เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม 2565
เรื่อง ไม่ประมาทในการสร้างกุศลสร้างบารมี
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
กำหนดสติในความรู้ตัวทั่วพร้อมทั่วร่างกาย ปล่อยวางความเกาะความยึด คลายความยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวางทั้งร่างกายจิตใจไปพร้อมกัน อยู่กับลมหายใจสบายๆ อยู่กับอารมณ์จิตสบายๆ ผ่องใส กำหนดสติรำลึกรู้พิจารณาว่าอารมณ์จิตที่เราจะต้องวางให้ถูก อารมณ์อยู่ในทางสายกลาง คือมัชฌิมาปฏิปทา อารมณ์เบาๆ สบายๆ ผ่องใส ไม่หนัก ไม่กด ไม่เพ่ง ผ่อนคลาย ปล่อยวาง สงบผ่องใส รวมอยู่ในอารมณ์จิตเดียวกันนั้น สงบนิ่ง เอิบอิ่ม ผ่องใส จดจ่อหยุดอยู่กับอารมณ์ ความนิ่ง ความสงบ ความเอิบอิ่ม ความเบิกบาน ทรงอารมณ์ไว้ ใจสบาย ตรงนี้ก็คือการที่เราเข้าสมาธิเข้าสู่ความสงบ โดยใช้อานาปานสติกรรมฐาน ลมหายใจมาพร้อมอารมณ์ใจ ลมหายใจยิ่งละเอียด อารมณ์ใจเรายิ่งเบา ยิ่งสบาย ยิ่งสงบ ความสงบสุขของใจนั้นให้เราใช้ปัญญาพิจารณา ยามที่ใจมันสงบร่มเย็น มันหยุดการปรุงแต่ง หยุดความคิดฟุ้ง
พิจารณาให้เราเห็นจิตของเราให้ชัดเจน เห็นเวทนาของเราให้ชัดเจน แล้วคิดพิจารณาเปรียบเทียบต่อไปว่าความทุกข์ในยามที่ทุกข์เพราะเราไปกังวล กังวลถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้วบ้าง กังวลถึงสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นบ้าง ครูบาอาจารย์ทั้งหลายท่านจึงสอนให้อยู่กับปัจจุบันขณะ ปัจจุบันขณะก็คืออยู่กับความสงบ อยู่กับลมหายใจ อยู่กับความผ่องใส จุดนี้เป็นการดับทุกข์ เป็นการดับทุกข์ชั่วขณะคือทุกข์ในขณะที่เกิดอารมณ์กระทบ ในขณะที่เราเกิดความว้าวุ่นใจ ในขณะที่เราเกิดความกังวลใจ ในขณะที่เราเกิดการปรุงแต่งของใจ การดับทุกข์นี้เป็นการดับทุกข์ชั่วคราว แต่หากจะดับทุกข์โดยปรมัตถ์ก็คือต้องดับจากการเวียนว่ายตายเกิด เพราะตราบที่เรายังเกิด ตราบที่เรายังมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ก็ดี ไม่ว่าจะเป็นเทวดาหรือพรหมอยู่ในภพใดภูมิใดก็ดี การเวียนว่ายตายเกิดก็ทำให้เราต้องมาพบมาเจอกับเรื่องราวต่างๆ มาพบมาเจอกับวิบากกรรมต่างๆ มาใช้หนี้เวรหนี้กรรมต่างๆเป็นเรื่องปกติ
ดังนั้นเราพิจารณาว่าการดับทุกข์ ทุกข์นั้นมีตั้งแต่ทุกข์ในเบื้องต้นก็คือในขณะที่กระทบอารมณ์ ในขณะจิตที่เราฟุ้งปรุงแต่งไปเรียกว่าเป็นทุกข์ในเบื้องต้น ทุกข์ในท่ามกลางก็คือทุกข์ในระหว่างที่เรามีชีวิตอยู่ มีชีวิตอยู่ก็ต้องมาพบเจอกับการเลี้ยงดูร่างกาย เลี้ยงดูทำงานหาเงินมาดูแล มีความเหนื่อยในการดำรงอยู่ของชีวิตที่ต้องดูแลชีวิตอื่น ขันธ์ห้าคนอื่น ในระหว่างที่มีชีวิตมันก็มีความป่วยไข้ไม่สบาย มีความเจ็บป่วย มีความพลัดพรากจากของรักของเจริญใจ เป็นความทุกข์อันเป็นปกติวิสัยของการมีชีวิตเป็นมนุษย์ เป็นความทุกข์ที่เป็นปกติวิสัยของการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ต้องพลัดพรากจากของรักของเจริญใจทั้งหลาย จนกระทั่งถึงความทุกข์อันเป็นที่สุด นั่นก็คือความทุกข์จากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ
คนทั่วไปที่ไม่เคยเจริญวิปัสสนาญาณ ไม่เคยฝึกสมาธิ ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่จะไม่เคยพิจารณาหรือมองเห็น เฉยเมยมองข้าม ไม่รู้ตัวว่าทุกข์จากการกระทบ ไม่รู้ตัวว่าตัวเองก็สร้างความทุกข์ให้กับผู้อื่นด้วย การสร้างการกระทบทางวาจา ทางการกระทำ ไม่ต้องไปพูดถึงความทุกข์ในระดับที่เป็นปรมัตถ์ที่จะต้องมาดับ นั่นก็คือไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ไอ้การเกิดเป็นมนุษย์แล้ว มันยังมีสิ่งที่เราต้องพบต้องเจออีก เกิดมาเป็นมนุษย์มันมีทั้งกรรมดีกรรมชั่ว เราเกิดมาตอนนี้ยังถือว่ามีบุญฝ่ายกุศล กรรมยังส่งผลให้เรามีความสุขตามอัตภาพ
