green and brown plant on water

สะสมเสบียงบุญเพื่อพระนิพพาน

เวลาอ่าน : 4 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”  

วันอาทิตย์ที่ 11 กุมภาพันธ์  2567

เรื่อง สะสมเสบียงบุญเพื่อพระนิพพา

 โดย อาจารย์ คณานันท์  ทวีโภค

กำหนดจิต ทรงสภาวะ กำหนดรู้ในกาย สติกำหนดรู้ในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ทั่วทั้งร่างกายนั้น จากนั้นจึงกำหนด ผ่อนคลายทั่วร่างกายกล้ามเนื้อทุกส่วน ตั้งแต่ศีรษะ ใบหน้า คาง คอ อก แขน มือ ลำตัว ขา จนกระทั่งถึงปลายเท้า ร่างกายกล้ามเนื้อทุกส่วน ผ่อนคลาย ปล่อยวาง ในการปล่อยวาง ในการผ่อนคลาย คือการปล่อยวาง ตัดร่างกาย ตัดความสนใจในร่างกาย การตัดกายนี้ก็เพื่อแยกกายแยกจิต แยกรูปแยกนาม แยกกายทิพย์ ออกจากกายเนื้อหรือกายหยาบ ผ่อนคลายปล่อยวางร่างกาย ทิ้งกาย แล้วถึงกำหนดพิจารณาปล่อยวางจิตใจ ความกังวลทั้งหลาย ความห่วงความอาลัยทั้งหลาย ความกังวลในกิจการงานหน้าที่ ที่เราทำคั่งค้างอยู่ ภาระที่เกิดขึ้นกับจิตใจของเรา ในภาษาธรรมะเรียกว่าปลิโพธ เป็นสิ่งที่พึงละ สิ่งที่ละต่อมาก็คือนิวรณ์ 5 ประการ ความคิดเห็นฟุ้งไปในเรื่องกามฉันทะ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส  ความง่วงเหงาหาวนอน ความง่วงซึม อารมณ์จิตที่ซึมเศร้า ความวิตกกังวลทั้งหลาย  รวมเรียกว่านิวรณ์ คือเครื่องสร้างความเศร้าหมองให้กับจิต ความโกรธ ความพยาบาท ความคิดปรุงไปในเรื่องสิ่งที่เราอาฆาตแค้น สร้างความเศร้าหมองให้กับจิต รวมเรียกว่านิวรณ์ 5  รวมความว่าสิ่งใดที่เป็นภาระของใจ เราวางออกไป วางกาย วางจิต และสิ่งสำคัญที่สุดก็คือฝึกที่จะปล่อยวางสิ่งที่เรารัก สิ่งที่เราอาลัยสิ่งที่เราหวงแหนที่สุด พิจารณาว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราตายไปแล้วจากร่างกาย จากสมมุติ จากบุคคลที่มีนามเช่นนี้ มีสมมุติ คือเป็นลูกของคนนี้ มีตำแหน่งแบบนี้ มีหน้าที่แบบนี้ ครอบครองทรัพย์สมบัติเช่นนี้ ทุกอย่างล้วนเป็นสมมุติเพียงชาติเดียว เรากำหนดจิตปล่อยวางได้ไหม

หากเราคิดว่าเราจะวางตอนตาย แต่เราไม่เคยฝึก ไม่เคยพิจารณา คิดว่าจะวางตอนตายในขณะที่ยึดมั่นถือมั่นมาตลอดชีวิต 30 ปี 50 ปี 60 ปี 70 ปี ยึดมาตลอดไม่เคยวาง เราคิดว่าวันสุดท้ายเราจะวางได้ไหม ดังนั้นเราตั้งใจเสมอว่าเมื่อไหร่เราจะปรับ เราจะปฏิบัติเจริญพระกรรมฐาน เราฝึกปล่อยวางคือตัดกาย ปล่อยวาง ผ่อนคลาย ตัดร่างกายขันธ์ 5  และพิจารณาปล่อยวางตัดภาระของใจ ตัดห่วงตัดกังวลทั้งหลายออกไปให้หมด ปล่อยวางกายและจิต จนเหลือแต่เพียงความสงบของใจ จดจ่ออยู่กับอารมณ์จิตที่เบาสบาย อยู่กับลมหายใจที่ละเอียดเบา จินตภาพเป็นลมหายใจเหมือนกับแพรวไหมพริ้วผ่านเข้าออกในกาย สติกำหนดรู้ในลมหายใจ ที่กลั่นใสเป็นปราณ เป็นประกายพรึก เป็นแพรวไหม ไหลเวียนราบรื่นต่อเนื่องผ่านเข้าออกในกายของเรา เมื่อกำหนดรู้ลมหายใจ กำหนดรู้ในปราณ ในพลังชีวิต ลมหายใจของบุคคลทั่วไปเป็นเพียงลม แต่ลมหายใจของผู้ที่ฝึกจิตเป็นสติ ลมหายใจของผู้ที่ฝึก ในสายของวิทยายุทธ ลมหายใจนั้นเป็นปราณเป็นพลัง กำหนดจิตกลั่นลมหายใจให้ถึงพร้อมทั้งสติและปราณพลังชีวิต ไหลเวียนผ่านเข้าออกในกายของเรา พร้อมทั้งกำหนดรูในอารมณ์จิต ความสงบ ความเบา ความละเอียดสบาย ความปราณีตของลม ลมหายใจยิ่งสงบ จิตยิ่งเข้าถึงความสงบระงับ จิตยิ่งเข้าถึงฌานที่สูงขึ้น ความสงบที่สูงขึ้น กำหนดรู้ในความสงบ กำหนดรู้ในความผ่องใส จิตที่สะอาดจากกิเลสจากนิวรณ์ 5  จิตที่ตั้งมั่น จิตที่รวมเป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตารมณ์ เข้าถึงองค์ฌานแห่งฌาน 4 ในอานาปานสติ รวมจิตนิ่งหยุดสงบ ผ่องใส ทรงอารมณ์ของความเบาละเอียด จิตที่รวมตัว จิตที่สงบไว้

