green and brown plant on water

พึงเป็นผู้ไม่ประมาทในการสร้างกุศลสร้างความดี

เวลาอ่าน : 3 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน” 

วันอาทิตย์ที่ 7 มกราคม 2567

เรื่อง พึงเป็นผู้ไม่ประมาทในการสร้างกุศลสร้างความดี

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อมทั่วร่างกายของเรา ผ่อนคลายร่างกายผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน พร้อมกับความรู้สึก ว่าเราปลดปล่อย ปล่อยวางความเกาะความยึดในความรู้สึกความเกาะเกี่ยวในขันธ์ห้าร่างกายทั้งหมด ปล่อยวางความคิดความกังวล ความรู้สึกห่วงใยภาระของจิต วางทุกสิ่งจากใจของเรา กำหนดรู้ว่าเราปล่อยวางทั้งกายและจิต  วางแล้วจึงเข้าสู่ความสงบร่มเย็น ทรงอารมณ์อยู่กับความสงบความเบาสบายความสงบร่มเย็นนั้น

เมื่อเข้าถึงความสงบร่มเย็นแล้ว กำหนดเดินจิตของเราต่อไป จดจ่อจินตภาพจินตนาการอยู่กับสภาวะที่จิตของเราปรากฏในความเป็นเพชรประกายพรึก กำหนดจิตของเรา ทรงอารมณ์ไว้ “จิตคือกสิณ กสิณคือจิต” จิตประภัสสรเป็นเพชรเป็นแก้วระยิบระยับแพรวพราว ทรงอารมณ์ความรู้สึกมีความสุขมีความอิ่มเอม ทรงอารมณ์ใจอารมณ์จิต จิตอันเป็นประภัสสรนี้ไว้

เมื่อจิตสงบจนมีความสุขทรงตัว จิตเข้าถึงความเป็นทิพย์ จิตเป็นปฏิภาคนิมิต จิตประภัสสร เราก็กำหนดจิตต่อไป รำลึกนึกถึงคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กำหนดน้อมนึก จินตภาพ พุทธนิมิต คือภาพองค์พระพุทธองค์อยู่กลางจิตกลางใจของเรา กำหนดจิตในพุทธานุสติ กำหนดจิตในอาโลกสิณ องค์พระเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง กำลังใจตั้งมั่นว่าเราอยู่กับพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงเมตตาสถิตอยู่กับจิตของเรา ประดุจพระพุทธองค์ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ พุทธบารมีของพระพุทธองค์เชื่อมต่อส่งถึงจิตของเรา จิตเราถึงพระ พระท่านเมตตา พุทธบารมีส่งถึงจิตของเราเช่นกัน ภาพองค์พระสว่างผ่องใส จากนั้นอธิษฐานตรงต่อองค์พระ ขออาราธนาบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอยกจิตอาทิสมานกายข้าพเจ้าขึ้นไปบนพระนิพพาน อยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐม มหาสมาคมอันประกอบไปด้วยพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ บนพระนิพพานด้วยเทอญ

จากนั้นกำหนดความรู้สึกในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ กายทิพย์บนพระนิพพาน กำหนดความรู้สึกใช้กายพระวิสุทธิเทพกราบทุกท่านทุกๆพระองค์ เมื่อกราบลงแล้ว ให้เรากำหนดจิตพิจารณาในอารมณ์พระนิพพาน ตัดร่างกายขันธ์ห้า ตัดภาระความเกี่ยวพันความผูกพันกับบุคคลทั้งหลาย ตัดภาระทางกิจการงานทั้งหลาย โดยพิจารณาว่าหากเราตายจากร่างกายขันธ์ห้าสมบูรณ์แล้ว  กิจการงานทั้งหลายที่คั่งค้างในโลก เราก็ไม่อาจจะกระทำได้ต่อไป ความคิดที่ไปเกาะไปห่วงก็ไร้ประโยชน์สิ้นเชิง งานที่เราเคยทำ ทางบริษัทกิจการธุรกิจหรือจะราชการเขาก็หาคนใหม่มาแทนที่เรา การที่เราไม่อยู่ไม่ได้มีความสำคัญแต่ประการใด ลืมแม้แต่บุคคลอันเป็นที่รักทั้งหลาย หากเราตายไปแล้วนั้น ความรักความห่วงก็ค่อยๆสลายตัวลงไป ความอาลัยที่เขามีต่อเราอาจจะมีอยู่บ้าง แต่ในที่สุดกาลเวลาก็ทำให้ความอาลัยทั้งหลายนั้นสลายตัวลง ดังนั้นความอาลัยสมมุติ ความผูกพัน ใจเราวางให้หมด จิตเราปล่อยวางจากสมมุติทั้งปวงความห่วงใยทั้งปวง วางจากสมมุติในความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของในทรัพย์สินสมบัติทั้งหลาย วางในสมมติของชื่อ ชื่อเสียง ตำแหน่ง ยศศักดิ์ เงินทอง สินทรัพย์ทั้งหลาย ที่เราเคยเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ พิจารณาแล้วว่าเราวางได้ไหม กำหนดจิตปล่อยวางจากทุกสิ่ง เหลือเพียงจิตที่ทรงอารมณ์เป็นสภาวะกายแห่งพระวิสุทธิเทพบนพระนิพพาน วางในมนุษย์สมบัติ วางในสวรรค์สมบัติ  วางในพรหมสมบัติ มีแต่ความตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพาน คืออริยะสมบัติเพียงจุดเดียว

