เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม 2565
เรื่อง เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
สำหรับวันนี้ท่านที่มาก่อนแล้วก็รอเพื่อนๆสักครู่หนึ่งก่อน กำหนดจิตอยู่ในอารมณ์สมาธิ อารมณ์ใจสบายๆ วาง อารมณ์ใจให้ผ่องใสอยู่กับลมหายใจสบายๆ เห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหม เป็นเหมือนกับประกายพรึก ละเอียดอ่อน เป็นไอ เป็นอนุภาคระยิบระยับ มีพลังชีวิต มีปราณไหลเวียนเข้ามาหล่อเลี้ยงธาตุขันธ์ของเรา ในลมสบาย ในการกำหนดรู้ในลมหายใจของเรา ยิ่งลมหายใจที่เป็นปราณหลั่งไหลผ่านเข้าสู่กายมากเท่าไหร่ ร่างกายและโดยรอบ กายก็ปรากฏไอละอองรัศมี กระแสพลังชีวิตห้อมล้อมครอบคลุม ป้องกันเราจากโรคระบาด เชื้อโรค เชื้อไวรัส เชื้อ แบคทีเรีย จากละอองฝุ่นพิษ ละอองกัมมันตภาพรังสี รังสีทั้งหลาย กำหนดจิตว่านับแต่นี้ ลมหายใจในอานาปานสติ ของเราเปี่ยมไปด้วยสติ และการกำหนดรู้ กำหนดจิต ในการเพาะบ่มสะสมปราณพลังชีวิตไว้ปกป้องร่างกายขันธ์ 5 หายใจสบายๆ เห็นลมหายใจละเอียดเหมือนกับแพรวไหม มีละอองละเอียดระยิบระยับ สติกำหนดรู้จดจ่ออยู่กับลม หายใจสบาย ลมหายใจเข้ารู้ ลมหายใจออกรู้
อารมณ์จิตหรือเวทนาคือความรู้สึก ในการเสวยอารมณ์สุขทุกข์เรารู้ ยิ่งลมหายใจละเอียด อารมณ์ใจเรายิ่งเข้าถึงความสุขความสบายจากความสงบ ยิ่งหายใจในสภาวะที่เราหายใจ ในอารมณ์ละเอียดและการกำหนดเห็นลมหายใจเป็นปราณ เป็นกระแส เป็นแพรวไหม มีละอองละเอียดระยิบระยับ แพรวพราว มีปราณ มีพลังชีวิตไหลเวียนมาหล่อเลี้ยงร่างกายเรามากเท่าไหร่ กายและจิตเรายิ่งห้อมล้อมห่อหุ้มด้วย สนามพลัง ด้วยกระแสพลังชีวิตเพิ่มขึ้นมากขึ้นตามลำดับ อยู่กับลมหายใจสบาย สติกำหนดรู้ในลมหายใจ สติกำหนดรู้ใน กระแสของปราณที่ไหลเวียนส่งเสริมเพาะบ่มในร่างกายของเรา สติกำหนดรู้ในเวทนา คืออารมณ์ที่สบายที่สงบจิตจดจ่อ
กำหนดรู้อยู่ในความสงบของจิต สติรู้ว่าจิตมีความสงบระงับก็ รู้ว่าจิตมีความสงบระงับ จิตเข้าสู่อารมณ์ความสงบระดับ ฌาน ก็รู้ว่าจิตมีความสงบในระดับของฌาน อยู่กับลมหายใจสบายผ่องใส กระแสปราณหล่อเลี้ยงเยียวยาร่างกาย ความสงบหล่อเลี้ยงเยียวยาจิตใจของเรา ใจวางอารมณ์เบาๆสบายๆ จิตยิ้มแย้มอยู่ภายใน จดจ่ออยู่กับอารมณ์ ของความสงบสบาย เมื่อจิตของเราเข้าถึงความสงบความสบายของจิต