เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันอาทิตย์ที่ 6 มีนาคม 2565
เรื่อง เมตตาปราณสติ
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
ทำจิตให้เบาสบายสงบไว้ก่อน วางอารมณ์ใจของเราให้ผ่องใส อยู่กับลมหายใจสบายๆ ทรงอารมณ์ใจของเราให้จิตของเราเข้าถึงความเป็นทิพย์เป็นสุขผ่องใสที่สุด จนรู้สึกได้ว่ารอบกายของเรารายรอบไปด้วยแสงสว่างของความปิติสุข รอบกายของเรามีแต่ประกายแสงสว่างที่เป็นประกายพรึกรายรอบอยู่รอบตัวเรา ปล่อยวางผ่อนคลายร่างกายทุกส่วน กำหนดว่าเมื่อเราผ่อนคลายร่างกาย จิตเราตัดขันธ์ 5 ตัดความห่วง ความเกาะ ความยึด ความสนใจในร่างกายทั้งหมด อยู่กับอารมณ์จิตที่มีความผ่องใสมีความละเอียดปราณีต รายรอบตัวเราด้วยกระแสของแสงสว่าง กระแสของความปิติสุข
จากนั้นสำหรับวันนี้เราจะย้อนทวนสู่พื้นฐานสำคัญของการปฏิบัติ เพื่อให้การปฏิบัติของเรายิ่งมีความมั่นคง ยิ่งรากฐานแข็งแกร่ง การปฏิบัติสืบเนื่องต่อไปในระดับที่สูงก็ยิ่งมีความมั่นคงมากขึ้นเพียงนั้น ถึงแม้ว่าเราปฏิบัติจนได้ฌานได้ญาณ ได้ญาณเครื่องรู้มีความคล่องตัว มีกำลังของมโนมยิทธิ แต่บางครั้งการที่เราปฏิบัติจนละเลยพื้นฐาน คืออานาปานสติ ฐานเราอาจจะขาดความมั่นคงแข็งแรง ดังนั้นเราอย่าลืมเลือนที่จะปฏิบัติในส่วนของอานาปานสติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องของลมหายใจ ในเรื่องของการกำหนดลมหายใจ ไม่ใช่เป็นเพียงแค่รู้ในลมเพียงอย่างเดียว ยังมีเรื่องราวของการที่เรากำหนดจิตให้ลมหายใจนั้นเป็นปราณเป็นพลังชีวิตมาหล่อเลี้ยงร่างกายธาตุขันธ์ของเรา
อย่าลืมว่าการปฏิบัติธรรมของเราต้องเข้าใจถึงความสมดุล ความสมดุลที่ว่าคือความสมดุลในร่างกายและความสมดุลในจิตใจ จิตที่แข็งแรง จิตที่ผ่องใส ย่อมอยู่ในร่างกายที่มีความแข็งแรงแข็งแกร่ง บางครั้งจุดที่เราติดขัดในการก้าวเข้าสู่การปฏิบัติธรรมขั้นสูงก็คือสุขภาพร่างกายของเรา บางคนมีสภาวะร่างกายที่ป่วย ร่างกายที่มันมีโรคเรื้อรังอยู่ หรือร่างกายที่มันมีความอ่อนแอ กำลังจิต กำลังความผ่องใส หรือกำลังที่เราจะยกให้จิตเรามีกำลังสูงขึ้น มีจิตตานุภาพสูงขึ้น ก็ไม่อาจข้ามเขตได้ เพราะว่าร่างกายเรายังมีความอ่อนแอ
ตามที่เคยบอกว่าการฝึกอานาปานสติของเมตตาสมาธินั้น จริงๆแล้วเรากำหนดอยู่ในรูปของลมปราณแต่แรก พระท่านก็เมตตาให้ชื่อมาว่า “เมตตาปราณสติ” คือให้ลมหายใจเราเปี่ยมไปด้วยเมตตาและเปี่ยมไปด้วยกระแสของปราณ การที่เรากำหนดโดยทั่วไปปกติ สติที่กำหนดในลมหายใจในอานาปานสติทั่วไปเราก็จะกำหนดลม 1 ฐานบ้าง ลม 3 ฐานบ้าง แต่ที่จริงจากการปฏิบัติ แล้วก็เป็นผล เกิดประโยชน์ เห็นความก้าวหน้าในการทำอานาปานสติให้เข้าถึงฌาน 4 ใช้งานได้อย่างรวดเร็วอย่างแท้จริงก็คือ การกำหนดรู้ลมตลอดทั้งสาย กำหนดให้เห็นเป็นปราณเข้ามาในกาย