จากนั้นน้อมจิต ตั้งกำลังใจว่าเราฟังธรรมโดยตรง ต่อองค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า กำหนดกายพระวิสุทธิเทพ อยู่ในกิริยาอาการที่นั่งขัดสมาธิเจริญพระกรรมฐานบนดอกบัวเบื้องหน้าพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ ทรงอารมณ์พระนิพพาน ตั้งใจว่าทุกครั้งที่ข้าพเจ้าตั้งจิตขึ้นมาบนพระนิพพาน สรรพกิเลสทั้งหลาย ความรักโลภโกรธหลง ยิ่งจืดจางบรรเทา จืดจางลงไปจากใจของข้าพเจ้า สังโยชน์สิบไม่อาจร้อยรัดจิตของข้าพเจ้าได้เมื่อข้าพเจ้าขึ้นมาบนพระนิพพาน ยิ่งข้าพเจ้าทรงอารมณ์บนพระนิพพานนานมากเท่าไร ทุกวินาที ทุกนาที ทุกขณะจิต ยิ่งทำให้ข้าพเจ้าแนบอยู่กับพระนิพพาน ในอารมณ์แห่งพระอรหัตผลมากเพียงนั้น ในทุกวินาทีในทุกลมหายใจแห่งการปฏิบัติ ทรงอารมณ์พระนิพพานไว้ ความรู้สึกถึงกายพระวิสุทธิเทพขัดสมาธิบนรัตนบัลลังก์ดอกบัวแก้วบนพระนิพพาน สว่าง เปล่งรัศมีกายผ่องใส

จิตของเราเข้าถึงสภาวะแห่งพระนิพพาน

จากนั้นน้อมพิจารณา กำหนดรู้ความเป็นไปบนโลก ความไม่เที่ยง ความเสื่อม วาระกรรมที่ปรากฏขึ้นบนโลก พิจารณาให้เห็นธรรมะ ในอนิจลักษณะ คือความเกิดขึ้น ตั้งอยู่  ดับไป 

ตั้งจิตตั้งกำลังใจในความไม่ประมาททั้งปวง ไม่ประมาทในความเกลียดคร้านในการปฏิบัติธรรม  กำหนดพิจารณาว่าโลกนับตั้งแต่บัดนี้ มีภัยพิบัติเป็นสัญญาณมาเตือน ถึงแม้ว่าจะเกิดในเขตประเทศอื่น แต่ในประเทศไทยเราเองก็อาจจะไม่พ้นจากภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นภัยพิบัติจากธรรมชาติ เช่นแผ่นดินไหว สึนามิ ลมพายุ ดินฟ้าอากาศ น้ำท่วม หรือแม้แต่อุบัติเหตุทางรถทางเครื่องบินที่จะปรากฏมากขึ้นบ่อยขึ้น ทั้งจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากพายุสุริยะอันเกิดขึ้นจากจุดดับขนาดใหญ่บนดวงอาทิตย์ ซึ่งอันที่จริงแล้วจุดดับขนาดใหญ่บนดวงอาทิตย์ เป็นพลังงานของกรรมที่สะท้อนย้อนกลับมาจากสภาวะจิตของผู้คนบนโลกมนุษย์ ผู้คนบนโลกมนุษย์ในยามที่เสื่อมจากศีลธรรมมากขึ้นเพียงใด มีความทุจริตคิดชั่ว มีการก่อกรรมปรามาสสิ่งศักดิ์สิทธิ์พระรัตนตรัย ปรามาสพระโพธิสัตว์ ปรามาสพระอริยะเจ้า ปรามาสพระพุทธศาสนา ปรามาสพระพุทธเจ้าพระพุทธองค์ กรรมทั้งหลายก็เป็นพลังงานที่ไปก่อให้เกิดจุดดับในแสงสว่างของดวงอาทิตย์ ซึ่งปฏิกิริยาธรรมชาติของดวงอาทิตย์นั้น เมื่อไรที่เกิดจุดดับ ดวงอาทิตย์ก็จะปลดปล่อยพลังงานอยู่ในรูปของ  Solar flare Solar Storm  เป็นอนุภาคโฟตอนที่ส่งผลกระทบ และทุกครั้งที่เกิดพลังงานที่เป็น Solar flare หรือ Solar Storm  ก็มักจะยิงตรงลงมายังโลกมนุษย์ใบนี้เสมอ ดังนั้นผลกรรมนั้นก็สะท้อนส่งผล ก่อให้เกิดภัยพิบัติ ทั้งสภาพภูมิอากาศ ทั้งความเข้มข้นของรังสี ทั้งคลื่นพายุสุริยะ ที่กระบวนการของพลังงานนั้นมารบกวนการสื่อสารดาวเทียม รบกวนการทำงานของจิตของสมอง หรือพฤติกรรมของสัตว์ต่างๆ ซึ่ง ณ กึ่งพุทธกาลนี้ก็เป็นภัยพิบัติ จะเรียกว่าส่วนน้อยแต่ก็ถือว่าเป็นภัยพิบัติใหญ่ ซึ่งถ้าหากพิจารณาดู เมื่อไรก็ตามที่มันเกิดขึ้นเต็มรูปแบบ คือเมื่อสิ้นยุคของพระพุทธศาสนา คือศาสนาครบ 5,000 ปีสิ้นอายุ ผู้คนเสื่อมจากศีลธรรม ประหัตประหารฆ่าฟันทำบาปหยาบช้าไร้ศีลธรรม คราวนี้ผลกรรมมันรุนแรงเข้มข้น ดวงอาทิตย์ก็เกิดจุดดับขนาดมหาศาลและเปล่งพลังงานเป็น Solar Energy ขนาดใหญ่ ซึ่งในคำทำนายหรือตำนานต่างๆเรียกว่าไฟบรรลัยกัลป์ ที่เราเจอในยุคกึ่งพุทธกาลนี้เป็นเพียงแค่ออเดิร์ฟเป็นเพียงแค่เบาๆ แต่เป็นสิ่งที่ยืนยันว่าในตำนาน ในพุทธทำนาย ในอนาคต ในความเสื่อมนั้น เหตุทางวิทยาศาสตร์ที่บอกว่าจะมีไฟบรรลัยกัลป์มาเผาผลาญโลกมันเกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อเราพิจารณาแล้วเราจะเป็นผู้ที่ไม่ประมาทในการสร้างกุศลในการสร้างความดี

