green and brown plant on water

วิชชาวาง

เวลาอ่าน : 3 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน” 

วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม 2567

เรื่อง วิชชาวาง

โดย อาจารย์คณานันท์ ทวีโภค

กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อมทั่วทั้งร่างกายผ่อนคลายกล้ามเนื้อทั่วร่างกายทุกส่วน พร้อมกับความรู้สึกปลดปล่อย ปล่อยวางร่างกายขันธ์ 5 ปล่อยวางผัสสะความรู้สึกเกาะเกี่ยวในกายทั้งหมดออกไป ปลดปล่อยกำลัง ปลดปล่อยความรู้สึก ที่เกี่ยวเนื่องกับร่างกายขันธ์ 5 ปล่อยวาง ปลดภาระ ของการมีร่างกายขันธ์ 5 ออกไป

จากนั้นจึงกำหนด ปล่อยวางความคิด ความวิตกกังวล การปรุงแต่งทั้งหลาย ในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ความห่วงในบุคคลต่างๆ ความห่วงในภาระหน้าที่ ปล่อยวางความห่วงความวิตกทั้งหลาย ที่ในภาษาธรรมะเรียกว่า”ปลิโพธ”ออกไปจากจิตใจของเรา

ยิ่งเราฝึกปล่อยวาง ทั้งกายและจิตได้ง่ายได้เร็วมากเท่าไร จิตเราก็ปลด วาง จากความเกาะเกี่ยวของกิเลส คือความรักโลภโกรธหลง ปลดปล่อยความเกาะความยึด การผูกรัดของสังโยชน์ทั้ง 10  ออกไปจากจิตของเราได้ง่ายเพียงนั้น ฝึกวางคือ วิชาสูงสุดในการปฏิบัติธรรม วิปัสสนาญาณคือการใช้ปัญญาพิจารณาในการปล่อยวาง ยิ่งเราฝึกปล่อยวางได้มากเท่าไร ใจเราก็เป็นอิสระจากความทุกข์ จากการปรุงแต่ง จากความวุ่นวายของโลกได้รวดเร็วมากเพียงนั้น

กำหนดจิตเมื่อรู้ในประโยชน์ รู้ว่าเราฝึก แต่ละจุดมีเหตุผลว่าฝึกเพื่ออะไรทำอย่างไรเกิดผลอย่างไร การปฏิบัติธรรม การฝึกจิตของเรา ก็เร่งรัดและรวดเร็วก้าวหน้าได้รวดเร็วขึ้น ปล่อยวางกาย ปล่อยวางห่วงปล่อยวางความคิดความกังวล เหลือแต่เพียงลมหายใจ ที่ละเอียดเบาสบาย จินตภาพลมหายใจของเราเป็นเหมือนกับแพรวไหมพลิ้วผ่านเข้าออกในกาย อยู่กับลมหายใจสบาย อยู่กับอารมณ์จิตที่เป็นสุขเบาสบาย ลมปราณลมหายใจมีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกับจิตใจ เกี่ยวเนื่องกับอารมณ์ใจของเรา ลมหายใจยิ่งละเอียดจิตยิ่งมีความสุขมีความเบา ฌานสมาธิสูงตามความละเอียดความเบาของลมหายใจ ยิ่งมีความคิดปรุงแต่ง ยิ่งมีความกังวล ยิ่งมีความเครียด ลมหายใจยิ่งหนักยิ่งหยาบยิ่งจำเป็นต้องถอนหายใจ

เมื่อใจเราเข้าถึงความสงบสบาย ลมหายใจก็จะเบาก็จะละเอียดก็จะสงบระงับลง จดจ่ออยู่กับลมหายใจสบาย สติกำหนดรู้ในความสงบ ในความเบา เมื่อไรที่จิตของเราเข้าถึงความสงบของสมาธิ เมื่อถึงเวลานั้นจิตเขาก็จะเกิดความรู้สึกพอใจคือธรรมฉันทะในความสงบของสมาธิ อุปมาเหมือนคนที่ปกติอยู่กลางแจ้งอยู่กลางแดดมีความร้อนของแดดแผดเผา ไม่เคยเข้าห้องแอร์ที่มีความเย็นสบายมาก่อน เมื่อไรก็ตามที่เคยลิ้มรสเข้าสู่ความสงบของสมาธิ อยู่กับความเบาอยู่กับความสงบอยู่กับความสบาย จิตเขาก็อยากเข้าไปพักอยู่กับความสบายเหมือนกับห้องแอร์ฉันนั้น

กำหนดพิจารณาดูว่าที่ผ่านมา ใจเราเร่าร้อนใจเราวุ่นวายใจเราสับสน ใจเราถูกกระตุ้นด้วยความโกรธความโมโห ใจเราถูกกระตุ้นด้วยความอยากด้วยความปรารถนาด้วยความโลภ ใจเราถูกกระตุ้นด้วยความหยาบ ด้วยความหลง แต่เมื่อเรามาพักจิตอยู่กับความสุข ความสุขของสมาธิคือความสุขที่ไม่ได้เจือด้วยอามิส หมายความว่าไม่จำเป็นจะต้องมีวัตถุ สิ่งของเงื่อนไข มาเป็นเหตุว่าเมื่อมีสิ่งนั้นแล้วเราถึงจะมีความสุข หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตของการเป็นมนุษย์ เราถูกกิเลสถูกการปรุงแต่งถูกความโลภ มาหลอกมาลวงใจของเรา เมื่อเรามีสิ่งนี้แล้วเราจะมีความสุข แต่หากเราเคยย้อนกลับไปพิจารณาเราจะพบว่า หลายครั้งหลายหนที่เรา เคยมีความคิดว่าเมื่อมีสิ่งนั้นสิ่งนี้แล้วเราจะมีความสุข แต่ถึงเวลาเมื่อได้สิ่งนั้นมาครอบครอง มันก็รู้สึกเฉยๆ แล้วกลับกลายเป็นว่ามันก็มีสิ่งใหม่ที่มาเร้ามากระตุ้นจากความโลภจากความหลงจากความไม่รู้ให้เราไปทะยานอยากได้สิ่งอื่นสิ่งใหม่ หรือสิ่งที่มันมีมูลค่าสูงกว่าเดิม มันก็วนเวียนเป็นวัฎจักรแบบนี้ไม่มีที่สิ้นสุด