จากนั้นจินตภาพ ดวงจิตของเรา ปรากฏเป็นดวงแก้วสว่างเป็นประกายพรึก จิตคือกสิณ กสิณคือจิต จิตของเราเป็นเพชรประกายพรึก ลักษณะเป็นเพชรเจียระไนละเอียดโดยรอบ เป็นเพชรรูปทรงกลม มีแสงสว่างเปล่งประกายจากภายใน แสงสว่างจากเพชรลูกนี้ มีเส้นแสงเป็นรุ้งรัศมี ที่ประกายพรึก เป็นเส้นแสงแผ่ไปโดยรอบของจิต อยู่ภายในกายของเรา แสงสว่างรัศมีจิตทะลุกายออกมา เส้นแสงทะลุกายออกมา เลยขอบจากเส้นแสงไป ปรากฏสภาวะความเป็นทิพย์อาณาบริเวณโดยรอบมีสภาพสภาวะเหมือนกับกากเพชรแพรวพราว โปรยปรายรายรอบทั่วหน้าบริเวณ เลยจากรัศมีของจิต ให้เราทรงอารมณ์ สภาวะที่จิตเป็นเพชรประกายพรึกเข้าถึงจิต ที่มีความเป็นทิพย์ อภิญญาจิต จิตที่รวมลง ในกสิณทั้ง 10 กอง รวมเป็นหนึ่งเดียวกับจิต จิตคือกสิณ กสิณคือจิต จิตคือปฏิภาคนิมิต จิตคือจิตเดิมแท้อันเป็นประภัสสร ทรงอารมณ์ ทรงสภาวะ เห็นกายของเรา ภายในกายมีดวงจิตเป็นเพชรประกายพรึกสว่างเจิดจ้า แสงสว่างแห่งรัศมีจิตของเรานั้น แผ่สว่างครอบคลุมเต็มห้องที่เราฝึก ที่เราเจริญพระกรรมฐานอยู่ ทรงอารมณ์จิต ทรงสภาวะ เข้าสู่สภาวะธรรม เห็นกายและจิตแยกกันชัดเจน สงบนิ่ง แสงสว่างของจิตที่เป็นปฏิภาคนิมิต ยิ่งสว่าง จิตยิ่งเอิบอิ่มเป็นสุข จิตเข้าถึงองค์แห่งฌานสมาธิ ดวงจิตสะอาดจากกิเลส สว่างด้วยรัศมีของจิต คือกำลังฌานที่ตั้งมั่น สงบ จากความเร่าร้อน จากความโลภ โกรธ หลงทั้งปวง  จิตสว่างสะอาดสงบร่มเย็น ทรงอารมณ์ ทรงสภาวะธรรมไว้ เพื่อให้จิตเกิดตบะ เดชะความตั้งมั่น ในฌาน ในสมาบัติ เมื่อจิตทรงตัวแล้ว ในสภาวะที่จิต เข้าถึงสภาวะธรรมที่เป็นปฏิภาคนิมิต สภาวะธรรมที่เข้าถึงจิตเดิมแท้อันเป็นประภัสสร เราก็กำหนดเรียนรู้การดูจิตของเรา ในยามที่เรามีความเครียด ความกังวล แสงสว่างของจิตก็เศร้าหมองลง ในยามที่เรามีกิเลส จิตก็เศร้าหมองลง ในยามที่เรามีความโกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาท จิตก็มีความเศร้าหมองลง

ในยามใดที่จิตของเราปล่อยวางตัดกิเลสได้ จิตเราก็ปรากฏความผ่องใสเป็นเพชรประกายพรึก ยิ่งทรงอารมณ์ตัดสรรพกิเลส ทรงอารมณ์จิต อยู่กับกุศลความดี จิตก็ยิ่งมีแสงสว่างของจิตออกมามากเท่านั้น แสงสว่างของจิตนั้นเป็นหนึ่งเดียวกับรัศมีกายของกายทิพย์ ในโลกของกายทิพย์นั้น กายทิพย์ที่มีบุญบารมีสูง ก็จะมีแสงสว่างหรือรัศมีกาย มีอาณาเขตขอบเขตกว้างขวางมากกว่า ผู้ที่มีบุญหรือมีแสงสว่างของกายทิพย์น้อยกว่า กำลังบุญบารมีของพระพุทธองค์นั้นก็มีปรากฏจารึกอยู่ในพระไตรปิฎก ว่าพระพุทธเจ้าในอดีตกาลแต่ละพระองค์นั้น มีความสูงของพระวรกายเท่าไหร่ มีรัศมีกายแผ่สว่างออกไปไกลมากมายเท่าไหร่ เรื่องรัศมีกายนั้นผันแปร และก็เป็นเหตุอันหนึ่งอันเดียวกับเรื่องของบุญ ยิ่งสร้างบุญกุศลมากเท่าไหร่ รัศมีกายก็ยิ่งส่องสว่าง ยิ่งเจริญตบะเดชะ เจริญพระกรรมฐานมากเท่าไหร่ รัศมีกายก็ยิ่งส่องสว่าง ยิ่งขยายขอบเขต ยิ่งเจริญเมตตาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมตตาอัปปนา เมตตาอันไม่มีประมาณ แผ่เอาไปมากเท่าไหร่ รัศมีกายก็พลอยส่องสว่างไปกว้างไกลอย่างยิ่งด้วยเช่นกัน ดังนั้นอันที่จริงรัศมีกายนั้นก็คือรัศมีของบุญกุศลที่สะสมบารมีทั้ง 30 ทัศของดวงจิตนั้นๆ การที่เราฝึกกำหนดในรัศมีกาย กำหนดในการแผ่เมตตา ก็เป็นการฝึกเป็นการปฏิบัติให้จิตของเรานั้นมีรัศมีกายสว่าง กับอีกสิ่งนึงที่มีผลอย่างยิ่งกับรัศมีกายก็คือ หากเราสร้างพระพุทธรูป บูชาพระพุทธองค์ นึกถึงพระพุทธเจ้ามากเท่าไหร่ หรือจิตของเราทรงภาพพระมากเท่าไหร่ ก็มีผลที่ทำให้แสงสว่างของกายทิพย์หรือรัศมีกายนั้น มีความสว่าง มีรัศมี อาณาขอบเขตบริเวณกว้างไกลมากเพียงนั้นด้วยเช่นกัน

คราวนี้เราก็กำหนดจิต ทรงอารมณ์จิต น้อมรำลึกนึกถึงคุณพระพุทธเจ้า กำหนดให้ภายในอก ภายในดวงจิตของเรา ปรากฏภาพพุทธนิมิตคือพุทธบารมีของพระพุทธเจ้า สถิตอยู่เป็นหนึ่งเดียวกับดวงจิตที่เป็นเพชรประกายพรึกนั้น จากนั้นน้อมกระแสพุทธานุภาพ แผ่รัศมีของดวงจิตเราออกไป พร้อมกับกระแสเมตตาอีกครั้งหนึ่ง เห็นองค์พระเปล่งประกายเป็นพุทธเมตตาแผ่บารมีออกไป แผ่กระแสเมตตาจากพุทธบารมีออกไป แผ่เมตตาออกไปไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ 3 ภพ 3 ภูมิ เปิดสามแดนโลกธาตุ แผ่เมตตาสว่าง กระแสแสงสว่างของเมตตา คือกระแสความรู้สึกที่เราปรารถนาดี ปรารถนาให้ดวงจิตอื่นได้รับความสุขความสงบเย็น บุญกุศลที่เราตั้งจิตอุทิศให้