บางคนก็ก้าวหรือเข้ามาฝึกภายหลังจนไม่ได้ฝึกในเรื่องของพื้นฐานตรงนี้ ก็อยากให้เราทุกคนไม่ว่าจะเป็นคนใหม่คนเก่า ที่มาปฏิบัติลองย้อนมาทบทวนว่า เราจะฝึกในอานาปานสติในแบบของเมตตาปราณสติ ให้ได้สักวันละครั้งทุกวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าฝึกกันเต็มรูปแบบแล้วก็จะฝึกแบบกักลม การกักลมนี้ยิ่งทำให้เกิดพลังเกิดปราณ เกิดการกักเก็บพลังปราณพลังชีวิตในร่างกายและก็ช่วยทำให้สุขภาพร่างกายมีกำลังมีพลังมีความแข็งแรงแข็งแกร่ง มีพลังภายใน มีชี่เกิดขึ้น
ดังนั้นก็จะกลายเป็นว่าการที่เราฝึกในอานาปานสติ ฝึกอย่างเดียวเกิดผลเกิดประโยชน์หลายอย่าง ทั้งเยียวยาสุขภาพร่างกาย ทั้งเกิดฌาน เกิดสมาบัติ เกิดสมาธิ เกิดพลังภายใน ฝึกอย่างเดียวได้หลายอย่าง ก็นับว่าเป็นการฝึก เป็นการปฏิบัติที่มีผลมีอานิสงส์สูง
ถ้าสังเกตดูมาฝึกเมตตาสมาธิ ถ้าได้ประโยชน์อย่างเดียวหรือประโยชน์น้อย ส่วนใหญ่อาจารย์ก็จะไม่ค่อยแนะนำเท่าไหร่ สิ่งที่แนะนำก็มักจะแนะนำในการปฏิบัติที่ ปฏิบัติน้อยได้มาก ปฏิบัติน้อยเห็นผล ปฏิบัติแต่น้อยแต่เกิดผลสูง เป็นหลัก ซึ่งก็อาจจะไม่ได้หาฝึกที่ไหนได้ง่ายๆ ดังนั้นก็ขอให้เราบอกกับตัวเองว่าโชคดีที่ได้มาฝึกที่ได้มาปฏิบัติตรงจุดนี้ เมื่อเล่ามาอธิบายแล้วเราก็จะเริ่มค่อยๆฝึกกัน
ค่อยๆกำหนดรู้ในลมหายใจ จินตภาพเห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหมพลิ้วผ่านเข้าออกภายในกายของเรา ลมหายใจที่เป็นประกายละเอียดระยิบระยับ พลิ้วผ่านจมูก ผ่านเข้าไปในหลอดลม ผ่านเข้าไปยังอก ท้อง และลมหายใจนั้นก็พลิ้วย้อนกลับเป็นลมหายใจออก ผ่านท้อง อก จมูก พลิ้วผ่านออกไปภายนอกกายเบื้องหน้า
หายใจเข้าดึงมวลอากาศ ที่เป็นประกายแพรวไหมระยิบระยับ กำหนดจิตว่า จิตเราน้อมนำชักนำปราณพลังชีวิต พลังจากธรรมชาติเข้ามาสู่กายเป็นลมหายใจ ลมหายใจที่พลิ้วไหวเป็นประกายพรึก มีกระแสพลังแห่งปราณพลังชีวิต พลังจากธรรมชาติพลิ้วผ่านเข้าและออกภายในกายของเรานับตั้งแต่บัดนี้ กำหนดลมหายใจผ่านเข้าออกพลิ้วไหวละเอียดอ่อนปราณีตต่อเนื่องลื่นไหลเปี่ยมพลัง อยู่กับลมหายใจที่พลิ้วไหวเป็นประกายพรึกผ่านเข้าออก สติจดจ่อสัมผัสรู้สึกถึงพลัง ถึงความสบาย ถึงความไหลลื่นต่อเนื่องของลมหายใจของปราณสมาธินี้ อยู่กับลมหายใจสบาย อยู่กับลมหายใจที่พลิ้วไหวตลอดสายตลอดทั้งกองลมนี้ จดจ่อจนจิตชินอยู่กับลมหายใจและการกำหนดเห็นในลมหายใจเป็นแพรวไหม ลมหายใจและปราณผ่านเข้าออกในกาย เมื่อลมหายใจเข้า ก็ดึงพลังชีวิตผ่านเข้ามาสู่กายเนื้อ กักเก็บเป็นปราณ เป็นชี่ เป็นพลังในกายของเรา หายใจออกก็ดึงเอาไอพิษ ไอโรค โรคภัยไข้เจ็บ ความอึดอัด ความหมกมุ่น ความวิตกกังวล ออกไปจากกายเนื้อของเรา สลายออกไปกับลมหายใจออก ลมหายใจเข้าดึงพลังดึงความผ่องใสพลังชีวิต ปราณเข้ามาสู่กายของเรา หายใจออก ดึงไอพิษ ไอโรค โรคภัยไข้เจ็บ ความกังวล ความอึดอัด ความอัดอั้นทั้งหลายสลายออกไปจากจิตใจ สลายออกไปจากกายของเรา อยู่กับลมหายใจ ตลอดสายตลอดทั้งกองลมนั้น