แต่หากเมื่อไหร่ก็ตามที่วิบากกรรมมันมาให้ผล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การพลั้งพลาดลงสู่อบายภูมิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนรกภูมิ ถ้าหากเราล่วงลงนรกเมื่อไหร่ ความลำบากความทุกข์ทั้งหลายไม่ต้องพูดถึง การจะมาพัก การจะมาคลายจากความทุกข์จากการถูกลงทัณฑ์ไม่ต้องพูดถึง การจะมาทำบุญแก้กรรม คือทำบุญเสริมเพิ่ม เพื่อให้กรรมดีมันมาส่งผล พ้นหรือลดบรรเทาวิบากกรรมชั่ว ถ้าอยู่ในนรกนี้ไม่ต้องพูดถึง หมดสิทธิ์ที่จะช่วยเหลือตัวเอง อยู่ในภพอื่นก็อาจจะดีหน่อย เป็นเปรตเป็นอสุรกาย บางครั้งก็ยังสามารถที่จะได้รับส่วนบุญส่วนกุศลจากผู้ที่เป็นญาติอุทิศให้ได้ โอปปาติกะสัมภเวสีก็ยังมีโอกาสที่จะเจอพระอริยะเจ้าพระโพธิสัตว์หรือแม้แต่ฆราวาสที่มีเมตตาฌาน สวดมนต์ เมตตาปรับภพภูมิ สัพเพโปรดจนกระทั่งพ้นจากความลำบากได้
เราตอนนี้เป็นมนุษย์ เรามีสิทธิ์ เราเป็นภพกลาง เรามีทางเลือก ทั้งสามารถจะทำกรรมดีกรรมชั่ว ทำทานสร้างบารมีเพิ่ม เก็บเกี่ยวสะสมบุญบารมี ฝึกสมาธิปฏิบัติเจริญพระกรรมฐาน เพื่อพ้นออกจากทุกข์ เพื่อเข้าถึงพระนิพพาน เราเลือกเราทำได้ แต่คนส่วนมากก็ยังเลือกที่จะเพลิดเพลินอยู่กับความสุขในความเป็นมนุษย์ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่างๆ เพลินอยู่กับความสุขแบบปุถุชนทางโลก ดื่มเหล้าเมายา สรวลเสเฮฮาหาความสนุกเพลิดเพลินไปตามประสา เที่ยวเล่นกันไปตามประสา โดยหารู้ไม่ว่าอันที่จริงแล้วอายุขัยของเราแต่ละคนนั้นมันอาจจะไม่ได้ตายตอนอายุแปดสิบ เก้าสิบ ร้อยปี เราเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ก็สามารถที่จะถึงแก่มรณะมรณาตายจากร่างกายชีวิตชาตินี้ได้ พอเราเพลิดเพลินกับชีวิตในทางโลกเกินไป ถึงเวลาที่หากตายขึ้นมา ปรากฏว่าบุญที่ตั้งใจว่าจะมาสะสม กลายเป็นว่าไม่ได้ทำ เสียชาติเกิด
คำว่าเสียชาติเกิดก็คือเสียชาติที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เสียชาติเกิดที่ได้มาพบพระพุทธศาสนา เสียชาติเกิดที่ได้อยู่ในแผ่นดินของพระโพธิสัตว์เจ้าองค์พระมหากษัตริย์ ดังนั้นถึงเวลาเราลองคิดดู ให้ลองพิจารณาโดยปัญญา พิจารณาในอารมณ์ของสมาธิ พิจารณาด้วยใจที่เป็นธรรม ใจที่เป็นอุเบกขา ลองพิจารณาดูว่าตั้งแต่เกิดมาเอาเฉพาะชาตินี้ที่เราเกิดมา กรรมดีกับกรรมชั่วเราทำกรรมสิ่งไหนมากกว่ากัน บุญกุศลที่เราสร้าง ทาน ศีล ภาวนา เราถ่วงน้ำหนักเป็นตาชั่งสองข้าง ทาน ศีล ภาวนา เราทำได้คุ้ม ได้คู่ควร อย่างชนิดที่เรียกว่า ถ้านาทีนี้ วินาทีนี้ เราตายขึ้นมา จะต้องไปพบพญายมราช เราสามารถกราบทูลกราบเรียนท่านได้ว่าเราทำไว้ดีแล้ว บุญเราทำ ทานเราทำ สวดมนต์เราสวดมนต์ทุกวัน สมาธิเราปฏิบัติสม่ำเสมอ เราสามารถบอกกับท่านได้ไหมว่า เราทำความดีมาโดยใจเรารู้สึกว่า ไม่เสียชาติเกิด ไม่เสียดายที่เกิดมามีชีวิตหนึ่ง เราลองพิจารณาดู ดูในตัวเราจิตเรา บุญของเรา ทานของเรา บารมีของเรา เพื่อที่จะได้มีกำลังใจ ไม่ประมาทในการสร้างกุศล ไม่ประมาทที่จะเก็บเกี่ยวในการปฏิบัติธรรมในการสร้างบารมี
จำไว้ว่าคำที่เป็นข้ออ้างข้อแก้ตัวว่าไม่มีเวลา ถ้าถึงเวลาที่เราตายไป เราก็จะยิ่งรู้สึกได้เลยว่า ทำไมหนอเราถึงไม่ใช้เวลาไปกับการสร้างบุญสร้างกุศลสร้างบารมี ทำไมหนอเราไปใช้กับเวลาที่ไร้สาระ ทำไมหนอเราถึงไม่เห็นคุณค่าของธรรม แต่หากถึงเวลานั้นมันก็สายเกินไป ให้เราคิดพิจารณาให้ละเอียด ภายในจิตของเราวางอารมณ์จิตให้ผ่องใส ตั้งกำลังใจตั้งอารมณ์ว่า นับแต่นี้เราจะสร้างเราจะขยันขึ้นมีความเพียรขึ้น ทำให้ธรรมะเป็นกิจวัตรในวันของเรา ขึ้นไปกราบพระทุกวัน ตื่นขึ้นมากราบพระพุทธเจ้าทุกวัน อาบน้ำก็กำหนดจิต ชะล้างชำระล้างกายวาจาใจ กินอาหารก็กำหนดจิตถวายข้าวพระ กำหนดกำลังใจว่าเราจะทำความดีทุกวัน กลางคืนก็กำหนดจิตขมากรรมอโหสิกรรม พิจารณาตัดร่างกาย ตัดตาย ยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพานทุกวัน ถ้าเราตั้งจิตทำแบบนี้แล้ว ก็นับว่าเราเป็นผู้ที่ไม่เสียชาติเกิดที่มาพบพระพุทธศาสนา สุดท้ายคนที่ตายไปความเสียดายที่สุดก็คือ รู้อย่างนี้ทำไมไม่ปฏิบัติให้มากกว่านี้ รู้อย่างนี้ทำไมไม่ทำทานให้มากกว่านี้ รู้อย่างนี้ทำไมเราไม่ขวนขวายในกิจการงานกุศลมากกว่านี้
ให้เราตั้งใจนะเรายังโชคดีที่ยังมีครูบาอาจารย์ที่ยังให้สติ ที่ให้ตักเตือน ที่ทำให้เราฉุกคิด ดังนั้นเราต้องคิดพิจารณาสิ่งที่เราทำ ทำเพื่อใคร อันที่จริงจุดนี้ก็เป็นเรื่องที่เราทำเพื่อตัวเราเอง จงเมตตาตัวเรา ปรารถนาให้เราเป็นผู้ที่มีความสุข ปรารถนาให้เราเป็นผู้ที่พ้นจากวิบากความทุกข์ พ้นจากภพที่เป็นทุคติภูมิ ปรารถนาให้ตัวเราพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดก็คือปรมัตถ์ เข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้ในที่สุด อารมณ์ที่เราพิจารณาเช่นนี้ ตรงนี้ก็คือวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาญาณคือการที่เราใช้ปัญญาพิจารณาธรรม ใช้ปัญญาพิจารณาอยู่ในกำลังของสมาธิ การที่เราพิจารณาธรรมในสมาธิ ทำให้จิตของเราสงบและสะอาดจากนิวรณ์ทั้งห้าประการ จิตเราเป็นอุเบกขา