กำหนดจิตเห็นกายของเรา ภายในอกมีดวงแก้วเป็นเพชร ภายในดวงเพชรดวงแก้วมีพระพุทธองค์ แผ่เมตตาสว่างจนทั้งกายเนื้อ กายทิพย์เราเปล่งประกาย กระแสเป็นแสงสว่างเป็นสีทองประกายเพชร แผ่สว่างกระจายออกไป ส่องสว่างไปทั่ว 3 ภพ 3 ภูมิ ทรงอารมณ์ทรงสภาวะแห่งการเจริญเมตตาอันไม่มีประมาณนี้ไว้ ยิ่งส่องสว่าง ใจยิ่งเป็นสุข ยิ่งเอิบอิ่ม อารมณ์จิตอารมณ์กรรมฐานสัมพันธ์กับนิมิต สัมพันธ์กับสภาวะธรรม ยิ่งทุกสิ่งสัมพันธ์เชื่อมโยงกันได้มากเท่าไหร่ ผลแห่งการปฏิบัติยิ่งเพิ่มพูนมากเท่านั้น น้อมจิตให้กระแสเมตตา ให้รัศมีกายและรัศมีแห่งบุญกุศล กำลังแห่งพุทธานุภาพ สลายล้างโรคภัยไข้เจ็บ สลายล้างมลทินเครื่องเศร้าหมองของใจ สลายล้างอวิชชาคุณไสย สิ่งใดที่เป็นอัปมงคลออกไปจากกาย วาจา ใจ ออกไปจากกายเนื้อ ออกไปจากดวงจิตของเรา

กำหนดจิต บุญกุศล รวมตัวปรากฏ แผ่เมตตา แผ่แสงสว่างรัศมีจากองค์พระที่เปล่งประกายออกมา ยิ่งจิตมีความนอบน้อมศรัทธาในพระพุทธเจ้ามากเท่าไหร่ กำลังแห่งพุทธานุภาพ ที่ผนึกเชื่อมโยงเชื่อมกระแสลงสู่จิตเรายิ่งเพิ่มพูนมากขึ้นเพียงนั้น กระแสบุญยิ่งถ่ายทอดรวมลงสุดใจเราได้มากเพียงนั้น จากนั้นเราพิจารณาในเรื่องของบุญกุศล

 ช่วงนี้เป็นช่วงที่เป็นรอยต่อของการก้าวเข้าสู่ยุคชาววิไล การแบ่งแยกจำแนกคนดีและคนชั่วชัดเจน จะทำดีคือสร้างบุญสร้างกุศลก็เป็นเรื่องง่าย จะทำบุญเราก็สามารถทำออนไลน์ได้ จะฟังธรรมเราก็สามารถเลือกฟังธรรมจากครูบาอาจารย์ท่านไหนได้ทุกองค์ทุกสาย ฟังได้ตลอด 24 ชั่วโมง ฟังธรรมะกันได้แทบไม่หวาดไม่ไหว ที่มันต้องมันถูกตามจริตของเราแต่ละบุคคล ดังนั้นจะกล่าวว่าทำดีทำง่าย จะสร้างพระพุทธรูปตอนนี้ก็สร้างกันแทบจะทุกวัน ทุกอาทิตย์ ทุกเดือน ดังนั้นงานบุญต่างๆกุศลต่างๆ จะเป็นทาน จะเป็นศีล จะเป็นภาวนา อันที่จริงตอนนี้เป็นเรื่องที่ทำง่าย หรือแม้แต่แนวทางการปฏิบัติ จากเมื่อก่อนการปฏิบัติเป็นเรื่องยาก ตอนนี้แนวทางการปฏิบัติก็เริ่มกลายเป็นเรื่องง่ายมากขึ้น ผู้คนเข้าถึงฌานสมาบัติ เข้าถึงอภิญญาจิต ได้มากขึ้นกว่าเดิม อย่างก้าวกระโดด หากใครเคยสังเกต  30- 40 ปีก่อนจะพูดถึงนิพพาน เป็นเรื่องต้องห้าม ห้ามพูดเป็นเรื่องไกลเกินเอื้อม ตอนนี้คนมากมายหลายคนประกาศชัดเจนไปนิพพานชาตินี้ พูดได้เต็มปากเต็มคำ เต็มจิตเต็มใจ เต็มภูมิ กำลังใจของคนที่เข้าถึงความดีก็มากขึ้น อันที่จริงในเรื่องของการไปนิพพานชาตินี้ คนที่บารมีเต็มก็จะพูดได้เต็มปากเต็มคำ แต่ถ้าบารมียังไม่เต็มก็จะมีความสงสัยว่าจะไปได้หรือไปไม่ได้ ไม่ค่อยมั่นใจหรือไม่คิดจะไป อันนี้พูดถึงคนที่ปฏิบัติและปรารถนาพระนิพพาน

แต่เมื่อไหร่ปฏิบัติมากขึ้นเพิ่มขึ้น จิตมีความมั่นคงขึ้นมั่นใจขึ้น ในที่สุดจิตมีศรัทธา โดยเฉพาะอย่างยิ่งศรัทธาในตัวเองว่า ในเมื่อเราเห็นเส้นทางของมรรคคือหนทางเดินสู่ผล คือพระนิพพานแล้ว อย่างไรชาตินี้เราก็ไปนิพพานแน่นอน เห็นทุกข์มาถึงขนาดนี้แล้ว อย่างไรก็ไปนิพพานแน่นอน อันนี้คือกลุ่มคนที่อย่างไรชาตินี้ก็ไปพระนิพพาน หรือปฏิบัติใกล้เต็มที ถ้าจะเกิดเป็นมนุษย์กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกก็ไม่เกิน 7 ชาติ ไม่เกิน 3 ชาติหรือไม่เกินชาติเดียว อันนี้คือผู้ที่ปรารถนาจะไปพระนิพพาน ในยุคของพระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 แห่งภัทรกัป สมเด็จพระสมณโคดมพระพุทธเจ้า