ดังนั้นขึ้นชื่อว่าวัตถุขึ้นชื่อว่าโลกขึ้นชื่อว่าความโลภมันไม่เคยมีคำว่าพอ จนเมื่อไรก็ตามที่เรารู้จักความสุขภายใน คือความสงบ การปล่อยวาง ความสุขที่ปราศจากสิ่งเร้าสิ่งกระตุ้น สังเกตว่าความสุขที่เป็นโลกที่เป็นวัตถุที่เป็นอามิสมันจะมีความเร่าร้อน แต่ความสุขของธรรมของสมาธิของจิตยิ่งเป็นสุขยิ่งสงบเย็น ยิ่งเป็นสุขยิ่งวางยิ่งเบา

เราพิจารณาย้อนว่าจริงหรือไม่ ถ้าภาษาของครูบาอาจารย์สายพระป่าท่านก็จะบอกว่าถูกกิเลส ลากถู ลากหัวลากหางถูลู่ถูกังไป มันก็ลากให้เราอยากไปเลย แต่ในทางธรรมมิใช่เยี่ยงนั้น ยิ่งวางยิ่งสงบยิ่งวางยิ่งเบา อย่างตอนนี้เราลองพิจารณาเห็นแล้วเราลองวาง วางไม่ได้ตลอด เราก็ฝึกที่จะวางชั่วคราว ปล่อยวางสงบ ลองฝึกที่จะปล่อยวางทุกอย่างที่เราเคยยึดติด ที่เรายึดว่าเป็นเจ้าของ วางแม้กระทั่งร่างกายขันธ์ 5  วางภาระ

พิจารณาโดยน้อม เอามรณานุสติเข้ามาจับ พิจารณาว่าถ้าตอนนี้เราตายไปแล้ว ทรัพย์สินทั้งหลายจะเป็นบ้าน จะเป็นคอนโด จะเป็นรถยนต์ จะเป็นเงินทอง จะเป็นแก้วแหวนเครื่องประดับสิ่งมีค่าทั้งหลาย มันก็ไม่ใช่ของเราอีกต่อไป ขันธ์ 5 ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ของเราอีกต่อไป  หรือแม้กระทั่งชื่อเสียงยศศักดิ์สมมุติทั้งหลาย

บางท่านเป็นด็อกเตอร์ บางท่านติดยศนายทหารผู้ใหญ่ ถึงเวลาตายไปแล้วยศศักดิ์ทั้งหลายตำแหน่งหน้าที่ทั้งหลายสมมุติทั้งหลาย นามนี้มันก็สิ้นไปแล้ว ยามตายเขาถึงมีศัพท์ใช้คำว่าสิ้นชื่อคือชื่อนี้ตายไปเสียแล้ว อดีตชาติเราเคยเกิดมาเป็นใครถึงเวลาเมื่อตายไปแล้วก็สิ้นชื่อไปแล้วคนนี้

เกิด จุติ ก็กลายเป็นนามใหม่สมมุติใหม่ กายใหม่ขันธ์ 5 ใหม่ รูปกายใหม่ ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่าง มันก็เป็นเพียงแค่สมมุติ เราเพียงแต่ไปยึดมั่นถือมั่น กำหนดพิจารณา ปล่อยวาง พิจารณาว่า เมื่อเราวางวัตถุสิ่งของร่างกายสมมุติ ยศศักดิ์ทั้งปวงไป ตายไปแล้วเหลืออะไร ก็เหลือเพียงจิตอาทิสมานกายที่มีบุญกรรมที่เราทำไว้เป็นพลังงานของจิตดวงนั้นในการจุติ จิตเราสร้างแต่กรรม วิบากอกุศล สร้างความเครียดแค้นอาฆาต ให้กับผู้คน ให้กับดวงจิตอื่น

พลังงานของจิตก็มีแต่อกุศลกรรม อกุศลกรรมนั้นก็เป็นตัวนำพาให้จิตนั้นไปจุติยังทุคติภูมิคือภพที่ต้องเสวยวิบากความทุกข์ ความยากลำบาก ตามความเศร้าหมองของจิต ในขณะเดียวกัน จิตดวงใดสร้างกุศล แผ่เมตตา มีแต่ทานมีแต่น้ำใจมีแต่ไมตรี มีแต่ธรรมะ จิตดวงนั้นก็เปี่ยมไปด้วยกุศลเปี่ยมไปด้วยผลบุญเป็นพลังงานที่นำพา ให้จิต ไปจุติยังภพที่เป็นสุคติภูมิคือภพที่มีความสุขความสบาย จิตนั้นมีสภาวะที่มืดบ้างสว่างบ้างตามกำลังของบุญ ยิ่งจิตมีอกุศลมากก็ยิ่งคล้ำมากเศร้าหมองมากดำมากมืดมาก

ส่วนจิตที่มีบุญก็มีความสว่างบุญน้อยก็สว่างเรือง ๆ จิตมีความบริสุทธิ์ก็มีความใส จิตมีเมตตามีกำลังบารมีมากก็มีแสงสว่างที่เรียกว่ารัศมีของจิตหรือรัศมีของกายทิพย์สว่างมาก ในโลกของกายทิพย์นั้น ดวงจิตใดหรือกายทิพย์ใดมีบุญมากเขาก็วัดกันที่แสงสว่างของกายทิพย์นั้น ยิ่งแผ่แสงสว่างของกายทิพย์ออกไปได้มากเท่าไร นั่นก็แปลว่ากายทิพย์นั้นมีบุญมาก ด้วยเหตุนี้การเจริญพรหมวิหาร 4 อันเป็นคุณธรรมของพรหม พรหมนี้ถือว่าเป็นภพ เกือบจะสูงที่สุดในสังสารวัฏรองจากอรูปพรหม สูงกว่าเทวดา

ดังนั้นบุคคลที่แผ่เมตตาเสมอ ทุกครั้งที่แผ่เมตตานอกจากบุญกุศลเกิดขึ้นมากมายมหาศาล กายทิพย์ก็สะสมพลังงานของการแผ่แสงสว่าง ยิ่งแผ่เมตตาบ่อยมากเท่าไร แผ่ได้ไกลเท่าไร แผ่ไปได้ทุกภพภูมิมากเท่าไร จิตดวงนั้นก็กลายเป็นว่ามีรัศมีกายเพิ่มพูนขึ้นตามบารมีที่แผ่เมตตา อันนี้ก็คือผลที่บางท่านก็ทราบแล้ว บางท่านยังไม่ทราบ

