green and brown plant on water

กลั่นกายทิพย์

เวลาอ่าน : 3 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน” 

วันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม 2566

เรื่อง กลั่นกายทิพย์

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

กำหนดจิต รำลึกรู้มีสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อมทั่วทั้งร่างกาย จิตรู้ในกายเพื่อที่จะได้มีจิตตานุภาพอยู่เหนือกายของเรา จิตเป็นนายกายเป็นบ่าว กำหนดในสติรู้ตัวทั่วพร้อมทั้งหมด

 

จากนั้นกำหนดผ่อนคลายกล้ามเนื้อร่างกายทุกส่วน ผ่อนคลายร่างกาย ปล่อยวางร่างกายขันธ์ห้า ทิ้งความเกาะ ความรู้สึก ความห่วง ความจดจ่อในร่างกายออกไปจนหมด ทิ้งกายคือการตัดขันธ์ห้า ผ่อนคลายเพื่อปล่อยวางร่างกาย ปล่อยวางตัดขันธ์ห้าเพื่อแยกรูปแยกนามแยกกายแยกจิต จิตเมื่อไหร่ก็ตามที่มีความรู้สึกพะวง เกาะ ยึด ห่วง จดจ่อ อยู่กับร่างกายกายเนื้อ จิตของเราก็ถูกเนื้อขันธ์ห้าร่างกายมามีอิทธิพลอยู่เหนือจิต แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่จิตเราแยกจากกายขันธ์ห้า แยกรูปแยกนาม จิตก็จะเกิดความเป็นอิสระ ความอิสระของจิตก่อให้เกิดจิตตานุภาพ ความเป็นอิสระของจิตก่อให้เกิดปัญญา หากอธิบายในเรื่องของวิทยาศาสตร์แล้ว เมื่อไหร่พันธะของโมเลกุลอะตอมที่ถูกเป็นอิสระแยกออกจากกันก่อให้เกิดพลังงาน จิตเราก็เช่นกัน เมื่อจิตเราแยกจากกาย จิตนั้นก็เกิดความเป็นอิสระ เกิดพลังงานของจิตขึ้นคือจิตตานุภาพ ยิ่งแยกกายแยกจิตได้มากเท่าไหร่ จิตกายทิพย์อาทิสมานกายก็มีกำลังสูงขึ้นเพิ่มขึ้นเพียงนั้น อันที่จริงหากเราพิจารณาใช้ปัญญาทำความเข้าใจ หลายวิชาในการปฏิบัติในการเจริญพระกรรมฐาน ล้วนมีแก่นมีจุดมีการปฏิบัติมีหลักที่ตรงกันทั้งหมด แยกรูปแยกนาม แยกกายแยกจิต แยกอาทิสมานกาย ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติในมหาสติปัฏฐานสี่ ก็คือการแยกรูปแยกนามแยกกายแยกจิต

 

การปฏิบัติในมหาสติปัฏฐานสี่ กาย เวทนา จิต และธรรม กายก็คือกำหนดรู้ สติกำหนดรู้ในกายเพื่อละวางร่างกาย จิตกำหนดรู้ว่าจิตนั้นมีความผ่องใสไหม ทรงอารมณ์อยู่ในฌานสมาบัติทรงอยู่ในสมาธิไหม จิตมีกิเลสหรือสะอาดจากกิเลส อันนี้ก็คือรู้จิต

รู้เวทนาก็คือกำหนดรู้ในความสุขทุกข์ที่เสวยที่รู้สึก ในเวทนานั้นเราพิจารณาว่าเวทนานั้นเกิดเนื่องจากกายและส่วนที่เป็นเวทนาที่เกิดเนื่องจากจิต ความสุขความทุกข์ความรู้สึกจากผัสสะต่างๆ  ทุกอย่างเกิดขึ้นจากกายและจิต ถ้าแยกกายออกไปได้ เวทนาอันเนื่องจากกายก็หายไป เหมือนกับเวลาที่เราฝึกสมาธิ เราแยกรูปคือแยกความสัมพันธ์ความรู้สึกความห่วงความเกาะในกาย แยกได้เร็วมากเท่าไหร่ ปล่อยวางผ่อนคลาย ปล่อยวางร่างกายได้มากเท่าไหร่ กลายเป็นว่าเวลาที่เราทำสมาธิเราไม่รู้สึกถึงอาการปวดเมื่อยทางร่างกาย เพราะจิตเราแยกจากกายไปตั้งแต่ต้นแล้ว ดังนั้นเราก็ก้าวข้ามเวทนาขันธ์คือเวทนาอันเกิดขึ้นจากการมีขันธ์ห้าร่างกายไปได้ อันนี้บางครั้งเราก็ก้าวผ่านไปโดยไม่ได้เคยสังเกตหรือทำความเข้าใจ แต่อันที่จริงแล้วการปฏิบัติ ถึงเราข้ามเราก็ต้องมีปัญญาพิจารณาย้อนกลับมารู้กลับมาดู บางอุบายของครูบาอาจารย์ท่านก็เน้นให้เราต้องพบกับเวทนา พบกับอาการปวดเมื่อย เจอเวทนาจนกระทั่งแทบจะขาดใจ จนกระทั่งจิตมันทนไม่ไหว แยกหลุดออกมาจากความเกาะในขันธ์ห้า อันนี้ก็จะกลายเป็นว่าแยกรูปแยกนามโดยใช้กำลังของเวทนาเป็นตัวทำให้เกิดปัญญาในการตัด ตัดโดยธรรมชาติของจิตเขา จิตเขาทนไม่ไหวจริงๆ เขาเลยแยกออกจากรูปแยกจากขันธ์ห้า แต่ของเราเวลาที่ฝึกเวลาที่เราปฏิบัติ เราฝึกโดยใช้ปัญญาและการก้าวข้าม กำหนดรู้ว่าทำไมต้องแยกรูปแยกนาม เรารู้แล้วไหมว่าร่างกายขันธ์ห้าเป็นเหตุแห่งความทุกข์ เวลาพิจารณาเช่นนี้ก็จะกลายเป็นวิปัสสนาญาณ ขันธ์ห้าทำไมถึงเป็นความทุกข์ หิวทุกข์ไหม ใครเป็นคนหิว ในเวลาที่หิว ถ้าเราไม่มีขันธ์ห้าเราจะหิวไหม ดังนั้นทุกข์เวทนาที่เกิดขึ้นเกิดขึ้นเพราะการที่มีขันธ์ห้าใช่ไหม อันนี้คือการพิจารณาในวิปัสสนาญาณ เมื่อย เวลาที่เราเมื่อยเราเมื่อยที่ไหน เมื่อยที่จิตหรือเมื่อยที่กาย กำหนดถามจิตตอบจิตดู เมื่อพิจารณาดูแล้วมันเมื่อย เมื่อยที่กาย ถ้าไม่มีร่างกายมันจะเมื่อยไหม มันก็ไม่มีอาการเมื่อย ดังนั้นทุกข์ เวทนาของกายขันธ์ห้านั้นมันเกิดขึ้นเพราะการมีขันธ์ห้าร่างกาย แล้วเวลาที่เราแยกกายแยกจิต กำหนดจิตผ่อนคลายปล่อยวางร่างกายไปตั้งแต่ต้น ผ่อนคลายตัดร่างกายตัดขันธ์ห้าไปตั้งแต่ต้น ขันธ์ห้าเราแยกออกไปแล้ว ความจดจ่อความสนใจมันลดลง อาการเมื่อยอาการเวทนาอันเกิดจากขันธ์ห้ามันมีไหม มันก็ไม่มีเพราะเราก้าวข้ามไปแล้ว อันนี้ก็ให้เราเข้าใจว่าทำไมมาฝึกมาปฏิบัติเข้าสมาธิได้เร็ว ทำไมถึงนั่งได้นานไม่เมื่อย ทำไมปฏิบัติแล้วจิตเป็นสุข อันนี้ก็เป็นเทคนิคในการปฏิบัติ