คราวนี้มีสิ่งหนึ่งที่เป็นเรื่องที่ข้างบนท่านเตือน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เพื่อนของอาจารย์เองได้เตือน ฝากเตือนไปยังเพื่อนๆคนอื่นในวัยไล่เลี่ยกัน สิ่งที่เตือนก็คือเพื่อนที่ตายไปแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้จะอยู่ข้างบน พออยู่ข้างบนแล้ว ถึงแม้ว่ารอดจากอบายภูมิคือขึ้นไปจุติบนสวรรค์ แต่คราวนี้พออยู่ไปได้พักหนึ่ง ธรรมชาติของกายทิพย์เวลาที่จุติไปใหม่ๆ มันก็เป็นธรรมดา มีความตื่นเต้นกับทิพยสมบัติที่ตัวเองมี ที่ตัวเองได้รับ วิมานเป็นยังไง ที่ทิพยสมบัติเป็นยังไง มีความสุข มีความอิ่มใจ มีความเพลิดเพลินในทิพยสมบัติ แต่คราวนี้พออยู่ไปมากเข้า ไปฟังธรรมที่ธรรมสภาบ้าง พิจารณาดูด้วยอนาคตังสญาณใ นความเป็นทิพย์ของความเป็นเทวดา ในความเป็นนางฟ้าบ้าง คราวนี้พิจารณาดูแล้วหากอุปมาเหมือนชีวิตคนบนโลกมนุษย์ก็เอาง่ายๆว่า เราเสวยทิพยสมบัติบนสวรรค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ซึ่งถือว่า คนที่ทำบุญทำทานก็ไปจุติที่นี่กันเป็นจำนวนมาก คราวนี้ถึงเวลาพิจารณาดูบุญของตัวเอง พูดง่ายๆก็คือเปิดดูสมุดบัญชีธนาคารของเรา ดูแล้วก็รู้เห็นว่าการหรือว่าบุญที่จะทำให้เราสามารถอยู่บนสวรรค์ชั้นนี้ได้มีระยะเวลาเท่าไหร่ แต่คราวนี้สิ่งที่ข้างบนท่านเตือนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพียงเพื่อนของอาจารย์ที่ตายไปแล้วที่มาเตือน แต่ที่มาเตือนก็คือพระท่าน พระท่านเตือนก็คือว่าสำหรับคนที่จะไปพระนิพพานเร็วๆนี้ชาตินี้ นี่ถือว่ายังไงก็ไปได้ เพราะอุปนิสัยของผู้ที่มีบารมีเต็ม ทำบุญเป็นนิจ ทำบุญแทบจะทุกวัน ทำบุญเป็นปกติ มีปัญญาบารมีฉลาดเลือกทำบุญในอานิสงส์ใหญ่ ผลบุญใหญ่อานิสงส์สูง

แต่คราวนี้สำหรับคนทั่วไป สิ่งที่พระท่านเป็นห่วงก็คือ บางทีเราคิดเอาตื้นๆ เอาแค่ว่าเรามีบุญเป็นเสบียงเลี้ยงตัว อย่างน้อยมีบุญพอพ้นนรก คืออย่างน้อยเราทำบุญมา ตายเมื่อไหร่อย่างน้อยบุญนั้น เคยสร้างพระพุทธรูป 1 องค์ เคยร่วมถวายกฐิน ทำบุญนิดๆหน่อยๆเกิดมาทั้งทีเคยทำบุญได้ประมาณนี้ ตามพ่อตามแม่ไปใส่บาตร แต่ถึงเวลาเพลิดเพลินกับความสุข กับทรัพย์สมบัติ ที่ได้รับ ที่เสวยผลบุญในการเป็นมนุษย์ ลืมที่จะสะสมเสบียง คำว่าเสบียงนั้นอย่าคิดว่าเราหลงบุญ เส้นทางของสังสารวัฏนั้นยาวนาน เรามีเงินเก็บเท่าไหร่ เรามีบุญที่จะไปต่อเท่าไหร่ สิ่งที่ท่านเตือนก็คือว่า สำหรับคนทั่วไป บุญนั้นบางคนยังไม่พอ ที่จะไปต่อจนถึงยุคพระศรีอริยเมตไตรย ที่เล่าแบบนี้ ก็ให้ทำความเข้าใจว่างานรื้อขน มวลหมู่เวไนยสัตว์คือดวงจิตทั้งหลายเข้าสู่พระนิพพาน เอาเฉพาะงานในชุดนี้ก่อน ก็คือ ในช่วงภัทรกัป ในช่วงพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ในช่วงพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันนี้ เมื่อไหร่ที่ถึงยุคของชาววิไล พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองอีกพันปีก็มีเวลา ที่จะปฏิบัติ เก็บเกี่ยวบุญปฏิบัติธรรม ไปพระนิพพาน ทันในยุคของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ได้ แต่พอพ้นจากพันปีไป ศาสนาเสื่อมลงไปเรื่อยๆเริ่มเป็นกลียุค จนกระทั่งหมดสิ้นยุคพระพุทธศาสนาขององค์พระสมณโคดมเมื่อครบ 5000 ปี คราวนี้ก็เข้าสู่กลียุคอย่างสมบูรณ์ บ้านป่าเมืองเถื่อน ศีลธรรมไม่มี และช่วงกลียุคนี้เขาเรียกว่ายุคของสูญญกัปป์ คือไม่มีพระพุทธเจ้าจุติปรากฏ กาลเวลาล่วงนานไป ไม่ใช่เป็นร้อยปี ไม่ใช่เป็นพันปี แต่เป็นล้านล้านปี อีกหลายกัปป์กว่า ที่พระศรีอริยเมตไตรยจะเสด็จมาโปรด ในระหว่างนั้นก็ไม่มีเขตที่ให้ทำบุญ ไม่มีพระพุทธเจ้าปรากฏ ไม่มีพระปัจเจกพระพุทธเจ้าปรากฏ ตรัสรู้แทรกในช่วงภัทรกัป รอยต่อในภัทรกัป  

ดังนั้นใครร่วงใครหลุดลงไปสู่อบายภูมิ โอกาสที่จะขึ้นมาแล้วก็ทันยุคพระศรีอริยเมตไตรย ยากเต็มที ตอนนี้ฝ่ายมารเขาก็เก็บเกี่ยวคนให้หลุด คนที่ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ยังไงก็ลงไปข้างล่างลึก ไม่ทันพันปีนี้ ไม่ทันยุคพระศรีอริยเมตไตรย เรื่องของคนชั่วก็เป็นเรื่องของเขาก็เป็นเรื่องกฎของกรรม แต่คราวนี้สำหรับคนส่วนใหญ่ สิ่งที่ท่านเตือนลงมาก็คือว่า บางคนคิดว่าทำบุญแล้ว แต่บุญอานิสงส์ของบุญยังไม่มากพอ บุญที่ทำอาจจะเป็นผลที่ทำให้ได้ไปจุติบนสวรรค์ แต่อยู่บนสวรรค์ได้ไม่ยาว คือรักษาระยะได้ไม่ยาวพอจนกระทั่งทันมาจุติในยุคของพระศรีอริยเมตไตรย คือบุญที่ทำนั้นมันน้อยจนกระทั่งต้องร่วงลงมาเกิดก่อน แล้วก็ร่วงมาในยุคกลียุค โอกาสที่จะหลุดออกไปจากเขตพระพุทธศาสนาก็มาก อันนี้เป็นเหตุสำคัญอีกเหตุหนึ่งที่ครูบาอาจารย์ท่านจึงนำพาสร้างบุญใหญ่ สร้างพระพุทธรูป นำพาในการเจริญพระกรรมฐาน นำพาในการสวดมนต์ ในการเจริญจิตตภาวนา เจริญพระกรรมฐาน ดังนั้นสิ่งที่จะให้เราทั้งหลายได้ฉุกคิด สำหรับคนที่ยังไม่ไปนิพพานชาตินี้ คิดว่าเราจะไปพระนิพพานเมื่อไหร่ จริงๆเต็มทีก็อย่างน้อยยุคพระศรีอริยเมตไตรย ซึ่งในงานในขอบเขตของการรื้อขนมวลสรรพสัตว์ในภัทรกัปป์ พระพุทธองค์หน้าที่โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระพุทธองค์ ตั้งแต่พระองค์แรกพระพุทธเจ้าองค์แรกในภัทรกัป ท่านก็อธิษฐานจิตไว้ว่า บุคคลใดที่พึงโปรดให้เข้าถึงพระนิพพานได้ ก็เพิ่งโปรดให้เข้าถึง คนไหนที่ยังไม่สามารถ เข้าถึงพระนิพพานได้ อย่างน้อยก็ให้ไปจุติยังสวรรค์ ยังสุคติภูมิคือสวรรค์หรือพรหม แล้วก็รอพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปมาโปรดและบรรลุธรรม

ซึ่งตอนนี้เต็มที่ก็คือยุคพระศรีอริยเมตไตรย งานก็คือพระอินทร์ คือพระราชาแห่งสวรรค์ผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท่านก็มีเมตตาทำหน้าที่ รับฝาก ดวงจิตทั้งหลายที่ยังไม่ไปจุติ ยังไม่ตัดเข้าสู่พระนิพพาน ให้มาจุติอยู่ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ส่วนท่านที่เป็นพรหม ท่านท้าวสหัมบดีพรหมก็พลอยดูแล เสวยความสุขอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์บ้าง อันนี้พูดถึงส่วนใหญ่ พรหมโลกบ้าง แล้วเมื่อไหร่ที่พระศรีอริยเมตไตรยเสด็จมาตรัส ท่านก็เมตตามีหน้าที่มาเรียกมาบอกให้ผู้ที่อธิษฐานจิตจะบรรลุธรรมในยุคพระศรีฯ ไปเกิดในยุคพระศรีฯ ลงมาจุติ เมื่อมาจุติแล้วก็บรรลุมรรคผลโดยง่ายเข้าสู่พระนิพพาน เป็นอันว่าปิดงานในภัทรกัป

แต่คราวนี้ยังมีคนอีกมากที่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วยังประมาทในการทำบุญสร้างกุศล บุญสำหรับบางคนอาจจะไม่พอ ที่จะไปต่อถึงยุคพระศรีฯได้ อาจจะร่วงจากสวรรค์มาซะก่อน ดังนั้นมีสิ่งใดที่พึงกระทำได้ ก็พึงกระทำ สะสมเสบียงเมตตาตัวเอง ให้ตัวเองนั้นยืนระยะ มีทิพยสมบัติ มีพรหมสมบัติอยู่นานจนกระทั่งทันยุคพระศรีฯ ขออนุญาตยกตัวอย่างเช่น สายของหลวงปู่ดู่หลวงตาม้าท่าน สร้างพระพุทธรูปสวดมนต์ สร้างกุศล สร้างความดียังไงก็มีเสบียงมีทุนต่อไปจนกระทั่งถึงยุคพระศรีฯได้แน่นอน แล้วก็อธิษฐานตรงเชื่อมกระแสกับหลวงปู่ กับพระศรีอริยเมตไตรยท่านโดยตรงอยู่แล้วกัน

แต่คนทั่วไปอีกมากมายร่วงหล่นลง บางคนหล่นไป ร่วงไปเสวยวิบากกรรม ขึ้นมาไม่ทัน ขึ้นมาก็เป็นช่วงที่ไม่มีพระพุทธเจ้า คราวนี้เลยหลุดจากพระพุทธศาสนายาว กว่าจะถึงการวาระ ที่กลับมาเกิด มาจุติแล้วเจอพระพุทธศาสนาอีกที คราวนี้บางทียาวนาน ดังที่พระพุทธองค์ทรงอุปมาว่าเหมือนกับโยนห่วงเล็กๆ ขนาด 1 ศอก กลางมหาสมุทรและทุกพันปีมีเต่าตาบอดลอยคอขึ้นมา กี่ครั้งจนกระทั่งเต่าตาบอดฟลุ๊ค โผล่ขึ้นมาจากมหาสมุทรพอดีห่วง นั่นก็ถือเป็นหนึ่งกัปป์เท่านั้น นี่เป็นแสนแสนล้านกัปป์ ดังนั้นโอกาสที่เราหลุดจากพระพุทธศาสนานั้น อันที่จริงอย่าคิดว่ายาก ที่จริงมันง่าย ดังนั้นสิ่งสำคัญที่สุดในการท่องในสังสารวัฏก็คือ พยายามที่สุด อย่าพลาดร่วงลงสู่อบายภูมิ ฉลาดที่จะต่อบุญต่อบารมี

ดังนั้นเป็นเรื่องปกติของชาวโลกทิพย์ จะเป็นเทวดา จะเป็นพรหม ท่านมักจะย่องลงมาต่อบุญต่อบารมีเสมอ กับพระอริยเจ้า กับพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ที่ลงมาสร้างบารมี ที่มาปฏิบัติอยู่บนโลกมนุษย์ อันนี้เป็นเรื่องปกติ ดังนั้นสิ่งที่เล่าให้ฟังที่ท่านเตือนก็คือ เราพยายามบอกกล่าว บอกต่อชักชวนคนให้เขาทำบุญ หรือบางคนเราเป็นคนที่ทำบุญอยู่แล้ว แต่บางครั้งเราลืมฉุกคิดในเรื่องนี้ เรามาเจอพระพุทธศาสนาแล้ว เราต้องหาจุดที่เราจะจบกิจของเราให้ได้ จะจบกิจหรือยัง ก็คืออยากไปพระนิพพานหรือยัง ถ้าเห็นทุกข์เต็มที่ บารมีเต็มแล้วก็อยากไปนิพพานชาตินี้ ถ้าบางคนยังมีความสุข มีความเพลิดเพลินในสังสารวัฏ ในการสร้างบารมี เราก็อาจจะอยากไปในยุคพระศรีฯ เหตุผลหนึ่งของคนที่อยากไปในยุคพระศรีฯก็เพราะอยากไปดูความเจริญรุ่งเรืองสูงสุด ของพระพุทธศาสนา ของโลก ของอนาคต

