green and brown plant on water

วันออกพรรษา วันพระใหญ่

เวลาอ่าน : 3 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน” 

วันอาทิตย์ที่ 29 ตุลาคม 2566

เรื่อง วันออกพรรษา วันพระใหญ่

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

กำหนดจิตผ่อนคลายปล่อยวางร่างกาย ปล่อยวางความกังวลอารมณ์ที่คั่งค้างในระหว่างวันของเราให้หมด ทั่วร่างกายของเราปลดปล่อยกำลัง ตัดร่างกายตัดความสนใจในกาย จดจ่ออยู่กับลมหายใจสบาย เข้าออกละเอียดเบาสบาย เข้าสู่ความสงบของจิต จดจ่ออยู่กับความสงบนิ่งผ่องใส ภายในดวงจิตของเราแย้มยิ้มเบิกบาน 

จากนั้นกำหนดจิต จินตภาพเห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรไหม เป็นประกายระยิบระยับแพรวพราวพลิ้วผ่านเข้าออกภายในกายของเรา ลมหายใจละเอียด เบา สงบ ยิ่งลมหายใจสงบระงับลงเท่าไหร่ จิตยิ่งเข้าถึงความสุข ยิ่งเข้าถึงฌานสมาธิในระดับที่สูงขึ้น ลมหายใจสัมพันธ์กับอารมณ์จิตสัมพันธ์กับระดับฌานสมาธิ  ลมปราณสัมพันธ์จิตใจ คุมลมปราณได้คุมอารมณ์จิตได้ คุมอารมณ์จิตได้นั่นหมายถึงว่าเรามีสติที่จะรู้เท่าทัน และระงับการปรุงแต่ง ระงับกิเลส อยู่กับลมหายใจสบายสงบ ผ่องใส ภายในจิตแย้มยิ้มเบิกบาน 

จากนั้นกำหนดจิตต่อไป ในความสงบลมหายใจที่เบาลง ละเอียดลง หรือบางท่านลมหายใจสงบระงับคือหยุดหายใจ เข้าถึงฌาน 4ในอานาปานสติอันเป็นฌาน 4 ใช้งาน เป็นอุปจารสมาธิที่สามารถต่อยอดไปสู่การฝึกในมโนมยิทธิในญาณเครื่องรู้ต่างๆ ในความสงบ ในอุเบกขารมณ์ เอกัตคตารมณ์ ลมหายใจที่สงบระงับ นิ่งหยุด จุดที่นิ่งจุดที่หยุด เรากำหนดให้จุดที่หยุดของลมที่เรากำหนดรู้ได้ กำหนดตัวหยุด จุดที่หยุดนั้นให้เกิดกลายเป็นลูกแก้ว ลูกแก้วภาพนิมิตสัมพันธ์กับดวงจิต ลูกแก้วที่ปรากฏคือจิตของเรา จิตของเราที่เป็นลูกแก้วค่อยๆใสขึ้นสว่างขึ้น เป็นกสิณจิต ลูกแก้วที่ใสมีแสงสว่างเหมือนกับหลอดไฟสว่างจ้าขึ้น ตลอดไฟมีความขาวใส  ดวงแก้วมีความใส นิมิตที่ปรากฏขึ้นจากกสิณจิต คืออุคคหนิมิต จากอุคคหนิมิต เราแปรสภาพกำหนดจินตภาพเปลี่ยนภาพของจากลูกแก้วใสให้กลายเป็นเพชรที่เจียระไนละเอียดยิบ จิตของเรากลายเป็นเพชรระยิบระยับเจิดจ้า มีลักษณะพิเศษคือเส้นแสงรัศมีของจิต เป็นเส้นที่กระจายออกไป เป็นเส้นตรงกระจายโดยมีจุดศูนย์กลางจากดวงจิตของเรา เป็นเส้นแสงสว่าง 

กำหนดให้ดวงจิตของเราเปล่งประกายเจิดจ้าอย่างยิ่ง เส้นแสงสว่างกว้างออกไปโดยรอบรัศมีเป็นเส้นยาวออกไป 1 วา กำหนดทรงอารมณ์ไว้ เส้นแสงรัศมีทะลุกายเนื้อครอบคลุม ลูกแก้วคือดวงจิตนั้นอยู่ภายในอกของเรา หรือบางคนตั้งฐานที่จิต ตั้งฐานจิตไว้ที่ท้องก็กำหนดที่ท้อง บางคนถนัดที่ภายในกลางอกก็กำหนดที่กลางอก ตามแต่ที่ตัวเองรู้สึกถนัด รู้สึกสบายพอใจ กำหนดแสงรัศมีแผ่สว่าง ทรงอารมณ์ ทรงภาพนิมิต ทรงสภาวะไว้ 

ตั้งใจว่าการฝึกทรงอารมณ์ทรงฌานนี้ เป็นการฝึกเพื่อให้เกิดวสีแห่งจิต เพื่อให้เกิดจิตตานุภาพของจิตค่อยๆสะสม ยิ่งนิ่งยิ่งทรงภาพนิมิตสงบนิ่งตั้งมั่น ทรงตัวได้นานเท่าไหร่ จิตตานุภาพยิ่งปรากฏยิ่งผนึกแน่นในจิตของเรามากขึ้นเพียงนั้น เข้าใจและรู้ในกุศโลบายแห่งการฝึกในการปฏิบัติและประโยชน์แห่งการปฏิบัติแต่ละจุดให้ชัดเจน ทรงอารมณ์ไว้ ทรงภาพนิมิตไว้ นิ่งหยุด จิตเป็นเพชรระยิบระยับแพรวพราวเส้นแสงสว่างชัดเจน ยาว รัศมีกว้างออกไป 1 วา หรือ 2 เมตรโดยประมาณโดยรอบ

วางอารมณ์เบาๆสบายๆ จิตของเราเปล่งเส้นแสงรัศมีออกมาอยู่ตลอดเวลา กำหนดว่าภายในจิตของเรารวมเอาบุญกุศลอันเกิดขึ้นจากทาน  ศีล การเจริญภาวนา การเจริญเมตตาฌาน พรหมวิหาร 4 บารมีทั้ง 30 ทัศ รวมผนึกไว้ในจิตของเรา บุญรวมตัว กุศลรวมสู่ใจ 