 

แต่ละสายอาจจะมีแนวทางอาจจะมีเคล็ดลับในการปฏิบัติแตกต่างกัน ไม่มีผิดไม่มีถูก แล้วแต่อุบาย แล้วแต่จริต แล้วแต่นิสัย และวิสัยของครูบาอาจารย์ที่ท่านแนะนำที่ท่านสอน บางครั้งฝึกแบบก้าวข้ามหรือสบายก็อาจจะไม่เหมาะกับจริตบางคน หากไม่มีความละเอียดปราณีตในการพิจารณาสังเกตหรือย้อนทวนทำความเข้าใจ บางครั้งกับบางคนบางจริต การที่จำเป็นที่จะต้องไปพบเจอการกระแทกการเจอเวทนา ตรงนั้นก็อาจจะเป็นเหตุที่เหมาะสมกับจริตของบุคคลนั้นมากกว่าก็เป็นได้อันนี้แล้วแต่

 

ถ้าปฏิบัติโดยที่เรามาปฏิบัติในขณะที่อายุมากพอสมควรแล้ว ขันธ์ห้าร่างกายไม่เอื้ออำนวยในการที่จะบำเพ็ญความเพียรในขั้นที่เป็นอุกฤษฏ์ การที่เราฝึกโดยใช้ความสัปปายะใช้ความสบายใช้ปัญญาใช้อุบายใช้เทคนิคในการปฏิบัติผ่อนคลายและตัดวางร่างกายไปพร้อมกันให้เวทนามันลดลง เวทนามันลดลงความทุกข์มันน้อยลง มันก็ทำให้เราไม่มีความกลัวหรือมีความรู้สึกไม่อยากฝึกไม่อยากปฏิบัติ แต่ถ้าสบายแล้วก็ยังไม่อยากปฏิบัติอีก อันนี้ก็ถือว่าในมัชฌิมาปฏิปทาย่อหย่อนเกินไป สบายสัปปายะแล้วจำเป็นที่จะต้องมีความเพียรความขยัน ถ้าหากลำบากเลยทำให้คร้านที่จะฝึกเพราะกลัวเมื่อยกลัวปวดกลัวเจ็บอันนี้ยังพอมีเหตุผล แต่หากฝึกแบบสัปปายะคือมีความเบามีความสบาย จิตเป็นสุขทุกครั้ง แต่ใจของเราก็ยังมีความคร้านไม่อยากจะฝึกไม่อยากปฏิบัติอีก อันนี้ก็ให้เราต้องพิจารณาตนว่าเราต้องเติมความวิริยะไหม เติมความเพียรไหม เติมปัญญาเข้าไปในการปฏิบัติไหม อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เราแต่ละคนต้องพิจารณาของตนเอง

 

เมื่อแยกกายแยกจิตแล้ว เราก็กำหนดพิจารณาต่อไป ในมหาสติปัฏฐานสี่  แยกรูปแยกนามแยกกายแยกจิต ในวิชาของมโนมยิทธิก็ดี ในวิชาของธรรมกายคือหลวงพ่อสดวัดปากน้ำที่ท่านสอน อันที่จริงแล้วกำลังของมโนมยิทธิก็ดี กำลังของวิชาธรรมกายก็ดี เป็นเรื่องของการที่เราใช้กำลังของกายทิพย์ กายทิพย์ก็คืออาทิสมานกาย จิตอาทิสมานกายและก็กายทิพย์อันที่จริงเป็นเรื่องเดียวกันเป็นจุดเดียวกัน

 

จิตนั้นหากกล่าวโดยรูป รูปหรือลักษณะ ลักษณะของจิตอาทิสมานกายและกายทิพย์นั้น รูปที่ปรากฏไม่ได้เป็นรูปในเชิงสามมิติหรือเป็นรูปที่จับต้องได้เรียกว่าเป็นนามธรรมไม่ใช่รูปธรรม แต่รูปลักษณะนั้นหมายความว่า จิตมีลักษณะเป็นดวง เป็นดวงแสงสว่าง ทึบบ้าง สว่างบ้าง ใสบ้าง เป็นเพชรบ้าง ตามสภาวะอารมณ์จิตของเจ้าของดวงจิตนั้น ในยามที่เจ้าของดวงจิตนั้นจิตประกอบไปด้วยกุศลมีความอิ่มเอิบใจจิตก็มีแสงสว่าง ในยามที่จิตมีความโกรธ จิตก็มีสีคล้ำเป็นสีแดงบ้าง สีคล้ำสีดำบ้าง มีความเศร้าหมอง จิตมีความทุกข์จิตก็มีความเศร้าหมองไม่เปล่งประกาย จิตในยามที่แผ่เมตตา เจริญพรหมวิหารสี่ เจริญเมตตาอัปปันนาณฌาน แสงสว่างและจิตก็มีลักษณะเป็นดวง เป็นประกายแก้วสว่างสีทอง ส่วนเมื่อไหร่ก็ตามที่จิตสะอาดจากกิเลสก็จะทรงสภาวะเป็นเพชรระยิบระยับ ซึ่งจิตนั้นก็สัมพันธ์กันกับสภาวะของกสิณจิตด้วย ยามที่กำหนดจิตเห็นจิตเป็นประกายพรึกระยิบระยับแพรวพราว จิตเป็นปฏิภาคนิมิต จิตก็สะอาดจากกิเลส ยิ่งละเอียดสูงขึ้นไปเป็นอารมณ์นิพพาน สะอาดจากกิเลส สะอาดจากอารมณ์ที่เกาะยึดห่วงในภพภูมิต่างๆ จิตก็จะมีความละเอียดยิ่งกว่าจิตที่เป็นประกายพรึกของฌานสี่