ยิ่งหายใจเข้าออกกำหนดรู้ ยิ่งเบายิ่งละเอียด ยิ่งผ่องใส อยู่กับลมหายใจ อยู่กับลมหายใจที่เปี่ยมพลัง ลมหายใจปลอดโปร่ง จิตใจราบรื่นผ่องใส สงบ ลมหายใจยิ่งละเอียดจิตยิ่งเข้าสู่กำลังฌานสมาธิที่สูงขึ้น สงบขึ้น ละเอียดขึ้น ยิ่งลมหายใจละเอียด ภาพลมที่หายใจเข้าไป ยิ่งกลั่นเป็นพลัง เป็นปราณที่ละเอียด และเปี่ยมพลังยิ่งกว่าลมหายใจที่หยาบ ลมหายใจที่ละเอียด สติเรากำหนดรู้สัมผัสได้ว่าเป็นอนุภาค เป็นพลังงาน เป็นประกายระยิบระยับละเอียด พลังของลมหายใจของปราณซึมซาบหล่อเลี้ยงร่างกาย บางคนตอนนี้เราก็จะรู้สึกได้ว่าฝ่ามืออุ่นขึ้น ภายในท้องอุ่นขึ้น ใจเบาโปร่งสบายเปี่ยมพลัง จิตใจร่างกายปลอดโปร่งราบรื่น ทั้งร่างกายจิตใจสะอาดผ่องใส จดจ่ออยู่กับลมหายใจของเราต่อไป หากบางคนลมหายใจละเอียด จนเหลือเพียงแค่นิดเดียวเหลือเพียงแค่เม็ดถั่ว หายใจเข้านิดเดียวก็กำหนดรู้อยู่
กำหนดรู้ว่าลมหายใจที่นิดเดียวนั้น แต่เป็นลมหายใจที่เปี่ยมไปด้วยพลังงานที่ถูกกลั่น ถึงหายใจน้อยแต่เกิดพลังงานที่ละเอียดกว่า หากท่านใดเข้าถึงสภาวะที่ลมสงบระงับนิ่งก็ให้มากำหนดรู้ ว่าลมหายใจนั้น ในขณะที่ลมสงบระงับเป็นฌาน 4 หยาบหรือเป็นฌาน 4 ใช้งาน เรารู้สึกถึงความรู้สึกตัวทั่วพร้อมทั่วผิวกายของเรา กำหนดรู้เมื่อเข้าสู่ฌาน 4 หยาบหรือฌาน 4 ใช้งาน ลมหายใจยิ่งละเอียดเป็นอนุภาคที่ซึมซับผ่านการหายใจผ่านรูขุมขนทั่วกายของเรา อนุภาคของลมหายใจเปี่ยมพลังละเอียดขึ้น เป็นอนุภาคของลม อนุภาคของพลัง อนุภาคพลังงานแห่งปราณที่ละเอียดและเปี่ยมพลัง ซึมซาบผ่านผิวกายของเรา แม้ลมหายใจจากจมูกมันดับแต่เกิดการซึมซับลมเป็นอนุภาคผ่านผิวหนัง เข้าถึงสภาวะลมหายใจละเอียด เข้าถึงสภาวะลมปราณอันเปี่ยมพลังที่พิสดาร พลังปราณที่แข็งแกร่ง จิตสงบนิ่งผ่องใสเปี่ยมพลัง ร่างกายเกิดพลังงานเกิดความร้อน
กำหนดพลังที่เกิดขึ้นช่วยเผาผลาญอาหารเผาผลาญไขมัน เกิดเป็นพลัง เกิดปราณสะสม รวมอยู่ในเซลล์ทั่วร่างกายของเรา นับแต่นี้จิต ตบะ ฌานแข็งแกร่ง พลังปราณ พลังร่างกาย พลังภายในกล้าแข็งเปี่ยมพลังในความสงบนิ่ง แต่เปี่ยมไปด้วยพลังที่ประจุอยู่ทั่วร่างกาย กำหนดรู้พิจารณาด้วยกำลังของฌาน ธาตุลมปรับเปลี่ยนเกิดธาตุไฟ คือพลังงาน คือความร้อน กำหนดให้ความร้อนแห่งปราณ แห่งธาตุไฟที่ปรากฏ แผดเผาโรคภัยไข้เจ็บเชื้อโรคทั้งหลายในร่างกาย พลังปราณพลังชี่ พลังชีวิต หล่อเลี้ยงเพิ่มพลังให้เซลล์ทั่วร่างกายแข็งแรงเป็นปกติ สลายล้างแผดเผาเซลล์มะเร็ง เซลล์เนื้องอก เซลล์ซีสต์ต่างๆที่เกิดขึ้นในร่างกาย ให้สลายตัวไปจนหมด ร่างกายกำหนดรู้ในกาย กำหนดรู้ในความสงบ กำหนดรู้ในพลังที่ประจุอัดแน่นอยู่ทั่วกายของเรา