เราก็น้อมพิจารณาตามธรรมคำสั่งสอนของ พระพุทธองค์ที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนไว้ว่า ความสุขเสมอด้วยความสงบนั้นไม่มี เราก็น้อมมาพิจารณาดูอารมณ์ จิตของเรา ว่าเมื่อจิตพอเราเข้าสู่ฌานคือสมถะในอานาปานสติ ลมหายใจเข้าถึงความสบาย ลมหายใจเข้าถึงความสงบ ระงับ ดับการปรุงแต่ง จิตได้พักอยู่กับความสงบ ความสุขจากความสงบนั้นคือความสุขที่ใจเราหยุดเกาะเกี่ยวกับอารมณ์ ต่างๆ หยุดจากความทะเยอทะยานอยากในความโลภ ความโกรธ ความหลง หยุดจากการปรุงแต่งและซัดส่ายไปใน อารมณ์ทั้งหลาย กำหนดให้ใจเราจดจ่ออยู่กับความสงบเย็น ให้ใจ ให้จิตเราได้รู้ ได้สัมผัสอยู่กับความสงบความเย็นของ ฌาน ความสุขเสมอด้วยความสงบนั้นไม่มี จิตของเราสงบอย่างยิ่ง จิตของเราเป็นสุขอย่างยิ่ง ให้ภายในของเราแย้มยิ้ม สงบเป็นสุขผ่องใส
จากนั้นอธิษฐานว่านับแต่นี้ขอให้ข้าพเจ้าเข้าถึงวสี จิตสามารถปักหมุดจดจำอารมณ์แห่งความสงบของฌาน ความเบา ความสบายของจิต สภาวะที่จิตได้หยุดจากการปรุงแต่ง สภาวะจิตที่เข้าถึงเอกัคคตารมณ์ สภาวะจิตที่เป็น อุเบกขารมณ์ต่อสิ่งที่มากระทบทั้งปวง จิตปล่อยวางจากการปรุงแต่ง จิตปล่อยวางจากการซัดส่ายไปในอารมณ์ทั้งหลาย ความสุขของความสงบ ขอให้ข้าพเจ้าเข้าถึงความสงบเย็นเช่นนี้ได้โดยง่าย ไม่ว่าจะลืมตา หลับตา ยืน เดิน นั่ง นอน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่แห่งใด จะเป็นบ้าน จะเป็นอยู่ในรถ อยู่ในสถานปฏิบัติธรรม วัดวาอารามใดก็ตาม ก็ขอให้ข้าพเจ้า สงบจิตเข้าสู่ความสงบได้อย่างรวดเร็วเพียงแค่ลัดนิ้วมือเดียว จิตสงบเย็นผ่องใส เมื่อจิตอยู่กับความสงบ จิตมีความ สบายในระดับหนึ่งแล้ว ก็ให้เราน้อมอธิษฐานต่อไป ในความนิ่ง ความสงบ ความสบาย
กำหนดให้เห็นจิตเป็นดวงนิมิต คือเป็นลูกแก้วทรงกลมสว่างใส กำหนดว่าดวงแก้วที่ปรากฏนั้น ก็คือดวงจิตของเรา กำหนดให้เห็นดวงจิตเป็นแก้วใส ภาพของแก้วใสมีความสัมพันธ์กับอารมณ์ใจของเรา ยิ่งดวงจิตที่เป็นแก้วใส ยิ่งใส ยิ่งสว่าง ยิ่งใส ยิ่งสว่าง อารมณ์จิต เรายิ่งเป็นสุข ภาพนิมิตสัมพันธ์จิตใจ เฉกเช่นเดียวกันกับลมหายใจลมปราณสัมพันธ์จิตใจเช่นกัน ลมปราณยิ่งเบา ละเอียด จิตใจยิ่งเบา ยิ่งสบาย ภาพนิมิตดวงจิตยิ่งใส ยิ่งสว่าง ยิ่งเป็นประกายพรึก จิตยิ่งมีกำลัง ยิ่งมีความสุข ยิ่งปรากฏความเป็นทิพย์ของจิต จดจ่อเห็นดวงจิตเป็นแก้วใส