จากนั้นเรากำหนดจิตต่อไป ทรงอารมณ์ที่จิตเป็นเพชรประกายพรึก แต่อธิษฐานจิตขอให้ปรากฏภาพองค์พระอยู่ในดวงจิตที่เป็นเพชรประกายพรึกนั้น กำหนดน้อมให้ปรากฏภาพพุทธนิมิตเป็นสมเด็จองค์ปฐม อยู่กลางจิตกลางใจของเรา เส้นแสงรัศมียิ่งส่องสว่าง ฉัพพรรณรังสีของพระพุทธองค์ยิ่งเปล่งประกายออกมา  สภาวะรายรอบพ้นจากเส้นแสง ปรากฏความเป็นประกายพรึกระยิบระยับเหมือนกับมีกากเพชรโปรยปรายรายรอบระยิบระยับแพรวพราวไปหมด   ทรงอารมณ์จิตที่ผ่องใส ทรงอารมณ์ไว้ องค์พระอยู่ภายในดวงจิตของเรา กำลังแห่งพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ ผนึกรวมลงสู่จิต จิตของข้าพเจ้าเข้าถึงไตรสรณคมน์ มีคุณแห่งพระพุทธเจ้า คุณแห่งพระธรรม คุณแห่งพระอริยะสงฆ์ เป็นสรณะเป็นที่พึ่งที่อาศัยสูงสุดตลอดชีวิตตราบเท้าเข้าสู่พระนิพพาน ทรงอารมณ์เปล่งประกายแสงสว่าง 

กำหนดน้อมพิจารณา ว่าเมื่อเราน้อมอธิษฐานพุทธานุภาพอาราธนาบารมีสมเด็จองค์ปฐมพระพุทธเจ้ามาอยู่ในจิตของเรา กำลังความสว่างความผ่องใสของจิต จากที่เราทรงอารมณ์ด้วยกำลังทานของฌานที่เราทำเอง กับที่มีกำลังของพระพุทธองค์ เราสัมผัสเราแยกแยะเรารู้สึกได้ไหม ว่าเมื่อเรากำหนดภาพพระแล้วจิตตานุภาพแสงสว่างยิ่งชัดเจนขึ้นผ่องใสขึ้น  ทรงอารมณ์ทรงภาพพระไว้ 

จากนั้นกำหนดจิตต่อไป อธิษฐานขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอยกจิตอาทิสมานกายของข้าพเจ้า ขึ้นไปบนพระนิพพานด้วยเถิดพระพุทธเจ้าค่ะ กำหนดจิตพุ่งอาทิสมานกายขึ้นไปปรากฏเป็นกายแห่งพระวิสุทธิเทพอยู่บนพระนิพพานท่ามกลางมหาสมาคมมีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน พรั่งพร้อมด้วยพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ อันเป็นสาวกของพระพุทธเจ้านับตั้งแต่สมเด็จองค์ปฐมเป็นต้นมา  จนถึงพระอรหันต์ผู้เป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันจำนวนมากมายมหาศาล อาทิสมานกายของเราปรากฏสว่างท่ามกลางมหาสมาคมทุกท่านทุกพระองค์พร้อมกันชัดเจน  ทรงอารมณ์ทรงสภาวะกำหนดในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ ความรู้สึกสัมผัสถึงกาย ถึงเครื่องทรง ถึงเครื่องประดับ ทิ้งกายที่เป็นขันธ์ 5 กายเนื้อบนโลกมนุษย์ ความรู้สึกของเรา รู้สึกสัมผัสได้ถึงกายพระวิสุทธิเทพที่ปรากฏ  ชฎาที่สวมใส่ เครื่องประดับทับทรวง อินทรธนู ทานพระกร สนับเพลา ฉลองพระบาทปลายงอน ตลอดจนดอกบัวแก้วที่บานรองรับไม่ว่าเราจะเดินหรือจะนั่งก็ตาม เรากำหนดชัดเจนอยู่ ความรู้สึกในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพนั้นชัดเจน 

จากนั้นกำหนดจิตพิจารณาทวนอารมณ์พระนิพพาน การทวนอารมณ์พระนิพพานทุกครั้งที่เรายกจิตในกำลังของมโนมยิทธิขึ้นมาบนพระนิพพานนั้น เพื่อเป็นการแก้ความเฝือ เพื่อเป็นการที่เราจะได้ป้องกันไม่ใช่เพียงแค่เรายกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานด้วยลักษณะของภาพจำ แต่เราขึ้นมาบนพระนิพพานด้วยกำลังของพระกรรมฐาน ด้วยกำลังของฌานสมาบัติ เมื่อเราทบทวนในอารมณ์พระนิพพาน ความถูกต้องแม่นยำในญาณทั้งหลายก็จะมีตรงมากกว่าบางครั้งเราเผลอ กำหนดจิตหรือน้อมนึกแต่เป็นเพียงภาพจำ กำลังของกรรมฐานที่ปรากฏในการฝึกมโนมยิทธินั้น อารมณ์กรรมฐานเราต้องได้อารมณ์พระนิพพานเป็นเช่นไร อารมณ์พระนิพพานนั้นคืออารมณ์ที่เราตัดสังโยชน์ทั้ง 10 ประการ  เป็นสมุจเฉทปหาน ชั่วขณะเวลาที่เราขึ้นมาบนพระนิพพานด้วยสภาวะดังกล่าว อารมณ์จิตเราเสมือนกับอารมณ์ของอรหัตผล  คืออารมณ์จิตนั้นไม่มีความเกาะในร่างกายขันธ์ 5 กายเนื้อ ตัดขันธ์ 5 ได้ขาดได้สิ้น อารมณ์จิตต่อมาก็คือความห่วงใยในบุคคลทั้งหลาย    ความห่วงในทรัพย์สินวัตถุเงินทอง ภาระหน้าที่การงาน สมมุติลาภยศสรรเสริญตลอดรวมไปจนถึงบุคคลอันเป็นที่รัก จิตของเราก็ไม่เกาะไม่ห่วงด้วยมีความเข้าใจในสมมุติ  จิตละสมมุติทั้งปวง

