green and brown plant on water

เหตุแห่งการจุติยังพรหมโลก

เวลาอ่าน : 3 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน” 

วันเสาร์ที่ 14 กันยายน 2567

เรื่อง เหตุแห่งการจุติยังพรหมโลก

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อมทั่วร่างกาย ผ่อนคลายร่างกายกล้ามเนื้อทุกส่วนพร้อมกับความรู้สึกที่เราปล่อยวางความเกาะความยึดในขันธ์ห้าร่างกายนี้ ปล่อยวางเรื่องราวความคิดความวิตกกังวล ภาระทั้งหลายของใจ เราละเราวางออกไปให้หมด ปล่อยวางทั้งร่างกาย ปล่อยวางทั้งจิตใจ เหลือแต่เพียงความเบาสงบ จดจ่ออยู่กับลมหายใจ กำหนดรู้ในลมหายใจ จินตภาพเห็นลมหายใจเป็นประดุจแพรวไหมพลิ้วผ่านเข้าออกภายในกาย ลมหายใจราบรื่นปลอดโปร่ง อารมณ์จิตว่าง วาง เบา สงบ

จดจ่อทรงอารมณ์อยู่กับลมหายใจสบาย

ทรงสภาวะไว้ในความรู้สึกที่จิตของเรานี้เข้าถึงอารมณ์สบาย อันเป็นอารมณ์กรรมฐานของอานาปานสติ ลมหายใจยิ่งละเอียดอ่อนสงบ อารมณ์ใจเรายิ่งปลอดโปร่ง เบิกบาน ผ่องใส อยู่กับลมหายใจสบาย

เคล็ดลับของอานาปานสติก็คือ เมื่อเราควบคุมลมหายใจให้อยู่ในสภาวะของลมหายใจที่มันมีความสงบระงับปลอดโปร่ง เราก็คุมอารมณ์จิตของเราให้มีความเบาความสบายได้ด้วยเช่นกัน คุมลมหายใจได้ คุมอารมณ์จิตได้ คุมปราณ คุมกระแส สติความคิดครบถ้วนถึงพร้อม ลมหายใจละเอียดอ่อนสงบ นิ่ง สงบ เบาสบาย

เมื่อจิตเข้าถึงความสงบในอานาปานสติแล้ว กำหนดหยุดจิต นิ่งหยุด เมื่อหยุดจิต ลมหายใจสงบระงับเข้าถึงเอกัคคตารมณ์เข้าถึงอุเบกขารมณ์ ในความนิ่งความหยุด กำหนดรู้ จินตภาพปรากฏเป็นภาพดวงแก้วใส ภาพดวงแก้วที่กำหนด เราทำความรู้สึกเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับจิตของเรา

ดวงแก้วคือดวงกสิณ กสิณคือจิต จิตคือกสิณ เข้าถึงกสิณจิต เชื่อมโยงภาพนิมิตกับจิตของเรา ดวงแก้วยิ่งใส จิตเรายิ่งมีความใสสะอาด มีความเอิบอิ่มชื่นบาน จิตเรายิ่งส่องสว่างมากเท่าไร ภาพนิมิตของเรายิ่งเข้าถึงความเอิบอิ่มความสุขมากขึ้นเพียงนั้น

จากสภาวะดวงแก้วที่เป็นดวงแก้วใสสว่าง กสิณ เรียกว่า “อุคหนิมิต” พอดวงจิตเรากำหนดน้อมนึกขึ้นให้กลายเป็นเพชรระยิบระยับ จิตจากดวงแก้วที่กลมใสกลายเป็นเพชรลูกที่มีเจียระไนรายรอบ 360 องศาพร้อมกับมีแสงสว่างเป็นเส้นแสงแผ่ออกมาจากดวงแก้วที่เป็นเพชรประกายพรึก สภาวะดังกล่าวในกสิณเรียกว่า “ปฏิภาคนิมิต” จิตเราเข้าถึงจิตเดิมแท้อันเป็นประภัสสร

 

กำหนดทรงอารมณ์เห็นสภาวะจิตของเราเป็นเพชรประกายพรึก นิ่ง หยุด สงบ สว่าง เปี่ยมพลัง เส้นแสงรัศมีกระแสแสงสว่างที่แผ่ออกโดยที่มีจิตอันเป็นเพชรประกายพรึกอันประภัสสรอยู่ตรงกลางนั้น รัศมีที่แผ่ออกคือคลื่นกระแสรัศมีจิต คลื่นกระแสแห่งความเป็นทิพย์ของจิต ยิ่งกระแสรัศมีมีกำลังมากเท่าไร จิตเรายิ่งเกิดจิตตานุภาพแห่งอานุภาพของกสิณ อานุภาพแห่งอภิญญาจิตยิ่งเพิ่มพูนมาขึ้นเพียงนั้น

 

กำหนดนิ่งหยุด สงบ ทรงอารมณ์ทรงสภาวะเข้าถึงแก่นแท้แห่งกสิณจิต จิตเป็นปฏิภาคนิมิต แผ่คลื่นกระแสเส้นแสงคลื่นกระแสแห่งความเป็นทิพย์ของจิตออกไป ทรงอารมณ์ไว้ ทรงสภาวะ ทรงภาพนิมิต ทรงอารมณ์จิต ทั้งภาพนิมิตทั้งความรู้สึกของใจสอดประสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ภาพนิมิตสัมพันธ์จิตใจ สัมพันธ์สมาธิ สัมพันธ์กับจิตตานุภาพ สัมพันธ์กับอภิญญาจิต นิ่งหยุด สว่างผ่องใสเป็นเพชระยิบระยับ

จากนั้นกำหนดจิตต่อไป ให้คลื่นกระแสแสงสว่าง คลื่นอันปรากฏจากดวงจิตที่เป็นเพชรประกายพรึก คลื่นกระแสแสงสว่างที่แผ่ออกไปกระจายออกไป เราน้อมให้เป็นคลื่นกระแสของเมตตาอันไม่มีประมาณ เป็นกระแสของความเย็นความเมตตาความรักความปรารถนาดีออกไปจากจิต

จุดนี้เรากำหนดรู้ว่าหากการปฏิบัติเริ่มต้นในกสิณ เราเริ่มจากกสิณไฟ คลื่นกระแสแสงสว่างจิตตานุภาพอภิญญาจิตที่แผ่ออกไปก็เป็นความร้อน ความร้อนนั้นมีลักษณะของความร้อนการแผดเผา กสิณไฟเป็นเหตุอันกระตุ้นโทสะ หากจิตเราเคยชินกับการแผ่กระแสของความร้อนจากกสิณไฟ ถึงแม้มีจิต มีจิตตานุภาพจิต มีอภิญญาจิต แต่ก็มีโอกาสที่จะให้ถูกธาตุไฟเข้าแทรก คือ โทสะจริตนั้นเข้าแทรก จนเรากลายเป็นผู้ที่มีความหงุดหงิดความเร่าร้อน โกรธโมโหได้ง่าย เราก็ปรับคลื่นกระแสจากจิตที่แผ่กระแส หากที่เราเคยฝึกมาจากกสิณไฟ เราก็เปลี่ยนมาเป็นแผ่กระแสของความเมตตาจากจิต กลายเป็นเมตตาฌาน อันที่จริงแล้วในการฝึกในการเจริญพระกรรมฐาน เป็นเหตุแห่งการที่ทำให้จิตของผู้ปฏิบัติได้เข้าถึงซึ่งการจุติยังพรหมโลก