ดังนั้นจุดนี้เป็นจุดสำคัญ สุดท้ายจริงๆแล้วเราไม่ใช่ร่างกาย เราคือดวงจิตอาทิสมานกาย ยิ่งกายทิพย์เรามีความสว่างมาก มีบุญมากมีกุศลมาก เราก็มีกำลังมีแรงที่จะเดินทางไปในสังสารวัฏ มีทุนมีเสบียงไว้เลี้ยงตัว

และในขณะเดียวกันยิ่งเราเจริญเมตตามากเท่าไร กำลังใจของเรา ที่เป็นไปเพื่อสรรพสัตว์ ก็มีเต็มบริบูรณ์ทำให้บารมี 10 ของเราเต็ม บารมี 30 ทัศของเราเต็ม เมื่อบารมีเต็มอย่างรวดเร็วแล้ว การตั้งจิตการปฏิบัติเพื่อพระนิพพานก็กลับกลายเป็นเรื่องเบาหรือเรื่องง่าย เพราะอันที่จริงการที่เราแผ่เมตตาไปทั้ง 3 ภพภูมิได้ แปลว่าสัมมาทิฐิปัญญาที่เราเห็นในทุกข์ภัยในสังสารวัฏเรามีครบแล้ว เชื่อในการเวียนว่ายตายเกิด เข้าใจเรื่องภพภูมิครบหมดแล้ว วิจิกิจฉาในเรื่องของภพภูมิไม่มี การปฏิบัติธรรมก็รวดเร็วขึ้นวิปัสสนาญาณก็รวดเร็วขึ้น เห็นทุกข์เห็นความไม่เที่ยงในสังสารวัฏ 3 ภพภูมิ ก็รู้แล้วว่า ทำไมเราจึงต้องไปพระนิพพาน เคยมีผู้ที่ปฏิบัติธรรม มาพบอาจารย์ ตอนนั้นเป็นทริปที่เดินทางไปทางภาคเหนือ ผู้ที่เขาปฏิบัติธรรมคนนี้ก็เดินทางไปไหว้พระด้วยกัน แล้วก็ตั้งคำถามขึ้นมาในขณะที่ทุกคนอยู่บนรถในทริป ว่าทำไมถึงต้องไปพระนิพพาน โลกมันก็เป็นสุขอยู่แล้ว จะไปทำไม ก็ตอบมาเช่นนี้ก็รู้แล้วว่า ยังไม่ได้ดวงตาเห็นธรรมยังไม่เห็นภัยในสังสารวัฏ

ภัยในสังสารวัฏที่มันเกิดขึ้นว่าทำไมเราต้องไปพระนิพพานก็คือ เพราะการเกิดมันไม่เที่ยง การเกิดมันไม่เที่ยงก็คือมันไม่ใช่ว่าเราจะเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็เกิดเป็นมนุษย์ไปทุกชาติ เกิดเป็นมนุษย์รวยเท่านี้อยู่ในสังคมอยู่ในชาติตระกูลระดับนี้เท่านี้ไปทุกชาติ มันมีบางชาติที่มันร่วง อย่างบางชาติเป็นกษัตริย์มาถึงเวลาชาตินี้มาเป็นคนธรรมดา

แต่เกิดมันร่วงยิ่งกว่านี้คือจากคนธรรมดามาเป็นคนพิการมาเป็นคนยากจนเข็ญใจ มาเป็นคนปัญญาอ่อนสติไม่ดี ถึงเวลาตอนนั้นมันน่ากลัว แล้วมันน่ากลัวกว่านี้ก็คือบางชาติหากพลาดลง ลงไปที่ไหนลงไปยังภพที่เป็นนรก ลงเผลอไปเกิดเป็นเปรตเป็นอสุรกาย

ถ้าเกิดเป็นเช่นนั้นแล้วจะทำยังไงอันนี้มันคือความน่ากลัวของสังสารวัฏ เพราะสังสารวัฏมันไม่เที่ยง เทวดาหมดบุญต้องมาจุติเป็นมนุษย์บ้างหรือหมดบุญจนไม่เหลือ ต้องลงไปจุติเสวยวิบากในนรกภูมิบ้าง ส่วนใหญ่เทวดาที่เขาใกล้หมดบุญ ถ้ารู้ตัวทัน ส่วนใหญ่เขาก็ย่องมาเกิดก่อนที่จะหมดบุญ ลงมาสร้างบุญลงมาสร้างบารมี บางคนก็เป็นเทวดาที่ลงมาเกิดสร้างบารมี ถึงเวลามาเกิดเป็นมนุษย์ตอนแรกตั้งใจจะมาสร้างบารมีถึงเวลาเพลินกับทรัพย์สมบัติที่เป็นมนุษย์สมบัติทางโลก คราวนี้แทนที่จะสร้างบุญกับกลายไปเป็นสร้างบาปกรรม อันนี้ก็แล้วแต่ว่าดวงจิตดวงใดนั้นมีวิบากเข้า สุดท้ายแล้วภัยในสังสารวัฏนั้นมันเป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะความไม่เที่ยง ใครที่เห็นทุกข์คนนั้นก็เห็นธรรม ธรรมที่เห็นก็คือธรรมจักษุ เห็นว่าควรจะต้องไปพระนิพพาน

ลองคิดเอาว่าเราอยู่บนโลกมันมีความสุขแบบโลกแต่ในขณะเดียวกันมันก็มีการเบียดเบียน มีการกระทบกระทั่ง มีความขัดเคืองมีความไม่สบายใจ อันนี้มันก็คือความทุกข์แบบโลก ในขณะเดียวกันถ้าเราไปจุติเป็นเทวดา ความทุกข์มันน้อยลงเช่นความเสื่อมของร่างกายขันธ์ 5 มันไม่มี ร่างกายมันใส สว่างเป็นแก้วเป็นทองเป็นเพชร นึกสิ่งใดแค่นึก ของที่เราปรารถนาก็ปรากฏด้วยความเป็นทิพย์ ก็คือไม่ต้องลำบากดิ้นรนไปแสวงหา หาเงินมาซื้อ แล้วของทิพย์ที่ปรากฏก็เป็นของเฉพาะตนก็คือของของเราเองคนอื่นมาแย่งไปไม่ได้ อาการปวดเมื่อยในร่างกายขันธ์ 5 ก็ไม่มี แต่คราวนี้ความเป็นเทวดามันก็มีบุญมีเวลา