อารมณ์จิตต่อมาก็คืออารมณ์ตัดการเกาะในความสุขของสวรรค์สมบัติ  คือทิพยสมบัติอันไล่ขึ้นไปตั้งแต่สมบัติแห่งการเกิดการจุติเป็นรุกขเทวดา พรหมเทวดา อากาศเทวดาทั้ง 6 ชั้น พรหมโลกทั้ง 16 อรูปพรหมทั้ง 4 จิตเราไม่เกาะไม่ยึดไม่เสียดายไม่อาลัย  แม้บุญกุศลบารมีและวิมานเราก็มีพรั่งพร้อม  จะเป็นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็ดี  หรือพรหมก็ดี เรามีวิมานอยู่ แต่เราไม่ยินดีในภพในการเกิดทั้งหลาย เรายินดีอยู่จุดเดียวก็คือพระนิพพานเป็นที่สุด อารมณ์จิตของพระนิพพานก็คือตัดความปรารถนาตัณหาทะยานอยาก ความพอใจในการเวียนว่ายตายเกิด ตัดความเพลิดเพลินในภพทั้งหลาย จิตตัดพยาบาทการจองเวรทั้งหลาย จิตปิดอบายภูมิทั้งหลาย นั่นก็คือภพภูมิ ตั้งแต่สัตว์เดรัจฉานลงไปจนถึงโลกันตนรก เมื่อเราปิดทั้งหมดคือตัดภพภูมิทั้งหลายจิตเราก็เหลือจุดเดียวก็คือปรารถนาในพระนิพพานเป็นที่สุด เมื่อเราปรารถนาในพระนิพพานเป็นที่สุด มีพระนิพพานอยู่เป็นจุดเดียว อารมณ์จิตก็แนบอยู่กับพระนิพพาน เกิดธรรมะฉันทะในพระนิพพาน อารมณ์จิตปลดระวางภาระของใจจนสิ้น สายโยงใยแห่งความห่วงความผูกพันความกังวล ทั้งบุคคลทั้งหน้าที่ภาระทั้งหลายจบสิ้นแล้ว ดังนั้นศัพท์ในพระพุทธศาสนาจึงใช้คำว่า จบกิจ สิ้นภพจบชาติ ดังนั้นอารมณ์จริงๆของอารมณ์พระนิพพานก็คือสิ้นภพจบชาติ ดับไม่เหลือเชื้อแห่งการเกิด 

เมื่อเราเข้าใจกระจ่างแจ้งในธรรมในคำอธิบายอรรถาธิบายของการปฏิบัติ จิตเราตัดสรรพกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน ใจเราอยู่กับพระนิพพานจุดเดียวได้เมื่อไหร่ ก็เข้าถึงอรหัตผล กำหนดใจของเราตอนนี้  ทรงอารมณ์แห่งพระนิพพาน ทรงสภาวะในกายพระวิสุทธิเทพ “นิพพานัง ปรมัง สุขัง”

กำหนดใจของเรา วันนี้เป็นวันออกพรรษาเป็นวันพระใหญ่ เริ่มต้นกาลแห่งกาลกฐิน เป็นเทศกาลงานบุญครั้งใหญ่ วันออกพรรษาเป็นวันที่พระพุทธองค์ทรงเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์จากการโปรดพระพุทธมารดา เราก็น้อมจิตน้อมกราบโมทนาสาธุ เหตุผลสำคัญของวันที่พระพุทธองค์ทรงเสด็จจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น เป็นวันที่พระพุทธองค์ ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์และทรงแสดงปาฏิหาริย์สำคัญอย่างยิ่งคือทรงเปิดโลกทั้ง 3 เปิดสังสารวัฏทั้งหมดให้พบเห็นพร้อมกัน คือสรรพสัตว์ทั้งหลายตั้งแต่นรก สงบนิ่งหยุด โทษทัณฑ์ทั้งหลายหยุดลง ไฟนรกดับลงชั่วเวลา สัตว์นรกขึ้นไปจนถึงมนุษย์ เทวดาพรหม ล้วนแล้วแต่เห็นพระพุทธองค์ทรงแสดงปาฏิหาริย์ เปล่งฉัพพรรณรังสี จนทุกภพภูมิเห็นพระพุทธองค์และต่างเห็นกันหมด เราน้อมจิตพิจารณาให้เห็นภาพเหตุการณ์ฉัพพรรณรังสีสว่างเจิดจ้าอย่างยิ่ง สรรพสัตว์ทั้งหลายเห็นพระพุทธองค์ก็เกิดความศรัทธาเลื่อมใสอย่างยิ่ง เหตุผลของการแสดงยมกปาฏิหาริย์นั้น  เป็นไปเพื่อการกระตุ้นปลุกเปิด ปลุกก็คือปลุกตื่น เปิดโลก เปิดจิต ในกาลครั้งนั้น สรรพสัตว์ทั้งหลายไม่ว่าจะอยู่ในภพใด เกิดมีความศรัทธา เกิดมีความชื่นชม มีความรู้สึก ปรารถนาที่อยากจะเป็นพระพุทธเจ้าบ้าง ซึ่งการแสดงยมกปาฏิหาริย์นั้น นอกเหนือที่จะทำให้สรรพสัตว์ได้ล่วงรู้ ว่าโลก ภพภูมิ มันมีการเปลี่ยนแปลงผันแปรไป

ไตรภูมิปรากฏชัดเจนชัดแจ้งในจิต เป็นประการที่ 1 เห็นภพภูมิ เห็นการเวียนว่ายตายเกิด รู้ว่ามีดวงจิตจุติบ้าง เสวยบุญบ้าง เสวยทุกขเวทนาบ้าง ในสังสารวัฏ อันถือว่าเป็นวิปัสสนาญาณ เพื่อให้เห็นความทุกข์ในสังสารวัฏ เพื่อให้เห็นคุณของพระนิพพาน อันนี้เหตุผลของการเปิดโลก1

ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งก็คือกระตุ้นดวงจิตทั้งหลายที่มีเมล็ดพันธุ์แห่งโพธิจิต2 มีสรรพสัตว์มากมายแม้แต่มดแมลง ตั้งจิตอธิษฐานปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้าบ้างในอนาคตกาล จำนวนผู้ปรารถนาพุทธภูมิในยามที่พระพุทธองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์เปิดโลก ก็มีมากมายมหาศาลเช่นกัน แต่สุดท้ายแล้วบุคคลผู้ปรารถนาพุทธภูมินั้น บางท่านก็สามารถที่จะบำเพ็ญบารมีต่อไปจนกระทั่งบรรลุมรรคผลปรากฏเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล แต่สำหรับบางดวงจิตกำลังย่อหย่อนก็อาจจะลาพุทธภูมิตั้งแต่ต้นมือ ขึ้นอยู่กับกำลังความมุ่งมั่นกำลังใจกำลังศรัทธาว่ามีมากเพียงใด 

ดังนั้นเหตุการณ์ที่พระพุทธองค์ทรงเสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์  จึงเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญอย่างยิ่งในพระพุทธศาสนา เมื่อเราเห็นภาพเหตุการณ์เทวดาพรหมทั้งหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระอินทร์องค์อัมรินทราธิราชเจ้า ท่านท้าวสหัมบดีพรหม เสด็จมาส่งพระพุทธองค์ลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีหมู่เทวดาพรหมทั้งหลายห้อมล้อมโปรยดอกไม้ถวายฉัตร  สรรพสัตว์ทั้งหลายมองไปบนฟ้าปรากฏเห็นพระพุทธองค์ชัดเจนสว่างรุ่งโรจน์ พร้อมกับคลื่นกระแสของความสงบเย็น เราน้อมจิตให้เหมือนกับเราอยู่ในเหตุการณ์นั้น ซึมซับรับกระแสแห่งพระพุทธเมตตา กระแสแห่งกำลังที่พระพุทธองค์ทรงแสดงยมกปาฏิหาริย์ ใจเราเอิบอิ่ม กุศลนั้นเกิดขึ้นในจิตของเรา 