การจุติยังพรหมโลกนั้นมีเหตุจากการที่หนึ่ง เป็นผู้ฝึกปฏิบัติเจริญพระกรรมฐาน เช่นได้ฌานหนึ่ง ฌานสอง ฌานสาม ฌานสี่ขึ้นไป หรือเป็นบุคคลที่ทรงอภิญญา ทรงกสิณ ตอนตายจิตสุดท้ายก่อนตาย ทรงอารมณ์จิต ทรงภาพนิมิตของกสิณ ทรงได้ถึงกำลังฌานเท่าไร ก็เข้าถึงความสูงระดับของพรหมโลกตามลำดับความเข้มข้นของฌาน

กับอีกประเภทหนึ่งก็คือการเจริญเมตตาพรหมวิหารสี่  จะเมตตาก็ดี กรุณาก็ดี มุทิตาก็ดี อุเบกขาก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นเหตุที่ทำให้ไปจุติยังพรหมโลก แต่บุคคลที่มีอารมณ์จิตเข้าถึงพรหมด้วยอารมณ์ของพรหมวิหารสี่ ก็มีความละเอียดของจิตสูงกว่า มีสภาวะภพที่สูงกว่าบุคคลที่ได้เฉพาะฌาน

ดังนั้นเมตตาฌานนั้นเป็นกำลังใหญ่ เป็นกำลังที่เมื่อเราเพิ่มกำลังอีกไม่มาก การปฏิบัติของเราก็เข้าทาง คือทางแห่งมรรคผลพระนิพพาน 

การได้ฌานนั้นอย่าลืมว่าถึงได้ฌานถึงได้เกิดจุติเป็นพรหมแต่ก็ยังมีพรหมที่เป็นมิจฉาทิฐิกับพรหมที่เป็นสัมมาทิฐิ

พรหมที่ท่านเข้าถึงความเป็นพรหมด้วยการเจริญพรหมวิหารสี่ ส่วนใหญ่แล้วท่านจะเป็นสัมมาทิฐิ การได้อภิญญาจิตนั้นมันก็เหมือนกับดาบสองคมถ้าเป็นมิจฉาทิฐิ ความถือตัวมานะความเก่ง เพิ่มมานะพอกมานะขึ้น พอเพิ่มมานะพอกมานะมากขึ้นไปเรื่อยๆ สุดท้ายความถือตัวในความเก่งนั้นก็อาจจะทำให้เรากลายเป็นบุคคลที่ไปปรามาสพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระอริยเจ้าพระอริยสงฆ์ พระสุปฏิปันโน พระโพธิสัตว์หรือแม้แต่พระพุทธองค์ อันนี้คือสิ่งที่แม้ได้กำลังอภิญญาแต่ก็ยังเป็นมิจฉาทิฐิได้ ถึงแม้ว่าเป็นพรหมก็เกิดมิจฉาทิฐิได้ แต่คราวนี้เมื่อไรที่จิตเรามีเมตตามีพรหมวิหารสี่คุม ธรรมชาติของบุคคลที่ทรงไว้ในพรหมวิหารย่อมเป็นบุคคลที่มีความละเอียดมีความอ่อนโยน มีปัญญาในธรรมสูงในระดับหนึ่ง ถ้าไม่มีปัญญาบารมีสูงในระดับหนึ่งก็จะไม่เห็นความสำคัญ ไม่เข้าใจความสำคัญประโยชน์ของการเจริญพรหมวิหารสี่  จิตจะเป็นจิตที่มีความละเอียดมากกว่าบุคคลที่ไม่มีพรหมวิหารสี่  คนที่เขาหยาบไม่มีศีลไม่มีธรรมเขาก็จะไม่มีความเข้าใจว่าคนอื่นบุคคลอื่นเราจะไปช่วยเหลือเราจะไปเมตตาคนอื่นทำไม

 

ในยามที่โลกนี้เกิดภัยพิบัติขึ้น คนที่มีเนื้อแท้ของความเมตตาก็ลุกขึ้นมาช่วยเหลือเกื้อกูลสงเคราะห์ผู้คนที่ประสบทุกข์ประสบความยากลำบาก ถามว่าเป็นญาติใช่ไหมก็ไม่ใช่ญาติ คนบ้านเดียวกันจังหวัดเดียวกันไหมก็ไม่ใช่ แต่ด้วยความเป็นมนุษย์ด้วยกันก็ดี หรือแม้แต่สัตว์ที่จมน้ำติดน้ำอยู่ก็ไปช่วยเหลือ สิ่งต่างๆเหล่านี้สะท้อนพื้นของจิตว่าบุคคลที่มีน้ำใจไมตรีในการเกื้อกูลช่วยเหลือบุคคลอื่นที่ประสบทุกข์ได้ยากนั้น เป็นบุคคลที่มีใจสูง มีเมตตา มีพรหมวิหารสี่

ดังนั้นเราจะปฏิบัติธรรม เราก็จงเป็นผู้ที่มีพรหมวิหารสี่ ยิ่งมีพรหมวิหารสี่เต็มมากเท่าไรถึงพร้อมมากเท่าไร บารมียิ่งเต็มเร็วขึ้น

 

อันพรหมวิหาร 4 นี้ อันที่จริงนี้ต้องปฏิบัติให้ครบทั้ง 4 การปฏิบัติธรรมทั้งหมด 

เหตุผลที่ผู้ปฏิบัติธรรมนั้นเข้าถึงธรรมะเข้าถึงความดีเข้าถึงผลแห่งการปฏิบัติเนิ่นช้าไป เนื่องจากการแยก ทำไม่ครบ คำว่าทำไม่ครบไม่จบรอบ หมายความว่า ถ้าเรามีเมตตาอย่างเดียว เราเห็นคนประสบความทุกข์เดือดร้อน เราเมตตาสงสารช่วยเหลือ ถ้าเรามีเมตตาอย่างเดียว แต่ถ้าเมื่อไรเรามีเมตตาอย่างเดียว เราไม่มีมุทิตาจิต  คำว่ามุทิตาจิตก็คือ มีจิตยินดีที่บุคคลอื่นเขาเข้าถึงความสุข เข้าถึงความดี เข้าถึงความเจริญ ตรงนี้ก็กลายเป็นว่า เรามีแต่จิตที่มันมีแต่ความริษยา มีเมตตาจริงแต่เห็นคนอื่นที่ดีกว่า เห็นคนอื่นเขาทำดีเรากลับมีความริษยา คือหมั่นไส้เขาบ้าง หาเรื่องหาเหตุใส่ร้ายเขาบ้าง ตรงนี้ก็ทำให้จิตของเราเองเศร้าหมอง แถมกลายเป็นอกุศลจิต เป็นการปรามาส เป็นการทำลายกำลังใจของบุคคลที่ทำความดี ตรงนี้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ

เรื่องของการทำลายกำลังใจคนในการทำความดีนั้นอย่าคิดว่าเป็นเรื่องเล็ก เหตุผลก็คือว่าสำหรับบุคคลที่มีกำลังใจน้อยพึ่งทำความดี พอทำความดีแล้วถูกตำหนิถูกใส่ร้าย ถูกหาเรื่อง ถูกหมั่นไส้ถูกริษยา ต้นกล้าแห่งความดีในจิตใจของเขายังไม่ทันแข็งแรง เขาก็อาจจะเกิดความคิดที่เป็นมิจฉาทิฐิ ท้อถอย ถอดใจ คิดว่าทำดีแล้วก็ไม่มีประโยชน์ ถูกใส่ร้ายใส่ความ ถูกอิจฉาริษยา เช่นนี้เราจะทำความดีไปทำไม ตรงนี้มันก็กลายเป็นมิจฉาทิฐิ ดังนั้นในความหมั่นไส้ริษยาใส่ร้ายนั้นก็เท่ากับทำลายคนที่กำลังจะเป็นคนดีหนึ่งคน คนดีคนนั้นก็อาจจะเลิกทำความดี ถ้าความดีของเขายังไม่เข้มแข็ง

คราวนี้อีกขั้นหนึ่งที่สูงขึ้นมา คนที่เขาทำความดีนั้นมีกำลังใจสูงอุเบกขา มีความเข้มข้นหรือแม้กระทั่งสูงไล่ขึ้นไปเป็นกำลังใจของพระโพธิสัตว์ บุคคลที่เป็นพระโพธิสัตว์สร้างความดีบำเพ็ญบารมี มีคนหมั่นไส้ ใส่ร้ายอิจฉาริษยา สุดท้ายคนที่หมั่นไส้อิจฉาริษยาคนที่เขาทำความดีคนที่เขาเป็นพระโพธิสัตว์ ก็รับบทอยู่ในฐานะของความเป็นพระเทวทัต ประดุจในยุคก่อนสมัยที่พระพุทธองค์ท่านยังทรงบำเพ็ญพระบารมีอยู่ ดังนั้นโชคเคราะห์ร้ายก็มาปรากฏลงอยู่กับตัวของคนที่มีปกติเป็นความหมั่นไส้อิจฉาริษยา ใส่ร้ายใส่ความ อันนี้คือบุคคลที่เขาไม่มีมุทิตาจิต

ความกรุณาเอ็นดูสงสารเกิดขึ้นเมื่อไร เมตตาก็เกิด 

ความมีมุทิตาเกิดขึ้นเมื่อไร ใจเราก็เป็นสุขที่เห็นคนอื่นเขาเป็นสุข เห็นคนอื่นเขาทำความดีเราชื่นชม อันที่จริงการเจริญมุทิตาจิตก็เท่ากับการที่เราโมทนาบุญ มุทิตาก็คือโมทนาบุญ จะอนุโมทนาบุญคือเฉพาะเจาะจงเฉพาะอย่าง หรือโมทนาบุญคือบุญทุกอย่างความดีทุกอย่างที่คนอื่นเขาทำ เราอิ่มใจขึ้นสุขใจขึ้นยินดี ผลกุศลอันเกิดขึ้นจากความยินดีในความดีของผู้อื่นก็กลายเป็นบุญของเรา บุญอันเกิดขึ้นจากโมทนานุปัจจัย

ส่วนสุดท้ายก็คืออุเบกขา อุเบกขาก็คือถึงเวลาเราเห็นคนยากลำบากเห็นคนเขาทุกข์ เราอยากช่วย ถ้าเราไม่มีอุเบกขาเราก็จะเครียด เราก็จะทุรนทุรายว่าอยากช่วยทำไมช่วยไม่ได้ กลายเป็นว่าบุคคลที่มีความเศร้าหมองก็คือตัวเรา

อันที่จริงก็คือ พิจารณาว่า 1 เป็นกรรมและผลของกรรม 2 พิจารณาว่าถ้าเราไม่อยู่ในฐานะที่ช่วยได้ คือความพร้อมในด้านเวลา กำลัง หรือแม้แต่ทรัพย์ เราช่วยไม่ได้ เราก็ตั้งกำลังใจว่าถ้าเรามีทรัพย์เมื่อไรเราจะช่วย หรือกรณีอย่างนี้เกิดขึ้นแล้วถ้าเรามีทรัพย์เราจะช่วย ถ้าเรามีกำลังเราจะช่วย แล้วแต่เหตุการณ์สถานะ แต่อุเบกขานี้จริงๆมีหน้าที่รักษาใจของเจ้าของไม่ให้เกิดความทุกข์จากการที่ช่วยไม่ได้ สงเคราะห์ไม่ได้ ก็ต้องอุเบกขา

ดังนั้นสรุปรวมความแล้วพรหมวิหารสี่ เห็นคนอื่นเขาทุกข์เราช่วยเราสงเคราะห์ เห็นคนอื่นยากลำบากเราเอ็นดูสงสาร เห็นคนอื่นมีความสุขเห็นคนอื่นทำความดีเห็นคนอื่นสร้างกุศลเราพลอยยินดีด้วย และสุดท้ายเห็นคนที่เขายากลำบากแต่เราช่วยไม่ได้เราก็อุเบกขา

 

ดังนั้นสรุปรวมความแล้วไม่ว่าจะมีสถานการณ์ใดมากระทบเกิดขึ้นกับตัวเรา ใจเรายังคงความผ่องใส ใจเรายังทรงอารมณ์ที่สว่างเป็นสุขของเราไว้ได้ตลอด อย่าลืมว่าการปฏิบัติธรรมปฏิบัติเพื่อจิตอันเป็นสุข ถ้าปฏิบัติแล้วจิตมันเศร้าหมองจิตมันทุกข์จิตมันหนัก แปลว่าเราวางกำลังใจผิด

ยิ่งวางยิ่งเบา ยิ่งปล่อยวางยิ่งโล่ง จิตยิ่งเข้าถึงความสงบ จิตยิ่งสว่างยิ่งผ่องใส จิตตัดกิเลสละวางกิเลสได้มากเท่าไร สายโยงใยของวิบากอกุศล สายโยงใยของภาระ สายโยงใยของกรรม ยิ่งคลายตัว ยิ่งเบาลง ดังนั้นจิตเรายิ่งเป็นสุขมากขึ้นจากการปฏิบัติธรรม

 

กำหนดจิตพิจารณาเห็นจิตของเราทรงสภาวะเป็นเพชรประกายพรึกพร้อมกับแผ่กระแสแห่งเมตตาไม่มีประมาณ กรุณาอันไม่มีประมาณเป็นมหากรุณา แผ่กระแสแห่งมุทิตาอันไม่มีประมาณ แผ่กระแสแห่งอุเบกขาอันไม่มีประมาณ จิตของเราทรงสภาวะความสว่างถึงพร้อมในพรหมวิหารสี่อย่างสมบูรณ์

 