พิจารณาธรรมมองเห็นตามความเป็นจริง หากอารมณ์ใจเราไม่ได้อยู่ในฌาน ไม่ได้อยู่ในสมาธิ เวลาเราพิจารณาเช่นนี้โดยที่เราพิจารณาว่า เราไปปฏิบัติธรรมดีกว่า ไปนั่งสมาธิดีกว่า อารมณ์จิตมันมีความโลภโกรธหลงนิวรณ์อยู่ ความขี้เกียจบ้าง มันก็บอกว่าไปดูหนังดูละครดูซีรีย์ดีกว่า ไอ้ตรงจุดนี้แหละมันจึงเป็นเหตุผลว่าเราก็จะรู้สึกแต่ว่าไอ้ความเพลิดเพลินมันน่าสนใจกว่าการปฏิบัติธรรม เพราะใจเรามันมีกิเลสความอยากความเพลิดเพลินอยู่ แต่พอเรากำหนดจิตอยู่ในสมาธิอยู่ในความสงบอยู่ในอุเบกขารมณ์ พอพิจารณา เรากลับจะกระจ่างชัดว่าเออจริงที่อาจารย์พูด ทำไมเราไม่ปฏิบัติธรรม ทำไม เกิดเราตายขึ้นมานี่กลายเป็นว่าเราปฏิบัติธรรมน้อยกว่าที่ควรเป็น เราทำความดีน้อยกว่าที่ควรทำ ดังนั้นอารมณ์จิตต่างๆเหล่านี้จึงเป็นเหตุผลสำคัญที่เราต้องจำไว้เสมอ เวลาที่เราคิด มีกิเลสอยู่ กิเลสมันก็เป็นตัวพาไป เป็นตัวพาปรุง เป็นตัวช่วยตัดสินใจ แต่เมื่อไหร่เราอยู่ในสมาธิ อยู่ในฌานสมาบัติ อยู่ในกำลังที่มีพระท่านคลุม ก็คือทรงอารมณ์จิตอยู่กับพระพุทธเจ้า อยู่กับพระ อยู่กับหลวงพ่อ การตัดสินใจ การคิดพิจารณา ก็มีพระพุทธองค์ มีกุศลนำพาไป
ดังนั้นเหตุนี้เวลาปฏิบัติธรรม การเจริญวิปัสสนาญาณจึงจำเป็นที่จะต้องทรงอารมณ์อยู่ในสมาธิ สงบ ผ่องใส อุเบกขา พิจารณาทุกอย่างให้เห็นตามความเป็นจริงทุกประการ ตรงนี้ก็ให้เราทำความเข้าใจในเรื่องการเจริญวิปัสสนาญาณ ถามว่าการเจริญวิปัสสนาญาณเป็นเรื่องยากไหม เป็นเรื่องไม่ยาก คือการนึกคิดพิจารณาตามเหตุตามผล หากใครที่เคยมีประสบการณ์ เคยอ่านหนังสือธรรมะโดยเฉพาะอย่างยิ่งหนังสือธรรมะของสายครูบาอาจารย์ สายพระป่าสายหลวงปู่มั่น ในประวัติครูบาอาจารย์สายพระป่า ส่วนใหญ่ถ้าเราเคยอ่านหรือใครเคยอ่านเราจะพบเจอว่าจะมีการบรรยายไปทั้งหมดว่าท่านคิดยังไงพิจารณายังไงประสบสิ่งต่างๆแล้วท่านพิจารณาธรรมอย่างไร และที่ท่านพิจารณาต่างๆนั่นก็คือตัววิปัสสนาญาณที่ท่านคิดพิจารณา เราอ่านตามมากเท่าไหร่ เราก็พิจารณา มีแนวทางในการพิจารณามากตามเท่านั้น หรือที่หลวงพ่อฤาษีท่านสอน ท่านก็สอนว่าคิดแบบนี้อารมณ์แบบนี้คิดแบบนี้พิจารณาแบบนี้ อันนี้ก็คือตัววิปัสสนาญาณเช่นกัน
ถ้าเราศึกษามาก ฟังมาก อ่านมาก แล้วน้อมจิตตาม เวลาที่ท่านสอนเจริญวิปัสสนาญาณ กิเลสมันก็ค่อยๆถูกขัดเกลา ถูกกะเทาะ ถูกขัด ถูกตัดออกไปจากจิตเราทีละน้อยทีละน้อยจนกระทั่งปัญญาความรู้แจ้งในธรรมของเราก็จะชัดแจ้งชัดเจนขึ้นในที่สุด ตรงนี้เราหลายคนฟังการปฏิบัติมาเยอะ ก็จงพิจารณาให้มาก ยิ่งพิจารณาในฌานลึก คือกำลังสมถะสูงเท่าไหร่ ยกจิตถึงฌานสี่ในอาณา ยกจิตถึงฌานสี่ในกสิณจิต คือเห็นจิตเป็นเพชรประกายพรึกระยิบระยับ ยกกำลังสมถะจนถึงอรูป สลายทุกอย่างเป็นความว่าง จิตไม่ยึดติดในสรรพสิ่งในเรื่องใดทั้งปวง ทั้งรูปทั้งวัตถุ ทั้งสัญญาความจำ ทั้งการปรุงแต่ง ถ้าใช้กำลังของอรูปแล้วจึงมาพิจารณาธรรม กำลังในการตัดกิเลสก็ยิ่งสูงขึ้นมากกว่าปกติตามไปด้วย
ตอนนี้ก็ให้เรายกกำลังจิต กำหนดจิตเห็นภาพจิตของเราเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง จิตของเราเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง จิตเอิบอิ่มผ่องใสรัศมีของจิตแผ่สว่าง จากนั้นกำหนดจิตต่อไปสลายล้างทุกสรรพสิ่งรายรอบเป็นความว่างเวิ้งว้างว่างเปล่า เหลือแต่เพียงดวงจิตของเรา สลายร่างกายของเรากลายเป็นความว่าง กลายเป็นธุลี กลายเป็นผุยผง ว่างเวิ้งว้างว่างเปล่า วัตถุสิ่งของโลกจักรวาลทั้งหลายสลายกลายเป็นความว่างเวิ้งว้างขาวโล่ง เหลือเพียงจิตสว่าง กำหนดความรู้สึกว่าจิตเราไม่เกาะไม่ข้องไม่ยึดในสิ่งใด กำหนดจิตต่อไปนะ ให้เห็นใจกลางดวงจิตที่เป็นเพชรนั้น ใจกลางมีองค์พระพุทธรูปอยู่ภายในว่าจิตเรากสิณจิตของเรามีพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยะเจ้า เป็นสรณะที่พึ่งที่อาศัยอยู่ในจิตของเรา องค์พระอยู่กลางจิตลอยสว่างอยู่ท่ามกลางความว่างเวิ้งว้างว่างเปล่าไม่มีประมาณ กำหนดทรงในอารมณ์อรูปฌาน สว่าง โล่ง ขาว จดจ่ออยู่กับความสงบจิต เราเกาะพระรัตนตรัยอยู่กลางจิตเป็นสรณะ