ดังนั้นความเป็นเทวดาก็ไม่เที่ยง ความเป็นพรหมก็ไม่เที่ยง สุดท้ายไปนิพพานไหม ขึ้นอยู่กับจิตของเรา ถ้าถามว่าเราแต่ละคนแต่ละดวงจิตเคยเกิดเคยจุติมากี่ครั้งกี่หน เคยเป็นเทวดามาไหม ทุกคนเคย  เคยเป็นพรหมไหม ทุกคนเคย เคยเป็นขอทานไหม ทุกคนก็เคย เคยตกนรกไหม ทุกคนก็เคย รวมความแล้วจริงๆสังสารวัฏนี้เราเที่ยวกันมา จนครบหมดทุกภพทุกภูมิแล้วไม่ต้องกลัว เพียงแต่ว่าเราถูกปิดสัญญาให้ลืม

ดังนั้นเมื่อเราลืมแล้วก็คิดว่าเรายังไม่เคยเที่ยวเลยขออยากเที่ยวอยู่อีก เมื่อไรก็ตามที่จิตเกิดนิพพิทาญาณในวัฏสงสารก็คือเกิดความเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิด จิตที่เกิดปัญญาญาณตรงนี้จะเป็นตัว ทำให้เราปรารถนาแสวงหาโมกธรรมหนทางที่จะหลุดพ้นจากความทุกข์ คือปรารถนาซึ่งพระนิพพานไปในที่สุด

ดังนั้นเราแต่ละบุคคล เราลองถามจิตของเราเองว่า ใจเราปรารถนาพระนิพพานหรือยัง หรือตอนนี้จิตของเราก็ยังเพลิดเพลินอยู่กับโลก อยู่กับมนุษย์สมบัติ เพลิดเพลินอยู่กับการเวียนว่ายตายเกิด ยังอยากกลับไปเกิดเป็นพญานาค ยังอยากกลับไปเกิดเป็นเทวดา ยังอยากกลับไปเกิดเป็นเศรษฐีเป็นกษัตริย์ ถ้ายังอยากเกิดก็ยังต้องเกิด แต่ถ้าดับความอยากเกิดเราก็ใกล้พระนิพพาน

น้อมจิตทำสมาธิสงบจิตพิจารณาธรรมในจิตของเรา ใจของเรานั้นอยากกลับบ้าน ที่ไม่ต้องเกิดอีกหรือยัง เราพร้อมที่จะปล่อยวางคือตัดกายตัดภพจบชาติ ตัดวิบากที่เกี่ยวพันเกี่ยวเนื่องกับบุคคลทั้งหลายหรือยัง พิจารณา ด้วยอารมณ์ความยุติธรรมอย่างแท้จริงในจิตของเรา เจริญวิปัสสนาญาณ ลองคิดเอาว่า

หากเราไม่ได้เข้าสู่ทางธรรม เรายังต้องเกิดอีกกี่ภพกี่ชาติ ถ้าไม่พบพระพุทธศาสนาจะเกิดอีกกี่ภพกี่ชาติ ถ้าเราไม่ตัดอโหสิกรรมให้กับดวงจิตตัวเอง ถ้าเรายังอาฆาตพยาบาทจองเวร เป็นเจ้ากรรมนายเวรของดวงจิตอื่น เรายังต้องไปเจอกับคู่ปรับคู่เวรคู่กรรม ตามไปเป็นเจ้ากรรมนายเวรของผู้อื่นอีกกี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านชาติ พิจารณาดูวิบาก คนที่เราเคยอธิษฐานจิตเป็นคู่รักเป็นคู่บุญขอตามเกิดตามรักตามเจอมีกี่คนมีกี่คู่ ถ้าเป็นไปตามนั้นเรายังต้องเกิดอีกกี่หมื่นกี่แสนชาติหรือแม้กระทั่งพ่อแม่ก็เช่นกันขอเกิดเป็นพ่อแม่ การขอเกิดเป็นแม่ลูกกันทุกชาติ ทุกภพตลอดไป ถึงเวลาต้องเกิดอีกกี่หมื่นกี่แสนชาติ สุดท้ายทุกอย่างก็คือห่วง ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นห่วงจากความอาฆาตพยาบาทหรือห่วงจากความรักความอาลัย ก็ล้วนแต่เป็นเหตุปัจจัยการเกิดปัจจัยที่ยังทำให้เราถูกลากมาพบมาเจอ จนต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ

ดังนั้นสุดท้ายอยู่ที่ใจเราตัดตัดกรรมตัดวิบากตัดชาติภพตัดคำสัญญาเป็นเหตุให้เราต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ วิชาสูงสุดที่จะไปพระนิพพานคือวิชาวาง ปล่อยวางให้ง่ายปล่อยวางให้เร็ว ปล่อยวางอย่างสิ้นเยื่อใยคือความอาลัยความเสียดายไม่มีในจิต วางเพื่อพระนิพพานสมบัติ กำหนดจิตถอดถอนความยึดมั่นถือมั่น

กำหนดจิตในฌานสมาธิถอดความอาฆาตพยาบาทการจองเวรทั้งปวง ถอดถอนความรักความอาลัยในความรักระหว่างเพศตรงข้ามและแรงอธิษฐานทั้งปวง ถอดถอน ความยึดมั่นถือมั่น ความเกาะเกี่ยวผูกพันในภพในดินแดนทั้งหลาย ขอทุกสิ่งที่เป็นปัจจัยแห่งการเกิด จงสลายตัวสิ้นไปจากจิตของข้าพเจ้านับตั้งแต่บัดนี้ด้วยกำลังแห่งพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ และกระแสแห่งพระนิพพาน

ขอจงดึงดูดจิตของข้าพเจ้า ให้ข้าพเจ้านับจากนี้ มีความรักในพระนิพพาน มั่นคงในพระนิพพาน  จิตตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียวอยู่กับพระนิพพาน มีพระนิพพานเป็นสรณะเป็นทางไป ของจิตดวงนี้เป็นที่สุด ด้วยเถิด

จากนั้นอธิษฐาน ขอบารมีของพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอพระพุทธเจ้าจงปรากฏเป็นพุทธนิมิตตรงต่อจิตของข้าพเจ้า ขอทรงปรากฏเป็นพระพุทธองค์ทรงเครื่องเต็มกำลัง สว่างผ่องใสด้วยเถิด กำหนดจิตตั้งมั่นอยู่กับพระพุทธองค์ ตั้งกำลังใจนับตั้งแต่บัดนี้ตลอดไปตราบเท้าเข้าสู่พระนิพพาน

