวมจิตเชื่อมกระแสกับพระนิพพาน เป็นกระแสบุญศักดิ์สิทธิ์จากพระนิพพาน   แผ่เมตตาจากบนพระนิพพาน   ลงมายังสรรพสัตว์ทั้ง 3 ไตรภูมิ น้อมกระแสแผ่เมตตาลงมา ยังอรูปพรหมทั้งสี่   พรหมโลกทั้ง 16 ชั้น  สวรรค์ทั้ง 6 ชั้น  ภูมิเทวดา  รุกขเทวดา  ทั่วโลกทั่วจักรวาล   มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายที่มีกายเนื้อ ขันธ์ 5 กายหยาบ ทั่วจักรวาล  โอปปาติกะสัมภเวสี ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลาย  ขอกระแสบุญ  ขอกระแสแห่งพระนิพพาน   สุขอันเป็นปรมัตถ์สุข  ขอจงปรับภพภูมิ  สรรพสัตว์ดวงจิตทั้งหลาย   ปรับขึ้นสู่ภพที่เป็นสุข ขอกระแสแห่งพระนิพพาน  สลายล้างความยึดมั่นถือมั่น ปลดปล่อยดวงจิตที่ตกค้างทั้งหลาย ขึ้นไปเสวยบุญ ไปเสวยกุศล แผ่เมตตาต่อไปยังเปรตอสูรกายทั้งหลาย จิตก็เรายิ่งสว่าง แผ่เมตตาลงไปยังนรกภูมิ ดวงจิตดวงวิญญาณในนรกทั้งหลาย สลายล้างความทุกข์

จากนั้นกำหนดจิตนะ ขอบารมีพระพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐม  เปิดโลก  เปิดสามภพภูมิ  ขอให้จิตเราเห็นทั้งสามภพภูมิพร้อมกัน แผ่เมตตาสว่าง   กระแสที่เราแผ่จากกายพระวิสุทธิเทพบนพระนิพพาน  มองเห็นทั้งอรูปพรหม    พรหมโลก  สวรรค์ทั้ง 6 โลกมนุษย์ โลก ทั่วจักรวาล  เห็นโอปปาติกะสัมภเวสี  เรื่อยลงไป  ยันไปถึงนรกภูมิทุกขุม  กระแสญาณเครื่องรู้ กระแสบุญกุศล  เปิดโลก จิตสว่างผ่องใส ใจเราเอิบอิ่ม บารมีพระพุทธองค์ท่านทรงเมตตาสงเคราะห์ เห็นทุกข์ของสรรพสัตว์ทั่วสามภพภูมิ ยิ่งทำให้ เราตั้งมั่น มั่นคงในพระนิพพาน

อันนี้ก็ถือว่า  เราได้แผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย กุศลเกิดขึ้นจากการเจริญพระกรรมฐาน ทรงสภาวะแห่งกายพระวิสุทธิเทพ    จากนั้นแยกอาทิสมานกาย  กราบทุกท่าน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง    พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์      พระปัจเจกพุทธเจ้า   พระอริยเจ้า   ครูอาจารย์   พ่อแม่   ท่านผู้มีพระคุณ   ครูอุปัชฌายะ  ทั้งในอดีตชาติและปัจจุบัน     แยกจิตกราบ

จากนั้นกำหนดจิตนะ พุ่งจิต อาทิสมานกาย  กลับมายังกายเนื้อบนโลก เป็นแสงพุ่งลงมา จากนั้นกำหนดน้อมกระแสจากพระนิพพาน กระแสบุญทั้งหลาย สายทรัพย์  สายสมบัติ สายบารมี หลั่งไหลลงมายังกายเนื้อ ลงมายังบ้านเรือนเคหะสถาน เงินทอง โชคลาภ  โปรยปรายหลั่งไหล  กระแสแห่งพระนิพพาน กระแสแห่งฟ้า หลั่งไหลลงมารักษาโรคภัยไข้เจ็บ ของเราทุกคน ชำระล้างฟอกธาตุขันธ์ ธาตุขันธ์ เซลล์ทุกเซลล์สะอาด สว่าง ร่างกายอวัยวะทุกส่วน            มีกระแสธรรม กระแสพระนิพพานฟอกธาตุขันธ์  กลายเป็นเพชรประกายพรึก  สว่างไปทั่วกาย อวัยวะ เซลล์ทุกเซลล์กลายเป็นเพชรระยิบระยับ กระดูกใสเป็นแก้ว หลอดเลือด เส้นเอ็น โครงกระดูกทั่วร่างใสเป็นแก้วสว่าง กลายเป็นเพชรระยิบระยับ กระแสจากพระนิพพาน กระแสธรรมฟอกธาตุขันธ์ต่อเนื่อง กาย จิต สว่างเป็นแก้วใส กายหยาบ กลายเป็นแก้วใส จิตกลายเป็นแก้วประกายพรึก กลายเป็นเพชรดวงใหญ่ กายและจิตสอดประสาน มีแต่ความผ่องใส กายสว่างมีรัศมี  มีออร่า มีบุญบารมี จิตเอิบอิ่มสว่างผ่องใส