กำหนดต่อไป ให้เห็นที่ใจกลางขององค์พระมีจุดเล็กที่สุด บริเวณฐานใจกลางขององค์พระเป็นจุดเล็กสว่างที่สุด อยู่ใจกลางองค์พระ จิตนิ่งหยุดอยู่ในจุดเล็กที่สุดที่อยู่ในกลางองค์พระ องค์พระอยู่ในดวงจิต สว่าง ท่ามกลางความว่างเวิ้งว้าง โล่ง ว่าง นิ่งหยุด ทรงอารมณ์ไว้ ความรู้สึกถึงจิตที่เป็นเพชรประกายพรึกสว่าง ท่ามกลางความว่าง โล่ง กำหนดว่าจิตเราปราศจากความเกาะยึด ปราศจากความห่วง ปราศจากความอาลัยทั้งปวง สลายล้างออกไปให้หมด ภาพนิมิต ภาพบุคคล ภาพสิ่งใดวัตถุปรากฏขึ้นก็สลายกลายเป็นความว่างให้หมด
จากนั้นจึงพุ่งจิตให้จิตที่เป็นแก้วประกายพรึกสว่างภายในมีองค์พระนั้นพุ่งขึ้นไปบนพระนิพพาน พุ่งขึ้นไปจากอารมณ์และกำลังแห่งอรูปขึ้นไปบนพระนิพพาน ดวงจิตแปรสภาวะสว่างขึ้นกลายเป็นกายแห่งพระวิสุทธิเทพของเราแต่ละคน กำหนดจิตอธิษฐานกราบสมเด็จองค์ปฐม กราบพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ในขณะที่น้อมจิตกราบ เราก็อธิษฐานจิต ขอญาณทัศนะของพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอให้ข้าพเจ้า เห็นดวงบุญ ดวงทาน ดวงบารมีของข้าพเจ้า ญาณเครื่องรู้ในสภาวะแห่งกายพระวิสุทธิเทพ ขอจงเห็นทานทั้งหลายที่เราเคยสร้างเคยบำเพ็ญมาในอดีตชาติจนถึงปัจจุบัน ช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาลกฐินก็กำหนดจิตพิจารณามองให้เห็น กฐินในบางชาติเราเคยทำไหม บุญที่เป็นบุญใหญ่ที่เราเคยสร้างเป็นอย่างไรบ้าง ขอให้เห็นขึ้น ผุดรู้ขึ้น เห็นขึ้น จะเป็นชาติใดภพใด ขอดวงทาน ดวงกุศล ดวงบารมี ดวงแก้วอันประเสริฐ จงปรากฏขึ้น รวบรวมดวงบุญดวงบารมีให้กลับฟื้นคืนมา กำหนดพิจารณาดูพิจารณารู้ของเราแต่ละคนเองนะ ……..
ในขณะที่ดูในขณะที่รับรู้ก็กำหนดจิต บริกรรม บุญจงส่งผล บุญจงส่งผลทันใจ บุญจงส่งผล ภาวนาไป กำหนดรู้ ผุดรู้ เรียกดวงบุญ เรียกดวงบารมี เรียกดวงทาน ดวงศีล ดวงกรรมฐาน บารมีเก่าจงรวมตัว จงฟื้นตื่นขึ้น ทรงอารมณ์นี้อยู่บนพระนิพพานในสภาวะที่อาทิสมานกายของเราเป็นกายพระวิสุทธิเทพ ทรงอารมณ์ไว้ ……..
ในขณะที่ดูก็กำหนดรู้ว่า ถึงแม้ว่าบุญทานทั้งหลาย ดวงบุญดวงบารมีทั้งหลายเราทำมามากทำมาเยอะ เราก็จงอย่าประมาทว่าเราทำมาเยอะ จงคิดพิจารณาว่าเรามีฐานแห่งความดีมีบารมีเป็นฐานอยู่แล้ว เราจะทำให้ยิ่งขึ้นไปดีขึ้นไปและด้วยฐานที่ดีอยู่แล้ว ทานบารมีเรามีครบมีมากแล้ว ศีลเราเคยรักษา กรรมฐานเราเคยปฏิบัติมามากมายนับชาตินับจำนวนไม่ถ้วนแล้ว บารมีเรามีมากพอที่จะไปพระนิพพานชาตินี้ได้
เรากำหนดอธิษฐานว่า ขอให้ดวงทาน ดวงกุศล ดวงศีล ดวงธรรม ดวงกรรมฐานเจ้า ดวงบารมี จงรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว ยกให้อาทิสมานกายของข้าพเจ้าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ตัดสรรพกิเลสเป็นสมุจเฉทประหานได้ บรรลุมรรคผล พระนิพพานได้ในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด
กำหนดนะ ให้ดวงบุญดวงบารมีทั้งหลายรวมตัวรวมกันที่อาทิสมานกายของเรา กายพระวิสุทธิเทพของเรายิ่งสว่างขึ้นไหม ใสขึ้นไหม ประนมมือสว่าง รวมจิต รวมดวงญาณ ดวงทานศีล ดวงธรรม ดวงกรรมฐาน ดวงบารมี จนสว่างขึ้น ใสขึ้น จิตมีความเอิบอิ่ม มีความปิติขึ้น เมื่อเอิบอิ่มปิติมากขึ้นแล้วก็พิจารณาต่อไป ขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอข้าพเจ้าน้อมจิตในอารมณ์พระนิพพานได้เต็มกำลัง พิจารณาในสภาวะที่กายพระวิสุทธิเทพเราสว่างอย่างยิ่ง กำหนดจิตอธิษฐานให้ใจของเราตัดภพทั้งปวง ตัดสังโยชน์ทั้งสิบ ความห่วงความอาลัยในความเป็นมนุษย์ ในความเป็นเทวดา ในความเป็นพรหมไม่มีในจิตเรา ความอาฆาตแค้น ความพยาบาทจองเวร ความอาลัยในความรัก ความยึดติดห่วงในวัตถุสิ่งของบุคคลไม่มีในจิตเรา สังโยชน์ทั้งสิบขาดไปจากใจของเรา ภาระทั้งหลายสิ้นไป กิจทั้งหลายจบไป อารมณ์จิตเรามีสภาวะความรู้สึกแต่ว่ากิจทั้งหลายสิ้นแล้ว ภพชาติสิ้นแล้ว ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเราแล้ว จิตเราปลอดโปร่งโล่งเบาเป็นอิสระอย่างยิ่ง ยิ่งเบา ยิ่งวาง ยิ่งปล่อยวาง จิตยิ่งเบายิ่งผ่องใส