จากนั้นสิ่งต่อมาที่สำคัญก็คือเป็นวาระสำคัญพิเศษที่เราสามารถที่จะน้อมจิตน้อมใจ อุทิศส่วนกุศลให้กับบรรดาญาติทั้งหลาย พ่อแม่บิดามารดาในอดีตชาติ หรือแม้แต่ชาติปัจจุบัน ญาติทั้งหลายคนรักทั้งหลายที่อยู่ในนรกภูมิ สามารถอุทิศส่วนกุศลหรือบางครั้งบางคนก็สามารถจะช่วยสามารถที่จะโปรดพ่อแม่ตนเองขึ้นมาจากนรกได้ ขึ้นอยู่กับวาระกรรม ว่ากรรมนั้นเป็นกรรมเบาหรือกรรมหนัก กรรมหนักก็อาจจะไม่ช่วยเหลือสงเคราะห์มีแต่สามารถบรรเทาเบาบาง  ให้เบาลงบ้างผ่อนลงบ้างพักลงบ้างชั่วคราว แต่หากบุคคลใดพ่อแม่ญาติพี่น้องใกล้หมดผลของกรรมหรือกรรมนั้นไม่รุนแรงเกินไป ก็สามารถโปรดขึ้นมาได้ หรือบางคนญาติบุคคลที่เราจะช่วยเหลือสงเคราะห์ ยังพักรออยู่ที่สำนักท่านพญายม รอคำพิพากษาตัดสิน ก็สามารถที่จะน้อมบุญกุศลโมทนาสาธุ เมื่อโมทนาสาธุแล้วมีบุญมารองรับท่านก็เมตตาให้ผ่านไปเสวยบุญก่อน ตอนนี้ก็ให้เราซึ่งตอนนี้ให้เราตั้งกำลังใจอยู่บนพระนิพพาน ขออาราธนาบารมีขอพุทธานุญาต รวมถึงขออนุญาตครูบาอาจารย์คือหลวงพ่อฤาษีพระราชพรหมญาณ เมตตาพาอาทิสมานกายของข้าพเจ้า ไปช่วยเหลือไปโปรดบิดามารดา ลูกหลาน บุคคลอันเป็นที่รัก คู่บุญคู่บารมีหรือลูกหลานของเรา ท่านผู้มีพระคุณของเราที่ไปเสวยกรรมอยู่ในนรก เนื่องในวันออกพรรษา วันที่นรกหยุดทำการชั่วคราว เรามีกำลังมโนมยิทธิ เราน้อมจิตมากราบขออาราธนาบารมีครูบาอาจารย์ช่วยเหลือสงเคราะห์ได้โดยตรง ถือว่าเป็นกำไร เราก็รู้จักที่จะใช้กำไรใช้กำลังของฌานสมาบัติใช้ความสามารถของจิตให้เกิดประโยชน์ กำหนดน้อมจิตขอบารมีพระพุทธองค์ขอบารมีหลวงพ่อเมตตา นำพาอาทิสมานกายของเรา ลงไปที่สำนักท่านพญายม 

จำไว้อย่างว่าเวลาเมื่อไหร่ก็ตามที่เราลงไปที่นรก เราอย่าผลีผลามลงไปสุ่มสี่สุ่มห้าไปยังขุมนั้นขุมนี้ เขาจะเผลอจับตัวเราไป ไปที่ไหนเราก็ไปหาผู้ใหญ่ของสถานที่นั้นก่อนเสมอ ไปที่สวรรค์ก็ไปกราบท่านปู่พระอินทร์ ไปพรหมโลกก็ไปกราบท่านปู่ท้าวสหัมบดีพรหม ถ้าจำเป็นจริงๆต้องลงไปที่นรก ก็ไปกราบลุงพุฒ คือไปกราบท่านพญายมราช เมื่อกราบพญายมราชก็อธิฐาน ตอนนี้ก็ขอให้เราไปปรากฏที่สำนักท่านพญายม น้อมจิตกราบพญายมราช เราทรงอารมณ์ ทรงสภาวะ ทรงกายทิพย์ในสภาวะกายพระวิสุทธิเทพ  กำหนดอารมณ์จิตน้อมกราบอธิษฐาน เอาตัวเราเองก่อน น้อมจิตกราบลุงพุฒขอให้ลุงพุฒเมตตาปรากฏในสภาวะความเป็นจริง ขอจงปรากฏในสภาวะแห่งพรหม เรากำหนดน้อมให้เห็นท่านพญายมราชในสภาวะแห่งพรหมนั้น ไม่ต้องให้ท่านปรากฏองค์ในรูปลักษณ์ที่น่ากลัว รูปลักษณ์ที่น่ากลัวนั้นท่านเอาไว้ขู่ดวงจิตดวงวิญญาณของสัตว์นรกก็ดี หรือผู้ที่มีบาปหนาก็ดี เพื่อที่จะได้รู้จักเกรงกลัวต่อบาป เมื่อปรากฏภาพลุงพุฒในสภาวะแห่งพรหมแล้ว เราก็ตั้งจิตอธิษฐานของเราเองก่อน

ตั้งจิตนะ “บุญกุศลทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาในขณะที่มีชีวิต ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน ขอลุงพุฒพยายมราชตลอดจนนายนิริยบาลทั้งหลายได้อนุโมทนาสาธุในทุกบุญกุศล ขอท่านได้เมตตาเป็นพยานบุญของข้าพเจ้า พยานแห่งบุญกุศลที่ทำและมีส่วนร่วมในบุญกุศลด้วยทุกอย่างทุกประการ ทานก็ดี มหาสังฆทานที่ทำไว้ก็ดี กรรมฐานที่เจริญไว้ก็ดี พรหมวิหาร 4 เมตตาฌาน เมตตาอัปปันนาณฌานก็ดี กำลังกรรมฐานที่ข้าพเจ้าเจริญจิตเจริญอารมณ์พระนิพพานในทุกวันบ้างในทุกสัปดาห์บ้าง ยกจิตขึ้นพระนิพพานเป็นสิบครั้งร้อยครั้งพันครั้งหนึ่งแสนครั้งบ้าง อารมณ์จิตสงบสงัดจากกิเลสด้วยกำลังแห่งฌาน กำลังแห่งวิปัสสนาญาณ กำลังอารมณ์แห่งมโนมยิทธิ  กำลังอารมณ์จิตที่ทรงพระนิพพานไว้  ขอลุงพุฒและนายนิริยบาลได้มีส่วนร่วมในบุญกุศลทุกอย่างทุกประการ ขอให้ข้าพเจ้ามีกำลังกาย กำลังจิต กำลังบารมี ในการปิดอบายภูมิ เข้าสู่ความเป็นพระอริยะเจ้า เข้าสู่พระนิพพานได้ในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด”   กำหนดจิตนะ จากนั้นน้อมกราบท่าน