ว่าเมื่อไรที่เรานึกถึงพระ จิตเราถึงพระพุทธองค์บนพระนิพพาน ความรู้สึกของเราเราอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์ของพระพุทธองค์บนพระนิพพาน กายเนื้อกายหยาบเรากราบพระพุทธรูปจิตเรากราบถึงพระพุทธองค์บนพระนิพพาน  หากกำลังใจเราตั้งมั่นโดยสิ้นความลังเลสงสัย อันที่จริงนี้ก็ถือว่าจิตเราเชื่อมกระแสจิตอยู่กับพระพุทธองค์บนพระนิพพานเป็นที่เรียบร้อย การเชื่อมจิตนั้นอันที่จริงไม่ต้องให้ใครมาเชื่อมจิตให้ ผู้ที่จะเชื่อมจิตได้ก็คือตัวเราเอง เรานึกถึงใจเราก็สื่อถึงก็คือเชื่อมถึง

การเชื่อมจิตนั้นจะมีความแนบแน่นมากเท่าไรขึ้นอยู่กับใจเรามีศรัทธามีความเด็ดเดี่ยวมั่นคงเพียงใด ความศรัทธาเด็ดเดี่ยวมั่นคง ยิ่งมากเท่าไร วิจิกิจฉายิ่งสิ้นไป ถ้าเราเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าโดยไม่มีความลังเลสงสัยเลยว่า เวลาที่เรากราบพระเรากราบถึงพระพุทธเจ้าจริงไหม จิตของบุคคลที่ศรัทธาแรงกล้ากราบว่าจิตเรากราบถึงพระพุทธองค์บนพระนิพพานจริงๆ เราก็เชื่อมจิตกับพระพุทธองค์ได้เต็มที่มากกว่าคนที่ตั้งคำถามว่าอาจารย์คะหนูกราบหนูขึ้นไปบนพระนิพพานได้จริงไหม เพราะคำถามถามโดยที่จิตเราส่อออกมาว่าวิจิกิจฉามันยังเต็มกำลัง

ดังนั้นความคิด ความรู้สึก มันฟ้องของมันอยู่แล้ว คนที่เชื่อมสื่อน้อมจิตถึงพระพุทธองค์ได้อย่างแท้จริงจะไม่มีคำถามจะไปถามคนอื่นเลยแม้แต่คนเดียวไม่ว่าจะถามเพื่อความมั่นใจ ถามเพื่อความสบายใจ ถามเพื่อความยืนยัน เพราะเมื่อสิ้นสงสัยแล้วมันก็ไม่จำเป็นต้องมีอะไรยืนยัน กราบถึงพระพุทธองค์จริง

ดังนั้นคนที่จิตสื่อถึงพระพุทธองค์โดยไม่มีความลังเลสงสัยจิตของบุคคลนั้นก็จะมีความศักดิ์สิทธิ์ เกิดอภิญญาจิตน้อมกระแสพุทธานุภาพได้มากกว่าคนที่มีความลังเลสงสัย

ตอนนี้ให้เราทุกคนเมื่อฟังแล้วพิจารณาแล้ว ก็ให้เราตั้งกำลังใจให้เด็ดเดี่ยวกราบทุกครั้งถึงพระพุทธองค์ทุกครั้ง และในเรื่องเดียวกันนี้เช่นกัน หลายคนที่เป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรมนับถือพระพุทธศาสนา บางครั้งมีคำกล่าวอ้าง ถ้าชาตินี้ชาติหน้ามีจริงขอให้อย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าพูดคำว่าถ้าชาตินี้ชาติหน้ามีจริงก็แปลว่ายังสงสัยในการเวียนว่ายตายเกิด สงสัยในภพภูมิเพราะถ้าใช้คำว่า “ถ้ามี” ถ้าคนที่เขาเข้าใจในเรื่องสมาธิเข้าใจในเรื่องภพภูมิอย่างแท้จริงคำกล่าววลีนี้มันจะไม่ปรากฏขึ้น ชาติภพมีจริงการเวียนว่ายตายเกิดมีจริงกฎของกรรมมีจริง สวรรค์นรกนิพพานมีจริง

พระอริยเจ้าพระอรหันต์พระโพธิสัตว์ยังปรากฏยังมีอยู่จริงทั้งหมด ใจเราลองสำรวจดูว่า วิจิกิจฉาของเรายังเต็มหรือวิจิกิจฉาเราสิ้นแล้ว จุดนี้บางครั้งมันก็เป็นสิ่งที่เรียกว่าปลาตายน้ำตื้น คือกลายเป็นว่า จะตัดวิจิกิจฉาเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้าคือเบื้องต้น คือพระโสดาบันก็เข้าไม่ได้เพราะว่ายังมีวิจิกิจฉา เราคิดว่าเราเคารพพระรัตนตรัยแล้วตามความเป็นจริงวิจิกิจฉาในหลายสิ่งเรายังไม่สิ้นยังไม่หมด สังโยชน์ข้อนี้เรายังไม่ผ่าน

ดังนั้นพยายามตั้งมั่น ในส่วนของความมั่นคงในพระรัตนตรัย จิตถึงพระ ตาเห็นรูปจิตเห็นนาม กายเราตาเราเห็นพระพุทธรูปจิตเราถึงพระพุทธองค์บนพระนิพพาน

อันนี้ถือว่าเป็นเคล็ดของการใช้มโนมยิทธิด้วยเช่นกัน เป็นเคล็ดของการที่เราละวิจิกิจฉาด้วยเช่นกัน สวดมนต์สวดบนพระนิพพานอยู่กับพระพุทธองค์ กำลังใจก็สูงกว่า เวลาปฏิบัติเจริญวิปัสสนาญาณ เรากำหนด กายทิพย์เจริญวิปัสสนาญาณบนพระนิพพาน การเจริญธรรมการเจริญจิตก็ก้าวหน้ากว่าเพราะอยู่บนพระนิพพานแล้ว เราเท่ากับอยู่ในสนามพลังงานของทุกดวงจิตที่ตัดสรรพกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานหมดแล้ว ไม่มีคลื่นรบกวนจากบุคคลที่เป็นปุถุชน ไม่มีความคลื่นรบกวนจากกระแสของความโลภโกรธหลง ดังนั้นเราอยู่ในที่ที่มีแต่กระแสของพระอริยเจ้า พระอรหันต์อยู่แล้ว มีพระพุทธเจ้าเป็นที่สุด คลื่นกระแสที่จะช่วยน้อมนำให้ใจเราพลอยตัดกิเลสได้ด้วยก็พลอยเป็นกระแสพลังกระแสกุศลที่ง่าย มากกว่า