ภาระทั้งหลายปลดไปจากใจของเรา กรรมทั้งหลายวิบากทั้งหลายไม่อาจกระทำไม่อาจย่ำยีต่อเรา ไม่อาจส่งผลต่อเรา จิตพ้นจากแรงกรรมทั้งปวง จิตเบาอย่างยิ่งเป็นสุขอย่างยิ่ง จิตพ้นจากภาระทั้งหลายอย่างยิ่ง เข้าถึงอารมณ์ที่มีความปลอดโปร่งความเบาสูงสุด “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง เข้าสภาวธรรม เข้าสภาวะอารมณ์อุปสมานุสติกรรมฐาน อารมณ์พระนิพพานให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้ อารมณ์จิตเบาจนยิ้ม อาทิสมานกายเรายิ้มผ่องใสรัศมีสว่างผ่องใส จิตสะอาดจากกิเลสทั้งปวง จิตเปลื้องจากพันธะความยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง จิตตัดสังโยชน์ทั้งสิบ สลายเครื่องร้อยรัดจิตเราจากภพภูมิทั้งหลาย จิตยิ่งเบา ยิ่งบริสุทธิ์ ยิ่งเป็นอิสระ
กำหนดน้อมว่าวันนี้เป็นวันพระปิยมหาราช เราสำนึกน้อมถึงพระคุณของท่าน รัชกาลที่๕ ท่านทรงเลิกทาส ทาสนั้นสมัยโบราณเขาใช้ตรวนล่ามขาบ้าง ใช้หวายผูกไว้มัดไว้บ้าง ทาสทั้งหลายถ้าได้เจ้านายดีก็มีความทุกข์น้อยหน่อย ดูแลปฏิบัติเหมือนเป็นมนุษย์ แต่หากทาสบางคนได้เจ้านายที่มีความโหดร้ายใส่ตรวนตลอดเวลา โบยตีด่าว่าราวกลับไม่ใช่มนุษย์ ความทุกข์ของการเป็นมนุษย์ที่เป็นทาสนั้นก็เปรียบประดุจเหมือนกับตกนรกทั้งเป็น
ในหลวงรัชกาลที่๕ พระปิยมหาราช ซึ่งในปัจจุบันหลายๆคนก็ทราบว่าท่านก็คือ มาจุติเป็นหลวงพ่อ
ในชาติที่ท่านเป็นพระปิยมหาราชท่านก็เลิกทาสโดยพฤตินัย คือทาสข้าทาสให้เป็นไท ในชาติที่ท่านเป็นหลวงพ่อ ก็คือพระราชพรหมญาณ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านก็นำธรรมะของพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งมโนมยิทธิและการฝึกจนได้มรรคผลพระนิพพาน คำสอนที่สอนให้ตัดสังโยชน์ทั้งสิบ สังโยชน์ทั้งสิบเป็นเครื่องร้อยรัด ก็เหมือนกับโซ่ตรวนที่ร้อยรัดเรา ผูกขาผูกจิตผูกคอเราไว้กับภพภูมิทั้งหลาย ไว้กับสังสารวัฏ ไว้กับการเวียนว่ายตายเกิด
วันนี้เราก็มาเลิกทาสทางจิตวิญญาณ เลิกทาสทางจิตใจก็คือให้จิตใจของเราพ้นจากสังโยชน์ จากบ่วง จากโซ่ตรวนที่ร้อยรัดเราไว้กับสังสารวัฏนี้ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เราจะเข้าถึงพระนิพพาน อารมณ์ใจเราก็ยิ่งมีความน้อมเคารพซาบซึ้งขอบพระคุณในพระคุณของครูบาอาจารย์ที่ท่านถ่ายทอดธรรมะถึงเรา แล้วก็กลายเป็นว่าการปฏิบัติธรรมในวันนี้ก็เป็นเครื่องบูชา เป็นปฏิบัติบูชา บูชาเสด็จพ่อร.๕ คือสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้า บูชาคุณหลวงพ่อ บูชาคุณพระพุทธเจ้า บูชาคุณพระรัตนตรัย
พิจารณาให้เห็นว่าเราระเบิดจนโซ่ตรวนทั้งหลายที่เป็นสังโยชน์เครื่องร้อยรัดมันระเบิดสะบั้น จากที่เมื่อก่อนมันรัดมือรัดตัวรัดขารัดแขน ที่จริงมันไม่ใช่แค่สิบเส้น แต่โซ่ตรวนที่มันผูกจิตเราไว้ด้วยความพยาบาทจองเวร โซ่ตรวนที่ผูกเราไว้กับการเป็นเจ้ากรรมนายเวร โซ่ตรวนที่ผูกไว้กับสัญญาความรักระหว่างบุคคลทั้งหลาย จะเป็นพ่อแม่หรือคนรักก็ตาม พิจารณาให้เห็นว่า ความที่จริงโซ่ตรวนต่างๆนั้น เป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่นเส้น ยิ่งเกิดมากเท่าไหร่ ยิ่งยึดมั่นถือมั่นมากเท่าไหร่ โซ่นั้นตรวนนั้นก็ยิ่งรัดแน่นมากขึ้น ยึดมั่นถือมั่นมากก็ยิ่งรัดแน่นมาก ยิ่งปล่อยวางได้มากมันก็คลายตัวมาก ยิ่งขอขมากรรมอโหสิกรรมได้มากเท่าไหร่ ตัดความเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราได้มากเท่าไหร่ ไอ้โซ่ตรวนที่มันผูกพันจิตเราไว้กับสังสารวัฏก็สะบั้นลงไป เบาบางลงไป ความแน่นหนาก็ลดลงไป จากเมื่อก่อนเป็นตรวนเหล็กหนาหนักเป็นภาระแห่งใจ ยิ่งผูกพันมาก ยิ่งหนาหนักเป็นภาระของจิต ยิ่งปล่อยวางมาก จากโซ่ตรวนที่เป็นเหล็กหนามันก็ค่อยๆ เล็กลงจนกระทั่งเหลือเพียงเส้นด้าย แต่ใจมันยังตัดไม่หมด ยังมีความอาลัย มันก็เหลือเป็นแค่เหมือนกับใยบัว อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับจิตของแต่ละคน ยิ่งปล่อยวางได้มากเท่าไหร่ เครื่องร้อยรัดเครื่องผูกตรวนทั้งหลายมันก็คลายตัวลง