ในยุคกึ่งพุทธกาล เป็นยุคที่จะเริ่มล้างบุคคลที่เป็นพาลชนออกไปก่อนจะเข้าสู่ยุคชาววิไล ในยุคก่อนจะเข้าสู่ยุคชาววิไลรวมถึงยุคก่อนที่จะล้าง บุคคลที่จะถูกล้างไปมี 2 ประเภท บุคคลที่ตัด ปรารถนาเข้าสู่พระนิพพาน มีบุญไม่จำเป็นต้องมาเห็นเหตุการณ์ทุกขเวทนาการประหัตประหารการเสียชีวิตสงครามความยากลำบาก ก็ชิงไปนิพพานก่อน ชิงไปสวรรค์พรหมก่อน อันนี้คือกลุ่มคือชุดที่เป็นชาวธรรมที่ไปก่อน

ส่วนที่ 2 ก็คือพาลชน ที่จำเป็นต้องถูกล้างไป ในช่วงกาลที่โลกจะหมดจดเข้าสู่ยุคชาววิไล ส่วนสุดท้ายที่เหลืออยู่ก็จะประกอบไปด้วย บุคคลที่ตั้งจิตอธิษฐาน ลงมาเพื่อค้ำจุนพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองตราบ 5000 ปี คนที่จะมาทำนุบำรุงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ คนที่มาทำงาน ยอมยากลำบาก ยอมผ่านช่วงทุกข์เข็ญ อันนี้ประการที่ 1 

และอีกประการหนึ่งก็จะเป็นกลุ่มคนที่อาจจะเป็นคนพาล แต่ยังมีวาระยังมีบุญส่งผล ยังมีโอกาสกลับจิตกลับใจเป็นคนดีได้ พวกนี้ก็เป็นกลุ่มที่จะรอด แต่เราทั้งหลายส่วนใหญ่ที่เข้ามาถึงจุดนี้เข้ามาปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมาปฏิบัติในจุดที่มีความเข้มข้น ปฏิบัติเพื่อเป็นกำลังของพระพุทธศาสนา เราทั้งหลาย ส่วนใหญ่ตั้งจิตอธิษฐานก่อนลงมาเกิดด้วยกันทั้งสิ้น บางคนก่อนลงมาเกิดตั้งจิตเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าการเกิดลงมาชาตินี้ทำงาน ถวายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไว้ลาย ตั้งใจว่า มาเกิดเป็นมนุษย์มันเพียงแค่ไม่กี่สิบปี ไม่ลำบากเท่าไร ยังไงเอากันเอาด้วย แต่พอลงมาเกิดบนโลกมนุษย์จริง เพียงแค่เวลาไม่เท่าไร เพียงความลำบากไม่เท่าไร ก็ถอดใจกันไปบ้าง หลงระเริงไปในทางโลกบ้าง เปลี่ยนใจกลับคำบ้าง มีมากมายที่อาจารย์ประสบพบเจอเขามา ตั้งใจอธิษฐานมั่นคงตอนเจอกัน พอตอนนี้ก็หายไปหลุดไปก็มาก ดังนั้นใครก็ตามที่ยังมั่นคงอยู่กับจิตที่จะพึงกระทำเพื่อส่วนรวมก็ขออนุโมทนาสาธุ คนไหนที่หายจ้อยไปหลุดไปก็เป็นเรื่องวาระกรรม เป็นเรื่องวิบาก เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล อันนี้เราก็ทำใจเป็นอุเบกขา ไม่ได้คาดหวังกับผู้ใด สิ่งที่เราจะคาดหวังได้ก็คือใจของเรา กำลังใจของเราเอง ว่าใจเรามีความมั่นคงในพระรัตนตรัยเพียงใด มีความมั่นคงในชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เพียงใด

เรื่องนี้ให้เราพิจารณาดูได้ เอาแค่เรื่องความมั่นคง จงรักภักดีในสถาบันพระมหากษัตริย์ ยุคที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ทุกคนใส่เสื้อเหลืองจงรักภักดี ใจทุกคนมีความรักจงรักภักดีเต็มเปี่ยมในพระองค์ท่าน แต่พอเมื่อท่านสิ้นพระชนม์ลง เพียงแค่เวลาไม่กี่ปี พอกระแสโลก กระแสของการไม่จงรักภักดีมันปรากฏ คนที่มันไม่มั่นคง มันก็เลิกที่จะยืนตรงเคารพในการสรรเสริญพระบารมี เลิกที่จะจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์