ให้เราลองนึกภาพดู อย่างบางสถานที่ที่เป็นที่อโคจร เป็นที่ที่มีผับบาร์มีย่านอบายมุขมีแต่คลื่นของความเร่าร้อน ทั้งกลิ่นกาม ทั้งกระแสความโลภความกระหายในเงินทองเราทำสมาธิท่ามกลางกระแสพลังงานเช่นนั้น กับเราทำสมาธิท่ามกลางกระแสที่มีแต่ความสงบเย็น มีแต่พระอรหันต์เต็มไปหมด คิดว่าต่างกันไหม พอเราปฏิบัติธรรมสูงขึ้นละเอียดขึ้นเราไปในบางสถานที่เราจับกระแสได้ไหมว่าที่นี่มันเร่าร้อนที่นี่มันมีกลิ่นอายของความร้อนมีกลิ่นคาวกามบางที่เราไปแล้วมีทั้งความอยากมีแต่แรงกระตุ้น หรือเราไป บางที่ที่เป็นที่ที่มีความสุข เราไปแล้วรู้สึกสงบเย็นเราไปในบางสถานที่ไปแล้วอยากทำสมาธิอยากหลับตาอยากทำจิตให้สงบ ไปในบางถ้ำแค่หลับตาลงจิตรวมดิ่งลงเป็นฌานเป็นฌาน 4 ละเอียด เพราะบางถ้ำที่เป็นถ้ำที่มีครูบาอาจารย์ที่ท่านมาปฏิบัติจนบรรลุอรหันต์ คลื่นพลังงานกระแสจิตท่านยังคงอยู่ เราแยกออกไหม เมื่อไหร่ที่เราเริ่มแยกออกสัมผัสได้เราก็จะยิ่งก้าวหน้าในการปฏิบัติ

สำหรับวันนี้เราก็ปฏิบัติจนสมควรกับเวลา กำหนดจิตอยู่กับพระบนพระนิพพาน จากนั้นแผ่เมตตาสว่าง บุญกุศลความดีทานศีลภาวนา กรรมฐานที่เราฝึกที่เราเจริญ วิปัสสนาญาณปัญญาที่เราพิจารณาตัดภพจบชาติ เราน้อมแผ่เมตตาน้อมกระแสจากพระนิพพานแผ่เมตตาไปยัง 3 ภพภูมิลงมา ไล่ลงมาจากพระนิพพานลงมายังอรูปพรหม พรหมโลกทั้ง 10 สวรรค์อากาศเทวดาทั้ง 6 ภูมเทวดา รุกขเทวดาทั้งหลาย อนันตจักรวาลภพของมนุษย์และสัตว์ที่มีขันธ์ 5 กายเนื้อทั้งหลาย ภพที่มีกายหยาบทั้งหลาย แผ่เมตตาลงไปยังโอปปาติกะสัมภเวสีทั่วจักรวาลดวงจิตดวงวิญญาณที่ยังเร่ร่อนหลงอยู่ มิติที่ทับซ้อนทั้งหลาย แผ่เมตตาต่อไปยังภพของเปรตอสุรกายทั้งหลาย แผ่เมตตาต่อไปยังภพของสัตว์นรกทั้งหลาย

จากนั้นแผ่เมตตาพร้อมกันทั้ง 3 ภพภูมิ ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายจงประสบแต่ความสุขพ้นจากความทุกข์ กระแสธรรมจงหลั่งไหลลงสู่ทุกดวงจิตความสงบเย็นจงหลั่งไหลลงสู่ทุกดวงจิตความประเสริฐจากการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน กระแสเมตตาขอจงหลั่งไหลลงสู่ทุกดวงจิต ทั้ง 3 ภพภูมิ

แผ่เมตตาเป็นคลื่นกระแสความสงบเย็น ใจเราเบิกบานเอิบอิ่มผ่องใส

อธิษฐานจิตขอบารมีสมเด็จองค์ปฐมทรงเสด็จมาปรากฏเป็นสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องจักรพรรดิเปิดโลก แผ่เมตตาฉัพพรรณรังสีไปยังทุกภพทุกภูมิ บุญกุศลที่เหล่าข้าพเจ้าได้สร้างได้บำเพ็ญสร้างพระพุทธรูปปิดทองพระพุทธรูป

ปล่อยสัตว์ทั้งหลายให้ชีวิตทาน ให้ธรรมทานเจริญจิตภาวนารักษาศีล บารมีทั้ง 30 ทัศที่บำเพ็ญ

ขอน้อมจิตเชื่อมกระแสกับสมเด็จองค์ปฐมพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรมพระอริยสงฆ์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ พระโพธิสัตว์พระมหาโพธิสัตว์ทุกพระองค์ เทพพรหมเทวาผู้เป็นสัมมาทิฐิทุกๆพระองค์

ขอบุญทั้งหลายจงถึงซึ่งกันและกัน เชื่อมโยงถึงกันและกันน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา บูชาคุณบิดามารดาครูอุปัชฌาย์อาจารย์บูชาคุณท่านผู้มีพระคุณทุกๆพระองค์ บุญที่ท่านบำเพ็ญมาดีแล้วข้าพเจ้าขอมหาโมทนาบุญ บุญที่ข้าพเจ้าสร้างสะสมขอน้อมถวายทุกท่านทุกๆพระองค์ด้วยเช่นกัน กระแสบุญถ่ายทอดถ่ายเทเชื่อมโยงเชื่อมกระแสบุญอย่างไม่มีประมาณยังทุกดวงจิต

อธิษฐานจิตขอให้บุญมวลรวมของมวลมนุษยชาติ เขาเหล่านั้นจะอธิษฐานไม่อธิษฐานทำบุญเพื่อความดีของตนหรือทำบุญด้วยจิตอันเป็นสาธารณประโยชน์ก็ดี ขอบุญทั้งหลาย เราในฐานะที่ อยู่ในความเป็นมนุษย์ เราช่วยน้อมกระแสบุญของท่านทั้งหลายเชื่อมกระแสเป็นมหากุศล เป็นบุญมวลรวมของมนุษยชาติทั้งหมด เชื่อมกับทุกภพภูมิ