ในยุคนั้นทั้ง วิทยาการทางโลกทางวัตถุก็เจริญสูงสุด ความรุ่งเรืองสูงสุด ธรรมก็เจริญสูงสุด เรียกว่าเจริญสูงสุดในทุกด้าน ผู้ที่มีบุญบารมีเต็มล้วนแต่มาจุติมาเกิดกัน บางคนก็อยากไปดู อยากไปเกิด อยากไปบรรลุธรรมตรงนั้น อันนี้ก็เป็นเรื่องของ จุดที่เราจะจบกิจกัน ให้เราฉุกคิดว่าเมื่อเราปฏิบัติแล้วเราจะไปเมื่อไหร่ กำหนดรู้อายุในไทม์มิ่งใน Timeline มิติของการเวลาในสังสารวัฏ เราอย่าคิดว่าตลอดเวลามีพระพุทธเจ้า มีพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนานั้น มีช่วงกาล ช่วงเวลาอันน้อยนิดเมื่อเทียบกันกับ กาลเวลาที่ไม่มีพระพุทธศาสนา ช่วงที่ปรากฏพระพุทธศาสนาก็เป็นช่วงที่สั้นแสนสั้น เมื่อเทียบกับกาลเวลาที่ยาวนานทั้งหมด ดังนั้น ผู้ที่เล็งเห็นเข้าใจในเรื่องของมิติของกาลเวลาในสังสารวัฏ ถึงตรัสไว้เสมอว่าเราโชคดีเกิดมาพบพระพุทธศาสนา โชคดีเกิดมาพบครูบาอาจารย์ พระสุปฏิปันโน พระอริยเจ้า พระโพธิสัตว์ เราโชคดีหนักหนาที่ได้มาปฏิบัติธรรม รู้เห็นธรรม รู้เห็นความเป็นทิพย์ ดังนั้นในความไม่ประมาท เราจะจบกิจหรือเราจะทิ้งโอกาสที่จะไปพระนิพพาน เราจะทอดเวลาประมาทไป หรือคิดว่าเมื่อไหร่ก็ได้ จริงๆช่วงกาล ช่วงเวลาที่จะบรรลุธรรมก็มีเฉพาะช่วงเวลา ที่เราจะพบเจอเขตของพระพุทธศาสนาเท่านั้น ซึ่งโอกาสนั้นจริงๆแล้วถือว่าเราถูก        ล๊อตเตอรี่ รางวัลที่ 1 ของสังสารวัฏ

การที่เรามาพบเจอ ดังนั้น การปฏิบัติ เพื่อหลุดพ้นเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ท่านถึงเรียกว่าเป็นผู้ที่ได้อริยทรัพย์ เป็นทรัพย์ที่สูงยิ่งกว่า สมบัติของพระจักรพรรดิราช เป็นสมบัติที่สูงกว่าทิพยสมบัติในสวรรค์ทุกชั้น เป็นสมบัติที่เลอเลิศสงบยิ่ง ยิ่งกว่าพรหมสมบัติของพรหมทั้งหลาย อริยสมบัติคือพระนิพพานสมบัติ ขอให้เราทุกคน น้อมนำเข้าถึงพระนิพพานสมบัติ ทาน ศีล ภาวนาที่เราทำ ที่เราเจริญบารมีทั้ง 30 ทัศ ที่เราปฏิบัติเจริญกรรมฐานไว้ดีแล้ว ขอจงรวมตัวกัน เป็นพระนิพพานสมบัติ เป็นอริยสัจ ดับทุกข์ ดับการเกิดในสังสารวัฏ ดับอวิชชาทั้งหลาย ดับกิเลสทั้งปวงให้เหือดแห้งไปจากใจของเรา มีแต่ความผ่องใสสูงสุด จากสภาวะที่จิตของเราสงบสงัดจากสรรพกิเลส ความรัก โลภ โกรธ หลงทั้งปวง ให้เรากำหนดจิตตอนนี้นึกถึงองค์พระสว่าง

กำหนดจิตขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ยกอทิสมานกายขึ้นไปบนพระนิพพาน น้อมจิตกราบพระพุทธเจ้า อธิษฐานจิต ขอเทพพรหมเทวดาทั้งหลาย เมตตาปรากฏที่วิมานของสมเด็จองค์ปฐม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระอินทร์ ท่านท้าวสหัมบดีพรหม ท้าวมหาราชทั้ง 4  ครูบาอาจารย์ พระอริยเจ้า พระอริยสงฆ์ ที่ท่านมีเมตตาบารมี วาสนาบารมี เกื้อกูลสงเคราะห์เรามาในกาลก่อน และในชาติปัจจุบัน ที่เรากราบไหว้ศรัทธาเคารพนับถือ ขอจงมาปรากฏพร้อมกับพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน

จากนั้นกำหนดจิตอธิษฐาน ขอชั่งหยั่งบารมี บุญทั้งหลายที่ข้าพเจ้าสะสมรวมตัว ขอให้ข้าพเจ้า (อธิษฐานดูของตัวเราเองแต่ละบุคคล) ขอให้เห็นกองทาน กองศีล กองภาวนา ทิพยสมบัติ พรหมสมบัติ ว่าข้าพเจ้าปรากฏในทิพยสมบัติวิมานแก้วทั้งหลาย ในสวรรค์ชั้นต่างๆก็ดี พรหมโลกก็ดี อันนี้ในส่วนของสังสารวัฏ ในส่วนของคนที่ยังไม่ไปพระนิพพาน อธิษฐานจิตว่า ทิพยสมบัติบนสวรรค์และพรหมมีมากเพียงพอที่จะให้ข้าพเจ้าทรงตัวอยู่บนสวรรค์ ยาวนานจนทันยุคพระศรีอริยเมตไตรยหรือไม่ มีพอมีขาดหรือมีล้นเหลือ เหลือเฟือด้วยเถิด ขอให้รู้ ขอให้เห็นในความเป็นทิพย์ ทิพยสมบัติ พรหมสมบัติ จงปรากฏเบื้องหน้าในความเป็นทิพย์ของจิตข้าพเจ้า ส่วนใหญ่ก็ค่อนข้างเต็ม ค่อนข้างล้นและก็โมทนาสาธุด้วย

คราวนี้อธิษฐานจิตต่อไปว่า ขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ หากข้าพเจ้าปฏิบัติเพื่อพระนิพพานสมบัติ  ปฏิบัติเพื่อความดับไม่เหลือเชื้อแห่งการเกิด การจุติในสังสารวัฏ ขอจงปรากฏวิมานบนพระนิพพาน สมบัติที่ข้าพเจ้าทำทาน ศีล ภาวนาไว้ ขอจงปรากฏในวิมานบนพระนิพพาน พร้อมด้วยกายทิพย์ที่จงปรากฏเป็นกายแห่งพระวิสุทธิเทพ ผลแห่งการปฏิบัติข้าพเจ้าถึงพร้อมที่จะมาพระนิพพานชาตินี้ได้หรือไม่ ขอให้ข้าพเจ้ารู้เห็น ขอให้ข้าพเจ้าเข้ามาที่วิมานของตนได้ ความรู้สึกในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ ขอจงปรากฏกระจ่างชัดเจน กำหนดรู้ของเรานะ เป็นปัจจัตตัง ขอให้ทรัพย์ แห่งอริยทรัพย์จนถึงพร้อมในจิตของเราทุกดวง