เรากำหนดรู้พิจารณามองให้เห็นตัวเราเองก็ดีบุคคลอื่นก็ดีที่ถูกโซ่ตรวนแห่งความยึดมั่นถือมั่นในความรัก ในสัญญา ในความอาฆาตพยาบาท ในการแก้แค้น ในการเอาคืน ยิ่งยึดมั่นถือมั่นมากก็เหมือนดึงให้โซ่มันรัดคอตัวเองมากทุกข์มาก ถ้าสิ่งต่างๆหรือความแค้นบุญคุณความแค้นทั้งหลายมันเข้มข้นมาก ไอ้โซ่ตรวนที่มันหนักอยู่แล้ว เป็นภาระของใจอยู่แล้ว คราวนี้บางครั้งบางคนบางที โซ่ตรวนมันกลายเป็นโซ่ตรวนที่ถูกเผาไฟแดง ร้อนแผดเผา แผดเผามันไม่แผดเผาการ มันเป็นแผดเผาจิตใจของเราให้เกิดความทุกข์ ยึดมั่นถือมั่นมาก ยิ่งทุกข์มาก ยิ่งรัดคอตัวเองมาก ยิ่งแผดเผาใจเรามาก เราพิจารณาจนเห็นธรรมตามความเป็นจริง ใจเราปลดโซ่ตรวนแห่งสังโยชน์ทั้งสิบออกไป ปลดสัญญาความห่วงความอาลัยต่อบุคคลสถานที่ภาระทั้งหลายออกไปให้หมด ปล่อยวางทุกอย่าง จิตกำหนดอยู่กับพระนิพพานเป็นที่สุด ใจสบาย ผ่องใส
กำหนดในสภาวะความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง เบาอย่างยิ่ง ละเอียดอย่างยิ่ง ว่างจากความยึดมั่นถือมั่นทั้งหลายอย่างยิ่ง ให้จิตเราเข้าถึงสภาวะอารมณ์นี้อย่างละเอียดที่สุด ประณีตที่สุด ทรงอารมณ์นี้ไว้ กายพระวิสุทธิเทพยิ่งสว่างยิ่งผ่องใส ละเอียด รู้เท่าทันสภาวะ เมื่อไหร่ที่รู้เท่าทันสภาวะความรักความห่วง ใจเรารู้ทันแล้ว ใจเราก็ไม่เอามันมาล่าม ไม่เอามันมามัดใจเราอีกต่อไป ต่างกับผู้ที่ไม่รู้ แบกหาม รัด ทึ้งให้สายโซ่ตรวนนั้นรัดคอตัวเองให้ทุกข์ ใจเราเห็นในธรรม เห็นธรรมทั้งหลายตามความเป็นจริง เห็นสภาวะทั้งหลายตามความเป็นจริง ยิ่งเห็นยิ่งทำให้ง่ายต่อการปล่อยวาง ใจเราใสสะอาดบริสุทธิ์ ใจเรารู้คุณแห่งพระนิพพาน รู้คุณแห่งพระนิพพานก็ย่อมรู้คุณแห่งพระพุทธองค์ คุณแห่งพระธรรม คุณแห่งพระอริยะสงฆ์ คุณแห่งครูบาอาจารย์ที่เมตตาสั่งสอนถ่ายทอดสืบต่อกันมาจนกระทั่งถึงเรา พิจารณาว่าเรานี่หนอยังมีความโชคดีไม่เสียชาติเกิด ธรรมะอันเป็นวิมุตเราได้ลิ้มรสของธรรมอันเป็นวิมุต คือธรรมอันเป็นเครื่องหลุดพ้น เห็นทางอันเป็นเครื่องปล่อยวาง ตัดสรรพกิเลสจนเป็นสมุจเฉทประหาน เข้าถึงสภาวะอารมณ์ใจที่ปล่อยวางตัดสรรพกิเลสทั้งปวง จนจิตเป็นสุขอย่างยิ่ง ทรงอารมณ์นี้ไว้
กำหนดใจของเราให้สว่าง อาทิสมานกายกายพระวิสุทธิเทพยิ่งสว่างขึ้น ใสขึ้น
จากนั้นกำหนดจิตอธิษฐาน ขอบารมีพระพุทธองค์ทุกท่านบนพระนิพพานแผ่เมตตาลงไป ขอปัญญาญาณความรู้แจ้งแทงตลอดในธรรม กระแสแห่งพระนิพพาน กระแสบุญกุศลทั้งหลาย จงแผ่ลงไปยังภพภูมิทั้งหลาย นับตั้งแต่อรูปพรหมทั้งสี่ พรหมโลกทั้งสิบหกชั้น สวรรค์ทั้งหก ภพของรุกขเทวดา ภุมมเทวดา ภพของมนุษย์สัตว์ที่มีกายเนื้อทั่วจักรวาล ภพที่เป็นภพของเมืองลับแลเมืองบาดาลพญานาคนคร ภพแห่งโอปปาติกะสัมภเวสีทั้งหลาย ภพแห่งเปรตอสุรกายทั้งหลาย ภพแห่งนรกภูมิทั้งหลาย ขอกระแสบุญกระแสกุศลความร่มเย็นจงแผ่ปกคลุมไปทุกภพภูมิ กระแสธรรมจงส่งไปทุกภพภูมิ
จากนั้นน้อมจิตต่อไปนะ เราอธิษฐาน หลายคนได้ร่วมถวายในกฐินแล้วกำหนดจิต ขอบุญกฐินทานทั้งหลาย เทศกาลแห่งการสร้างทานบารมี ขอกฐินทานทุกกองทุกท่านจงปรากฏกลั่นกลายเป็นสังฆทานทิพย์ ผ้าทิพย์ ปรากฏในความเป็นทิพย์ทั้งผ้าสังฆทานและบริวารทั้งหลาย จะเป็นพระพุทธรูป เป็นปัจจัย เป็นสังฆทานเครื่องบริวารทั้งหลายประกอบ ขอจงปรากฏในความเป็นทิพย์และแผ่สว่างส่งผล เปิดบารมีให้กับผู้ที่เป็นสาธุชน กระทำทานบารมีในกฐินทานนี้ และหมู่สงฆ์ทั้งหลาย ขอบารมีแห่งการรับอานิสงส์กฐิน ขอพระพุทธองค์ทรงเมตตาประทานผ้าทิพย์ลอยเลื่อนเคลื่อนคล้อยมาในฟ้านภากาศจากพระนิพพาน ลงมาท่ามกลางหมู่สงฆ์ทั้งหลาย เป็นทานอันบริสุทธิ์ ขอหมู่สงฆ์ทั้งหลายได้รับอานิสงส์แห่งกฐินทานและกระแสธรรม กระแสมรรคผล
ขอกระแสจากพระนิพพานโดยตรงจากพระพุทธองค์ ขอเมตตาดลบันดาลให้หมู่สงฆ์ทั้งหลายจงยังความบริสุทธิ์ในความเป็นสงฆ์ ในธรรมวินัย เข้าถึงซึ่งการปฏิบัติ เทพพรหมเทวาดลจิตดลใจให้ตั้งใจปฏิบัติเจริญพระกรรมฐานจนได้มรรคผลพระนิพพานโดยถ้วนทั่วด้วยเถิด ทั้งหมู่สงฆ์ทั้งหลาย พุทธมณฑลคือความเป็นพระพุทธศาสนาในทุกเขต ขอจงปรากฏความบริสุทธิ์ ผู้คนทำนุบำรุงเสนาสนะของสงฆ์พระพุทธศาสนา ผู้คนตั้งใจรักษาพระธรรมวินัย ผู้คนตั้งใจสร้างบารมี ปฏิบัติธรรมรักษาศีลกันเต็มกำลัง