 

ดังนั้นสภาวะจิตสัมพันธ์กันกับอารมณ์ใจ ตรงนี้คือพูดถึงจิตในรูปลักษณ์ของดวงกลมดวงแก้ว และในขณะเดียวกัน จิตนั้นก่อรูปตามภพ เมื่อสักครู่เรากล่าวถึงว่าจิตนั้นมีสภาวะผันแปรไปตามอารมณ์ของเจ้าของดวงจิต ณ ขณะนั้น พอจิตก่อรูปไปตามภพ เช่นหากกำหนดให้จิตปรากฏในรูปลักษณ์ของอาทิสมานกายหรือกายทิพย์ ในยามที่โกรธในยามที่เคียดแค้นอาฆาตพยาบาท จิตอาทิสมานกายก็แปรสภาวะในลักษณะของสัตว์นรกบ้าง อสุรกายที่มีความโหดร้ายทารุณ ตั้งใจประหัตประหารเข่นฆ่าบ้าง หากเมื่อไหร่ก็ตามเจ้าของดวงจิตนั้นมีความโลภ อาทิสมานกายก็ก่อรูปเป็นเปรต มีความอยากมีความกระหายอยากได้ใคร่มีจนเกินไป อยากได้อยากเอาของของคนอื่นมากเกินไป เมื่อไหร่ก็ตามที่เจ้าของดวงจิตคิดถึงบุญกุศล คิดถึงความดี ถวายสังฆทานมาทำบุญมาไหว้พระมา จิตมีความผ่องใส จิตมีบุญหล่อเลี้ยงอาทิสมานกายก็แปลสภาวะไปเป็นเทวดาไปเป็นนางฟ้า ในยามที่เจ้าของดวงจิตนั้นกำลังเจริญเมตตาพรหมวิหารสี่ อาทิสมานกายก็แปรสภาวะมาเป็นกายของพรหม ในยามที่อารมณ์จิตเจริญพระกรรมฐาน ทรงอารมณ์พระนิพพาน ยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพาน อาทิสมานกายของเจ้าของจิตนั้นก็มีสภาวะเป็นกายพระวิสุทธิเทพ กายทิพย์อาทิสมานกายผันแปรไปตามอารมณ์จิต ณ เวลานั้นด้วยเช่นกันแต่อยู่ในรูปของความเป็นกาย รูปทรงคล้ายมนุษย์ แต่มีรูปลักษณ์ที่มีเครื่องทรงมีความสว่างมีรัศมีกายแตกต่างกัน อันนี้ให้เราเข้าใจก่อน

 

หากเวลาที่เรากำลังฝึกมโนมยิทธิ แต่จิตยังมีความห่วงในร่างกายเกาะในร่างกายสนใจในร่างกาย แรงดึงดูด ความยึดมั่นถือมั่นก็จะเป็นเหมือนกับยางเหนียวที่เกาะติดกับอาทิสมานกาย ยื้อยุดยืดเยื้อเกาะหนึบกันอยู่ ไม่สามารถแยกหลุดออกมาจากกายเนื้อหรือขันธ์ห้าได้อย่างเด็ดขาด พอมันมีความหนืดเนื่องจากความเกาะความยึดมั่นถือมั่นมันก็ทำให้เวลาจะเคลื่อนอาทิสมานกายไปสวรรค์ก็ดี ไปที่พระจุฬามณีเจดีย์สถานก็ดี ไปที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ไปที่พระนิพพานก็ดี มันไปไม่ไหวเพราะมันมีแรงดึงจากความเกาะในขันธ์ห้า ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องตัดขันธ์ห้า แยกรูป แยกนามแยกกายแยกจิต คนที่มีความคล่องตัวในมโนมยิทธิ ถ้าสังเกตดู ไม่ว่าจะเรื่องของความถูกต้อง ความชัดเจนแจ่มใส ถ้าตัดขันธ์ห้าได้มาก ปล่อยวางแยกรูปแยกนามได้มากได้ชัดเจนมากเท่าไหร่ เรียกว่าเมื่อไหร่มากำหนดในความเป็นกายทิพย์ เมื่อไหร่ที่มากำหนดในความเป็นอาทิสมานกาย ความสนใจในกายเนื้อขันธ์ห้าความเป็นไป อาการต่างๆของขันธ์ห้าเราไม่สนใจใยดีแม้แต่น้อยไม่สนใจเลย จิตมาจดจ่ออยู่กับความเป็นกายทิพย์เต็มกำลัง เมื่อเราแยกออกมาเต็มที่เต็มกำลัง เวลาที่เราจะเคลื่อนไปไหน จะไปที่ไหนมันก็พรึบพรับ รวดเร็ว ชัดเจน ในขณะที่คนที่ยังยึดติดหรือยังตัดขันธ์ห้าได้ไม่ดี มันมีความหนืด มันมีความช้า ถ้าเราน้อมจิตพิจารณาตามเราจะเห็นจริงตามนั้น

 