จากนั้นกำหนดน้อมอธิษฐานรำลึกนึกถึงองค์พระจอมไตรศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า กำหนดน้อมนึกถึงสมเด็จองค์ปฐมปรากฏขึ้นกลางจิตกลางใจของเรา ทรงสภาวะทรงภาพองค์พระให้ติดจิตติดใจของเรา ตอนนี้ กำลังแห่งพุทธานุภาพเป็นหนึ่งเดียวกับพุทธนิมิตในจิตของเรา อันนี้คือเคล็ดลับแห่งการเจริญพุทธานุสติ

 

ในพุทธานุสติกรรมฐานอันเป็นอนุสติ 10 ในกรรมฐาน 40 กอง พุทธานุภาพเป็นกรรมฐานที่มีกำลังสูงที่สุดแล้วก็เป็นกำลังสำคัญ หากเราปฏิบัติโดยมีปัญญามีความเข้าใจ พุทธานุสติอย่างเดียวถึงพระนิพพานได้ง่ายที่สุด วิธีพิจารณาก็คือนึกถึง เรามีความเคารพมีความศรัทธา เชื่อในธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอน พระพุทธองค์ทรงพระนิพพานนานแล้วก็ตาม แต่ยังมีกำลังแห่งพุทธานุภาพเมตตาสงเคราะห์เกื้อกูลสัตว์โลกทั้งหลาย แม้พระพุทธเจ้าที่ล่วงลับดับขันธ์ปรินิพพานนานแล้ว แต่ละพระองค์นับตั้งแต่สมเด็จองค์ปฐมเป็นต้นมา ก็ยังสามารถมาโปรดมาสงเคราะห์บุคคลที่มีจิตศรัทธาเข้าถึงในไตรสรณคมน์ จิตเลื่อมใสศรัทธาในพระองค์ได้ ตัวเราก็เช่นกัน เราเคารพพระพุทธเจ้า แล้วเมื่อเราปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน เราตั้งจิตว่าตายเมื่อไรไปพระนิพพาน พระพุทธองค์ท่านทรงเสด็จดับขันธ์อยู่พระนิพพานในสภาวะใดก็ตาม พระอรหันต์ขีณาสพผู้สิ้นสรรพกิเลสทั้งหลาย เสด็จดับขันปรินิพพานอยู่บนพระนิพพานในสภาวะใดก็ตาม ข้าพเจ้าขอตามเสด็จเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ตัดละวางชาติภพ ความเกาะ ความเกิดความผูกพันจากใจให้หมด มีพระพุทธเจ้าเป็นสรณะที่พึ่งสูงสุดเพียงจุดเดียวตราบเท้าเข้าสู่พระนิพพาน

ตราบเท้านี่หมายความว่าเท้าของกายทิพย์ก้าวเข้าพระนิพพาน

ตราบเท่าคือตราบเท่าชีวิตดับดิ้นสิ้นจากความเป็นมนุษย์ในชาติภพนี้แล้ว เราเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยอารมณ์จิตที่ตั้งมั่นมีไตรสรณคมน์เป็นที่สุด

 

ดังนั้นบุคคลที่ตั้งจิตมั่นคงในพระพุทธเจ้า คนที่ฝึกมโนมยิทธิจนยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานได้ เราฝึกที่จะยกจิตขึ้นมาทุกวันทุกเวลาทุกวาระที่ทรงอารมณ์ ทุกวันที่เราเจริญพระกรรมฐาน อย่างไรในที่สุดชาตินี้เราก็เข้าถึงพระนิพพานได้แน่นอน อันนี้คือประโยชน์ของการที่เราทรงไว้ในพุทธานุสติ

ครูบาอาจารย์ที่ท่านสอนท่านก็พยายามผูกจิตเราไว้กับพุทธานุสติกำลังของพุทธานุภาพ เป่ายันต์เกราะเพชรก็เป็นกำลังของบทพระคาถาอิติปิโส ก็คือพรรณนาคุณแห่งพระพุทธเจ้า ทรงภาพพระในการใช้กำลังมโนมยิทธิก็เป็นกำลังพุทธานุสติ

อันที่จริงมโนมยิทธินี่ถือว่าเป็นกำลังของพุทธานุภาพ ถ้าให้เราปฏิบัติด้วยกำลังเราเอง คือไปไล่ตั้งแต่กสิณ กสิณจนถอดจิตเป็นฌานสี่เต็มกำลัง ฌานสี่เต็มกำลังถอดกายทิพย์ออกมาได้ ออกมาได้ถ้าด้วยกำลังเราเองส่วนใหญ่อย่างเก่งก็ลอย ลอยอยู่ตรงแถวๆรอบๆกายเนื้อ กว่าจะรู้ที่รู้ทาง กว่าจะออกไปได้ไกลขึ้น กว่าจะออกไปภพอื่นภูมิอื่น กว่าจะเริ่มรู้จักสวรรค์พรหม ขอบอกเลยว่าถ้าใช้กำลังเราเองกว่าจะไปถึงได้เป็นเรื่องยากเย็นแสนสาหัส เอาแค่ถอดกายทิพย์ออกมาก็ยากเย็นมาก แต่คราวนี้ด้วยกำลังของพุทธานุภาพที่เราอาราธนา เป็นเหตุที่ทำให้กรรมฐานที่ยากนั้นกลายเป็นง่าย ดังนั้นตรงจุดนี้ก็ให้เรานอบน้อมถ่อมตนต่อพระพุทธเจ้าไว้ ว่าการที่เราถอดจิตออกมาได้ การที่เราไปภพอื่นภูมิอื่น ไปภพพญานาค ไปภพของสวรรค์ดาวดึงส์ ไปภพของพรหมโลก ไปพระนิพพาน อันที่จริงเป็นเพราะบารมีของพระพุทธเจ้า เป็นกำลังพุทธานุภาพที่สงเคราะห์ปรารถนาให้เรามีปัญญาทำความเข้าใจในภพภูมิ จริงๆการที่เราไปเที่ยวภพอื่นภูมิอื่น บางคนก็ไปเที่ยวกลายเป็นเรื่องสนุก กลายเป็นเรื่องเพลิดเพลิน หรือแม้แต่กระทั่งกลายไปเป็นเรื่องที่เพิ่มพอกมานะทิฐิ คือกลายเป็นว่าเราเก่ง เราไปภพนั้นภูมินั้นได้ ไปโน้นไปนี่ได้

แต่วัตถุประสงค์ที่จริงของการฝึกมโนมยิทธิในการถอดกายทิพย์ไปดูภพโน้นภพนี้ เพื่อให้เห็นความทุกข์ ให้เห็นความไม่เที่ยง ให้เห็นความเป็นไป ให้เห็นกำลังของกฎแห่งกรรม ไม่ว่าจะเป็นบุญเป็นบาป เป็นวิบากเป็นกุศล ให้เราทำความเข้าใจจนจิตเข้าถึงความเป็นสัมมาทิฐิ  รู้ผิดชอบชั่วดี รู้จักว่าบุญบาปมีจริง สวรรค์นรกมีจริง ภพภูมิมีจริง พระนิพพานมีจริง อันเป็นสิ่งสำคัญแห่งสมาธิ พอได้สัมมาทิฐิ เห็นความไม่เที่ยง เห็นความแปรปรวน เห็นความทุกข์ในสังสารวัฏ เราก็เริ่มได้ดวงตาเห็นธรรม พอได้ดวงตาเห็นธรรมเราก็ปรารถนาพระนิพพาน