ต่อมาก็ให้เรากำหนดจิตอธิษฐานในความเป็นทิพย์ ขออนุญาตลุงพุฒ ท่านพญายมราช นายนิรยบาลทั้งหลาย  กำลังบุญแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บารมีของหลวงพ่อฤาษีพระราชพรหมยาน ขออนุญาตดวงจิตใจใดที่ร่วงลงสู่นรกภูมิที่มีบุญกุศลเกี่ยวเนื่องกับข้าพเจ้า เป็นบิดามารดาในอดีตชาติก็ดี เป็นบุคคลอันเป็นที่รักคู่บุญคู่บารมีเก่าของข้าพเจ้าก็ดี เป็นลูกเป็นหลานของข้าพเจ้าก็ดี เป็นท่านผู้เคยมีพระคุณต่อข้าพเจ้ามาก็ดี เป็นญาติทั้งหลายของข้าพเจ้าก็ดี เป็นปิยชนน์เพื่อนฝูงเคยเกื้อกูลช่วยเหลือรักใคร่ก็ดี ตลอดจนบุคคลทั้งหลายผู้อยู่ในพุทธภูมิวิสัยพลาดพลั้งร่วงหล่นลงสู่อบาย ข้าพเจ้าขอน้อมอาราธนาจงมาปรากฏเฉพาะในวิสัยที่สามารถโมทนา ในวิสัยที่สามารถผ่านพ้น ปรับภพภูมิขึ้นไปได้หรือบุคคลดวงจิตใดก็ตาม ที่สามารถจะบรรเทาเบาบางวาระโทษทัณฑ์กรรม จากหนักให้เบาลงบรรเทาช่วงเวลาแห่งการรับโทษทัณฑ์ ด้วยกำลังแห่งบุญได้ในการโปรดในการดับทุกข์ทั้งหลายได้ ก็ขอให้ดวงจิตทั้งหลายจงมาปรากฏเบื้องหน้าข้าพเจ้า  ณ บัดนี้ด้วยเถิด กำหนดดูนะบางคนก็จะเห็นเป็นกลุ่ม บางคนก็เห็นออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา กำหนดน้อมพิจารณาขอบุคคลทั้งหลายดวงจิตทั้งหลาย ขอท่านจงพ้นจากวิบากกรรม ข้าพเจ้าขออ้างกำลังแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง กำลังแห่งกระแสพระธรรมเป็นที่พึ่ง กำลังแห่งครูบาอาจารย์พระอริยะสงฆ์เป็นที่พึ่ง ขอบุญกุศลทั้งหลายแห่งองค์พระโพธิสัตว์เจ้า มาโปรดมาสงเคราะห์  และบุญที่ข้าพเจ้าถวายมหาสังฆทานเป็นประจำ ประจำเป็นนิจ ขอจงปรากฏขึ้น กำหนดจิตนะให้เห็นทิพยสมบัติอันเกิดขึ้นจากการถวายมหาสังฆทาน ขอจงเกิดเป็นทิพยสมบัติลอยอยู่เหนือดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายที่มารับ บุญกุศลที่ข้าพเจ้าสร้างวิหารทานไว้  ร่วมบุญบูรณะโบสถ์เจดีย์ วัดที่ถูกไฟเผาไหม้ทำลาย สร้างโบสถ์ สร้างพระวิหาร สร้างพระพุทธรูป ขอทิพยสมบัติทั้งหลายจงปรากฏลอยขึ้น อยู่เบื้องบนท่านทั้งหลายมากมายมหาศาล รวมเฉพาะอย่างยิ่งและขอให้ทิพยสมบัติบุญบารมีของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์พระอริยะเจ้าทุกพระองค์ พระโพธิสัตว์พระมหาโพธิสัตว์ทุกพระองค์จงปรากฏ เกิดเป็นทิพยสมบัติ พรหมสมบัติ นิพพานสมบัติ สว่างมากมายลอยอยู่ในทุกดวงจิตนั้น ขอท่านทั้งหลายดวงจิตทั้งหลายจงประนมมือ น้อมกล่าวคำสาธุการ อนุโมทนาสาธุน้อมรับทิพยสมบัติปรับภพปรับภูมิขึ้นสู่ภพภูมิ พ้นจากโทษทุกข์ภัยในนรกภูมิในอบายภูมิด้วยเทอญ ขอให้ท่านทั้งหลายจงโมทนาให้กึกก้อง ขอท่านทั้งหลายเมื่อปรับภพภูมิรับบุญแล้วจงรับด้วยกระแสแห่งสัมมาทิฏฐิกลับตัวกลับใจกลับจิต น้อมใจเข้าสู่กุศล เข้าสู่ธรรม เข้าสู่ความสงบเย็น เข้าสู่สัมมาทิฏฐิด้วยเถิด ขึ้นมาแล้วก็จงเป็นผู้สร้างประโยชน์สร้างความสุข ขึ้นมาแล้วก็จงเป็นผู้ปราศจากการเบียดเบียน ขึ้นมาแล้วก็ขอจงเป็นผู้ที่อโหสิกรรมให้อภัยทานต่อกัน ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายขอท่านทั้งหลายโดยเฉพาะพ่อแม่ท่านผู้มีพระคุณ ครูบาอาจารย์ของข้าพเจ้าได้พ้นจากภัยแห่งอบายภูมิในวันออกพรรษานี้ด้วยเถิด ดวงจิตดวงวิญญาณในภพของเปรตอสุรกายทั้งหลายที่พึงโมทนาได้เป็นญาติ พ้นจากทุกข์ภัยได้ก็ขอจงพ้นจากทุกข์นั้นเทอญ ท่านที่ประสบความทุกข์ ก็ขอให้พ้นจากความทุกข์ ท่านที่สุขอยู่แล้วก็ขอให้สุขยิ่งๆขึ้นไป ขอจงโมทนาสาธุรับทิพยสมบัติไปพร้อมกับกระแสแห่งธรรมความชุ่มเย็น กระแสแห่งสัมมาทิฏฐิด้วยเถิด