กำหนดรู้ว่าในการปฏิบัติในกสิณ อันเป็นกรรมฐาน อยู่ในกรรมฐาน 40 กอง หมวดของกสิณ 10 เราพิจารณาเห็นจิตของเราเป็นแก้วใสสว่าง ก็คือทรงตัว ทรงอารมณ์ อยู่ใน อุคคหนิมิตเมื่อกำหนดจิตต่อไปให้ภาพนิมิตสัมพันธ์จิตใจ ยิ่งใสยิ่งสว่าง ยิ่งใสขึ้นสว่างขึ้น ยิ่งสว่างขึ้น จิตยิ่งเป็นสุข จิต ยิ่งผ่องใส ยิ่งมีอารมณ์ความชุ่มฉ่ำชุ่มเย็นตามขึ้นไป สัมพันธ์กับภาพของนิมิตที่ยิ่งสว่างขึ้นยิ่งใสขึ้น
กำหนดจิต สำหรับโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สำหรับคนที่เคยฝึกเคยปฏิบัติมานานแล้ว เคยฝึกมาในกสิณต่างๆทั้ง 10 กองมาเรียบร้อย แล้ว ก็ให้เรากำหนดจิตอธิษฐานว่านับแต่นี้ นับแต่นี้ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าทรงภาพดวงจิตเป็นกสิณจิต ขอให้กำลังแห่ง กสิณธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ อันเป็นบาทฐานแห่งฉฬภิญโญ หรืออภิญญาใหญ่จงรวมตัว ในภาพกสิณจิตหนึ่งเดียว ที่ข้าพเจ้าทรงอารมณ์นี้ ขอให้กำลังแห่งกสิณทั้ง 10 กอง อันประกอบไปด้วยกสิณธาตุทั้ง 4 วรรณกสิณทั้ง 4 สี รวมถึง อาโลกกสิณ และอากาศกสิณก็คือกสิณแสงสว่างและกสิณที่เป็นอากาศความว่างที่ว่างเปล่า ขอจงรวมตัวเป็นหนึ่งเดียว กสิณทั้ง 10 กอง จงรวมตัวเป็นหนึ่งเดียว เอกัคคตารมณ์กับกสิณจิตของข้าพเจ้า ให้การทรงภาพกสิณของข้าพเจ้า มีกำลัง สมบูรณ์เต็มพร้อมในหนึ่งเดียว
จากนั้นกำหนดจิตต่อไปที่กสิณจิต ว่าจิตของเราจากแก้วใสสว่างกลายเป็นดวงเพชร เป็นเพชรกลม เพชรรูป ที่มีการเจียระไนละเอียดระยิบระยับแพรวพราว มีน้ำของเพชรระยิบระยับและรัศมีแสงสว่างที่ แผ่ออกจากดวงจิต เป็นเส้น เป็นแฉก เป็นฉัพพรรณรังสีรุ้ง แพรวพราวโดยรอบ มีความสว่าง มีความงดงาม มีความเข้มข้น กำหนดจิต ว่าจิต ดวงกสิณจิตของข้าพเจ้า เข้าถึงปฏิภาคนิมิต กำหนดจิตทำความรู้สึกว่าดวงกสิณจิต ส่องสว่างอยู่ภายใน อกของเรา แสงสว่างรัศมีทะลุกายเนื้อออกมาคลุมทั่วร่างกายของเราทั้งหมด กำหนดจิตว่าขอให้รัศมีของกสิณจิตนี้จงแผ่ เป็นออร่า แผ่เป็นรัศมีกาย แผ่เป็นเกราะแก้วคุ้มครองกำบังเราจากภยันอันตรายทั้งหลาย เชื้อโรคทั้งหลาย สิ่งที่เป็น อกุศล อัปมงคล และป้องกันเราจากอวิชชาทั้งหลาย คุณไสยทั้งหลาย กำหนดจิต น้อมให้เห็น ภาพแสงสว่างรัศมี ที่แผ่ออกอย่างเข้มข้นคลุมร่างกายเนื้อของเราทั้งหมด