เมื่อพลังแห่งปราณปรากฏขึ้นแล้ว เราขับเคลื่อนเข้าสู่การฝึกการกักลม
ให้เราทุกคนค่อยๆหายใจเข้าลึก ช้า ละเอียด ยาว หายใจเข้ากักลมไว้ที่ท้อง หายใจเข้า1 (เสียงสูดลมหายใจเข้า) จนสุดจนเต็มกักไว้ที่ท้องนิ่งหยุดสงบกักลมไว้ สบายๆไม่อึดอัด กำหนดบริกรรมภาวนาปักจิต เห็นภาพนิมิตที่ท้องเป็นแสงสว่างพลังงาน
พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ หายใจออกช้าๆ ละเอียด ยาว
หายใจเข้า2 ช้าๆ ลึก ยาว จนลมเต็มท้อง ท้องพองออกมาเต็มที่ กักลมไว้เห็นแสงสว่างในท้องเป็นพลังงาน
พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ หายใจออกช้า ลึก ยาว
หายใจเข้า3 ดึงปราณเข้ามา ช้า ลึก ยาว ช้าๆ ละเอียด จนเห็นอนุภาคของปราณ เมื่อกักเต็มท้อง เห็นแสงสว่างเจิดจ้า บางคนจะรู้ถึงความร้อนที่สัมผัสได้จริงๆ
กำหนด พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ หายใจออกช้าๆ ลึก ยาว
หายใจเข้า4 ดึงปราณช้า ลึก ยาว กักกลมที่ท้องเห็นแสงสว่างเป็นประกายพรึก
พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ หายใจออกช้า ลึก ยาว
หายใจเข้า5 ช้า ลึก ยาว กักลมหายใจไว้ เห็นเป็นเพชรพลังงานสว่าง
พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ หายใจออกช้า ลึก ยาว
หายใจเข้า6 ช้า ลึก ยาว ดึงปราณเข้าสุดท้อง เห็นลมหายใจเป็นเพชรประกายพรึก สว่าง ก้อนพลังงาน เพ่งจิตบริกรรม
พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ หายใจออกช้า ลึก ยาว
หายใจเข้า7 ช้าๆ ดึงปราณเข้าสู่ท้องของเรา เมื่อท้องพองเต็มที่ เห็นท้องเป็นก้อนพลังงานประกายพรึกสว่าง
ปักจิตเพ่งจิตบริกรรม พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ หายใจออกช้า ลึก ยาว
หายใจเข้า8 ดึงปราณ ดึงพลัง เป็นอนุภาคละเอียดลงสู่ท้อง เห็นท้องเป็นแสงสว่างก้อนพลังงานเป็นประกายพรึก
เพ่งจิตบริกรรม พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ หายใจออกช้า ลึก ยาว
หายใจเข้า9 ดึงปราณเป็นอนุภาคละเอียดเก็บกักไว้ที่ท้องสว่าง เป็นประกายพรึก บริกรรม เพ่งจิตบริกรรม
พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ
บางคนกำหนดเห็นเป็นองค์พระพร้อมกันไปด้วยก็ได้นะ ดี ยิ่งดี หายใจออกช้า ลึก ยาว
หายใจเข้า10 ดึงปราณ ดึงอากาศ เป็นอนุภาคพลังงานละเอียด ลงสู่ท้อง จนท้องพองเต็มที่ เห็นเป็นก้อนพลังงาน เป็นประกายพรึกระยิบระยับ กำหนดให้เห็นองค์พระปักจิต
บริกรรม พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ หายใจออกช้า ลึก ยาว จนท้องแฟบ จนรู้สึกว่าท้องไปติดกับกระดูกสันหลัง หน้าท้องไปติดกระดูกสันหลัง
หายใจเข้า11ช้า ลึก ยาว เห็นก้อนพลังงานที่ท้อง สว่าง เห็นองค์พระ
ปักจิตบริกรรม พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ หายใจออกช้า ลึก ยาว