ขอให้บุญมวลรวมทั้งหมดจงกลายเป็นประดุจดังผ้าทิพย์ของพระศรีอริยเมตไตรยคือ เส้นของกระแสบุญแต่ละเส้นแต่ละดวงจิตแต่ละบุคคลเป็นเหมือนกับเส้นด้ายที่ถักทอรวมกันเป็นผืนผ้าทิพย์แห่งพระศรีอริยเมตไตรย กลายเป็นเกราะแก้วคุ้มครองโลกจากภัยพิบัติทั้งปวง คุ้มครองโลกจากกระแสพลังงานของพายุสุริยะ คุ้มครองโลกจากสงคราม

ขอบุญทั้งหลายของมนุษยชาติทั้งปวง นำพาให้โลกนี้ก้าวเข้าสู่ยุคชาววิไลด้วยเถิด

จากนั้นกำหนดจิตให้เห็นอาทิสมานกาย กายพระวิสุทธิเทพกายทิพย์ของเราสว่าง กำหนดจิตขอบารมีพระให้กายทิพย์เราลอยอยู่เหนือโลก

กำหนดจิตอธิษฐานว่าบุญที่เรากระทำบำเพ็ญสำเร็จแล้ว ขอจงเป็นเกราะแก้วคุ้มครองโลกและด้วยจิตอันมีปฏิปทาสาธารณประโยชน์ต่อสรรพสัตว์ต่อโลกใบนี้ต่อทุกดวงจิต

ขอเทพยดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้โปรดพิทักษ์รักษาอภิบาลข้าพเจ้า ให้เจริญรุ่งเรืองในธรรมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์พระสมณโคดมด้วยเถิด

ขอบุญที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาดีแล้วจงเป็นเกราะแก้วคุ้มครองพระมหาเศวตฉัตรขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คุ้มครองสถานปฏิบัติธรรมทั้งหลาย เขตพระพุทธศาสนาขอจงมีเทพพรหมเทวดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ฤทธานุภาพ คุ้มครองพิทักษ์พระพุทธศาสนาให้ดำรงมั่นคงตราบห้าพันปีด้วยเทอญ

จากนั้นกราบลาและกราบลาพระพุทธองค์ กำหนดใช้กายทิพย์กราบแทบเบื้องพระบาทหรือกราบที่ตักของพระพุทธองค์ บุญทุกอย่างเราน้อมจิตในจิตถามบุญทุกอย่างที่เราทำพระท่านเห็นไหม พระท่านรับรู้รับทราบไหมสิ่ง ที่เราทำบำเพ็ญเป็นสิ่งที่ดีท่านยินดีท่านโมทนาท่านยินดีกับเราไหม การที่เรามาปฏิบัติธรรมมาเจริญวิปัสสนา ท่านยินดีกับเราไหม น้อมกระแสที่พระพุทธองค์ทรงมีพระพุทธเมตตาต่อเรา ขอกระแสแห่งพระพุทธเมตตานั้นหลั่งไหลลงสู่จิตกายทิพย์ของเราทุกคนด้วยเทอญ เราจะได้มีกำลังใจในการสร้างกุศล ในการปฏิบัติ ในการทำคุณงามความดีต่อไป ท่านปู่ท่านย่าพระอินทร์ท่านก็รับรู้ ท่านก็ช่วยอยู่ทุกคน

สำหรับวันนี้ เมื่อกราบลาแล้วก็น้อมจิตเห็นอาทิสมานกายเราพุ่งกลับลงมายังกายเนื้อบนโลกมนุษย์พร้อมกับน้อมกระแสแสงสว่างน้อมกระแสบุญจากพระนิพพานหลั่งไหลลงมาสู่กายเนื้อ ฟอกธาตุขันธ์ฟอกชำระล้างกาย วาจาและดวงจิต กายของเราใสสะอาดกายเนื้อของเราใสสะอาด กลายเป็นแก้วสว่าง ผมขนเล็บฟันหนังกลายเป็นแก้วใส โครงกระดูกอัฐิกลายเป็นแก้วใส หลอดเลือดเส้นเอ็นกลายเป็นแก้วใสอวัยวะภายในอาการ 32 ทุกส่วนทั่วร่างกาย กระแสธรรม กระแสพระนิพพาน ฟอกธาตุขันธ์เป็นธรรมะโอสถ ชำระล้างขจัดโรคภัยไข้เจ็บสลายออกไปจากขันธ์ห้าร่างกาย ฟอกธาตุขันธ์ ด้วยธาตุธรรมด้วยกระแสบุญ ด้วยกระแสพระนิพพาน จนเห็นกายเนื้อเราสว่าง ใส ส่วนใดที่เป็น โรคภัยไข้เจ็บก็ถูกล้างที่เป็นดำๆก็ถูกสลายกลายเป็นแก้วใสสะอาด ไอพิษไอโลกโรคภัยไข้เจ็บเซลล์ที่เป็นโทษเป็นภัยสลายตัวไปจนหมด เมื่อฟอกธาตุขันธ์แล้วก็น้อมจิตต่อไป

ขอบุญกุศลในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ก็ขอให้บุญทั้งหลายกุศลทั้งหลายจงส่งผลทันใจ ขอบุญใหญ่จงส่งผลก่อน บุญทั้งหลาย เปิดสายบุญ สายทรัพย์ สายสมบัติ เป็นมนุษย์สมบัติอันจับต้องได้ ให้ข้าพเจ้าแต่ละบุคคล ได้ใช้สร้างบุญสร้างบารมี ต่อกุศลต่อชีวิต บำรุงตัวเองบำรุงตนบำรุงครอบครัวบำรุงพิทักษ์รักษาทำนุบำรุงชาติศาสนาพระมหากษัตริย์สืบต่อไป เป็นมหาอุบาสกเป็นมหาอุบาสิกากันทุกคน

จากนั้นน้อมจิตอธิษฐาน ขอนับแต่นี้ รวยชาตินี้นิพพานชาตินี้ตามพรของหลวงพ่อฤาษีท่านเมตตาให้ไว้ คล่องตัวทุกอย่างทุกประการสำเร็จทุกอย่างทุกประการ เทวดารักษา