ทรงอารมณ์นี้ไว้ ด้วยจิตที่เป็นสุข ยิ่งจิตเป็นประกายพรึกเป็น เพชรยิ่งสว่าง ยิ่งให้เราวางอารมณ์ใจว่า วัตถุธาตุทั้งหลาย ทรัพย์สมบัติ เพชรนิลจินดาทั้งหลายบนโลก หากเป็น เพชรลูกที่มีขนาดใหญ่เท่ากำปั้นขณะนี้ ก็เป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าหลายพันล้าน ยิ่งเป็นเพชรแท้ที่เจียระไน ละเอียด ระยิบระยับอย่างที่อยู่ในอกของเราขณะนี้ ต้องมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าพันล้านบาท เป็นของมีค่าอย่างยิ่ง เป็นของสูงค่า อย่างยิ่ง แต่กระนั้นก็ตาม อันที่จริงแล้ว สิ่งที่ทรงคุณค่าและประเมินค่าไม่ได้อย่างแท้จริง อันที่จริงนั้นก็คือดวงจิตของเรา กำหนดจิตให้จิตมีความยินดีมีความปรีดาปราโมทย์ ในสภาวะที่จิตเราทรงอารมณ์แห่งความเป็นประกายพรึก ทรงใน ปฏิภาคนิมิตของกสิณจิต เพราะนั่นหมายถึงว่าเรากำลังทรงฌานในกสิณ เทียบเท่ากับการเข้าฌาน 4 ในอานาปานสติ ปฏิภาคนิมิตของกสิณก็คือฌาน 4 คือสภาวะที่สามารถใช้ความเป็นทิพย์ของจิตในการใช้งานในเรื่องของอภิญญา ใน เรื่องของอธิษฐานบารมี ในการที่จะเป็นกำลังให้เข้าถึงซึ่งฉฬภิญโญ คุณธรรมวิเศษต่างๆ อภิญญาสมาบัติต่างๆ เป็น เหมือนกับจิตเราตอนนี้เป็นแก้วสารพัดนึก
ดังที่หลวงปู่มั่นเคยตรัสสอนชาวบ้านป่าให้หาแก้ววิเศษที่ท่านทำให้หาย หา อย่างไรก็หาไม่เจอ หาได้ด้วยการภาวนา ด้วยการบริกรรม บัดนี้ให้เรากำหนดจิตว่าเราเจอเพชรเม็ดงาม เพชรลูกเม็ด ใหญ่ ดวงแก้วสารพัดนึกก็คือพลังแห่งจิตตานุภาพ เราค้นพบจากจิตของเรา จิตนี้สภาวะนี้ หากเราทรงอารมณ์นี้ ตอนตาย เราก็ไปจุติยังพรหมโลก หากเราทรงอารมณ์นี้และยกจิต ทรงกำลังใจในมโนยิทธิ ทรงภาพพระ กำหนดจิตตัดกิเลส เราก็สามารถใช้แก้วสารพัดนึกนี้ไปยังพระนิพพาน หากในระหว่างที่เรามีชีวิต เรากำหนดจิตในความเป็นทิพย์ เราก็อาศัยแก้วสารพัดนึกนี้ ดลบันดาลในสิ่งที่เราอธิษฐาน ให้เกิดความสมปรารถนา เป็นพลังของความโชคดี กำหนดจิตว่าจิตยิ่งเป็นประกายพรึกสว่างมากเท่าไหร่ ใจเรายิ่งเป็นสุขมากเพียงนั้น ใจเราเอิบอิ่ม ใจเราเป็นสุข ภาพ นิมิตสัมพันธ์กับจิตใจ สัมพันธ์กับอารมณ์ใจ จนรู้สึกว่าจิตเราเกิดแสงสว่างปกคลุม กำลังแห่งจิตตานุภาพมีสูงขึ้น เพิ่มขึ้น