จากนั้นปล่อยลมหายใจของเราตามสบาย เห็นลมหายใจเป็นแพรวไหมประกายพรึก พลิ้วผ่านเข้าออกในกายของเรา รู้สึกได้ว่าลมหายใจที่เราหายใจนั้นเป็นกระแสของพลังงาน เป็นแพรวไหม เป็นประกายพรึก ผ่านเข้าออกในกายของเรา
กำหนดว่าเราเป็นผู้ติดตามดูติดตามรู้ลมหายใจและเส้นของพลัง กระแสของปราณกระแสของพลังงานนั้น ติดตามดูติดตามรู้ด้วยสติ ลมหายใจจะละเอียดหนักเบาอย่างไร เราติดตามรู้ติดตามดู การกำหนดรู้ในสติ เรารู้ว่ากระแสพลังงานไหลเวียนโคจรผ่านเข้าสู่กายของเรา ยิ่งมีความละเอียด เป็นอนุภาค เป็นอณูระยิบระยับ เป็นปรมาณูธาตุอันเปี่ยมพลัง
กำหนดจิตบอกกับใจของเราว่านับแต่นี้ เรามีลมหายใจอันเปี่ยมพลัง อานาปานของเรานั้นเป็นปราณแห่งพลังชีวิต กายจิตก่อเกิดพลัง สติกำหนดดูกำหนดรู้ เราจะรู้สึกได้ว่าลมหายใจมันเบา ลมละเอียดลงก็ให้กำหนดรู้ ยิ่งลมหายใจละเอียดกำลังฌานสมาบัติยิ่งขึ้นสู่ฌานที่สูง ยิ่งหายใจละเอียดอารมณ์จิตเรายิ่งเป็นสุข ยิ่งเบายิ่งละเอียด ลมหายใจยิ่งละเอียด ปราณพลังชีวิตยิ่งเป็นอนุภาคพลังที่เปี่ยมพลังและเป็นปรมาณูธาตุอันละเอียด หากเมื่อไรก็ตามลมหายใจมันนิ่ง หยุด เห็นตัวหยุดของจิต ก็ย้ายมากำหนดในความนิ่งความหยุดของจิต เห็นเอกัคคตารมณ์ เห็นอุเบกขารมณ์ จิตนิ่งหยุดเป็นฌาน 4 หยาบหรือฌาน 4 ใช้งาน นิ่งหยุด ในความนิ่งความหยุด ปักจิตอธิษฐานนับแต่นี้ขอให้ข้าพเจ้าเข้าถึงฌาน 4 หยาบหรือฌาน 4 ใช้งาน สภาวะที่จิตเข้าถึงเอกัคคตารมณ์องค์แห่งฌาน 4 เห็นตัวนิ่งตัวหยุดอันคือเอกัคคตารมณ์ชัดเจน อุเบกขาต่อสิ่งที่มากระทบทางอายตนะคือตา หู จมูก ลิ้นกาย ใจ ชัดเจนและขอให้ข้าพเจ้าเข้าถึงอารมณ์จิตแห่งฌาน 4 นี้ สภาวะที่กายและจิตเปี่ยมไปด้วยพลัง ได้ในทุกครั้งทุกเวลาทุกสถานที่ ลืมตา หลับตา ยืน เดิน นั่ง นอน ก็ขอให้ข้าพเจ้าทรงสภาวะอารมณ์นี้ ความนิ่งสงบผ่องใส เอกัคคตารมณ์ อุเบกขารมณ์ได้ตลอดทุกครั้งไปตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเถิด
ปักหมุดจดจำอารมณ์กรรมฐาน นิ่งหยุด ผ่องใส เปี่ยมพลัง จำไว้ต่อไปจะเข้าสู่สภาวะนี้จำคำอาจารย์ไว้ “สงบนิ่ง ผ่องใส เปี่ยมพลัง สงบนิ่ง ผ่องใส เปี่ยมพลัง” เมื่อจิตนิ่งหยุดดีแล้วกำหนดในความนิ่ง ความหยุด ให้เห็นเป็นดวงแก้วสว่างกำหนดเป็นจิตของเรา กำหนดจิตเป็นเพชรประกายพรึกคือเป็นเพชรที่เจียระไนมีประกายระยิบระยับ สว่าง กำหนดเห็นจิตเป็นเพชรประกายพรึก สว่าง นิ่งหยุดลอยเด่นอยู่เบื้องหน้า ฐานของจิตเราฝึกที่จะสามารถทรงได้ ตอนนี้ให้เราทุกคนฝึกพร้อมกันกำหนดว่าดวงจิตที่นิ่งเป็นเพชรลอยอยู่เบื้องหน้า เบื้องหน้าคืออยู่ระหว่างปากกับจมูกของเราลอยนิ่งหยุดอยู่