 

ดังนั้นพิจารณาครบจบรอบในที่สุดจิตเราก็มีคติอยู่กับพระนิพพาน ด้วยกำลังของพุทธานุภาพที่ท่านสงเคราะห์เกื้อกูล ด้วยกระแสของธรรมที่เข้าลงสู่ใจ ด้วยบารมี ด้วยคุณความดี ด้วยพระคุณของครูบาอาจารย์ พระอริยะสงฆ์ที่สืบต่อธรรมะ สืบต่อคำสอนจนมากระทั่งถึงเรา จนเราได้ผลได้เข้าใจ ได้รับประโยชน์ของธรรมจนมีพระนิพพานเป็นที่สุด เราพิจารณาแล้วก็กำหนดจิต ยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพาน ขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ กราบทุกท่านทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน น้อมจิตกราบด้วยความเคารพ

 

เมื่อกราบแล้วเราก็กำหนดจิตพิจารณาธรรม พิจารณาว่าเราปล่อยวางจากห่วงจากทุกข์จากโลกใบนี้ได้ไหม พิจารณาโลกในปัจจุบัน ว่าในยามที่ไม่ได้เกิดภัยพิบัติ เราก็อาจจะมีความเพลิดเพลินความหลงกับความสุขสนุกสนานในโลกมนุษย์ แต่ตอนนี้มันเกิดภัยพิบัติ มันเป็นสุขหรือมันเป็นทุกข์ มันมีความยากแค้นมีความยากลำบาก มันมีความพลัดพรากจากของรักของเจริญใจไหม บางบ้านทรัพย์สินหายไปหมด ถูกทำลายไปหมด สิ่งของที่มีค่าคือบ้านเรือนเคหะสถาน รถยานพาหนะที่มีราคาแพงจมโคลนจมน้ำไปหมด หรือแม้แต่บางคนชีวิตติดอยู่ในบ้านน้ำท่วมขึ้นมาจนถึงหลังคา ออกจากบ้านไม่ได้ ผลักประตูก็มีขี้โคลนน้ำดัน สุดท้ายติดอยู่ในบ้านเสียชีวิต

โลกนี้สรุปมันเป็นสุขหรือมันเป็นทุกข์ เมื่อวานยังเป็นสุข วันนี้กลับเป็นทุกข์ เมื่อวานยังเป็นเจ้าของ วันนี้เป็นผู้สูญเสีย สุดท้ายทุกสิ่งมันไม่เที่ยง เป็นไปตามที่พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสไว้ไหม เราไปหลงคิดว่ามันเที่ยง เราไปยึดว่ามันจะอยู่เช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราคิดว่าเราเกิดเป็นมนุษย์มีแบบนี้ ชาติหน้าเราก็จะต้องมีแต่แบบนี้ แต่ที่จริงมันไม่เที่ยง เคยมีเคยยิ่งใหญ่ มันก็อาจจะมาเกิดเป็นคนธรรมดาได้ ความไม่เที่ยงของสังสารวัฏนี่แหละคือความน่ากลัวของสังสารวัฏอย่างแท้จริง ความพลาดพลั้ง การกระทบกระทั่ง การสร้างกรรมวิบาก บางทีเราก็เกิดโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ บางครั้งมันก็เกิดขึ้นในขณะที่กรรมมันให้ผล

จำไว้ว่าคนเราบางครั้งเราเห็นคนอื่นที่เขาไปทำชั่วแล้วเราก็มาคิดว่าทำไมเขาคิดไม่ได้ อันที่จริงคำตอบมันมีอยู่อย่างเดียวคือ วิบากกรรมอกุศลมันกำลังให้ผล คนก็เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นชั่วว่าดี เห็นคนเลวว่าเป็นผู้ประเสริฐ หรือแม้แต่ในยามที่เราหลงเรารักในวัยที่เราเป็นหนุ่มเป็นสาว มัวเมาในความรักความหลง ความรักความหลงมันบังตา มันก็ทำให้เรามองข้าม เห็นคนที่เขาทำชั่วแต่เรารักว่าเป็นคนดีทำอะไรก็ดีไปหมด เมื่อไรที่มันหมดจากความรัก ความรักมันถอดถอนมันคลายออกไป เราก็เห็นแต่สิ่งที่ไม่ดีของเขาเต็มไปหมด ดังนั้นฉันใดก็ฉันนั้น บุคคลทั้งหลายในยามที่อกุศลเข้า วิบากกรรมเข้า ก็เป็นธรรมดาที่จะหลงผิดคิดชั่ว แต่เราเองตอนนี้เข้ามาสู่ธรรมแล้ว ได้มาปฏิบัติขัดเกลาจิตแล้ว เราก็จงตั้งกำลังใจของเราไว้ว่า “ขอให้เราไม่หลุดไม่คลาดจากกระแสของโลกุตรธรรม ไม่คลาดจากกุศลความดี มีพระรัตนตรัย มีพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ และขอให้ข้าพเจ้ามีสติ มีปัญญา แยกแยะดีชั่วถูกผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีครูบาอาจารย์ที่เป็นกายทิพย์ที่เป็นสัมมาทิฐิ ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอริยเจ้า ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอริยะสงฆ์ ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระพุทธองค์ เมตตามาสอนมาแนะนำการปฏิบัติให้การปฏิบัติของข้าพเจ้ามุ่งลัดตัดตรงได้เร็วเข้าด้วยเถิด”

 

กำหนดจิตด้วยความผ่องใส จากนั้นน้อมกระแสแผ่เมตตาสว่างลงมายังโลกมนุษย์ อธิษฐานจิต ขอการเจริญพระกรรมฐานของข้าพเจ้าเป็นกำลังบุญสงเคราะห์เกื้อกูลบรรเทาเบาบาง สลายล้างความอาฆาตแค้นพยาบาท สลายล้างกระแสกรรมให้เบาบางไปเท่าที่จะเป็นไปได้ สิ่งใดที่ไม่เกินกฎของกรรมอยู่ในวาระที่อโหสิกรรมให้กันได้ก็ขอจงอโหสิกรรม บุญกุศลในแผ่นดินธรรมแผ่นดินทองสุวรรณภูมิแห่งนี้ยังมีมากอยู่ก็ขอให้เป็นบุญค้ำจุนแผ่นดินที่พระพุทธองค์ทรงฝากไว้ จารึกพระพุทธศาสนาให้บุญทั้งหลายที่ข้าพเจ้ากระทำบำเพ็ญ เป็นดังไม้โพธิ์ค้ำจุนพระบวรพระพุทธศาสนาให้ตั้งมั่นยั่งยืนตราบห้าพันปี ให้บุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้เจริญพระกรรมฐาน ขอจงเป็นไม้ค้ำจุนค้ำชูสถาบันพระมหากษัตริย์ จิตข้าพเจ้าขอจงเป็นกุศลจิต ยังประโยชน์ใช้กำลังบุญกุศลสร้างปฏิปทาสาธารณประโยชน์ ยังประโยชน์ทำงานภาคทิพย์ให้กับชาติบ้านเมืองแผ่นดินด้วยเทอญ