จากนั้นโมทนาสาธุกับเพื่อนกัลยาณมิตรทั้ง 70 กว่าท่านที่ร่วมปฏิบัติธรรมพร้อมกัน และที่มาฟังภายหลัง บุญที่ท่านได้จากการเจริญจิตภาวนา ปัญญาในดวงตาเห็นธรรม จิตเจตนารมณ์ในความมุ่งมั่นปรารถนาในพระนิพพาน ขอทุกท่านที่ปรารถนาจงสำเร็จ ท่านใดปรารถนาในพระโพธิญาณก็ขอจงสำเร็จในพระโพธิญาณ ขอบารมีจงเต็ม บารมี 30 ทัศจนล้น อย่างรวดเร็วด้วยกำลังแห่งบุญด้วยเถิด

จากนั้นหายใจเข้าช้าๆลึกๆหายใจเข้าพุทธออกโธ หายใจเข้าครั้งที่ 2 ธัมโม หายใจเข้าลึกๆช้าๆครั้งที่ 3 สังโฆ

จากนั้นเราก็ถอนจิตจากสมาธิช้าๆ สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน แล้วก็จะขออนุญาตประชาสัมพันธ์แจ้งให้ทราบว่า ตอนนี้มีงานบุญปิดทองพระเจ้าองค์แสน พระเจ้าองค์แสนก็คือพระที่อาจารย์ได้ริเริ่มสร้างไว้ด้วยการที่รวบรวมแผ่นทองทั้งหมด หนึ่งแสนแผ่น อันนี้ไม่ใช่อุปมาว่าแสนคือเยอะ แต่แสนโดยนับจำนวนหนึ่งแสนแผ่นจริงๆ โดยเจตนารมณ์ก็คือคนปกติเวลาสร้างพระอธิษฐานเพื่อตัวเองกันทุกคน แต่คราวนี้คำขอก็คือ คัดเลือกเฉพาะคนที่อธิษฐานเพื่อส่วนรวม ในช่วงนั้นก็มีการอธิษฐานถวายในหลวงรัชกาลที่ 9 ถวายให้ชาติมีความเจริญรุ่งเรือง ถวายให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง เป็นต้น รวมคำอธิษฐานจิตเจตนาเพื่อส่วนรวมสาธารณประโยชน์หนึ่งแสนแผ่น คัดเอง

โดยที่แผ่นไหนเป็นคำสาปแช่ง บุคคลที่กระทำไม่ดีต่อชาติบ้านเมืองก็แยกไว้ไม่นำมาหล่อ ไปหล่อที่อื่นองค์อื่นเอา เพราะต้องการให้เป็นพลังที่บริสุทธิ์ ถึงเวลาก็หล่อที่วัดท่าซุง ในช่วงมโนเต็มกำลังก็ปรากฏว่า จากที่จัดสร้างไว้ 1 องค์ก็กลายเป็น 2 องค์ องค์แรกก็อยู่ที่วัดวังมุ่ย ตอนนั้นตั้งใจว่าจะถวายครูบาเจ้าวิฑูรย์ที่วัดวังมุ่ย ปรากฏว่าท่านก็บังเอิญมีเหตุย้ายวัด ตั้งใจไว้ก็ถวายไว้ที่วัดวังมุ่ยจังหวัดลำพูน

ส่วนอีกองค์หนึ่งโครงการสะพานบุญ ก็ขอไปประดิษฐานเป็นพระประธานซึ่งองค์ที่อยู่ที่ ของมูลนิธิสะพานบุญอันนี้ก็คือกำลังปิดทองอยู่แล้วก็ดำเนินการปิดทองในเดือนนี้แต่ยังขาดปัจจัยอีกจำนวนมาก ท่านใดที่เห็นปฏิปทาอยากร่วมบุญด้วยก็เชิญได้เพราะอานิสงส์ก็เท่ากับได้ร่วมสร้าง พร้อมกันกับอาจารย์ แล้วคราวนี้สิ่งที่จะสร้างต่อก็เป็นภาคต่อของพระเจ้าแสน แต่คราวนี้คือแสนคำอธิษฐานพระนิพพาน คัดเลือกจากแผ่นทองที่อธิษฐานจิต โดยแผ่นทองทั้งหนึ่งแสนแผ่น คนเขียนคนจารจารึก ตั้งจิตเพื่อพระนิพพาน แล้วก็มีกำลังใจที่จะปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน คือจิตเขียนแผ่นทองกายทิพย์อธิษฐานจิตเขียนต่อหน้าสมเด็จองค์ปฐมบนพระนิพพาน รวบรวมแสนแผ่นเพื่อหล่อพระเป็นพระ ที่พระอาจารย์หนุนวัดพุทธโมกข์ ซึ่งอันนี้เรากำลังรวบรวมแผ่นทองอยู่

ดังนั้นอาจารย์อาจจะจัดสร้าง พระพุทธรูปหรือสิ่งต่างๆไม่มากเพราะเกรงใจ แต่ว่าเวลาสร้างทีเราก็จะใช้กำลังใจสูงกว่าปกติพิเศษกว่าปกติซึ่งทุกครั้งก็เป็นมาทุกชาติภพไป

ดังนั้นโอกาสที่เราจะร่วมสร้างพิเศษแบบนี้ก็จะยากกว่าปกติ มีโอกาสสร้างได้ก็พยายามร่วมตามกำลังใจตามความมากน้อย ประชาสัมพันธ์ส่งต่อได้แชร์ได้แชร์ สำหรับวันนี้ก็ฝากประชาสัมพันธ์เท่านี้

อีกเรื่องหนึ่งคือ คอร์สสมาธิครั้งต่อไปจะมีวันที่ 21 กรกฎาคม ที่กองพันทหารปืนใหญ่รักษาพระองค์ที่ 1  ในโซนบางซื่อ ซึ่งจะประกาศลงทะเบียน ในช่วงที่ใกล้กว่านี้อีกประมาณสักเดือนหนึ่ง แต่ว่าคนไหนที่ตั้งใจก็กาปฏิทิน ทำนัดหมายไว้ในโทรศัพท์ไว้ล่วงหน้าพยายามทำตัวให้ว่างไว้แต่แรกพยายามตั้งจิตอธิษฐานที่จะไปให้ได้ แต่ละครั้งส่วนใหญ่มีผลมีอานิสงส์มีกำลังมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติ

สำหรับวันนี้ก็ขอฝากกุศลไว้ที่อาจารย์ได้ไปทำบุญให้กับทุกคนในวันนี้ด้วย สำหรับวันนี้สวัสดีพบกันใหม่สัปดาห์หน้า

ถอดเสียงและเรียบเรียง โดย คุณ Jammaree

ถอดเสียงและเรียบเรียง โดย คุณ เมตตาสมาธิ

You cannot copy content of this page