จากนั้นกำหนดต่อไปว่า ฐานที่ตั้งของจิตของเรา เรามีความคล่องตัวในกสิณ เรามีความคล่องตัวในกำลังแห่งจิตตานุภาพ เราเชี่ยวชาญในกีฬาสมาบัติ เราสามารถเคลื่อนย้ายเคลื่อนไหว ย่อเล็ก ขยายใหญ่ ดวงจิตดวงกสิณจิตได้ดั่งใจนึกทุกอย่างทุกประการ เคลื่อนดวงจิตที่เป็นเพชรประกายพรึกเข้าไปในจมูก กำหนดผ่านเข้าไปอยู่กึ่งกลางภายในศีรษะของเรา กำหนดเห็นจิตเป็นเพชรสว่าง จากนั้นกำหนดจิตให้ดวงจิตที่เป็นเพชรประกายพรึกเคลื่อนไปอยู่เหนือกระหม่อมวางแตะสัมผัสเหมือนกับลูกแก้วที่เป็นเพชรประกายพรึกนั้นแตะอยู่บนศีรษะกลางกระหม่อมของเรา
กำหนดจิตต่อไป เคลื่อนให้ดวงแก้วดวงจิตที่เป็นประกายพรึกทะลุกลับลงมาภายในศีรษะของเรา อยู่กึ่งกลางภายในสมองศีรษะ ตรงกับบริเวณกึ่งกลางระหว่างคิ้วตาที่สาม จากนั้นกำหนดให้ดวงจิตที่เป็นเพชรประกายพรึกเคลื่อนมาด้านหน้าแตะกับบริเวณกึ่งกลางระหว่างคิ้วคือตาที่สามของเรา ในระหว่างที่เราเคลื่อนดวงแก้วดวงจิตที่เป็นเพชรประกายพรึกไปในตำแหน่งต่างๆ ให้เราสังเกตดูจริตวิสัยของเราว่า เมื่อเคลื่อนไปแต่ละตำแหน่งแต่ละจุด เรารู้สึกสบายรู้สึกชอบรู้สึกชินกับตำแหน่งใดมากที่สุด แตะที่กึ่งกลางบริเวณตาที่ 3 กึ่งกลางระหว่างคิ้ว
เคลื่อนต่อมาให้ดวงแก้วดวงจิตที่เป็นเพชรประกายพรึก ถอยมากึ่งกลางภายในศีรษะเคลื่อนตรงลงมาผ่านลงมาอยู่บริเวณคอของเรา กำหนดดวงจิตที่เป็นเพชรประกายพรึกเคลื่อนต่อลงมาจากคอ ลงมาบริเวณหน้าอกหัวใจของเรา นิ่ง หยุดอยู่ ลองกำหนดแผ่เมตตาสว่างออกไปในขณะที่ดวงจิตอยู่ที่บริเวณหัวใจ แผ่เมตตาสว่างออกไป แผ่เมตตาอัปปันนาณฌานสว่างออกไป
จากนั้นกำหนดจิตต่อไปให้ดวงจิตที่เป็นเพชรประกายพรึก ค่อยๆเคลื่อนจากบริเวณหัวใจลงมาบริเวณอยู่ภายในท้อง ต่ำกว่าสะดือลงมา 2 นิ้ว กำหนดเป็นดวงสว่างเป็นก้อนพลังงาน ดวงจิตที่เป็นเพชรประกายพรึกค่อยๆสว่างขึ้น เปล่งประกายแห่งพลังงานเพิ่มขึ้น อยู่ที่ฐานที่ตั้งของจิตบริเวณที่ท้องกำหนดว่ากำลังของจิตสว่างขึ้นพลังของปราณพลังของจิตผสมผสานหลอมรวม เกิดเป็นพลังงาน ร้อนขึ้น สว่างขึ้น เปล่งประกายขึ้น กำหนดจดจ่อให้จิตตั้งอยู่ที่ฐานของจิตนี้สงบสว่าง สัมผัสถึงพลังสัมผัสถึงความสงบนิ่ง สัมผัสถึงความร้อน จนรู้สึกได้ว่ารัศมีของจิตสว่างคลุมกายออกไปจนหมด มีกระแสพลังงานปรากฏรายรอบอยู่รอบตัวเรา ปรากฏเส้นของรัศมีจิตเป็นเส้นสว่างโดยรอบออกไป พ้นจากร่างกายออกไป สว่าง ทรงสมาธิทรงฌาน อยู่ในตำแหน่งของจิตที่ตั้งไว้ตรงจุดนี้ กำหนดทรงอารมณ์จิต อธิษฐานว่าจิตของเราเปี่ยมพลัง
จิตเรากำลังฌานสมาบัติแห่งการปฏิบัติฝึกฝนของเราเพาะบ่มตบะเดชะบารมี กำลังฌานสมาบัติให้กล้าแข็งขึ้น พลังปราณพลังชีวิตยิ่งเพิ่มพูนกล้าแข็งขึ้น แผ่สว่างปรากฏ สงบ นิ่งหยุดอยู่กับศูนย์กลางกายอยู่ที่ฐานที่ตั้งของจิตเราไว้ ทรงสภาวะรู้สึกถึงความสงบนิ่งและเปี่ยมพลัง กำหนดให้เห็นภาพองค์พระเป็นเพชรประกายพรึกสว่างอยู่ภายในท้องอยู่ภายในดวงแก้ว