กำหนดดูกำหนดรู้นะดวงจิตทั้งหลายปรับภพภูมิขึ้นไปไหม แสงสว่างขึ้นไปไหม เปลี่ยนเครื่องทรงเปลี่ยนชุดไหม จากเศร้าหมองกลายเป็นกายที่มีรอยยิ้มมีแสงสว่างไหม  สิ่งสำคัญที่สุดก็คือจิตของเรานั้นมีความอิ่มเอมยินดีไหม มีความผ่องใสไหม โปรดช่วยเหลือพ้นจากทุกข์ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่งก็คือกระแสบุญที่น้อมผสมกลมกลืนกับกระแสแห่งธรรม ขอกระแสแห่งธรรมความชุ่มเย็นสัมมาทิฐิจงรินไหลสู่ทุกดวงจิตของสรรพสัตว์ พ่อแม่ ท่านผู้มีพระคุณ ญาติทั้งหลาย ปิยชนทั้งหลาย บุคคลดวงจิตที่อยู่ในวิสัยที่เราสงเคราะห์ได้ทั้งหลาย พระโพธิสัตว์หรือแม้แต่พุทธภูมิที่พลาดร่วงหล่นลงสู่อบาย ขอจงเข้าถึงความเป็นสัมมาทิฐิ กำหนดในความเป็นพระวิสุทธิเทพ ทรงอารมณ์พนมมือไว้ น้อมกระแสแผ่เมตตายังทุกดวงจิตที่รออยู่ ทุกดวงจิตที่ปรับภพภูมิไปแล้ว แผ่เมตตา แผ่มุทิตา เมื่อเขาดวงจิตใดลอยขึ้นไปใจเรายินดีกับความสุข ยินดีกับความพ้นทุกข์ จิตเราก็เกิดมุทิตาญาณ ยินดีเป็นสุข กายพระวิสุทธิเทพยิ่งสว่างขึ้น

จากนั้นกำหนดจิตพิจารณาดูขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขออนุญาตท่านพญายมราชลุงพุฒ ขอให้เห็นว่าดวงจิตที่เราช่วยเหลือได้ กับดวงจิตที่ตกค้างอยู่ในนรกทั้งหลายทุกขุม จิตที่ตกค้างอยู่ในนรกทั้งหลายทุกขุมนั้นมีจำนวนมากมายมหาศาลเพียงใด ขอให้เรากำหนดรู้อยู่ เราช่วยไปได้เพียงส่วนเดียว สำหรับบางคนอาจจะเห็นว่าเยอะมากมายสุดลูกหูลูกตา แต่ถ้าเทียบกับจิตที่พลาดพลั้งล่วงหลงลงสู่นรกทั้งหลายทุกขุมนั้น มีจำนวนมากมายจนนับไม่ถ้วน มากมายเพราะดวงจิตในสังสารวัฏนี้ ไม่ได้มีแค่หลักล้าน  แต่มีเป็นหลักอสงไขยมากมายนับไม่ถ้วน เลข 0 นี่นับไม่ถ้วน ดังนั้นเราช่วยไปนี่อย่างเก่งก็หลักหมื่นหลักแสน แต่มีดวงจิตที่เสวยวิบากกรรมอีกมาก สิ่งสำคัญก็คือเราพิจารณาแล้วให้เห็นทุกข์ภัยแห่งอบายภูมิ ทุกข์ภัยในสังสารวัฏ เพื่อที่เราจะยิ่งเห็นคุณแห่งพระนิพพาน เมื่อทรงอารมณ์แล้วก็กำหนดจิต เราทำหน้าที่ในการโปรดปิยชนทั้งหลายแล้วเนื่องในวันออกพรรษา เราก็น้อมจิตกราบลาท่านพญายมราชลุงพุฒ น้อมจิตนะ อธิษฐานที่เราตั้งไว้ท่านรับรู้รับทราบเรียบร้อย

กำหนดจิตขึ้นไปบนพระนิพพาน ทรงอารมณ์พระวิสุทธิเทพ ทรงอารมณ์พระนิพพาน จากนั้นพิจารณาดูว่าในขณะที่เราลงไปที่นรก ลงไปที่สำนักท่านพญายม อารมณ์จิตที่สำนักพระยายมกับอารมณ์จิตบนพระนิพพาน มีความหนักมีความเบาต่างกันไหม คนที่จับอารมณ์ได้จะรู้สึกได้ว่ามีความเครียดมีความหนักต่างกันกับบนพระนิพพานอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นที่จริงแล้วถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องลงไป หรือแม้แต่ถ้าเราปฏิบัติในกำลังของมโนมยิทธิ ปฏิบัติจนจิตเราปรารถนาในพระนิพพาน ความชอบความพึงพอใจในการที่เราจะไปเที่ยวเล่นในภพต่างๆ มันจะจืดมันจะจางลงไปจนกระทั่งจิตเรานั้น ถ้าจะใช้มโนมยิทธิจุดเดียวที่มาเหลือเป็นพระนิพพานจุดเดียว ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆแล้วถือว่าก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรมมากขึ้น จริงๆหากได้มโนมยิทธิ  และยังมีความเพลิดเพลินอยู่กับการเที่ยวเล่นไปในภพโน้นภูมินี้ อันนี้ก็ยังถือว่าจิตในแง่ของการปฏิบัติเพื่อมรรคผลพระนิพพานนั้น เราก็ยังมีความติดอยู่กับภพภูมิต่างๆ เวลาที่เราใช้กำลังของมโนมยิทธิอันนี้เสริมขึ้นมา บางครั้งเวลาเราไปในภพต่างๆเช่นไปภพเมืองบาดาล ไปที่เมืองพญานาค บางทีเราก็กำหนดอธิษฐานอาทิสมานกายเป็นมนุษย์นาค คือกายแบบพญานาค บางคนกำหนดอาทิสมานกายเป็นพญานาคไปเลยไม่ใช่แค่มนุษย์นาค มนุษย์นาคนี้ก็คือกายเป็นเหมือนมนุษย์แต่สวมเศียรด้านบนคือมงกุฎเป็นพญานาค แต่บางคนแปลงกายเป็นพญานาคเลย หรือบางคนไปเที่ยวที่สวรรค์ก็กำหนดอาทิสมานกายเป็นเทวดาบ้างเป็นนางฟ้าบ้างตามภพนั้นๆ 