จากนั้นกำหนดนะ อธิษฐานเป็นคำอธิษฐานหลังกรรมฐาน   แล้วแต่บุคคล   แต่ละคนจะอธิษฐานในสิ่งที่ชอบ  สิ่งที่เป็นกุศล เมื่อใจเราสบายแล้ว ใจเราเป็นสุขแล้ว กุศลเกิดขึ้น  ปัญญาเกิดขึ้น มรรคผลชัดเจนในจิต  ตั้งใจโมทนาสาธุกับเพื่อนที่เจริญพระกรรมฐาน  กัลยาณมิตรทุกคน โมทนาสาธุ ยินดีในบุญ ในกุศล ยินดีในธรรม จากนั้นตั้งจิตต่อไปนะ

หายใจเข้า พุท   ออก  โธ  ใจแย้มยิ้ม เอิบอิ่ม

ครั้งที่สอง ธัมโม

ครั้งที่สาม สังโฆ

จากนั้นค่อยๆ กำหนดให้จิตสว่าง ถอนจิตจากสมาธิช้าๆ  สว่าง เป็นสุข แย้มยิ้ม ออกจากสมาธิเรียบร้อย วันนี้ก็โมทนากับทุกคนที่ร่วมบุญกัน ถวายมหาสังฆทาน บุญกุศล รวมตัวกันนะ วันนี้การปฏิบัติก็อยากให้เราเข้าใจ ลึกซึ้ง การปฏิบัติวันนี้จะมีประโยชน์อย่างยิ่ง   หากเรารำลึกรู้เสมอว่า   ตอนนี้บุญมาอยู่ใกล้เรารวมตัวเรานึกถึงบุญ    ตรงนี้ก็จะตรงกับที่พระพุทธองค์ทรงสอนว่า   ขึ้นชื่อว่าอกุศลทั้งหลาย  อย่าไปนึกถึงมัน  ให้นึกถึงกุศล ตอนนี้เราใช้กำลังแห่งอรูปสมาบ้ติ  จัดเรียงให้กุศลมาอยู่ใกล้ ผลักให้อกุศลไปอยู่ไกลๆ มันจะได้มาส่งผลถึงเราได้ยากหรือช้ากว่า อันนี้ก็ถือว่า เป็นความสามารถพิเศษของคนที่ฝึก  เป็นประโยชน์พิเศษของคนที่ฝึก  อรูปทำให้สามารถจัดเรียง ฐานข้อมูลของจิต จัดเรียงตามลำดับความสำคัญ

ดังนั้นสิ่งใดเราไปนึกถึงมัน สิ่งนั้นมันก็ส่งผล ดังนั้นเราก็ต้องละอกุศล  นึกถึงแต่กุศลยังความผ่องใสให้ปรากฏ อันเป็นแก่นของพระพุทธ สำหรับวันนี้ ก็จบการฝึก แต่เพียงเท่านี้ แต่เนื่องจากวันพรุ่งนี้เป็นมาฆบูชา  ก็จะมีโบนัส จะมีสอนสมาธิในห้องนี้อีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากเป็นวันพระใหญ่ ก็จะมีการฝึก ในเรื่องของญาณ 8 การพาเที่ยวภพภูมิต่างๆ รวมถึงไปโปรด ญาติทั้งหลาย อันนี้ใครที่อยู่ในวาระ ก็อย่าพลาด อันนี้ก็ฝึก ในวันพรุ่งนี้สามทุ่มห้องนี้นะ สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคนด้วย ทบทวน ย้อนฟังของไฟล์นี้ให้ดีๆ ทำความเข้าใจให้แตกให้หมด เข้าใจให้ลึกซึ้ง จะยิ่งก้าวหน้ามากขึ้น ญาณแห่งปฏิสัมภิทาญาณจะเริ่มปรากฏชัดขึ้น อันนี้ถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมขั้นสูงมาก นะ โอเค สำหรับวันนี้ก็โมทนาครับทุกคนด้วยครับ ให้มีความสุข ความเจริญ สวัสดี

 

ถอดเสียงและเรียบเรียง โดย คุณ สิริญาณี แลบัว

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหานี้ได้