จงจำไว้ว่าคนที่มันไม่มีความมั่นคงจงรักในชาติ จงรักในพระพุทธศาสนา จงรักภักดีในสถาบันพระมหากษัตริย์ ความมั่นคงที่จะมีต่อพระนิพพาน ความมั่นคงที่จะมีต่อพระรัตนตรัย ก็ถือว่าเป็นอันว่าใช้ไม่ได้ จำไว้ว่าคนที่จะไปพระนิพพานได้ ต้องมีความมั่นคงต่อพระนิพพาน มีกุศลกรรมความดีที่จงรักภักดีต่อชาติต่อบ้านเมือง ดังนั้นสัจจะความจริงใจในความกตัญญูกตเวทิตาต่อสถาบันหลัก ถือว่าเป็นคุณธรรมหลักของผู้ประพฤติธรรมของผู้ที่ตั้งจิตทำความดี

อาจารย์ตั้งแต่ปฏิบัติมา ยังไม่เคยเห็นพระอริยะเจ้าที่ท่านเป็นพระอริยะเจ้าที่แท้จริงที่จะกล่าวตำหนิกล่าวโทษ ไม่ให้เรามีความสามัคคี หรือปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมือง ไม่เคยพบเห็นพระอริยะเจ้าครูบาอาจารย์พระอรหันต์พระองค์ใด ที่กล่าวตำหนิกล่าวโทษในพระพุทธเจ้าในพระนิพพาน ไม่เคยเห็นครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอริยะเจ้า พระอรหันต์พระองค์ใด พระสุปฏิปันโนพระโพธิสัตว์องค์ใด ไม่เคยกล่าวสรรเสริญ หรือแสดงคุณงามความดีขององค์พระมหากษัตริย์ในทุกรัชกาลหรือแม้แต่องค์ปัจจุบันนี้ก็ตาม ดังนั้นตัวเรา จงดูครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระอรหันต์เป็นหลัก ครูบาอาจารย์ทุกท่าน มีกำลังใจต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เช่นไร เราก็จงมีกำลังใจเช่นนั้นด้วยเช่นกัน เหตุผลที่เน้นย้ำในวันนี้อย่างยิ่ง เพราะนับตั้งแต่ปีนี้ไปจะเป็นปีที่คัดกรองอย่างเข้มข้น เตรียมตัวพบกับการล้าง เตรียมตัวพบกับการพลัดพรากจากคนรัก นี่ยังไม่ได้พูดถึงมรณานุสติความตายที่เกิดขึ้นจากโรคภัยไข้เจ็บสุขภาพ ซึ่งจะยิ่งปรากฏในปีนี้ขึ้นอีกอย่างมากมาย ใจของเราจงอย่าเศร้าหมอง จงอย่าหวาดกลัว จงอย่าวิตก ในเหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้น จงพิจารณาว่าทุกสิ่งนั้น ภัยทั้งหลายเป็นกฎของกรรม เป็นธรรมชาติแห่งอนิจลักษณะ ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไม่เกิดภัยพิบัติ ไม่เกิดโรคระบาดโรคภัยไข้เจ็บ ไม่เกิดศึกสงครามการประหัตประหาร ไม่เกิดการวางยาด้วยอาวุธชีวภาพ เราทุกคนก็ต้องตายจากความเสื่อม ความแก่ ความเจ็บ ความตาย เป็นธรรมดาในทุกชีวิตอยู่แล้ว เพียงแต่วิธีการตาย วาระในการตาย มันอาจจะมีความแตกต่างกัน แต่จะตายอย่างไรตายเมื่อไร ตายตอนอายุเท่าไหน ไม่สำคัญเท่ากับ ตายแล้วไปไหน ให้เราทุกคนที่เจริญพระกรรมฐานในวันนี้ ตั้งจิตจุดเดียว คือตายเมื่อไรเราไม่สน สนแต่ว่าจิตของเราทุกคน ตั้งมั่นว่าจะไปพระนิพพานเพียงจุดเดียว มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ มีพระนิพพานเป็นสรณะ จิตมั่นคงตั้งมั่น ในพระรัตนตรัยฉันใด มีความตั้งมั่นในความปรารถนาดีต่อชาติแผ่นดินฉันใด มีความจงรักภักดีตั้งมั่นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ฉันใด จิตเราก็ตั้งมั่นแนบอยู่กับพระนิพพานฉันนั้น อารมณ์จิตของเราตั้งใจสว่างไสว กายสว่าง ความหวาดกลัวในมรณานุสติ ณ ขณะนี้ไม่มีในจิตเรา ความห่วงความอาลัยทั้งหลายไม่มีในจิตเรา จิตตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพานเพียงจุดเดียว และนับแต่นี้ต่อไป ยุคหลังช่วงก่อนเข้าสู่ยุคชาววิไล พระพุทธศาสนาก็จะค่อยๆเจริญรุ่งเรืองขึ้น เมตตาธรรมจะปรากฏต่อโลก พระโพธิสัตว์ทั้งหลายที่ทรงเสด็จลงมาจุติในยุคสมัยนี้ จำนวนมากมายมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นในเขตประเทศไทยหรือประเทศใดก็ตาม ก็จะเชื่อมโยงเชื่อมกระแส รู้ตื่นในหน้าที่ ที่จะสร้างสันติสุขสันติภาพบนโลกใบนี้ให้ปรากฏ เพื่อให้ปรากฏเข้าสู่ยุคชาววิไล จิตทุกคนมีเมตตา จิตทุกคนมีความปรารถนาดี จิตใจผู้คนอยู่ในศีลในธรรม จิตใจผู้คนทั้งหลายมีแต่ความเมตตา ความอุดมสมบูรณ์ค่อยๆปรากฏขึ้นกับโลกใบนี้ คำทำนายที่หลวงพ่อเคยสอนเคยบอก ว่าทรัพย์ของแผ่นดินก็ค่อยๆปรากฏขึ้น เมื่อคนเข้าถึงบุญเข้าถึงศีล คนมีบุญปรากฏมากขึ้น โลกก็เข้าสู่ยุคที่เกิดความเจริญทางจิตใจ ความเจริญทางวัตถุและจิตใจเกิดความสมดุลกัน ทรัพยากร ทรัพย์สิน เงินทอง เทคโนโลยีทั้งหลาย ไม่ได้ถูกใช้ไปในทางที่เป็นการเบียดเบียน เป็นความโลภ  เป็นการผูกขาดเอารัดเอาเปรียบ ความอุดมสมบูรณ์ สินทรัพย์ความมั่งคั่ง ความเจริญเทคโนโลยีทั้งหลาย เป็นไปเพื่อความสุขความอุดมสมบูรณ์ ของสรรพสัตว์ทั้งมนุษย์ทั้งสรรพสัตว์ ทั้งโลกใบนี้