 

ขอเทวดาพรหมทั้งหลาย พระสยามเทวาธิราช สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่พิทักษ์รักษาชาติบ้านเมือง แม่พระธรณี แม่พระคงคา พ่อพระเพลิง พ่อพระพาย พ่อธาตุแม่ธาตุทั้งสี่ ขอจงกำหนดรู้ให้ข้าพเจ้าได้ปลอดภัยจากภัยพิบัติ ดิน น้ำ ลม ไฟ ทั้งปวงด้วยเถิด บุญกุศลเมตตาอันไม่มีประมาณของข้าพเจ้า ขออโหสิกรรม ขอขมากรรม ขอสลายล้างกระแสวิบากกรรมที่มีต่อเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ทั้งที่จ้องจองเวรโดยตรงกับข้าพเจ้า ทั้งที่จองเวรกับชาติบ้านเมืองแผ่นดินศาสนาสถาบัน ทั้งที่จองเวรต่อพระพุทธศาสนา ขอท่านทั้งหลายจงอโหสิกรรม ขอจงเลิกแล้วต่อกัน ด้วยกำลังของบุญกุศล คนที่แผ่เมตตาได้ แผ่เมตตาอันไม่มีประมาณได้ ในโลกทิพย์ถือว่าเป็นอัครมหาเศรษฐี ถ้าไม่มีบุญมากพอก็ย่อมไม่อาจให้  จิตต้องสูงขึ้นในระดับหนึ่งจึงแผ่เมตตา จิตคนทั่วไปแผ่เมตตาก็ได้ในระยะใกล้ๆ แผ่เมตตาอย่างไม่มีประมาณได้นี่ถือว่าเป็นบุคคลที่มีบุญที่มีรัศมีกายที่มีกำลังจิตสูงส่ง

 

ดังนั้นการที่เรายิ่งแผ่เมตตาให้สิ่งที่เป็นอริยทรัพย์ สิ่งที่เป็นพรหมสมบัติ สิ่งที่เป็นทิพย์ กลายเป็นว่ายิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งแผ่เมตตามากเท่าไรกลายเป็นบารมีแสงสว่างรัศมีกายเรายิ่งเพิ่มพูน คนที่เคยแผ่ได้หรือคนที่มีรัศมีกายแต่ไม่ยอมเมตตาไม่ยอมเจริญเมตตาเลยกลับกลายเป็นบุคคลที่ใช้บุญไปเรื่อยๆจะหมด ถ้าคนที่ยิ่งแผ่เมตตาก็ยิ่งสว่างขึ้น แผ่เมตตาก็ยิ่งสว่างขึ้น ยิ่งได้ขุมทรัพย์ในความเป็นทิพย์เพิ่มพูนขึ้นไปเรื่อยๆ บารมียิ่งเพิ่มพูนขึ้นไปเรื่อยๆ

ดังนั้นจริงๆเมื่อไรที่เราเข้าใจคำว่ายิ่งให้ยิ่งได้ หรือแม้แต่ทานแล้ว ยิ่งสละแจก ยิ่งช่วยเหลือเกื้อกูลคนหมู่มาก บารมีเราก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น เราคิดว่าเราเสียทรัพย์ แต่สิ่งที่เราได้คือบารมี บารมีเพิ่มพูนขึ้น การละวาง การปล่อยวางเพิ่มพูนขึ้น ดังนั้นยิ่งปฏิบัติบารมียิ่งเต็มเร็ว ยิ่งปฏิบัติบุญยิ่งก่อเกิดมากขึ้น บุญก่อเกิดมากขึ้นมากขึ้นมาเท่าไรจนจิตเราผ่องใส จนบารมีมันเข้าที่ ถึงเวลานั้นเราไปไหนเราก็เป็นที่รัก ปลอดภัยแคล้วคลาดจากภัยทั้งปวง

 

อันที่จริงการที่จะรอดพ้นจากภัยพิบัติถึงเตรียมข้าวของไว้มากเท่าไรที่เป็นวัตถุ เราเตรียมไว้แต่ไม่ได้เตรียมบุญ ถึงเวลากรรมมันเข้า มีมากเท่าไรพร้อมเท่าไรก็กลายเป็นว่าไม่อาจใช้ บังเอิญเตรียมไปแล้วแต่ไม่ได้อยู่ในจุดที่เราเตรียมไว้ แต่ถ้าเมื่อไรเราเตรียมบุญไว้มากพอ ถึงเวลาบางครั้งบางคนไม่ได้เตรียมตัวไม่ได้เตรียมของที่เป็นวัตถุ ก็กลับไปอยู่ในสถานที่ไปอยู่ในจุดที่มันปลอดภัย หรือจุดที่มันไม่ได้อดอยากยากแค้น ดังนั้นทางที่ดีก็คือ อย่าลืมสิ่งสำคัญ ภัยทั้งหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งครั้งนี้มันเป็นภัยพิบัติที่มันเกิดขึ้นจากวาระกรรม อันนี้จับได้มาว่าเขาเริ่มเก็บ เก็บเล็กเก็บน้อย บางคนหกล้มบางคนล้มหน้าฟาด มีเก็บเล็กเก็บน้อยนี่มากมายก่อนที่จะเกิดภัย ตอนนี้ก็เกิดเป็นภัยที่เป็นภัยพิบัติภัยพิบัติ หนนี้เจ้ากรรมนายเวรเขาเล่น จากข้อมูลที่ได้ทราบมาก็คือขนาดคนที่เป็นหน่วยอาสาจิตอาสาที่ไปช่วย หลายกลุ่มหลายสายหลายทีมก็เจออุปสรรคที่มันตรงกัน คือจะเข้าไปช่วย รถยางแตกตรงกันหลายๆที่ เรือที่ไปช่วยใบพัดหักกันหลายๆทีม อันนี้นอกเหนือจากสิ่งที่เป็นวิทยาศาสตร์ก็คือมันมีก้อนหิน มันมีขวากหนามอยู่ในน้ำ แต่ในขณะเดียวกันที่มันมีมากกว่านั้นก็คือ มันก็มีวิบากกรรมที่เขาขัดขวางไม่ให้การช่วยเหลือมันเป็นไปได้อย่างสะดวกราบรื่น อันนี้มันก็เป็นเรื่องของเจ้ากรรมนายเวรที่เขายังมีความอาฆาตแค้นพยาบาทยังมีการเก็บ

 