ดวงจิตที่เป็นประกายพรึกเป็นก้อนพลังงานนั้นด้วย จนเรารู้สึกสัมผัสได้ว่ามีก้อนพลังงาน มีแสงสว่างอยู่อย่างชัดเจนภายในท้องของเรา สงบนิ่ง ผ่องใส เปี่ยมพลัง สงบนิ่ง ผ่องใส เปี่ยมพลัง กำลังตบะแห่งฌานแผดเผาโรคภัยไข้เจ็บ ความอัดอั้น ความทุกข์ ความขัดข้องและอุปสรรคทั้งหลายสลายออกไปจากชีวิตจิตใจร่างกายของเรา มีแต่ความสงบนิ่ง ผ่องใส เปี่ยมพลัง รู้สึกถึงสนามพลังงานที่แผ่กว้างสว่างกระจายเป็นประกายระยิบระยับ ยิ่งทรงอารมณ์ ทรงฌานนานมากเท่าไร ตบะ พละ กำลังแห่งอภิญญายิ่งสั่งสมบ่มตัวมากขึ้นเพียงนั้น
จากนั้นกำหนดจิตอธิษฐาน พุ่งจิตขึ้นไปบนพระนิพพาน กำหนดจิตตัดความสนใจในร่างกายทั้งหมด น้อมอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทรงสงเคราะห์ ขออาทิสมานกายเราจงปรากฏเป็นกายแห่งพระวิสุทธิเทพ มีความสว่างมีรัศมีกายชัดเจนแจ่มใส น้อมจิตยกขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน กำหนดน้อมจิตเห็นภาพเหตุการณ์ย้อนอดีตังสญาณที่ทุกคนยกอาทิสมานกายขึ้นไปถวายมหาสังฆทานบนพระนิพพาน กำหนดน้อมพิจารณาให้เห็นขบวนของกายทิพย์ทั้งหลาย เทวดาพรหมทั้งหลายที่ได้รับอาราธนามาร่วมมาโมทนาในการถวายมหาสังฆทาน กายเนื้อถวายที่บ้านสายลม กายทิพย์ยกถวายพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน ขอกำลังทานบารมีที่ผนวกกับภาวนาการเจริญจิตสมาธิในกำลังแห่งมโนมยิทธิและกำลังใจของเราทุกคนที่รวมเป็นอภิจิต ขอจงเกิดผลานิสงส์ผลอันทันใจ ผลบุญอันเกิดทันใจให้เราทุกคนเปิดสายบุญ สายทรัพย์ สายสมบัติ เปิดสายบารมี มีความคล่องตัว มนุษย์สมบัติทั้งหลาย จงหลั่งไหลมาให้เราได้ใช้ประโยชน์แก่ตน แก่ครอบครัว ต่อพระพุทธศาสนา ต่อชาติ ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์
ให้เราได้เป็นอุบาสกอุบาสิกาแก้วผู้ทำนุบำรุงพระศาสนา ให้เงินทองทรัพย์สินทั้งหลาย เทวดา พรหมท่านเมตตานำมาให้ นำมาส่งให้เราทุกคนมีความคล่องตัว และเมื่อไรก็ตามที่เราละจากร่างกายขันธ์ 5 นี้ ทรัพย์สินทั้งหลายก็เป็นของโลก เรา ละ วาง เราปล่อยวางได้โดยไม่ห่วงใย ทรัพย์ทั้งหลาย มนุษย์สมบัติทั้งหลาย เราใช้ในสมมุติแห่งความเป็นมนุษย์ ใช้เพื่อสร้างบุญเพื่อสร้างบารมี ใช้เพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างกุศลทำนุบำรุงพระศาสนา ใช้เพื่อผ่อนความทุกข์ความยากลำบากในการมีกายเนื้อ ในความเป็นมนุษย์ให้เบาบางลงจากความขัดสนความขัดข้อง ขอความคล่องตัวทั้งหลายสายบุญ สายทรัพย์ สายบารมี จงเปิดออกเปิดกว้าง เงินทองทุกอย่างทรัพย์สินทั้งหลายเทลงมาโปรยปรายลงมาสู่กายเนื้อที่บำเพ็ญตบะบารมีอยู่บนโลกมนุษย์ขณะนี้ทุกถ้วนทั่วทุกคนด้วยเทอญ