กำหนดจิตจากบนพระนิพพาน ในอนาคตังสญาณ ตั้งจิตอธิษฐานปรารถนาขอให้การปฏิบัติบูชาของข้าพเจ้าทุกคน ส่งผลให้ก่อกำเนิดเกิดยุคแห่งชาววิไลเปิดขึ้น ขอยุคแห่งชาววิไลได้ปรากฏ ผ่านพ้นช่วงยุคเข็ญ ผ่านพ้นช่วงกวาดล้าง แผ่เมตตาสว่าง ขอให้ข้าพเจ้าทั้งหลายรู้ตื่นขึ้นสู่อภิญญาสมาบัติ อภิญญาใหญ่ ศักยภาพแห่งจิต เมตตาอันไม่มีประมาณของข้าพเจ้า ความรู้ตื่นในกุศลความดี หน้าที่บารมีทั้งหลายจงเปิดขึ้น

กำหนดน้อมจิต กราบพระพุทธเจ้า กราบทุกๆท่านบนพระนิพพาน เมื่อกราบแล้วก็น้อมจิตต่อ อธิษฐานจิต ตั้งใจกำหนดรู้ในฌานในสมาบัติในสมาธิ ในกาลต่อๆไป โลกมีความจำเป็นที่จะต้องพึ่งพาบุคคลผู้ที่มีกำลังฌาน กำลังสมาธิ กำลังจิตอันเป็นกุศล ยิ่งเราแต่ละบุคคล มีกำลังใจใหญ่ คือไม่ได้คิดว่าการปฏิบัติธรรมนั้น เราจะทำเพียงแค่ตนเอง คือผ่านพ้นเข้าสู่พระนิพพาน แต่ยังมีกำลังใจที่คิดปรารถนาว่า กำลังสมาธิกำลังจิตกำลังเมตตาของเรานั้น ยังเป็นประโยชน์ที่จะแผ่เมตตา อธิษฐานจิตตั้งความปรารถนาให้กับโลกให้กับหมวดหมู่สรรพสัตว์ได้ เป็นพลังงานที่เกิดขึ้นและก็ไม่ควรที่จะทิ้งเปล่าไป ดังนั้นเราจึงรวมจิตรวมใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไรก็ตามที่เรารวมจิต อธิษฐานเป็นหนึ่งเดียวกัน อภิจิตนั้นก็มีผลต่อโลก เป็นพลังงานที่เข้มข้นมากกว่าต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างอธิษฐาน กระแสบุญ กระแสกุศล กระแสพลังงาน พลังงานนั้นไม่เคยสูญสลายไป เป็นสิ่งที่ไม่อาจทำลายได้ เหมือนกับจิตของเรา จิตก็คือพลังงาน