ดังนั้นสิ่งที่เราทำงานในโลกทิพย์ก็คือ การแผ่เมตตา การขมากรรม การอโหสิกรรม อย่างวันพรุ่งนี้เราเจริญจิตวิปัสสนาเจริญเมตตาสมาธิ อันนี้ก็ถือว่าเรากำลังสร้างพลังงานพลังบุญที่จะช่วยในการบรรเทาเบาบางสลายภัยพิบัติไปด้วยในตัว หรืออย่างวันนี้ประมาณ 6 โมงกว่า 19:00 น ที่ผ่านมาก็มีการสวดบทพระจักรพรรดิที่หน้าพระธาตุที่อาคาร fenix ประตูน้ำ ทุกคนส่วนใหญ่ก็รู้หน้าที่ ถ้าใครรู้จักสังเกตเราจะเห็นว่าหลายๆสิ่งหลายๆอย่างครูบาอาจารย์ที่ท่านได้รับคำสั่งจากพระ คือพระพุทธองค์ลงมาเหมือนกัน ก็จะทำหน้าที่หรือทำสิ่งที่ทำตรงกันโดยไม่ได้นัดหมาย เช่นเมื่อเสาร์ที่ผ่านมาครั้งที่แล้วเสาร์ 5 ครูบาอาจารย์หลายองค์หลายสายก็ตั้งใจเชิญยันต์เกราะเพชร เพราะรู้ว่ากำลังจะเข้าเขตของภัยพิบัติ จำเป็นที่ต้องปกปักรักษาลูกศิษย์หรือคนที่อยู่ในศีลในธรรม อยู่ในวิสัยที่มีความเคารพพระพุทธเจ้าให้อยู่รอดปลอดภัย ตอนนี้ก็เป็นเรื่องเดียวกัน หลายๆท่านก็เร่งในเรื่องการสร้างบุญสร้างบารมีเพื่อช่วยคนที่พึงรอด เพราะคนที่พึงรอดนี้ก็จะอยู่ในวิสัยที่จะเข้าสู่ยุคชาววิไล ต้องมาเป็นกำลังในการสืบสานสืบต่อพระพุทธศาสนา เพราะรอบนี้เมื่อผ่านภัยพิบัติไป พระพุทธศาสนาจะขึ้นอีกครั้งหนึ่ง อันนี้คือหลวงพ่อพูดไว้ พระท่านบอกไว้ ขึ้นอีกครั้งคือมากด้วยพระอริยเจ้า พระสุปฏิปันโน พระโพธิสัตว์ ทั้งฆราวาส ทั้งพระ นี่พูดถึงพระนิพพานเป็นเรื่องปกติ คนส่วนใหญ่ประกาศว่าไปพระนิพพานชาตินี้มากมาย

อย่างตอนนี้ก็มีสภาวะมีเหตุให้ปรากฏเช่นนั้นเป็นปกติแล้ว แต่ต่อไปจะยิ่งมากกว่านี้  ในเรื่องภัยพิบัตินี้ อันที่จริงนี้ถือว่าพระท่านบรรเทาเบาบางลงไปมาก มันไม่แรงรุนแรงชนิดที่ว่าโลกแตก บางคนคิดว่ามันจะใหญ่ขนาดนั้นมันก็เกิดเหตุเป็นพื้นที่กระจัดกระจาย เลือกเก็บไปตามเขตที่มีกรรมของบุคคลหมู่มาก กรรมของบุคคลหมู่มากมีอะไร คนกระทำบาปหยาบช้า อกตัญญูต่อชาติต่อแผ่นดินต่อพระพุทธศาสนา อกตัญญูต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จริงๆกรรมที่เป็นกรรมอกตัญญูต่อชาติแผ่นดิน สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นกรรมใหญ่ หรือกระทำบาปหยาบช้ายุแยงให้เกิดความแตกแยกแตกความสามัคคีในหมู่สงฆ์ ทำลายความสามัคคีในหมู่ประชาชนคนไทยด้วยกัน ทำลายความสามัคคีของประชาชนที่มีต่อองค์พระมหากษัตริย์ สิ่งต่างๆเหล่านี้จริงๆก็ถือว่าเป็นกรรมใหญ่ในสายอนันตริยกรรม กรรมที่มีผลกับคนหมู่มาก กรรมที่มีผลต่อการสืบต่อต่อเนื่อง เช่นกรรมที่ทำลายคุณธรรมศีลธรรม พยายามสร้างสังคมที่มันเสื่อมในศีลธรรม ทำให้สิ่งที่เป็นอบายมุขขึ้นมาเป็นที่แพร่หลาย ทำให้คนประชาชนหมู่มากติดมัวเมาอยู่ในอบายมุข อันนี้ก็ทำให้เป็นเหตุให้คนหมู่มากออกจากธรรมะ ออกจากกุศล ออกจากความดี กรรมพวกนี้มันก็เป็นกรรมใหญ่

ดังนั้นช่วงนี้ถ้าเป็นไปได้เราเห็นเราพบเจอใครที่ถือว่าเป็นคนพาล คนที่เป็นมิจฉาทิฐิ พยายามออกห่าง  ตัดได้ตัด ห่างได้ห่าง เลิกคบได้เลิกคบ ไม่จำเป็นต้องไปเสียดาย

 

คุณธรรมในมงคล 38 ประการข้อที่หนึ่งก็คือ “อะเสวนา จะ พาลานัง” อย่าพูดคุยคบค้าคลุกคลีอยู่กับบุคคลที่เป็นคนพาล ต่อให้เขาร่ำรวย ต่อให้เขาดูดีแค่ไหน แต่เป็นคนที่ไม่มีศีลไม่มีธรรม ไม่มีคุณธรรม  จิตคิดร้ายต่อส่วนรวมประเทศชาติ นั่นก็ถือว่าแย่ที่สุด ยิ่งต้องห่างอย่างยิ่ง

 

ดังนั้นในเรื่องของภัยพิบัติ เราก็อย่าเพิ่งไปตกอกตกใจมากจนเกินไป พิจารณาด้วยปัญญาด้วยเหตุด้วยผล คิดวิเคราะห์ เราอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงไหม ถ้าอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง ในธารน้ำ ในที่ลุ่ม ในที่ต่ำ น้ำเริ่มเข้ามาในพื้นที่ไล่เขามาใกล้ เราก็พึงที่จะเตรียมตัว แต่ก็ไม่ต้องไปตื่นตระหนกจนเกินไป หลายคนอยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย อยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่าถือว่าปีนี้เกิดภัยหนัก แต่เป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรม ก็แคล้วคลาดปลอดภัย น้ำไม่เข้าบ้าน บุญก็เป็นเครื่องรักษาผู้ที่ทำความดีผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติ อันนี้ก็ถือว่าเป็นความมหัศจรรย์ของการปฏิบัติธรรม หรือบางคนถึงเกิดก็เกิดน้อย อย่างตัวอาจารย์เองถามว่าเจอไหม ก็ยังเจอเศษกรรมเล็กๆน้อยๆในช่วงนี้ มีเหตุให้เสียทรัพย์บ้าง มีเหตุให้เจอการกระทบบ้าง อันนี้เป็นเรื่องปกติ เราก็จำเป็นต้องใช้เขาไปบ้าง แต่อย่างน้อยที่สุด เราอย่าเสียความตั้งมั่นในความผ่องใส เสียความตั้งมั่นในความดี จะมากจะน้อย สิ่งที่เราพบที่เราเจอ ให้คิดพิจารณาว่ามันก็เป็นวิบากที่เราเคยทำ เป็นกรรมที่เราเคยทำ ไม่เช่นนั้นเราก็จะไม่พบ ทุกอย่างเป็นกรรมและกฎของกรรม ไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรือในอดีตชาติที่ผ่านมา