ขอความบริสุทธิ์หมดจนในหมู่พุทธบริษัทสี่จงฟื้นกลับคืนมา ขอท่านที่เคยผิดพลั้งผิดพลาดก็จงกลับตัวกลับใจ ผู้ที่อยู่ในเขตพระพุทธศาสนาแล้วเพลิดเพลินทางโลก ขอให้ฉุกคิด ขอให้เทวดาพรหมดลจิตดลใจให้กลับมาสนใจในการปฏิบัติธรรมในการเจริญกรรมฐานกันทุกคนด้วยเถิด ผู้หลับใหลเมาอยู่ในโลก จงตื่นขึ้น จงฟื้นตื่นสู่ธรรมกันทุกคน
เมื่อเราตั้งจิตอธิษฐานดีแล้วนะก็กำหนดต่อไป เดี๋ยวให้ดู เมื่อวานห้องครูก็ดูไปแล้ววันนี้ก็ดูนะย้อนเวลาไปดู ขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์นะ เมื่อวานมีการทำบุญว่ายน้ำข้ามโขง ก็กำหนดจิตขอดูด้วยอดีตังสญาณควบกับทิพย์จักษุญาณ ขอให้เห็นภาพนะ โตโน่เขาว่ายน้ำว่ายน้ำมาเปล่าๆเฉพาะกับคนไหม ลองดูว่าในขณะที่บวงสรวงตั้งแต่บวงสรวง เทวดาพรหมหรือแม้แต่พญานาคทั้งหลายทั้งสองฝั่งโขงเขามากันเยอะไหม พญาสัตบรรณที่เป็นพญานาคผู้ใหญ่ทั้งเจ็ดท่านเมตตามาหมดไหม คราวนี้ก็กำหนดจิตดู พญานาคที่เข้ามาโมทนา เขาก็รู้ตื่น หลายคนที่มาจากภพของพญานาคที่มาร่วมอยู่ในงาน ร่วมอยู่ในกุศลหรือแม้แต่ที่มาร่ายรำบวงสรวงก็ดี หรือคนที่ร่วมบริจาคก็ดี ผู้มาร่วมงานก็ดี หรือแม้แต่เราเราหลายๆคนที่ไม่ได้ไปร่วมงาน แต่บริจาคเงินก็ดี ตั้งจิตอธิษฐานดูในอดีตังสญาณว่าหลายท่านที่มาจากภพนาคขึ้นมาเกิดเป็นมนุษย์ อธิษฐานว่าจะมาปฏิบัติธรรมบ้าง มาสร้างบารมีบ้าง ตั้งใจขึ้นมาเพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาบ้าง แล้วก็มีจำนวนมากไม่น้อยที่ตั้งจิตว่าขึ้นมาเกิดเป็นมนุษย์ชาตินี้เพื่อพระนิพพาน ในรอบที่โตโน่มาไหว้วันนี้ มีปรากฏการณ์พิเศษซึ่งเป็นการกระตุ้นเตือนให้การรู้ตื่นนี้มันเกิดขึ้น บารมีของพญานาคท่านขึ้นมาพร้อมกันกับปรากฏการณ์ในครั้งนี้แล้วท่านกำลังจะมาช่วยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้เราก็แอบดูซักหน่อย ตอนที่โตโน่ว่ายก็มีพญานาคเขาว่ายประกบอยู่ไหม มีจำนวนมากน้อยเท่าไหร่ ดังนั้นครั้งนี้มันก็จะสะดวกราบรื่นเพราะว่าเขาป้องกันกัน ดูแลกันเต็มที่ แล้วเราก็แอบดูซะหน่อยว่าขอให้เห็นกายมนุษย์นาคของโตโน่เวลาที่เขาใส่เครื่องทรงแต่กลายเป็นมนุษย์ ลองดูเครื่องทรงเครื่องประดับที่เป็นหน้าเกี้ยว ผ้าที่เขาใส่ ขอให้เห็นกายทิพย์ในอดีตชาติที่เขาเป็นพญานาค
จากนั้นเราก็กำหนดจิต โมทนาบุญกับเขา กำหนดจิตโมทนาว่าเราโมทนาบุญกับบารมีกำลังใจของพุทธภูมิ พุทธภูมิเขาต้องใช้กำลังใจในการสร้างบารมี อันนี้ก็เป็นชาติที่เขามาเก็บเกี่ยวสร้างบารมี เราก็โมทนา กำหนดรู้ กำหนดเห็น การที่เราได้มโนมยิทธิก็มีข้อได้เปรียบ ไปแอบรู้แอบดู ตรงนี้มันก็ถือว่าเป็นเรื่องของเป็นการเสริมกำลังใจ เป็นเครื่องล่อให้เรามีกำลังใจในการปฏิบัติ ความรู้เห็นพิเศษที่รู้ มันก็ช่วยส่งเสริม การที่เราไปรู้ไปเห็นว่าเขาเป็นพุทธภูมิ เขาสร้างบารมีก็มีข้อดี คนทั่วไปมองกันแค่เปลือกภายนอก ดูกันที่เสื้อผ้า ดูกันที่รูปร่างหน้าตา ดูกันที่อำนาจฐานะตำแหน่ง ดูกันที่ยศศักดิ์ แต่ถึงเวลาในโลกของกายทิพย์ เทวดาพรหมท่านดูที่กำลังใจ ดูที่กำลังบุญ ดูที่รัศมีกาย ดูที่ความผ่องใสบริสุทธิ์ของจิต ดังนั้นทุกอย่างที่เป็นเปลือกภายนอกคือรูปร่างหน้าตา ฐานะ เกียรติ อำนาจ ยศศักดิ์ ไม่อาจจะลวงไส้ในของบุคคลทั้งหลายไปได้ ดูที่กายใน ดูที่จิต ดูที่แสงสว่าง ดูที่กำลังใจ ยิ่งพุทธภูมินี่เขาดูที่กำลังใจ กำลังใจสูงหรือกำลังใจต่ำ กำลังใจสูงคือกำลังใจที่เราทำเพื่อส่วนรวม
จำไว้เสมอว่าเมื่อไหร่ที่เราทำให้ตัวเองมันก็เรียกว่าความเห็นแก่ตัว เมื่อไหร่ที่เราทำให้ส่วนรวมเมื่อนั้นเรียกว่าปฏิปทาสาธารณประโยชน์ เมื่อนั้นเรียกว่าเป็นประโยชน์เป็นสังฆทาน คือสิ่งใดที่ทำเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมก็อยู่ในหมวดของสังฆทานทั้งนั้น เหตุนี้หลวงพ่อท่านจึงสอนไว้ว่าจงอย่าทิ้งอภิญญาสมาบัติและปฏิปทาสาธารณประโยชน์ ปฏิปทาสาธารณประโยชน์ก็คือกำลังใจที่เราทำให้ส่วนรวม ยิ่งเราทำให้ส่วนรวมมากเท่าไหร่ มันแปลว่ากำลังใจเราสูงมากขึ้นแค่นั้น กำลังใจสูงแปลว่าอะไร บารมีแปลว่ากำลังใจ ดังนั้นยิ่งบารมีสูงมากเท่าไหร่ ยิ่งมีกำลังใจที่จะทำให้ส่วนรวมมากเท่านั้น เป็นการให้ เป็นการเสียสละ เมื่อไหร่ที่เราเสียสละเพื่อส่วนรวมมากเท่าไหร่ ความเห็นแก่ตัวมันก็น้อยลงน้อยลง กิเลสมันก็น้อยลงน้อยลงจนกระทั่งหมด ดังนั้นกำลังใจยิ่งใหญ่ยิ่งตัดกิเลสได้ง่าย ยิ่งทำปฏิปทาสาธารณประโยชน์มากเท่าไหร่ ยิ่งตัดกิเลสได้ง่าย บารมียิ่งเต็มเร็วเท่านั้น