ในเมื่อพลังงานไม่สูญสลายไป แต่เราไม่อธิษฐานไปใช้ พลังงานนั้นก็สูญเปล่า แต่ถ้าเราใช้ไปในทางที่ถูก พลังงานนั้นก็ก่อเกิดผลมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จำไว้เสมอว่า กำลังใจหรือการตั้งกำลังใจนั้นสำคัญ เมื่อไรก็ตามที่เราตั้งกำลังใจเป็นแค่คนเอง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เทพพรหมเทวา หรือแม้แต่พระพุทธองค์ท่านจะสงเคราะห์ ท่านก็จะสงเคราะห์เพียงส่วนน้อย คือส่วนเฉพาะตนที่เราปรารถนา แต่ถ้าเมื่อไรก็ตามกำลังใจเราใหญ่ คือตั้งจิตอธิษฐานเพื่อส่วนรวมก็ดี เพื่อชาติบ้านเมือง เพื่อโลก เพื่อมวลสรรพสัตว์ เทวดาพรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระรัตนตรัย หรือแม้แต่พระพุทธองค์ พระโพธิสัตว์เจ้า ท่านก็จะสงเคราะห์มากเป็นพิเศษ เพราะเราอธิษฐานใหญ่ จำเป็นต้องใช้พลังงานสูง ใช้กำลังบุญกำลังบารมีสูง ด้วยเหตุนี้ครูบาอาจารย์หลวงพ่อฤาษีถึงสอนไว้ว่า เมื่อไรก็ตามที่เราทำในกิจการในปฏิปทาสาธารณประโยชน์ บารมีเราจะเต็มเร็ว ก็ด้วยเหตุผลด้วยประการฉะนี้ ดังนั้นเมื่อเราเข้าใจแล้ว อันที่จริงงานส่วนใหญ่ที่ทำมันก็เป็นเรื่องของใจ ใจนั้นไม่มีประมาณ เราจะอธิษฐานใหญ่เพียงใด ตั้งจิตปรารถนาแผ่เมตตากว้างไกลเพียงใด มันอยู่ที่กำลังใจของเรา เราใช้ใจ ใจใหญ่บุญก็ใหญ่ ใจแคบบุญก็น้อย จำไว้นะ กำลังใจใหญ่บุญก็ใหญ่บารมีก็มากบารมีก็เต็มเร็ว ใจแคบขอเฉพาะตน บารมีก็น้อยบารมีก็เต็มช้า ดังนั้นอยากให้เราที่มาฝึกมาปฏิบัติในเมตตาสมาธิ มีกำลังใจใหญ่ มีบารมีใหญ่ บารมีเต็มเร็วกันทุกคน ตั้งจิตเพื่อส่วนรวม เพื่อชาติ เพื่อศาสนา เพื่อพระมหากษัตริย์ เพื่อมวลหมู่สรรพสัตว์ ให้เราตั้งกำลังใจไว้แบบนี้

แล้วปีนี้ก็อย่างที่ได้กล่าวไว้ ก็จะเป็นเริ่มเป็นช่วงเวลาที่เริ่มมีหลายๆเหตุการณ์ เกิดควบคู่ขนานกันไป ภัยพิบัติก็เกิดเพิ่มขึ้นมากขึ้น พระโพธิสัตว์ทั้งหลายท่านก็เมตตามาเชื่อมกระแสมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในวันที่ 9 มกราคมก็คือวันอังคาร มีหลายท่านก็ได้ไปร่วม ในงานที่ท่านลามะน้อยที่ท่านระลึกชาติได้เมตตามาโปรดที่สมาคมศิษย์เก่าจุฬา ซึ่งตอนนี้ก็เต็มแล้วครบแล้ว คนที่ไปได้ก็ถือว่าโชคดีมีบุญมีวาสนาบารมีเกี่ยวพันกับพระโพธิสัตว์ท่าน ซึ่งท่านเองในอนาคตต่อไป ก็จะมีบทบาทในการเผยแผ่ สร้างสันติภาพให้กับโลกใบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในโลกตะวันตก ในประเทศต่างๆต่อไป ท่านก็เมตตามาสงเคราะห์ ชาวพุทธเราในประเทศไทย เชื่อมกระแสกับหลายๆท่านที่เป็นพุทธภูมิที่เป็นพระโพธิสัตว์ที่มาร่วมในงานนี้ และในช่วงบ่ายเมื่อมีการทำสมาธิ การทำสมาธิโดยที่ว่าไม่มีคนนำ ถ้าเป็นเวลานาน  45 นาที ชั่วโมงหนึ่งหรือชั่วโมงครึ่ง ถ้าไม่มีคนนำ ให้เราลองพิจารณาว่า ฐานการปฏิบัติเรามีความมั่นคงแค่ไหน ฝึกเองปฏิบัติเองเราจะทรงอารมณ์อยู่ในสมาธิเป็นเวลายาวนานเช่นนั้นด้วยตัวเองได้ไหม อันนี้ก็ขอเฉลยข้อสอบ บอกเคล็ดลับ

สำหรับผู้ที่มาฝึกในห้องนี้แล้วไปร่วมงานหรือแม้แต่จะนำไปใช้ในการปฏิบัติ ในวาระอื่นเหตุการณ์อื่น หรือวัดวาอารามสถานปฏิบัติธรรมอื่น ถ้าพื้นฐานการปฏิบัติของเรายังเนื่องอยู่กับกาย เราก็ใช้เครื่องมือช่วย หาลูกประคำไป สวดมนต์ไปบ้างบริกรรมไปบ้างพร้อมกับชักลูกประคำไป เพื่อให้จิตมันมีเครื่องเกาะตลอดเวลาจนจบ พยายามตั้งกำลังใจว่าเราจะไม่หลุดจากการชักลูกประคำจากการบริกรรมหรือสวดมนต์ อันนี้ยังเนื่องด้วยกาย

พอขั้นที่สูงขึ้นมาเป็นขั้นที่เราฝึกจนเราได้ในอารมณ์กสิณ

อันนี้ก็บอกไว้ว่าก็ให้เราฝึกไปเลย ฝึกโดยกำหนดกสิณ ไล่กสิณทั้งสิบกอง คือ กสิณดิน น้ำ ลม ไฟ กสิณดิน ไล่ขึ้นไป แก้วใสกลายเป็นประกายพรึก ดิน น้ำ ลม ไฟ ไล่ไป แต่คราวนี้ เราก็ต่อจากกสิณดินน้ำลมไฟ มาเป็นวรรณกสิณต่อ คือกสิณสี