อย่างในวาระจิตของบุคคลที่เขาใช้กำลังของมโนมยิทธิ เราเห็นเขาก็จะเห็นว่าจิตดวงนี้เจ้าของจิตยังยงโย่ยงหยงเกาะอยู่กับกายเนื้อยังวางไม่ได้ยังตัดไม่ขาด ครูฝึกท่านก็จะแนะนำให้ตัดขันธ์ห้ามากขึ้น ตัดขันธ์ห้าให้ละเอียดมากขึ้น ยอมรับตามความเป็นจริงความเป็นไปของขันธ์ห้าร่างกายให้มากขึ้น ดังนั้นอีกเทคนิคหนึ่งที่เราจะฝึกที่เราจะปฏิบัติในการแยกรูปแยกนามก็คือ ลองฝึกทำความรู้สึกว่าเราเป็นกายพระวิสุทธิเทพซ้อนอยู่กับกายเนื้อขันธ์ห้าเราตลอดเวลา เมื่อนึกว่าเราจะยกจิตขึ้นพระนิพพานเราก็พุ่งขึ้นไปทันที แต่ในขณะที่เราทำกิจการงานใดก็ตาม ทำงานประกอบอาชีพอยู่ เราก็เห็นกายทิพย์ของเราสว่างอยู่ตลอดเวลา หยิบจับอะไรก็เห็นเป็นแก้วเป็นเพชรไปหมด นั่งนอนที่ใดก็เห็นสถานที่นั้นเป็นแก้วสว่างไปหมด หากเราทำแบบนี้ได้ อันนี้ก็ถือว่าจิตเรา ความเพียร ความตั้งใจความก้าวหน้าในการปฏิบัติของเราทรงอารมณ์อยู่ในความเป็นทิพย์ตลอดเวลา อารมณ์จิตของเราอยู่ที่ไหนที่นั้นก็กลายเป็นสถานที่เป็นทิพย์ หยิบจับอะไรสิ่งนั้นก็เป็นทิพย์ พูดจาอะไรก็พูดจาด้วยสัจจะวาจา ด้วยเมตตา ด้วยกระแสของกุศล กระแสวาจาของเราก็กลายเป็นวาจาสิทธิ์อันมีพลัง มีหลายคนที่ฝึกที่ปฏิบัติเช่นนี้แล้วจิตเข้าถึงความเป็นแก้วสารพัดนึก นึกคิดสิ่งใดก็เป็นไปตามที่นึกได้ทุกอย่าง อันนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจากความเป็นทิพย์ของจิต

 

ฝึกตั้งใจที่จะทรงอารมณ์ความรู้สึกว่าอาทิสมากายของเราสว่างชัดเจนอยู่ตลอดเวลา และความรู้สึกของเราก็คือ เราคืออาทิสมานกาย เราไม่ใช่ร่างกาย ร่างกายไม่ใช่เรา ถ้ากำหนดอารมณ์ใจและกำลังใจได้เช่นนี้ก็จะกลายเป็นว่า เราทรงอารมณ์ตัดขันธ์ห้าอยู่ตลอดเวลา ความรู้สึกตัวของเราตลอดเวลานั้นเรารู้สึกว่าเราไม่ใช่ร่างกายนี้ อารมณ์นี้จริงๆนี้ไม่ธรรมดา ถือว่าเป็นอารมณ์ของพระอริยะเจ้าที่ท่านอยู่ในขั้นที่สูงแล้ว แต่ตัวเรากำลังใจเราฝึกเช่นนี้ เราอาจจะทรงอารมณ์ไม่ได้ตลอดเวลา บางครั้งทำได้บางครั้งทำไม่ได้ แต่เราพยายามที่จะทรงอารมณ์ให้ได้มากที่สุด ทำจนกระทั่งกลายเป็นว่าทรงแทบจะตลอดเวลา ทำจนถึงจุดนี้ได้ความก้าวหน้าของจิตจะเกิดขึ้นอย่างอัศจรรย์และชัดเจน

 

ตอนนี้ให้เราทุกคนทำความรู้สึกยังอยู่ในภาคของโลกมนุษย์ อาทิสมานกายของเราเป็นกายพระวิสุทธิเทพทับซ้อนอยู่กับกายเนื้อ สว่างความรู้สึกอยู่ที่กายพระวิสุทธิเทพ ใจคิดพิจารณาตลอดเวลาว่าเราไม่ใช่ร่างกายเนื้อ ร่างกายเนื้อไม่ใช่เรา เราคือกายทิพย์เราคือกายพระวิสุทธิเทพ เมื่อไหร่ที่เราตายจากร่างกายเนื้อนี้ เราปรารถนาจุดเดียวคือพระนิพพานเป็นที่สุด เพียงแค่คิดจิตเราก็พุ่งไปถึงพระนิพพานได้อย่างง่ายดาย ให้ลองคิดพิจารณาดูว่าจริงไหม ผลของการฝึกการพิจารณาเช่นนี้ พุ่งจิตไปที่พระนิพพานอยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐมพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน กำหนดในบุญกุศลก่อให้เกิดแสงสว่าง อาทิสมานกายยิ่งสว่าง เรื่องของกายทิพย์นั้นพื้นฐานสำคัญคือกายทิพย์ยิ่งมีบุญ จิตขณะนั้นอิ่มบุญมากเท่าไหร่กายทิพย์ยิ่งสว่าง ยิ่งสว่างยิ่งมีความสุข ยิ่งมีความสุขยิ่งอิ่มเอมใจ กายทิพย์ยิ่งสว่างเป็นผลสะท้อนย้อนเกิดผลเนื่องต่อกัน

 

ดังนั้นพลังที่เราจะกำหนดให้กายทิพย์นั้นมีความสว่างนั่นก็คือยิ่งอิ่มใจยิ่งสว่าง ยิ่งสว่างยิ่งอิ่มใจ ไล่กำลังสว่างขึ้นเรื่อยๆ ภาวนาบริกรรม ยิ่งสว่างยิ่งอิ่มใจ ยิ่งอิ่มใจยิ่งสว่าง ยิ่งสว่างยิ่งอิ่มใจ พลังแห่งกายทิพย์สว่าง ยิ่งสว่างเจิดจ้าขึ้นอย่างไม่มีประมาณ กายทิพย์ยิ่งเกิดกำลังมากเท่าไหร่ อภิญญาสมาบัติก็ดี จิตตานุภาพก็ดีกำลังใจกำลังจิตในการตัดสรรพกิเลสเป็นสมุจเฉทประหารก็ดี ก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น ในการปฏิบัติในมโนมยิทธิเรามุ่ง มุ่งหมายตั้งใจที่เป็นแก่นเป็นหลักก็คือฝึกเพื่อตัดกิเลส อภิญญาสูงสุดก็คืออภิญญาที่ทำให้จิตตนนั้นพ้นจากอำนาจของสรรพกิเลสทั้งปวงคือความโลภโกรธหลง มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถที่จะเอาชนะกิเลสได้