จากนั้น ตั้งจิตอธิษฐาน กับพระพุทธเจ้า อธิษฐาน ต่อพระปัจเจกพุทธเจ้า อธิษฐานต่อหลวงพ่อฤาษีท่าน ตามพรที่ท่านเมตตา สงสารเอ็นดู ลูกหลานลูกศิษย์ทั้งหลายที่ยังมีขันธ์ 5 บนโลกมนุษย์ พรที่หลวงพ่อให้สม่ำเสมอ รวยชาตินี้ นิพพานชาตินี้ ขอพรของหลวงพ่อจงประสิทธิ์ประสาท ตราบที่ยังมีขันธ์ 5 กายเนื้อ ขอให้สายสมบัติทั้งหลาย ความมั่งคั่งร่ำรวยเงินทองทั้งหลาย ความสุขความเจริญ ความมีสุขภาพดีทั้งหลาย ขอจงหลั่งไหลให้ข้าพเจ้าทุกคนมีกำลังในการทำนุบำรุงชาติ ศาสนา สถาบันพระมหากษัตริย์ ยังประโยชน์ความดีให้กับโลกใบนี้ สร้างกุศล สร้างปฏิปทาอันเป็นสาธารณะ ตามคำสั่งคำสอนของหลวงพ่อ ขอจงมีกำลัง มีความมั่งคั่ง มีกำลังทรัพย์ มีกำลังปัญญา มีกำลังบุญ มีกำลังบารมี มีกำลังอำนาจตบะเดชะ ครองคน ครองจิต ครองใจ ในการสร้างกุศล บอกกล่าวบอกบุญ ชักชวนผู้คนทำความดี ก็มีวาจาเป็นประกาศิต น้อมนำให้ผู้คนเข้าสู่กุศล ชวนใครก็เห็นดีเห็นงามในการกุศล ในความดีร่วมกันถึงพร้อมกับเรา และตายเมื่อไหร่ก็ขอให้ข้าพเจ้าไปพระนิพพาน สร้างความดีเต็มล้นเต็มอิ่ม ล้นจิตล้นใจ แล้วไปพระนิพพานอย่างสง่างาม ไปอย่างปราศจากความอาลัย เต็มอิ่มในการสร้างบุญสร้างกุศล แล้วก็ปล่อยวางทุกอย่างได้โดยที่ใจเรานั้น ปล่อยวางได้อย่างสมบูรณ์ เพราะความเต็มอิ่มในบุญกุศลที่ทำถึงพร้อมทั้งหมดแล้วนั่นเอง

ขอพรหลวงพ่อ เข้าถึงความหมายของพร ที่ท่านให้ รวยชาตินี้นิพพานชาตินี้ รวยชาตินี้นิพพานชาตินี้ ขอเป็นพรจากการเจริญกรรมฐานในเทศกาลตรุษจีน ขอหลวงพ่อมาประสิทธิ์ประสาท ขอเทพพรหมเทวาทั้งหลาย เทพไท้ทั่วจักรวาล เทพไทย เทพจีน เซียนทั้งหลาย เมตตาสงเคราะห์ พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เมตตาสงเคราะห์ข้าพเจ้าลูกหลานเต็มกำลัง ขอเสด็จมาปรากฏในทิพย์จักษุญาณ ในความเป็นทิพย์ของกายทิพย์ เมตตามาโปรดมาสงเคราะห์ข้าพเจ้าทุกคนเต็มกำลัง น้อมจิตรับพร น้อมจิตรับกระแส น้อมจิตรับการประสิทธิ์ประสาท รวยชาตินี้ นิพพานชาตินี้ เฮงเฮง มีกำลังช่วยชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มีจิตใฝ่ในการบุญ การกุศล ฉลาดในการทำบุญ ทำบุญโดยการพิจารณา ใช้ทั้งปัญญาใช้ทั้งศรัทธา ทำบุญโดยพิจารณา โดยใช้กำลังใจสำคัญ ถึงทำน้อย ใช้กำลังใจให้มาก ถึงทำน้อยใช้กำลังตบะเดชะของสมาธิของกายทิพย์ในการทำบุญ

จากนั้นอธิษฐานจิตขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั่วสากลพิภพ เมตตาประสิทธิ์ประสาทอวยพรให้ข้าพเจ้าทั้งหลายทุกคนมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง และขออาราธนาบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ได้เมตตาโปรดอภิบาลองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ตลอดจนถึงผู้ที่ทำคุณประโยชน์ สร้างความดีสร้างกุศลให้กับชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ด้วยความจริงใจ ด้วยสัจจะความซื่อตรง ขอเทพพรหมเทวา ผู้อภิบาลองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เทวดาผู้รักษาเศวตฉัตร เทวดาผู้รักษาพระราชบัลลังก์ เทวดาผู้พิทักษ์รักษาพระราชนิเวศน์มณเฑียร ขอเมตตาโมทนาสาธุเพิ่มกำลังบุญฤทธิ์ เทพฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์เต็มกำลังในการปกปักรักษา มีบารมีครอบคลุมคุ้มครอง สงเคราะห์ช่วยเหลือหนุนนำพระบารมีของสถาบันได้เต็มกำลัง ทุกๆพระองค์ด้วยเถิด น้อมกระแสจากพระนิพพานถึงเทพพรหมเทวดาทั้งหลาย พระหลักเมือง พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง เทวดาผู้พิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนา วัดวาอาราม พระพุทธรูป พระบรมธาตุ พระมหาเจดีย์ทั้งหลาย เทวดาผู้พิทักษ์รักษาอภิบาลผู้เจริญพระกรรมฐานทุกคน ขอกำลังบุญจงถึงท่าน ขอกำลังบุญจงส่งผล การที่เทวดาพรหมท่านมาอภิบาลรักษา ผู้ปฏิบัติเจริญพระกรรมฐาน ก็ถือว่าเป็นการที่ท่านต่อบุญ ต่อบารมีท่านด้วยเช่นกัน ท่านทั้งมาโมทนา ท่านทั้งมาปกป้องมาคุ้มครอง ดังนั้นอานิสงส์ท่านก็ได้ เราก็ปลอดภัย ดังนั้นเมื่อเราเข้าใจเจตจำนงค์ของท่าน เราก็น้อมแผ่เมตตาถึงท่าน ขอบคุณท่าน น้อมกุศลแห่งการปฏิบัติถึงทุกท่านทุกๆพระองค์ ความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยง เมื่อเราปฏิบัติจนได้กำลังของมโนมยิทธิ เรื่องราวของโลกทิพย์เราก็จะเข้าใจมากขึ้นเยอะขึ้น

การเข้าใจเรื่องโลกทิพย์ ก็ทำให้เราอยู่รอดปลอดภัยในสังสารวัฏ รู้วิธีทำบุญให้ได้ผลอานิสงส์สูง รู้วิธีที่เราจะปฏิบัติในจิตสุดท้ายก่อนตาย กำหนดน้อมจิต ว่าขอให้กำลังแห่งพระกรรมฐาน ทรงตัวอยู่กับข้าพเจ้าตลอดชีวิต และทุกชาติภพ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน

จากนั้นกราบลาพระพุทธเจ้า กราบลาหลวงพ่อ กราบลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพพรหมเทวาทุกท่านทุกๆพระองค์ ใช้กายทิพย์ค่อยๆน้อม กราบช้าๆ อารมณ์จิตมีความนอบน้อม ซึมซับรับกระแสพุทธเมตตา พุทธบารมี น้อมกระแสพรแห่งเทพพรหมเทวาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พรจากพระพุทธองค์ พรพรหมที่ประสิทธิ์ประสาทเป็นประกาศิตมายังเรา ขอพรที่หลวงพ่อให้รวยชาตินี้นิพพานชาตินี้ จงสำเร็จสัมฤทธิ์อัศจรรย์ มีแต่สิ่งดีๆมีแต่คนดีๆ มีแต่กัลยาณมิตรเข้ามาสู่ชีวิตของเรา โอกาสเงินทองความโชคดีหลั่งไหลเข้ามาสู่ชีวิตเรา เทวดา พรหมผู้เป็นสัมมาทิฏฐิ ดลจิตดลใจคุ้มครองรักษา ชี้นำปกปักรักษาตัวเราสม่ำเสมอ จากนั้น เราจึงน้อมจิต กราบแล้วค่อยๆ น้อมนำอทิสมานกายกลับมายังโลกมนุษย์ น้อมกระแสจากพระนิพพานลงมา เป็นแสงสว่างสีขาวปกคลุมกายเนื้อเราทั้งหมด

กระแสจากพระนิพพาน กระแสธรรมที่เราเจริญพระกรรมฐาน ชำระล้างฟอกธาตุขันธ์ ผม ขน เล็บ ฟัน หนังกลายเป็นแก้วใส โครงกระดูกทั่วกาย เส้นเอ็น เส้นเลือดกลายเป็นแก้วใส กล้ามเนื้อทุกส่วนทั่วร่าง สว่างใสกลายเป็นแก้วใส อาการ 32 สมอง อวัยวะภายใน ตับ ไต ไส้พุงทั้งหมด ธาตุทั้ง 4 กลายเป็นแก้วใส ธาตุธรรมฟอกธาตุหยาบขันธ์ 5 กายเนื้อ อาการ 32 ธาตุ 4  กลายเป็นแก้วประกายพรึกสว่าง ขับไล่มลทิน โรคภัยไข้เจ็บ อวิชชาคุณไสยสลายไป มีแต่อุดมมงคล กุศล บุญหลั่งไหลหล่อเลี้ยงร่างกาย ธาตุขันธ์ กุศลผลบุญความบริสุทธิ์แห่งจิต หลั่งไหล หล่อเลี้ยงจิต กายทิพย์ของเรา มีแต่แสงสว่างแห่งบุญกุศล มีแต่แสงสว่างแห่งความดี กาย จิตเอิบอิ่มแย้มยิ้ม ศุภมงคลทั้งหลาย พรทั้งหลายหลั่งไหลลงมาสู่ชีวิตของเรานับตั้งแต่บัดนี้ ความชงทั้งหลายสลายตัวไปด้วยกำลังแห่งพระกรรมฐาน ด้วยกำลังแห่งบุญ ภูมิจิต ภูมิธรรม ภูมิกุศลเพิ่มพูน บารมีธรรมเพิ่มพูน

จากนั้นนะให้เราน้อมจิตโมทนาสาธุกับกัลยาณมิตรทุกคนที่ปฏิบัติธรรมกันในวันนี้ โมทนาสาธุ กับเพื่อนๆที่มาปฏิบัติมาฟังในภายหลัง ผลบุญแห่งความสงบในฌาน ปัญญาที่เห็นคุณแห่งพระนิพพาน อารมณ์จิตที่ตัดกิเลส ตัดภพภูมิ ตัดภพชาติ กำลังใจที่ตัดสินใจ ตั้งจิตเด็ดเดี่ยวไปพระนิพพาน ทุกสิ่งเป็นพลังงานแห่งกุศล ทุกสิ่งเป็นจิตเจตนารมณ์ เราน้อมโมทนายินดีและก็เป็นกำลังจิตกำลังใจให้ตัวเรา เข้าถึงสภาวะนั้นด้วยเช่นกัน

น้อมจิตหายใจเข้าช้าๆลึกๆช้าลึกยาวพุทโธ ครั้งที่ 2 ธัมโม ครั้งที่ 3 สังโฆ กำหนดจิต ให้จิตของเรานั้นเอิบอิ่มสว่าง กระแสธรรมในจิตนั้นสว่าง ดวงแก้วปรากฏ จิตมีความเอิบอิ่มยินดีในกุศล เอิบอิ่มยินดีในความปฏิบัติ มุ่งละโลภ โกรธ หลง ละกิเลส มุ่งละความเกาะยึดในภพชาติทั้งหลาย ใจของเราผ่องใสอย่างยิ่ง

สำหรับวันนี้ก็ขอน้อมอาราธนาบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทวยเทพเทวา ประสิทธิ์ประสาทพรให้เราทุกคนที่เจริญพระกรรมฐาน ด้วยความเพียร ความตั้งใจ แม้เป็นช่วงวันหยุดเป็นช่วงเทศกาล แต่ก็ยังมีความขยันหมั่นเพียรในการปฏิบัติขอพรแห่งเทพเจ้าทั้งหลายมาประสิทธิ์ประสาท เสด็จมาปรากฏเป็นทิพยนิมิตเต็มกำลัง ประสิทธิ์ประสาทความดี กุศลความโชคดี ความเป็นสิริมงคล ความรุ่งเรืองให้กับเราทุกคน สิ่งใดที่เป็นทุกข์เป็นโทษ เป็นโรคภัยไข้เจ็บ เป็นปีเป็นบาปเคราะห์ เป็นการชง ก็ขอจงสลายตัวไปด้วยกรรมฐาน ด้วยกำลังแห่งจิตตานุภาพ บารมีธรรมที่เรามุ่งปฏิบัติขัดเกลาจิต สลายล้างบาปเคราะห์ทั้งหลาย ที่พึ่งสลาย พึ่งอโหสิกรรม พึ่งอภัยต่อกันได้ ขอทุกอย่างที่เป็นอุปสรรค จงคลายตัวไปให้หมด มีแต่หนทางที่เทพเจ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดลบันดาลประทานพร เปิดทาง เปิดหนทาง เปิดทางสว่าง เปิดบารมีให้ นับแต่นี้มีแต่ความคล่องตัวทุกด้าน ตลอดปีและตลอดไปด้วยเทอญ สาธุ สาธุ สาธุ

วันนี้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านเมตตาปรากฏมากันมากนะ คนไหนเห็น คนไหนรู้สึกได้ ก็น้อมจิต รับพร รับกระแสให้ดีคนไหนมีประสบการณ์อะไร ก็สามารถไปเล่าในห้องไลน์ได้ สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคนพบกันใหม่สัปดาห์หน้าวันอาทิตย์หน้าสวัสดีครับ

ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย : คุณ Wannapa

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหานี้ได้