คราวนี้พระท่านฝากแนะนำคำสอนลงมา ว่าเมื่อเราปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน อันที่จริงเวลาเราไปภพอื่นภูมิใด ก็ให้เราไปด้วยกายแห่งพระวิสุทธิเทพ คือกายแห่งพระนิพพานนั้น เหตุผลท่านอธิบายไว้ว่า ให้เราลองสังเกตุ เวลาเราใช้กายของภพนั้นๆ อารมณ์จิตเราจะยิ่งสนิทสนมพึงพอใจเพลิดเพลินกับภพนั้น เช่นไปลงยังภพบาดาลเมืองบาดาลนาคนคร ยิ่งถ้าใครแปลงกายอาทิสมานกายเป็นพญานาคก็จะอดที่จะเลื้อยเล่นน้ำเพลิดเพลินทักทายเพื่อนฝูง  ท่านก็บอกว่าอารมณ์เช่นนี้กลายเป็นอารมณ์ที่พึงพอใจในภพ กลายเป็นเราติดในภพนั้น  แต่หากเราอยู่ในกายแห่งพระวิสุทธิเทพ ไปที่เมืองบาดาลความรู้สึกของเรา มันจะเป็นอารมณ์ที่เราตัด เห็นพญานาคก็เห็น เรากำหนดน้อมไปกราบไปทักทายแต่ใจเรารู้สึกว่า เราหมดเวลาเราหมดวาระเราไม่ได้ยินดีกับการเป็นพญานาคมาเกิดเป็นพญานาคอีกต่อไป   หรือแม้แต่เราไปบนสวรรค์จะเป็นชั้นดาวดึงส์ กายเป็นเทวดาเมื่อไหร่เจอเพื่อน เราอดไปทักทายอดที่จะไปเยี่ยมวิมานไปพูดคุยพบปะ อารมณ์ก็เหมือนว่าเราเป็นเทวดาในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้นเพลิดเพลินจดจ่อ แต่หากเมื่อไหร่เราไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์หรือชั้นใดก็ตาม แต่เราไปในกายพระวิสุทธิเทพเพราะเราตั้งใจแล้วว่าตายเมื่อไหร่แล้วจะไปพระนิพพาน อารมณ์จะเป็นอารมณ์ที่วางเฉยตัดมากกว่าอารมณ์ที่เราใช้กายของภพนั้นๆ  ดังนั้นต่อไปเมื่อเราใช้กำลังแห่งมโนมยิทธิ เราไปในภพใดก็ตามเรากำหนดรู้หรือกำหนดจิตใช้ญาณทั้ง 8 เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ใดก็ตามในอตีตังสญาณก็ดี อนาคตังสญาณก็ดี ก็พึงที่จะรักษาทรงอารมณ์ใจของเราเป็นกายพระวิสุทธิเทพไว้เสมอ หรือแม้แต่วิมานในภพต่างๆท่านก็บอกว่าถ้าหากยังมีวิมานอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ยังมีวิมานอยู่สวรรค์ชั้นพรหม มีวิมานอยู่บนพระนิพพาน เรายังเสียดายเก็บวิมานที่ชั้นอื่นไว้นั่นก็แปลว่าจิตของเรายังมีความเสียดายในภพนั้น แต่ถ้าเมื่อไหร่เรากำหนดจิตว่าวิมานของเราขอรวมบุญทั้งหลาย มีเพียงนิพพานสมบัติคือวิมานบนพระนิพพานจุดเดียว อาทิสมานกายก็กำหนด เป็นกายพระวิสุทธิเทพเพียงจุดเดียว นั่นก็แปลว่าอารมณ์จิตเราแนบอยู่ในพระนิพพานมากกว่า อันนี้ก็ให้เราลองพิจารณาตามดู 

สำหรับวันนี้เรากำหนดจิตยกอาทิสมานกายอยู่บนพระนิพพานแล้ว กำหนดจิตอธิษฐานบุญทั้งหลายที่ข้าพเจ้าปฏิบัติมาตลอดพรรษา ทาน ศีล ภาวนา ปฏิบัติธรรม  การเร่งรัดการปฏิบัติ ข้าพเจ้าขอน้อมจิตถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ขอให้จิตอันมีความเพียรมีความมุ่งมั่นนี้ ยังประโยชน์ส่งผลให้ข้าพเจ้าเข้าถึงพระนิพพานได้อย่างง่ายดายในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด ขอบุญกุศลทั้งหลายยังประโยชน์ต่อพ่อแม่ทั้งในชาติปัจจุบันและอดีตชาติ พ่อแม่ที่ท่านเสียชีวิตไปแล้วหรือยังอยู่ก็ตาม ขอให้อาทิสมานกาย กายในของท่านได้โมทนาสาธุในทุกบุญกุศลของข้าพเจ้าด้วยเถิด  

จากนั้นนะให้เรากำหนดจิตกราบลาพระพุทธเจ้า กราบลาครูบาอาจารย์  กราบลาหลวงพ่อ  น้อมจิตกราบด้วยความนอบน้อมด้วยความเคารพ อาทิสมานกายสว่างเจิดจ้าอย่างยิ่ง อารมณ์จิตตัดร่างกายขันธ์ 5 ตัดภพจบชาติ จิตตั้งมั่นในพระนิพพาน บุญกุศลความดีทั้งหลายรวมอยู่ในกายพระวิสุทธิเทพนี้

จากนั้นน้อมอาทิสมานกายพุ่งกลับลงมายังร่างขันธ์ 5 พร้อมกับน้อมนำกระแสแห่งพระนิพพานลงมาเป็นลำแสงสว่างสีขาวคลุมร่างขันธ์ 5 กระแสธรรม พระแสพระนิพพานฟอกชำระล้างธาตุขันธ์ ชำระล้างโรคภัยไข้เจ็บ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ใสสว่างเป็นแก้ว อัฐิกระดูกเส้นเอ็นสว่างใสเป็นแก้ว กล้ามเนื้อทุกส่วนอวัยวะภายในอาการ 32 สะอาดสว่างใสเป็นแก้ว กายจิตของเราสว่างใส สะอาดสว่าง สงบเย็น 

จากนั้นหายใจเข้าลึกๆช้าๆ หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ 

หายใจเข้าช้าลึกยาว กำหนดจิต  ธัมโม

หายใจเข้าออกช้าลึกยาว กำหนดสังโฆ 

ในการกำหนดถอนจิตจากสมาธิ กำหนดว่าจิตถอนจากสมาธิ ใจเราทรงในสรณคมน์ ไตรสรณคมน์ตั้งมั่นในจิต เมื่อลืมตาขึ้นกำหนดภายในจิตยิ้มเบิกบาน ดอกบัวบานผุดมีดวงแก้วอยู่กลางดอกบัวผุด ปรากฏบานขึ้นในจิต