จิตของผู้ทรงฌาน สะสมตบะ สะสมกำลังจิตตานุภาพเพาะบ่มก็เพื่อที่จะตัดสรรพกิเลสออกไปจากใจ ดังนั้นจิตยิ่งสว่างจิตก็จะยิ่งไม่ปรารถนาให้ความเศร้าหมองความขุ่นมัวหรือกิเลสมาบดบังใจของเรา จิตยิ่งสว่างยิ่งเป็นสุข ยิ่งจิตเป็นสุขเราก็ไม่ปรารถนาให้เราพบกับความทุกข์ เราปฏิบัติธรรมเพื่อจิตอันเป็นสุข เราปฏิบัติธรรมเพื่อดับทุกข์ ดังนั้นยิ่งปฏิบัติจิตเรายิ่งเป็นสุขสูงขึ้น ละเอียดมากขึ้น สว่างมากขึ้น ปราณีตยิ่งขึ้น สูงขึ้นไปเรื่อยๆ กำหนดจิตทรงสภาวะความเป็นอาทิสมานกายกายพระวิสุทธิเทพอยู่บนพระนิพพาน อยู่เบื้องหน้าพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ภาวนาบริกรรม จิตยิ่งสว่างจิตยิ่งเอิบอิ่มเป็นสุข จิตยิ่งเอิบอิ่มเป็นสุขอาทิสมานกายยิ่งสว่าง อาทิสมานกายยิ่งเป็นสุข จิตยิ่งผ่องใสมากเท่าไหร่กายทิพย์อาทิสมานกายยิ่งสว่าง กำหนดภาวนาบริกรรมไล่ทวนเพิ่มแสงสว่างขึ้นไปเรื่อยๆ อันนี้ถ้าเป็นศัพท์ของวิชาธรรมกายก็ใช้คำว่ากลั่นกายทิพย์  กลั่นกายแก้วให้ยิ่งใสขึ้น บริสุทธิ์ขึ้น ใสขึ้น บริสุทธิ์ขึ้น จิตยิ่งเป็นสุข กายทิพย์ยิ่งสว่างยิ่งใส กายทิพย์ยิ่งสว่างยิ่งใส จิตยิ่งเป็นสุข “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” ยกกำลังให้สูงขึ้นเพิ่มขึ้นจนเต็มกำลัง

 

น้อมจิตของเราอยู่เบื้องหน้า พระพุทธองค์ อยู่เบื้องหน้าพระปัจเจกพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ อยู่เบื้องหน้าพระอรหันต์ พระอริยะเจ้า ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย น้อมใจว่าในขณะที่เรากลั่นกายแก้วกลั่นอาทิสมานกายให้ใสยิ่งขึ้น เปี่ยมพลังแสงสว่างมากขึ้น เราก็น้อมขออาราธนาอำนวยอวยพรจากพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอรหันต์ พระอริยะเจ้าทุกๆพระองค์ ขอน้อมอำนวยอวยพรขอพรทั้งหลายอันประเสริฐ คุณความดีทั้งหลาย กุศลทั้งหลายอันประเสริฐ จงหลั่งไหลรวมลงสู่จิตรวมลงสู่กายพระวิสุทธิเทพของข้าพเจ้าแต่ละคน ทุกคนจงสว่างขึ้น เชื่อมกระแสน้อมกระแสแห่งพุทธะ น้อมกระแสแห่งธรรมะ น้อมกระแสแห่งสังฆะ ลงสู่ใจลงสู่จิตลงสู่อาทิสมานกายของเราให้สว่างยิ่งขึ้นไปอีก

 

พิจารณากำหนดรู้ในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ พิจารณากำหนดรู้ในจิต จิตเราสะอาดจากกิเลส ณ ขณะนี้ จิตเราไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลง ไม่มีความอาฆาตพยาบาท ไม่มีความรู้สึกปรารถนาจองเวร ไม่มีความหลงในภพภูมิใด  จิตมีความตั้งมั่นปักมั่นคงอยู่กับพระนิพพานเพียงจุดเดียว

 

พรปีใหม่ กระแสกุศล กระแสธรรม เราน้อมอัญเชิญรับพรจากพระนิพพาน กรรมฐานที่เราน้อมรับพรจากพระนิพพานรวมลงสู่กายพระวิสุทธิเทพเป็นอุดมมงคล กายทิพย์เรายิ่งสว่างขึ้นผ่องใสขึ้น เครื่องประดับรายละเอียดในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพยิ่งสว่าง ยิ่งชัดเจน ละเอียดระยิบระยับ กำหนดอธิษฐานขอกำลังแห่งจิตตานุภาพแห่งความผ่องใส จิตตานุภาพพลังแห่งกายทิพย์ ขอพุทธานุญาตในการนำมาใช้ประโยชน์ในขณะที่เรายังมีขันธ์ห้าบนโลกมนุษย์ ขอให้ใช้พลังแห่งจิตตานุภาพของกายทิพย์ในสิ่งที่เป็นประโยชน์ ในสิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล เป็นประโยชน์ตน ประโยชน์ต่อคนรอบข้าง ประโยชน์ต่อครอบครัว เป็นประโยชน์ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมด้วยเถิด

ขอให้ใช้พลังแห่งจิตตานุภาพทั้งด้านความมีโชคลาภเป็นมหาโภคทรัพย์ ขอให้พลังกายทิพย์เกิดจิตตานุภาพในการรักษาขันธ์ห้าฟอกธาตุขันธ์ สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงอัศจรรย์ ธาตุขันธ์สว่างขาวใสเป็นแก้ว ขอให้กระแสแห่งจิตตานุภาพพลังแห่งกายทิพย์ก่อให้เกิดเมตตามหานิยม เมตตาอัปปันนาณฌาน ก่อให้เกิดกระแสของความรักความเมตตาความเอื้อเอ็นดู

 

กำหนดจิตในแสงสว่างความผ่องใสเต็มกำลัง กำหนดรู้สึกสัมผัสได้ถึงรายละเอียดแห่งกายพระวิสุทธิเทพสว่างชัดเจน กำหนดรู้ในอารมณ์ใจของเราในขณะทรงอารมณ์พระกรรมฐานนี้ ว่าเอิบอิ่มเป็นสุขสว่าง เข้าถึงสภาวธรรม ธรรมะอุทานที่กล่าวไว้ “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ทรงอารมณ์ไว้

สงบนิ่งจดจ่อให้จิตให้อาทิสมานกายนั้นคงสภาวะแห่งกระแสแห่งกุศลแห่งพลังงานแห่งความสว่าง

ความเอิบอิ่มความสุข ในยามที่จิตเป็นสุขความทุกข์ก็ดับหายไป ในยามที่จิตสว่างผ่องแผ้วผ่องใสความเศร้าหมองความมัวมองความทุกข์ระทมทั้งหลายก็สลายไป กำหนดจิตกำหนดรู้อยู่กับแสงสว่างแห่งความผ่องใส กำหนดรู้อยู่กับความสว่างความเอิบอิ่มแห่งอาทิสมานกายหล่อเลี้ยงไว้ด้วยบุญกุศล ด้วยความเอิบอิ่ม ความปิติสุข

 