กสิณสีก็คือกสิณสีดำ นิลกสิณ สีเหลือง สีแดง สีทอง สีเหลือง สีขาว แล้วก็ต่ออีก 2 กองคืออาโลกสิน กสิณแสงสว่างและกสิณความว่างที่ว่าง

พอครบทั้งสิบกอง คราวนี้เราก็มาฝึกไล่ วางดวงกสิณที่จักระทั้งเจ็ด

มาไล่ตั้งแต่บริเวณก้นกบ จักระที่ 2 ตันเถียน ฐานที่ตั้งของจิตใต้สะดือ 2 นิ้ว จักระที่ 3 ด้านหลังบริเวณไต จักระที่ 4 บริเวณหัวใจ จักระที่ 5 บริเวณคอหอย จักระที่ 6 บริเวณภายในศีรษะตรงกับตาที่สาม จักระที่ 7 บริเวณกลางกระหม่อม ไล่แต่ละจักระทั้งเจ็ดเป็นกสิณทั้งสิบกองจนครบ ทุกกองไปถึงปฏิภาคนิมิต  ไล่ขึ้นไล่ลงไปเรื่อยๆจนหมดเวลา ความเชี่ยวชาญชำนาญคล่องตัวเราก็จะเกิดขึ้น

คราวนี้ ถ้าสำหรับคนที่ฝึกมาทางสายวัชรยาน หรือมีพื้น หรือมีอัธยาศัยที่พึงพอใจกับวิชชาอีกวิชชาหนึ่ง ที่เป็นความเกี่ยวเนื่องกับการฝึกกายทิพย์ ทำให้กายทิพย์ของเรามีความละเอียดพิสดาร มีความชัดเจน การกำหนดอาทิสมานกายเห็นชัดเจนขึ้น แผ่เมตตาสว่างไกลขึ้น กำลังความเข้มข้นของการแผ่รัศมีกาย การส่งพลังจากรัศมีของจิตมีพลังขึ้นก็คือ การฝึกกายสายรุ้ง

กายสายรุ้งนี่อันที่จริงแล้ว องค์ลามะน้อยที่ท่านได้เสด็จมา เป็นองค์ที่นำไปเผยแผ่ที่ทิเบต เป็นองค์ต้นของวิชชานี้พอดี กายสายรุ้งที่ว่าก็ไล่ตั้งแต่สีของรุ้งทั้งหมดกำหนดที่กาย ม่วง คราม น้ำเงิน เขียว เหลือง แสด แดง อันนี้ก็ไล่ไป แล้วก็ไล่กลับ แดง แสด เหลือง เขียว น้ำเงิน คราม ม่วง ไล่อนุโลมปฏิโลม คือไล่ขึ้นไล่ลง เห็นกายเป็นแสง กลายเป็นผลึก    อัญมณี เห็นโครงกระดูกทั้งหมดในกายเป็นแก้วอัญมณีสีนั้น จนกระทั่งมาจบที่กายเป็นเพชรประกายพรึกรุ้งละเอียดอย่างยิ่ง ไล่ขึ้นไล่ลงสลับไปมาจนกระทั่งหมดเวลา อันนี้ก็สำหรับคนที่ฝึกวิชชาทางสายพระโพธิสัตว์กายรุ้ง

สำหรับคนที่ฝึกกายทิพย์ในกำลังของมโนมยิทธิเราก็ฝึกง่ายๆ ถ้าเราทรงอารมณ์ที่จะยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพานนานๆไม่ได้ ก็กำหนดให้เห็น กายพระวิสุทธิเทพเดินจงกรมรอบวิมานของสมเด็จองค์ปฐม ในแต่ละย่างก้าวค่อยๆเยื้องย่างช้าๆ แต่ละย่างก้าวที่สัมผัสพื้นของวิมานก็มีดอกบัวรองรับ ผัสสะของเท้าของกายทิพย์สัมผัสได้ถึงความนิ่มของดอกบัวแก้ว ความเป็นทิพย์ในความเป็นแก้วในความเป็นทิพย์ต่างๆ เราอย่าไปคิดว่าแก้วแล้วจะแข็ง

ตัวอย่างพระแท่นบรรทมศิลาอาสน์  พระแท่นของพระอินทร์ยังมีความนิ่ม อันที่จริงตามตำนานกล่าวไว้ว่า พระแท่นของพระอินทร์ยามที่นั่งลงไปนั้นนิ่มลึกลงไปจนกระทั่งถึงสะดือ คือนั่งแล้วนิ่มจมลงไปถึงบริเวณสะดือ แต่ถ้าเมื่อไรมีเหตุที่คนดี พระโพธิสัตว์ ผู้ที่มีบุญตกระกำลำบาก ก็จะเกิดเหตุที่พระแท่นนั้น พลันกระด้างคือแข็งขึ้น อันที่จริงตอนนี้คนที่ลงมาสร้างบารมีก็มีความยากลำบากกันหลายคน ก็ขอให้พระแท่นท่านได้แสดงความกระด้าง ขอท่านเมตตามาโปรด มาสงเคราะห์คนที่ทำประโยชน์ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ด้วยเถิด