แล้วก็สำหรับใครที่ก็ยังพอมีกำลังอยู่บ้าง ก็พยายามช่วยเหลือจุนเจือแบ่งเบาในเรื่องของภัยพิบัติ สละให้ทานตามกำลัง ทยอยให้ เนื่องจากยังมีพื้นที่อีกหลายพื้นที่กำลังทยอยถูกภัยพิบัติเป็นละรอก รอบนี้ค่อนข้างจะเกลี่ยเฉลี่ยไปทั่วหลายพื้นที่ อย่างข่าวคราวล่าสุดน้ำก็เข้าถึงหนองคาย บึงกาฬ น้ำเริ่มเข้าจังหวัดอุดรธานี เห็นมีข่าวอีกกระแสก็แจ้งว่าน้ำเข้ามาถึงจังหวัดขอนแก่น ดังนั้นใครอยู่ในพื้นที่น้ำผ่าน เราก็พยายามเตรียมตัวเท่าที่พอได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่บ้านชั้นเดียว หาทางหนีทีไล่ จัดกระเป๋าฉุกเฉิน ชาร์จแบตมือถือพาวเวอร์แบงค์ เลื่อนรถไปอยู่ในที่สูง จัดการด้วยความไม่ประมาท มีสติแต่ไม่ตื่นตระหนก

 

สำหรับวันนี้ เราก็ตั้งใจ อธิษฐานให้เอาบุญที่เราเจริญพระกรรมฐานอย่างต่อเนื่องมาตลอด มาเป็นเกราะแก้วคุ้มครองรักษาให้เราแคล้วคลาดปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งหลายทั้งปวง ขอบุญรักษา ขอบุญส่งผล ขอบุญคุ้มครอง พระพุทธเจ้าเมตตาปกปักรักษาเราทุกคน

 

จากนั้นกำหนดจิต กราบลาพระพุทธองค์ กราบลาครูบาอาจารย์สิ่งศักดิ์สิทธิ์ น้อมกระแสจากพระนิพพานลงมายังสังสารวัฏ นับตั้งแต่อรูปพรหม พรหมโลก อากาศเทวดาทั้ง 6 รุกขเทวดา ภูมิเทวดา โลกมนุษย์ มนุษย์และสัตว์ที่มีกายเนื้อทั่วอนันตจักรวาล โอปปาติกะสัมภเวสีทุกภพทุกภูมิทุกมิติทุกเมืองบังบดลับแล เปรตอสุรกายทั้งหลาย สัตว์นรกในทุกขุม ขอจงเป็นสุข ขอกระแสพระนิพพานจงยังประโยชน์สุขสงบร่มเย็นสันติ

 

จากนั้นกำหนดจิตขอบารมีพระพุทธองค์ลงมายังโลกมนุษย์ยังดินแดนเขตสุวรรณภูมิทั้งหมด ขอจงบรรเทาเบาบางคลายจากภัยพิบัติ บุญใดมีกำลังช่วยคลายบรรเทาสลายล้างวิบากกรรมให้หมดให้คลายได้ ก็ขอจงเกิดความอัศจรรย์แห่งบุญกุศล สงเคราะห์ให้ผ่านพ้นไปได้ หากไม่เกิดอำนาจกฎของกรรม อันนี้ท่านบอกมาตอนนี้เลย ท่านบอกว่าถ้าไม่ล้างก็ไม่อาจเข้าสู่ยุคชาววิไลได้ เราก็อุเบกขา ช่วยบุคคลที่พึงช่วย กระแสบุญกระแสแห่งความเป็นทิพย์ บุคคลใดที่อยู่ในข่ายพระญาณของพระพุทธองค์ที่สามารถช่วยเหลือสงเคราะห์ บุคคลที่ยังเป็นประโยชน์ในยุคแห่งชาววิไลก็ขอให้เทพพรหมเทวาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตาสงเคราะห์ช่วยเหลือให้รอดปลอดภัยทุกคนด้วยเถิด

 

จากนั้นอธิษฐานจิตขอบารมีพระ ขอกระแสแห่งพระนิพพานลงมาคลุมบ้านของเราทุกคน บุคคลอันเป็นที่รักของเราทุกคน บุญกุศลจงส่งผล

 

จากนั้นหายใจเข้าช้าๆลึกๆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ อธิษฐานจิต ขอกระแสพระนิพพานลงมาชำระล้างฟอกธาตุขันธ์ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นเพชรแก้วใส โครงกระดูก เนื้อหนัง เส้นเอ็น หลอดเลือดทั่วร่างกาย กลายเป็นแก้วใสสว่าง ขอกระแสพุทธานุภาพลงมาคุ้มครองร่างกายขันธ์ห้า ชีวิต บุคคล ปิยชนอันเป็นที่รัก บ้านเรือนเคหะสถานของเราทุกคน ให้ปลอดภัยจากภัยพิบัติด้วยเทอญ กระแสบุญทั้งหลายจงส่งผลถึงเทวดาพรหมที่คุ้มครองเราทุกคนในขณะที่เจริญพระกรรมฐาน ขอเทวดาพรหมคุ้มครองดลใจปกป้องเต็มกำลังด้วยเทอญ

 

คนที่เจริญพระกรรมฐานเอง ปฏิบัติเองทำความดีเอง เทวดาพรหมท่านก็สงเคราะห์ได้เต็มที่ บางคนอธิษฐานเผื่อคนอื่นแต่คนอื่นที่เขาไม่ได้ทำไม่ได้ปฏิบัติด้วยตัวเอง กำลังในการปกป้องก็ไม่เท่ากับปฏิบัติด้วยตัวเอง อันนี้ต้องเข้าใจ บุญทั้งหลายอันที่จริงต้องทำด้วยตัวเอง การปฏิบัติต้องทำด้วยตัวเองมากกว่า พระนิพพานต้องทำด้วยตัวเองหรือแม้แต่การบำเพ็ญบารมีเพื่อพระโพธิญาณก็ต้องทำด้วยตัวเอง

 

สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน ให้ทุกคนมีความสุขมีความเจริญรุ่งเรือง

สำหรับพรุ่งนี้ใครที่ไปปฏิบัติเมตตาสมาธิก็ถือว่าโชคดี คนไหนสะดวกเป็นไปได้ก็พยายามไปปฏิบัติกัน เพราะว่าจะได้เป็นกำลังบุญใหญ่ทั้งต่อตัวเราเองแต่ละบุคคลที่ไปร่วมงาน แล้วก็เป็นกำลังใจสว่างให้กับประเทศชาติบ้านเมือง ให้บรรเทาภัยพิบัติลงไปด้วย

สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน พรุ่งนี้อาจารย์ก็ไม่ได้สอนในห้องเมตตาสมาธิเนื่องจากไปจัดกิจกรรมก็ขอลาหนึ่งวันพบกันใหม่วันอาทิตย์สัปดาห์หน้า สำหรับวันนี้สวัสดีครับ

ถอดเสียงและเรียบเรียง โดย คุณ Be Wilawan

You cannot copy content of this page