กำหนดน้อมจิตพิจารณาว่า

จิตของเรามีความมั่นคงในพระพุทธเจ้าเป็นสรณะเป็นที่พึ่งอาศัยตลอดชีวิตตราบเท่าเข้าถึงพระนิพพาน

จิตเรามีความมั่นคงในพระธรรมเป็นสรณะเป็นที่พึ่งอาศัยตลอดชีวิตตราบเท่าเข้าถึงพระนิพพาน

จิตเรามีความมั่นคงมีสรณะคือพระอริยะสงฆ์เป็นที่พึ่งที่อาศัย  เป็นสรณะตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน

จิตมีความมั่นคงในพระนิพพานอย่างยิ่ง อารมณ์จิตรู้สึกว่าเราแนบอยู่กับอารมณ์พระนิพพาน ตั้งกำลังใจว่านับแต่นี้ปีใหม่ เราจะทรงอารมณ์ในกรรมฐานเต็มกำลัง เราจะทรงอารมณ์จิตในการใช้มโนมยิทธิได้อย่างเต็มกำลัง ปัญญากำหนดรู้ในความเป็นอาทิสมานกาย เข้าใจอย่างลึกซึ้งในการเป็นกายทิพย์ ยิ่งถอดกายทิพย์ใช้อาทิสมานกายมากเท่าไหร่เราจะยิ่งเข้าใจว่าในสภาวะของการเป็นกายทิพย์นั้นเป็นเช่นไร ความคิดระหว่างมนุษย์ปุถุชนที่ยังเกาะยังเนื่องอยู่กับขันธ์ห้าร่างกายกับจิตที่ทรงสภาวะในความเป็นกายทิพย์จะมีปัญญามีความเข้าใจมีความรู้ที่ต่างกัน

 

มนุษย์ปุถุชนทั่วไปที่เกาะในร่างกายก็จะมีความกลัวตายมีความห่วง ผู้ที่ถอดกายทิพย์บ่อยเท่าไหร่มากเท่าไหร่ก็จะยิ่งรู้สึกมีปัญญาเข้าใจว่าอันที่จริงจิตดวงนี้อันที่จริงเป็นอมตะ เราลองพิจารณาดูให้ดี เราทุกคนอันที่จริงอะเป็นอมตะอยู่แล้ว ไอ้ที่ตายมันคือขันธ์ห้ามันตาย ตายจากขันธ์ห้าก็เปลี่ยนร่าง เปลี่ยนภพเปลี่ยนสมมุติ เปลี่ยนไปเรื่อย แต่ความเกาะ ความยึด ความอยาก มันไม่อยากเปลี่ยน ไม่อยากเปลี่ยนภพ ไม่อยากเปลี่ยนสมมุติ ไม่อยากเปลี่ยนบทบาท  ไม่อยากพลัดพรากจากวัตถุทรัพย์สมบัติสิ่งของบุคคลอันเป็นที่รักที่พึงใจ ความคิดที่มันเกาะนี้ทำให้เรายึดมั่นถือมั่น ทำให้เราห่วง ทำให้เรากลัวตาย แต่ถึงเวลาเราตายมากี่ชาติกี่ภพ เกิดเป็นสัตว์บ้างเกิดเป็นมนุษย์บ้าง เกิดเป็นเทวดาบ้างพรหมบ้าง ตกนรกลงไปบ้าง มาเป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง จิตก็เป็นจิตดวงเดิมเพียงแต่เปลี่ยนรูปเปลี่ยนภพเปลี่ยนสมมุติ ดังนั้นอันที่จริงไม่ต้องไปแสวงหาความอมตะแต่จงแสวงหาความไม่เกิดคือพระนิพพาน เพราะความทุกข์จากการพลัดพราก ความทุกข์จากการเปลี่ยนภพ ความทุกข์จากการกระทบใจกัน ความทุกข์จากความอาฆาตพยาบาทจองเวร เป็นแรงกรรมที่ทำให้เราประสบกับโชคชะตาต่างๆที่ทำให้เกิดการเบียดเบียน การประหัตประหาร การแก้แค้น ความเป็นเจ้ากรรมนายเวร เราดับไม่เหลือเชื้อแห่งการเกิดเข้าสู่พระนิพพานได้หนึ่งดวงจิต สายโยงใยของกรรมมากมายมหาศาลมันก็จะสิ้นไป จิตหนึ่งดวงอาจจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรของอีกหลายสิบหลายพันล้านดวงจิตก็ได้

 

ลองคิดเอาว่าหากเกิดมีบางชาติที่เราเป็นกษัตริย์จักรพรรดิราชที่ครองแคว้นครองอาณาจักรขนาดใหญ่ เรารบราฆ่าฟันประหัตประหารผู้คนในประเทศอื่นในอาณาจักรอื่นในดินแดนอื่น ไปยึดครองดินแดนเขามา ยึดครองมาได้ทั่วทั้งโลก มีประชากรสมมุติว่าในยุคนั้นสมัยนั้นมีสักพันล้านคน คนที่เขาโกรธแค้นเราก็มีพันล้านคนพันล้านดวงจิต คิดว่ากรรมจะมากหรือน้อย เราลองคิดดูแค่นี้ แล้วเราเคยเกิดมากี่ชาติกี่ภพ แต่ละชาติแต่ละภพก็มีวาระมีวิบาก เอาแค่เราเป็นเจ้านายคนในองค์กรสักองค์กรหนึ่ง แต่ทำให้ลูกน้องเกิดความทุกข์ เกิดการเบียดเบียน คนชังมากเท่าไหร่ก็มีเจ้ากรรมนายเวรมากเท่านั้น มีคนรักมีคนเมตตามากเท่าไรก็มีพลังบุญที่มาสนับสนุนมีกำลังของดวงจิตที่มาช่วยเหลือมากขึ้นเท่านั้น คนที่เป็นพาลมีความคิดว่ามีอำนาจข่มขู่เบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบคนอื่นได้เยอะเป็นความฉลาดเป็นความเก่งเป็นความที่มีความสามารถ แต่หารู้ไม่ว่ากระแสวิบากกระแสกรรมที่มันโยงใยก่อให้เกิดผลมันมีมากมายมหาศาล ก่อเวรสร้างกรรมเพิ่มโจทก์เพิ่มเจ้ากรรมนายเวรอีกกี่ร้อยกี่พันดวงจิต