ใจสบายผ่อนคลาย จากนั้นน้อมจิตกราบพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ กำหนดให้เห็นอาทิสมานกายเรายกสังฆทานทิพย์ เครื่องสังฆทานทิพย์ถวายพระพุทธเจ้าเป็นบุญทั้งทานบารมี ศีลบารมี ภาวนาบารมี ทุกกองทุกกรรมฐาน ทุกกองบุญ จงปรากฏเกิดบุญอัศจรรย์ทันใจ เกิดผลผลานิสงส์อัศจรรย์ทันใจกับทุกคนด้วยเทอญ และขอให้ข้าพเจ้าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้อย่างง่ายดายในชาติปัจจุบัน
จากนั้นจึงกราบลา กราบลาพระพุทธเจ้า กราบลาพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ กราบลาพระอรหันต์ทุกพระองค์ กราบลาครูบาอาจารย์ เทพพรหมเทวาทั้งหลายที่ปกปักรักษาเรา ที่คุ้มครองเรา ที่ช่วยเหลือเรา ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย พ่อแม่ ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งครูบาอาจารย์ที่ท่านสอนสืบต่อมา จนถึงหลวงปู่ปาน ถึงหลวงพ่อพระราชพรหมญาณ และส่งผ่านจนมาถึงเราทุกคนนี้ ขอกระแสบุญกุศลจงถึงท่าน น้อมด้วยความรู้สึกกตัญญูกตเวทิตาต่อครูบาอาจารย์ ต่อท่านผู้มีพระคุณ ใจเรายิ่งผ่องใส ใจเราขอบคุณ ใจเรายิ่งเกิดความปิติเอิบอิ่มยินดี ในกุศลในความดี ในการปฏิบัติ กายจิตเปี่ยมพลัง สายทรัพย์ สายสมบัติ หลั่งไหลคล่องตัวง่ายดาย จากนั้นจึงน้อมจิตกราบ
ถอนจิตช้าๆจากสมาธิ โดยหายใจเข้าลึก ช้า ยาว หายใจเข้า พุท ออก โธ
หายใจเข้าครั้งที่ 2 ลึก ช้า ยาว “ธัมโม”
หายใจเข้าครั้งที่ 3 ลึก ช้า ยาว “สังโฆ”
ใจแย้มยิ้มเอิบอิ่มปิติสุข จิตเหมือนกับมีดอกไม้บานแรกแย้มสว่าง จิตค่อยๆถอนขึ้นช้าๆจากสมาธิ ยังรู้สึกว่ารายรอบตัวเราตอนนี้เต็มไปด้วยประกายของกระแสแห่งความเป็นทิพย์ รายรอบตัวเราเป็นประกายระยิบระยับ เป็นกระแสแสงสว่าง เป็นพลังงานของความสุขความปิติ กำลังแห่งบุญรายรอบพร้อมตัวเรา บุญรักษา บุญส่งผล บุญเกิดอานิสงส์ ผลานิสงส์ทันใจทุกคน
จากนั้นให้เราตั้งใจนะอย่าลืมปฏิบัติกรรมฐานแล้วเขียนแผ่นทอง รวบรวมแผ่นทองเพื่อสร้างพระพุทธรูปแสนคำอธิษฐานพระนิพพานร่วมกัน ใจเราเกิดกุศล ใจเราเกิดความดี ใจเราเกิดความปิติสุข สำหรับวันนี้ก็ขออนุโมทนาทุกคนให้เราน้อมใจโมทนาสาธุกับเพื่อนๆที่ปฏิบัติธรรมพร้อมกัน 71 ท่าน รวมเป็นบุญอันหาประมาณไม่ได้ โมทนาสาธุกับท่านที่มาฟังในภายหลัง ธรรมอันไม่จำกัดกาล เป็นอกาลิโก ฟังเมื่อไหร่ก็เกิดผลอานิสงส์เป็นปัจจุบันกาลได้ทุกครั้ง
ให้เราน้อมใจสว่างเป็นสุข พบกันใหม่สัปดาห์หน้าตั้งใจปฏิบัติและก็ในสัปดาห์หน้าก็มีการสอนที่มูลนิธิโรจนธรรมในวันอาทิตย์ที่ 13 ท่านใดที่สามารถไปได้ก็ลงทะเบียนในห้องกลุ่มไลน์นะครับ รับได้ประมาณ 50 ท่าน มาฝึกมาปฏิบัติแบบเจออาจารย์ก็จะได้รับกระแสชัดเจนเกิดผลชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก ท่านใดสนใจก็ติดต่อนะครับ เดี๋ยวกัลยาณมิตรที่เป็นแอดมินก็จะช่วยเหลือสงเคราะห์พวกเรา
สำหรับวันนี้ก็โมทนาสาธุกับทุกคนด้วย สวัสดี
ถอดความและเรียบเรียงโดย : Be Vilawan