อันนี้ก็เล่าเกร็ดต่อเนื่องให้ฟัง สำหรับคนที่ทรงกำลังในมโนยิทธิก็กำหนดเดินจงกลมรอบวิมานของสมเด็จองค์ปฐมท่าน ตั้งใจว่าเดินจงกรมไปโดยที่จิตไม่คลาดจากพระนิพพานเลย อันนี้ก็เทคนิคในการฝึกการทรงอารมณ์สมาธิโดยใช้กำลังความสามารถศักยภาพของจิตในเลเวลคือลำดับขั้นต่างๆ

อันนี้ก็ให้เราลองพิจารณาดูว่ากำลังใจในการฝึกสมถะ กำลังใจในฌานสมาบัติต่างๆ เราได้ในขั้นไหนจุดใด

ใช้กำลังในจุดใดได้ หรือทุกข้อใช้ได้ทั้งหมด ใช้ได้ทั้งหมดเราก็ลองทดลองที่จะทำให้เกิดความคล่องตัวในทุกเรื่องในทุกมิติดังที่กล่าวมา

อาจารย์เองเวลาปฏิบัติก็จะมีช่วงเวลาที่ย้อนกลับไปทบทวนอารมณ์กรรมฐานเก่ากรรมฐานต่างๆ ทบทวนวิชาให้มีความคล่องตัวในทุกจุดเสมอด้วยเช่นกัน แต่เราบางคนบางครั้งยังไม่เคยทบทวนยังไม่เคยทำยังไม่ทำให้ครบเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นก็จงอาศัยระยะเวลาโอกาสที่จำเป็นต้องนั่งสมาธิเองนานๆ ฝึกพิจารณาทบทวนใคร่ครวญ ฝึกฝนจนเป็นวสีได้ ตรงนี้ก็ฝากไว้เป็นเคล็ดลับสำหรับการปฏิบัติให้กับทุกคนต่อไป ซึ่งอันที่จริงจุดนี้ก็ได้กล่าวถึงในห้องครูเมตตาสมาธิแล้ว อีกจุดหนึ่งที่อยากให้เราฝึกปฏิบัติสามารถเดินจิตเจริญเมตตาเองได้ก็คือ การแผ่เมตตาอัปปันนาณฌาน แผ่เมตตาสามโลกธาตุ แผ่จนมีกระแสความรู้สึกเย็น ความสว่าง กระแสบุญแผ่ออกไปได้ เมื่อไรที่เราแผ่ออกไปจนเกิดผลได้ เราจะพบว่าเกิดผลอย่างอัศจรรย์ในการปฏิบัติธรรมอย่างยิ่ง เกิดผลที่มันสะท้อนกลับมากับตัวเรามากมายอย่างยิ่ง อันนี้ก็ฝากไว้สำหรับทุกคน

สำหรับวันนี้ เนื่องจากพรุ่งนี้อาจารย์เองก็มีธุระจำเป็นจะต้องไปงานบวงสรวงของทางวัดมเหยงค์ ซึ่งเป็นการบวงสรวงเพื่อสำนักสอนวิปัสสนากรรมฐาน ครูที่สอนสมาธิสอนธรรมะทางวัดมเหยงค์ท่านให้ไปช่วยเพื่องานบวงสรวง เพื่อที่จะได้เปิดในส่วนของกระแสธรรม เชื่อมกระแสจากพระนิพพานให้คนที่มาปฏิบัติธรรม ได้ผลแห่งการปฏิบัติ เกิดความก้าวหน้า เกิดฌานสมาธิ แล้วต้องไปตั้งแต่เช้าแล้วกันก็จะขอเวลาซักวันนี้เพียงเท่านี้

สำหรับเราทุกคนก็ขอให้มีความตั้งใจ ต่อไปหลายๆแห่ง หลาๆสำนัก  คาดว่าจะมีความเข้มข้นในการปฏิบัติกันมากขึ้นสูงขึ้นกัน เรื่องต่างๆเหล่านี้เป็นเรื่องที่พระท่านสงเคราะห์ งานหลายๆอย่างที่อาจารย์รับมา ได้หลายเหตุการณ์ก็จะมาสอดคล้องกันกับที่ครูบาอาจารย์หลายท่านหลายสายได้รับมาด้วยเช่นกัน ดังนั้นทุกอย่างทุกงานทุกสายล้วนเป็นไปเพื่อส่วนรวม ให้เราทุกคนตั้งใจกำลังใจไว้เช่นนี้ไว้เสมอ

สำหรับวันนี้ก็ขอให้เราทุกคนมีความสุข มีความเจริญ มีความก้าวหน้าในธรรม มีปัญญา มีความเพียร มีความขยันที่จะพิจารณาไตร่ตรองใคร่ครวญการปฏิบัติของตนเองให้ก้าวหน้ารุดหน้าขึ้น

พิจารณากำลังใจของเราให้เข้มแข็ง ไม่หวาดผวาไปกับข่าวทั้งหลายภัยทั้งหลาย จิตมีความตั้งมั่นพรั่งพร้อมในความกตัญญูต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ไว้เสมอ ก็ขอให้เราทุกคนมีความสุขความเจริญ ต่างโมทนาสาธุในกุศลผลบุญของเราทุกคนเช่นกัน ขอให้ทุกคนมีความสุขความเจริญ

สวัสดี

ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย : คุณ Be Vilawan

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหานี้ได้