แต่ในขณะเดียวกันก็ให้เราพิจารณา ยามที่เราเจริญเมตตาอัปปันนาณฌานหนึ่งครั้ง แผ่เมตตาไปยังทุกดวงจิตไม่มีประมาณ คิดว่าดวงจิตแต่ละภพ ไม่ว่าจะเป็นภพของมนุษย์ ต่ำลงไปคือเปรตอสูรกายโอปปาติกะสัมภเวสีสัตว์นรกทั้งหลาย ขึ้นไปก็คือรุกขเทวดา ภุมมเทวดา อากาศเทวดาทั้งหกชั้น พรหมโลกทั้งสิบหกชั้น อรูปพรหมทั้งสี่ แผ่เมตตาออกไปไม่มีประมาณ ผลของบุญผลของกุศล ดวงจิตที่ท่านเป็นจิตที่ดีงามกำหนดรู้ สัมผัสที่ท่านรู้ว่าเราแผ่เมตตาให้และพลอยยินดีและพลอยปรารถนาที่จะเกื้อกูลสงเคราะห์เรามีมากมายมหาศาลเพียงใด ผลบุญกระแสกุศลมากมายมหาศาลเพียงนั้น เรากำหนดรู้พิจารณาให้เห็นค่าของการเจริญพระกรรมฐานสูงขึ้น เข้าใจให้ลึกซึ้งขึ้นของพลังแห่งกายทิพย์หรืออาทิสมานกาย พลังและกำลังแห่งการเจริญพระกรรมฐาน

 

กำหนดน้อมพิจารณาอยู่บนพระนิพพาน ขอกำลังใจกำลังจิตในการปฏิบัติของข้าพเจ้าทุกคนจงเพิ่มพูนขึ้น มีความกระจ่างชัดเจนในธรรมในการปฏิบัติยิ่งขึ้น ตระหนักรู้ถึงคุณค่าแห่งการเจริญพระกรรมฐานอย่างลึกซึ้งมากกว่าบุคคลทั้งหลายทั่วไป การสวดมนต์ก็ดีการเจริญพระกรรมฐานการเจริญเมตตาล้วนแต่มีผล จิตเป็นพลังงาน พลังงานนั้นไม่มีวันสูญสลาย เพียงแต่เปลี่ยนรูปไป จิตของเราก็เช่นกัน เปลี่ยนรูปหรือไปอาศัยเกาะเกี่ยวอยู่กับรูปขันธ์ห้า เปลี่ยนภพไปแต่พลังงานนั้นยังคงอยู่ จิตสะสมบุญก็เป็นพลังงานบุญขับเคลื่อนอาทิสมานกายไปยังภพภูมิ กรรมอกุศลก็เป็นกำลังขับเคลื่อนจิตอาทิสมานกายไป ไปเกิดในภพที่เป็นทุคติภูมิ ภพที่มีความทุกข์ ทุกข์ที่เสวยวิบากกรรม ดังนั้นพลังแห่งจิตกระแสจิตกระแสบุญนั้นดึงดูดกุศล ดึงดูดความสุข ดึงดูดความเจริญ ดึงดูดผู้สนับสนุนช่วยเหลือ ดึงดูดโภคทรัพย์ ดึงดูดความเป็นเมตตามหานิยมเข้ามาสู่เรา ยิ่งเจริญพระกรรมฐานเข้าใจลึกซึ้งเพียงใดยิ่งก้าวหน้ามากขึ้นเพียงนั้น

 

กำหนดน้อมใจของเราตระหนักรู้เสมอว่าทำไมเราจึงปฏิบัติธรรม เข้าใจให้ลึกซึ้ง ยิ่งเข้าใจลึกซึ้งก็ยิ่งก่อให้เกิดผลแห่งการปฏิบัติที่ชัดเจนกระจ่างมากขึ้น ปฏิบัติด้วยความรู้อย่าปฏิบัติด้วยความไม่รู้

จิตกระจ่างแจ้งในธรรม  จิตกระจ่างแจ้งในพระกรรมฐานทุกกอง

 

จากนั้น เราน้อมใจของเรา อธิษฐานขอครูบาอาจารย์ เทพพรหมเทวา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านมีวาระมีบุญกุศลเมตตาช่วยเหลือผูกพันกับเรา ขอให้ท่านเมตตามาปรากฏ กำหนดอำนวยอวยพรสอนสั่งธรรมะ หรืออำนวยอวยพรให้ข้าพเจ้าแต่ละบุคคลมีความเจริญทั้งทางโลกทางธรรมด้วยเถิด ทรงอารมณ์ความผ่องใสนะ ทำใจใสๆ

น้อมอาราธนาให้ครูบาอาจารย์สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านเมตตาโปรดจำเพาะแต่ละบุคคลตามวาสนาบารมีนะ

 

กำหนดจิตให้ใสสว่าง

 