เราก็พิจารณาดูกำลังใจของเราแต่ละคน ทำทานบางครั้งเราทำทานเราหวังขอให้เราได้อานิสงส์ บางคนขอบุญคนเดียวไม่แบ่งคนอื่นเลยก็มี บางคนก็ตั้งใจว่าทานที่เราทำเราตั้งใจว่าจะได้เป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์เป็นบุญเป็นกุศล เรามองแต่บุญแต่กุศลเป็นหลัก บางคนเรามองว่าทานที่เราทำโดยเฉพาะอย่างยิ่งสังฆทาน ถือว่าเป็นทานที่เราทำเพื่อภาพรวมของพระพุทธศาสนา อันนี้ก็ถือว่ากำลังใจเราสูงขึ้นไป ทานที่เราทำเราตั้งใจให้เป็นบาทฐานกำลังที่จะตัดความตระหนี่ ตัดความโลภเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด อันนี้ก็ถือว่าเป็นกำลังใจที่สูงขึ้น จากบุคคลที่ปรารถนาว่าเราทำทานเพื่อให้เกิดผลกับตัวเราเองในด้านของทางโลกอย่างเดียว ดังนั้นแค่ทานอย่างเดียวมันสามารถที่จะยกกำลังใจให้เกิดผลอานิสงส์แตกต่างกันได้
จำไว้ว่าถ้าปุถุชนคนทั่วไป ทานเขาอาจจะมองในคุณค่าของจำนวนเงินหรือตัวเงิน แต่พอถึงขั้นหนึ่ง สิ่งสำคัญ พอเป็นขั้นสูงขึ้นเป็นเรื่องของบารมี ทานนั้นหรือสิ่งที่เราทำจะเป็นกรรมฐานก็ดี จะเป็นศีลก็ดี อยู่ที่กำลังใจเป็นสำคัญ กำลังใจที่ทำ สำคัญตัดเป็นตัดตายไหม กำลังใจที่เราทำเราทำเพื่อส่วนรวมไหม กำลังใจที่เราทำเราทำเพื่อขอให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองตราบห้าพันปีไหม กำลังใจที่ทำนั้นปรารถนาที่จะให้เปิดเข้าสู่ยุคชาววิไล กำลังใจมันก็จะต่างกัน
ดังนั้นให้เราแต่ละคนนับแต่นี้เป็นต้นไป พยายามที่ยกกำลังใจ ตั้งกำลังใจให้สูงไว้
กรรมฐานที่ปฏิบัติที่ฝึก เวลาที่เราฝึกของเราเองปฏิบัติของเราเอง หาอุบายในการฝึกตามช่วงเวลาที่เหมาะสมของเราเอง เราก็ตั้งกำลังใจว่า เราจะปฏิบัติกรรมฐานเต็มกำลังเสมอ เคยฝึกเคยเรียนมาแล้วปฏิบัติพอได้แล้วพอเข้าใจแล้ว สมถะก็เอาให้สุด ฌานสี่เต็มกำลัง กสิณจิตเป็นเพชรประกายพรึกก็เต็มกำลัง อรูปฌานก็เต็มกำลัง ทรงอารมณ์ในมโนมยิทธิขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้า เห็นอาทิสมานกายกายพระสุทธิเทพสว่างก็เต็มกำลัง เต็มกำลังตลอดเสมอ บารมีมันก็เต็มเร็วเพราะใช้กำลังใจสูงมากกว่าบุคคลทั่วไปธรรมดา ตรงนี้ก็จะเป็นข้อสำคัญซึ่งเราทำเรารู้ของเราเอง
ความมั่นคงในพระรัตนตรัยมีแนบแน่นในจิตของเราเอง ความมั่นคงในอารมณ์จิตว่าชาตินี้เราไปนิพพานได้ ยิ่งแนบแน่นในจิตของเราเอง ดังนั้นก็ขอให้เราทุกคนมีความเจริญในธรรม ตั้งจิตอธิษฐาน แล้วก็กราบพระพุทธองค์ กราบลาทุกท่าน กราบลาหลวงพ่อ ขอบารมีหลวงพ่อวันนี้พิเศษ ขอท่านเมตตาแสดงองค์เป็นองค์พระปิยะมหาราชทรงเครื่องกษัตริย์เต็มกำลังด้วยเถิด เราก็น้อมจิตกราบท่าน ถือว่าเป็นปฏิบัติบูชาในวันปิยะมหาราช เป็นโอกาสที่ดี เป็นโอกาสที่พิเศษ เมื่อกราบลาทุกท่าน ทุกพระองค์แล้วก็น้อมจิต น้อมกระแสจากพระนิพพานลงมายังกายเนื้อ ลงมายังบ้านเรือน ลงมายังเคหะสถานที่เราอาศัยอยู่ น้อมกระแสกำลังพุทธคุณลงมาเต็มกำลัง น้อมกระแสเปิดสายบุญสายทรัพย์สายสมบัติลงมา เปิดบารมี เปิดโชคลาภ เปิดมหาโภคทรัพย์ กระแสจากพระนิพพานชำระล้างฟอกธาตุขันธ์ ใครเจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบายก็น้อมให้กระแสลงมาฟอกธาตุขันธ์
กำหนดจิตนิ่งหยุดอธิษฐาน ถือว่าเราทรงกำลัง ยกจิตขึ้นพระนิพพาน กำลังมีความบริสุทธิ์ กำลังฌานสูง สิ่งใดที่อธิษฐานในสิ่งที่เป็นกุศลก็สำเร็จสมปรารถนาทุกอย่าง ตั้งจิตอธิษฐาน ……..
หายใจเข้าลึกๆช้าๆสามครั้ง พุทโธ ธัมโม สังโฆ คุณพระคุณ พระธรรม พระสงฆ์ คุ้มครองรักษา เทวดาคุ้มครอง โมทนาบุญ อนุโมทนาบุญกับทุกกองบุญกรรมฐาน ทุกกองบุญกฐินทาน ทุกความดีของทุกคนทุกรูปทุกนาม ขอส่งกุศลผลบุญถึงเทวดาพรหม ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลาย ขอบุญทั้งหลายจงทวีคูณเพิ่มพูนขึ้น
จากนั้นก็ตั้งใจ โมทนากับเพื่อนๆที่ปฏิบัติธรรมด้วยกันทุกคน เพื่อนที่มาฟังมาฝึกมาปฏิบัติในภายหลัง
กำหนดน้อมจิตว่านับแต่นี้กำลังใจกำลังบารมีของเราในการปฏิบัติธรรมเต็มกำลังเสมอ แล้วก็ขอให้มีความเจริญรุ่งเรืองในธรรมทุกคน คล่องตัว ดวงเปิด มีความสุข มีความเจริญ
สำหรับวันนี้ก็โมทนากับทุกคน พบกันใหม่สัปดาห์หน้า
สำหรับวันนี้สวัสดีครับ
ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย คุณ Be Vilawan