อันนี้เสริมนิดนึงนะ ภาพนิมิตที่ปรากฏดอกบัวบานมีดวงแก้วอยู่กลางดอกบัว สว่าง ใจแย้มยิ้มเอิบอิ่ม เป็นนิมิตของคาถา มหายานที่กล่าวว่า “โอมมณี ปัทเมหุบ” โอมนั้นเป็นการกำหนด มณีก็คือดวงแก้ว ปัทเมปัทมะก็คือดอกบัว โอมเป็นคำกล่าวองค์การตั้งจิตอธิษฐานปลุกให้เกิดดอกบัวแห่งโพธิญาณ แห่งการบรรลุธรรมได้บานในจิต จิตคือดวงแก้วที่สว่างใสอยู่บนดอกบัว โอมมณีปัทเมหุบ เป็นคาถามหายานใช้ร่วมกับการกำหนดนิมิต และมีแสงสว่างออกไปจะยิ่งเกิดผล อันนี้ก็เสริมให้นะ 

สำหรับในวาระที่เราฝึกเจริญกรรมฐานในวันออกพรรษา วันนี้ก็ถือว่าคนที่ฝึกมาเรียนตรงกับวันออกพรรษาพอดี ก็มีผลอานิสงส์โดยตรงสูงกว่าคนที่มาฝึกมาปฏิบัติภายหลัง เพราะบางเรื่องก็เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องตรงกาล ตรงวาระอันนี้เป็นข้อที่ 1 ส่วนอีก 2 ข้อที่จะฝากก็คือ สำหรับคนที่ตั้งจิตตั้งใจจะไปงานบวงสรวงอาราธนาพระอุปคุตขึ้นมาโปรดปราบมารเพื่อเข้าสู่ยุคชาววิไล แล้วก็บรรเทาภัยพิบัติทั้งปวงภัยสงครามทั้งหลาย ก็ให้เราร่วมใจเดินทางหรือร่วมบุญกันได้ มีรถที่จะเดินทางยังมีที่ว่างอยู่อีกไม่กี่ที่ รีบแจ้งในกลุ่มไลน์ ส่วนอีกข้อหนึ่ง  เนื่องจากตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปก็จะถือว่าเป็นช่วงกรานกฐินตลอด 1 เดือนทางหลวงพี่ไปบ์ก็ฝากประชาสัมพันธ์ ร่วมบุญวัดเขาพงพราน จังหวัดชลบุรี มีกฐินซึ่งหลวงพี่ท่านก็เมตตากับกลุ่มพวกเรา คนไหนมีจิตศรัทธาจะร่วมบุญกฐินจะมากจะน้อยก็ตามกำลัง เป็นไปได้ก็พยายามทำจะมากจะน้อยนะ ในส่วนของกฐิน ความสำคัญก็อยู่ที่ผ้าเป็นหลัก ผ้าทอดกฐินถือว่าเป็นองค์สำคัญของกฐินทาน จดจ่อโฟกัสตรงเรื่องของผ้าเป็นสำคัญ  ส่วนเรื่องอื่นจริงๆมีเวลาก็อยากเล่าประสบการณ์ที่ไปปฏิบัติไปไหว้พระที่ต่างประเทศ แต่ว่าเวลาหมดแล้ว ก็ยกยอดไปเล่าในสัปดาห์หน้าต่อไป  

สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคนด้วย อย่าลืมเขียนแผ่นทองอธิษฐานพระนิพพาน พยายามเร่งการปฏิบัติ กาลเวลามันเร่งรัดเร็วขึ้น  หากมีสงครามหากมีภัยขึ้นมาคนไหนที่ปฏิบัติจนมีความคล่องตัวทำคุ้มตัวเองได้ เอาตัวรอดได้ตั้งจิตไปนิพพานได้ในทุกอารมณ์ทุกสภาวะ คนนั้นก็พอตัวรอดได้ แต่ถ้าหากฐานความเพียรของเรายังน้อยเรายังปฏิบัติมาน้อยแต่เกิดความวุ่นวายซะก่อน อันนี้ก็อาจจะคุ้มหรือจะนำพาเราไปพระนิพพานในขณะที่จิตเรามีความกลัวมีความตกใจ อาจจะยากนิดนึง ยังไงก็ตามพยายามอธิษฐานขอบารมีพระไว้ให้เป็นปกติ ตั้งสติได้ตั้งสติไม่ได้ก็ขอให้พระท่านเมตตามารับ สำคัญอยู่ที่จิตเราตั้งมั่นว่าตายเมื่อไหร่ไปนิพพานจุดเดียว อันนี้ก็เป็นเรื่องที่พระท่านเตือนมา  เร่งรัดการปฏิบัติขึ้นเร่งรัดความเพียรขึ้น อย่าย่อหย่อนอย่าเพลิดเพลิน  ถึงเวลาปุบปับขึ้นมา มันเร็วมากกว่าที่คิด  โลกมันเคลื่อนตัวก่อนการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคชาววิไล บางทีมันก็เป็นช่วงเวลาที่ต้องมีการชำระล้าง เราก็อย่าไปยินดี อย่าไปโมทนา อย่าไปสะใจกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง วางจิตให้เป็นอุเบกขารมณ์ พิจารณาว่าเป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติของโลก

เราอโหสิกรรม ให้อภัยทานต่อกัน ใจอยู่กับกุศลเป็นหลัก 

           สำหรับวันนี้ก็ขอให้เราทุกคนมีความสุขมีความเจริญมีความอิ่มใจในกุศลที่เราได้บำเพ็ญ ที่เราได้ช่วยเหลือพ่อแม่ญาติทั้งหลายเท่าที่เราสามารถทำได้  บุญกุศลที่สงเคราะห์ที่โปรดคนจากนรกนั้นมากมายมหาศาล ให้เราคิดง่ายๆว่าสำหรับภพของการเป็นมนุษย์ เราช่วยคนที่เขาไฟไหม้ ที่เขาหมดเนื้อหมดตัวให้เขาตั้งตัวขึ้นมาได้นี่ถือว่าโห เป็นพระคุณมากมายมหาศาล จากการช่วยการโปรดสงเคราะห์ให้เขาพ้นจากนรก ลองคิดเอาว่าสูงแค่ไหน ดังนั้นกำลังบุญกำลังใจมันสะสม บารมีมันสะสม กำลังที่เราจะไปพระนิพพานนั้นเพียงแค่เรามั่นคงมั่นใจ มั่นคงในพระรัตนตรัย มั่นคงในพระนิพพาน ยังไงเราก็สามารถไปถึงได้ 

สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนากับทุกคนพบกันใหม่สัปดาห์หน้า   สวัสดี

เรียบเรียงและถอดความโดย คุณ Ladda

You cannot copy content of this page