จิตสว่างผ่องใส ขอพรอันประเสริฐทั้งหลายจงสัมฤทธิ์สำเร็จ ขอให้มีความสุขความเจริญในขณะที่มีร่างกายขันธ์ห้าบนโลกมนุษย์แห่งนี้ ยังประโยชน์ต่อเพื่อนมนุษย์ ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ต่อโลกใบนี้ แล้วก็ไปพระนิพพานได้ในชาติปัจจุบัน ไปพระนิพพานอย่างสง่างามทุกคน ความรู้สึกว่าเราสร้างคุณประโยชน์คุ้มค่ากับการลงมาเกิดลงมาจุติบนโลกนี้ จิตปราศจากความค้างคาใจใดๆ คุณประโยชน์บุญกุศลเราสร้างไว้ดีแล้วสมบูรณ์แล้ว สร้างพระพุทธรูปตลอดชีวิตร่วมบุญมาก็ดีเป็นเจ้าภาพใหญ่ก็ดีมากมายจนนับไม่ถ้วน ถวายสังฆทานถวายมหาสังฆทานจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน ร่วมบุญสร้างวิหารทาน สร้างพระอุโบสถ์ร่วมสร้างร่วมซ่อมพระอุโบสถก็ดีวิหารก็ดี ที่พักสงฆ์ทั้งหลายก็ดี เป็นจำนวนมากมายมหาศาลจนลืมจนจำไม่ได้ บูชาสักการะพระบรมธาตุ สักการะพระพุทธรูป เจริญจิตกรรมฐาน เจริญสมาธิมากมายหลายครั้งหลายหน สะสมจนนับไม่ถ้วน กำหนดจิตปฏิบัติในขั้นสูง ยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานมากมายไม่ใช่เพียงทำได้แค่ครั้งเดียว เคยขึ้นมาแล้วเคยขึ้นมากราบพระแล้วเคยขึ้นมาบนพระนิพพานแล้วมากมายนับครั้งไม่ถ้วน บุญนั้นเต็มแล้ว บารมีนั้นเต็มแล้ว กำลังใจนั้นเต็มแล้ว น้อมใจของเรากำหนดไว้เสมอว่าบารมีของเราเต็ม ยังไงชาตินี้เราสามารถเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ จิตปราศจากความอาลัยในบุคคล ปราศจากความอาลัยในภพในภาระ จิตเป็นอิสระจากความห่วงความยึดในบุคคลในภพภูมิทั้งปวง การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏนี้ปัญญาเราพิจารณาเห็นแจ้งกระจ่างกับใจแล้ว ตราบที่ยังเกิดก็มีความทุกข์ ตราบที่มีการเกิดก็ยังมีการกระทบ ตราบที่ยังมีการเกิดก็มีกรรมที่ยังไม่ส่งผลที่ยังรอติดตามเราอยู่ บางชาติบางภพเราเป็นคนเผลอพาลบ้างเป็นคนที่อาจจะเคยหลงผิดบ้าง อาจจะเคยเป็นคนที่พาลอย่างหนักเป็นมิจฉาทิฐิอย่างหนักบ้าง ตอนนี้เราก้าวเข้าสู่ธรรม เป็นบุคคลผู้มีสัมมาทิฐิ คือจิตมีความเชื่อกระจ่างในเรื่องกรรมและผลของกรรม มีความเชื่อกระจ่างในชีวิตในดวงจิตหลังความตาย นรกสวรรค์นั้นมีจริง ผลกรรมมีจริง บุญบารมีจริง บุญกรรมส่งผลต่อการเกิดการจุติได้จริง เชื่อมั่นในคุณแห่งพระรัตนตรัยคือคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ว่าเป็นสรณะที่พึ่งสูงสุดตราบเท่าเข้าถึงพระนิพพาน จิตเราเป็นสัมมาทิฐิอย่างสมบูรณ์ น้อมขอพรว่าในปีใหม่นี้ขอให้การปฏิบัติของเรายิ่งก้าวหน้าขึ้น จิตตานุภาพเกิดเพิ่มพูนขึ้น กำลังแห่งอภิญญาสมาบัติ กำลังแห่งกายทิพย์เกิดผลเพิ่มพูนขึ้น กรรมฐานทุกกองเป็นกรรมฐานเต็มกำลัง ยกจิตทุกครั้งเป็นกรรมฐานเต็มกำลัง

 

จากนั้นให้เราน้อมจิตถวายพระราชกุศลแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมราชินีนาถ ทูลกระหม่อมพระองค์ภา ขอให้มีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง ขอกระแสกุศลจากและเจริญพระกรรมฐานนี้เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆะบูชา เป็นกระแสบุญศักดิ์สิทธิ์จากพระนิพพาน น้อมถวายบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระสยามเทวาธิราช พระหลักเมือง พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง เทวดาผู้รักษาเศวตฉัตรทุกพระองค์ เทวดาผู้พิทักษ์รักษาพระบวรพุทธศาสนาทุกพระองค์ ตลอดจนเทพพรหมเทวาที่พิทักษ์รักษาขันธ์ห้า กาย วาจา ใจของข้าพเจ้าเอง

ขอบุญฤทธิ์เทพฤทธิ์จงปรากฏ ขอกระแสบุญกุศลจงน้อมถึงพ่อแม่ ครูบาอาจารย์ ท่านผู้มีพระคุณทุกท่านทุกพระองค์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายขอได้มีส่วนในการบำเพ็ญกุศลการเจริญจิตวิปัสสนาเจริญพระกรรมฐานของข้าพเจ้าในทุกครั้ง บุญจงแผ่ออกไปเป็นเมตตาอัปปันนาณฌาน สามภพภูมิ กระแสบุญกุศลจงแผ่ปรากฏ

จิตของข้าพเจ้าจงเกิดกระแสบุญปรากฏชัดเจนในโลกทิพย์ ท่านทั้งหลายในโลกทิพย์ขอจงจดจำข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่ปราศจากเวรภัย ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่ปราศจากความอาฆาตแค้นพยาบาททั้งปวง ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่ปรารถนาในการเจริญเมตตายังทุกดวงจิต

 

จากนั้นให้เรานะใช้อาทิสมานกายกายพระวิสุทธิเทพน้อมจิตกราบลาพระพุทธเจ้าทุกพระองค์พระปัจเจกระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ พระอริยะเจ้า เทพพรหมเทวา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย น้อมกราบ

ขอให้การปฏิบัติพระกรรมฐานถวายทุกท่านทุกพระองค์ ขอน้อมบุญกุศล ความสุขความเจริญจงปรากฏต่อชีวิตของข้าพเจ้า ครอบครัว บุคคลปิยชนอันเป็นที่รัก ประเทศชาติอันเป็นที่รัก แสงสว่างความสุขอยู่ในจิตของเราเสมอ

 

จากนั้นหายใจเข้า ลึกๆช้าๆ พุ่งจิตกลับลงมาที่กายเนื้อ หายใจเข้าพุทธ ออกโธ ครั้งที่ 2 ธัมโม ครั้งที่ 3 สังโฆ

เรามีคุณแห่งพระรัตนตรัย คุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยะสงฆ์เป็นสรณะที่พึ่งที่อาศัยตลอดชีวิต ด้วยสัจจะวาจานี้ ขอความสวัสดิมงคลจงปรากฏต่อข้าพเจ้าอย่างอัศจรรย์ฉับพลันทันใดด้วยเทอญ

 

สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคนด้วย เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เราจะไปทำบุญถวายสังฆทาน ยังสามารถร่วมบุญกันได้นะ

 

ปีใหม่นี้ก็ขอให้ทุกคนพลิกชีวิตขึ้นสู่ความเจริญรุ่งเรือง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการงานการเงิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความรักความสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้าง ก็ขอให้มีแต่มีผู้เมตตาสนับสนุนช่วยเหลือ ทำสิ่งใดก็สำเร็จสมความปรารถนา บุญแห่งกรรมฐานส่งผลอย่างอัศจรรย์ จิตมีความก้าวหน้ารุดหน้าในธรรมกันทุกคนนะครับ

อันนี้ก็ถือว่าเป็นพรที่ขออำนวยอวยพรขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์น้อมลงมาสู่เราทุกคน

 

สำหรับวันนี้ สวัสดี

พบกันใหม่สัปดาห์หน้า

 

ถอดเสียงและเรียบเรียง โดย คุณ ฺBe Vilawan

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหานี้ได้