เมื่อทรงอารมณ์ใจของเราจนทรงตัวแล้ว ก็กำหนดจิตต่อไป นับแต่นี้ขอให้ข้าพเจ้า สามารถดึงกำลังใจขึ้นมา จนดวงจิตของข้าพเจ้า ใสสะอาดสว่างสงบเปี่ยมไปด้วยแสงสว่าง ความแพรวพราว ความระยิบระยับเข้าถึงความสุข เข้าถึงความเป็นทิพย์ของจิต ยิ่งจิตเป็นสุขมากเท่าไหร่ อธิษฐานในขณะที่จิตเป็นสุข ความเป็นทิพย์ของจิตก็ปรากฏ ให้เราวางอารมณ์ใจของเราว่านับแต่นี้ เราเข้าถึงสภาวะนี้ได้อย่างง่ายดาย จิตผ่องใสเป็นประกายพรึก อกุศลไม่อาจจะ ย่างกรายเข้ามา เมื่อทรงอารมณ์จิตเป็นประกายพรึกแล้ว ลำดับต่อไปก็กำหนดต่อไปว่า เราทำเหตุคือปฏิบัติฝึกฝนขัด เกลาจิต จนจิตเข้าถึงฌาน 4 ในกสิณอย่างเต็มรูปแบบ
เราน้อมอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทรงสงเคราะห์ ขอตั้งจิต เจริญพุทธานุสติกรรมฐาน ขอน้อมกำหนดจิตให้เห็นกลางใจของเรา เป็นภาพพระพุทธองค์ ภาพพระพุทธรูป กำหนด จิตให้เห็นภาพพระพุทธรูปกลางจิตกลางใจเรา กลางจิตที่เป็นเพชรประกายพรึกมีองค์พระปรากฏสว่างผ่องใส พระพุทธ รูป สว่างชัดเจน รัศมีของจิตของเรายิ่งแผ่ขยายสว่างมีกำลังสูงขึ้น เพิ่มขึ้น ตั้งกำลังใจว่าขอน้อมอาราธนากระแส พุทธานุภาพ จงรวมตัวลงสู่จิตของข้าพเจ้า ขอกระแสแห่งพระพุทธเมตตา จงรวมลงสู่จิตของข้าพเจ้า กำหนดจิต แผ่เมตตาจากองค์พระที่อยู่ในใจของเรา กำหนดว่ากระแสแห่งพระพุทธเมตตา ขอจงแผ่ไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย บนโลกใบนี้ น้อมกระแสจากพระพุทธองค์เป็นฉัพพรรณรังสีสว่างกระจายออกไปสู่โลก ตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอกำลังแห่ง พระพุทธเจ้า ทรงสงเคราะห์เอื้อเอ็นดูสัตว์โลก ขอกระแสแห่งพุทธานุภาพ กระแสแห่งพระพุทธเมตตา แผ่ดลบันดาล ไปยังดวงจิตของสัตว์โลกทั้งหลาย ให้เกิดความสงบสุข ขอโลกนี้จงเกิดความสงบสุข เกิดสันติสุข สันติภาพ ขอผู้คน ทั้งหลาย ดวงจิตทั้งหลาย จงสงบ ลดเลิกจากการทำร้ายเบียดเบียนกัน ผู้ที่ยังประโยชน์ต่อมนุษยชาติอย่างแท้จริง จงเป็นผู้ที่มีกำลัง ขอให้บุคคลผู้ตั้งใจเบียดเบียนโลกใบนี้ เบียดเบียนประเทศอื่น เบียดเบียน หรือมีวาระซ่อนเร้นอัน เป็นทุจริต ขอจงสลายพ่ายแพ้ด้วยกฎของกรรมที่ตนทำ ขอกระแสแห่งพุทธานุภาพ จงคุ้มครองคนดี สาธุชนทั้งหลาย ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติและสงครามทั้งปวง รอดพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง รอดพ้นจากสงครามเศรษฐกิจทั้งปวง แผ่เมตตาแผ่กระแสแสงสว่าง ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนบนโลก อยู่ที่ชิคาโก อยู่ที่อังกฤษ อยู่ที่ออสเตรเลีย อยู่ที่ญี่ปุ่น หรือ ประเทศใดก็ตาม แผ่เมตตาสว่าง ขอกระแสบุญคุ้มครองสาธุชนคนดี ขอคุ้มครองผู้บริสุทธิ์ทุกคน ไม่ว่าจะชาติใด ศาสนาใด แผ่เมตตาสว่างจนเห็นโลกใบนี้สว่างขึ้น ตั้งกำลังใจว่าเราทำอภิจิต ทำสมาธิแผ่เมตตาให้เกิดสันติภาพ สันติสุข ในโลกใบนี้ ใจเราปรารถนาดีต่อส่วนรวม ต่อมนุษยชาติ ต่อทุกดวงจิต ขอให้ดวงจิตของเรายกระดับขึ้น สูงขึ้น พรหมวิหาร 4 จงเต็มเปี่ยมในดวงจิตของเรา แผ่เมตตา แผ่กระแสของความสงบเย็น จนเราสามารถรู้สึกสัมผัสได้ว่า ผิวกายของเราขณะนี้มีไอเย็น มีกระแสเย็น ในภาพของจิตเห็นกระแสแสงสว่างสีทอง เป็นแสงสว่างที่เป็นกระแส แสงสว่างแห่งความสงบเย็น แผ่สว่างปกคลุมโลกใบนี้ ภายในจิต ภายในหัวใจของเรา รู้สึกว่ามีน้ำหยาดที่ชุ่มเย็น หลั่งไหลลงมาที่ใจของเรา อารมณ์สงบ สันติ ยินดีกับกระแสของเมตตา น้อมกระแสของพระพุทธเมตตา รวมลงในจิต ของเรา
อธิษฐานจิตต่อไปว่า ขอกระแสพระราชหฤทัยของพระพุทธองค์ที่มีเมตตาต่อมนุษย์ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ขอให้จิตข้าพเจ้าขณะนี้ ในขณะที่ทรงอารมณ์ สามารถซึมซับรับเข้าถึงน้ำพระราชหฤทัยของ องค์สมเด็จพระสัมมา สัมพุทธเจ้า ที่มีต่อมวลสรรพสัตว์ด้วยเถิด พระเมตตาธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ ต่อมวลหมู่สรรพสัตว์ ขอให้ข้าพเจ้า ได้สัมผัสและเข้าถึง ขอให้จิตข้าพเจ้าซึมซับในพระเมตตาธิคุณ พระกรุณาธิคุณ ขอให้จิตข้าพเจ้า จงเป็นจิตอันเปี่ยม ไปด้วยความสุข วิมุตหมดจด ขอความสะอาดของดวงพระราชหทัยของพระพุทธองค์ที่ทรงสิ้นแล้ว ซึ่งความโลภ โกรธ หลง ทั้งหลาย สิ้นแล้วซึ่งอาสวะกิเลสทั้งหลาย วิมุตหมดจดในมรรคผลแห่งพระนิพพาน ขอดวงจิตของข้าพเจ้าในขณะ นี้ได้ซึมซับ รับเอากระแสความบริสุทธิ์นี้ไว้ลงสู่ใจข้าพเจ้าด้วยเถิด เมตตา สันติ เมตตา สันติ สงบสุข วางอารมณ์ ใจสบายๆผ่องใส
จากนั้นกำหนดจิตต่อไป เห็นดวงจิตของเราที่มีองค์พระอยู่ภายใน กำหนด อธิษฐาน ขอพิจารณาตัดขันธ์ 5 ตัดกิเลสทั้งหลาย พิจารณาว่าร่างกายที่เป็นกายเนื้อของเรานั้น ในที่สุดก็มีความแก่ ความเสื่อม มีความชรา มีความ เจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบาย และก็มีความตายไปในที่สุด ความไม่เที่ยงของร่างกายขันธ์ 5 นี้ เราทุกคนต้องพบประสบเจอ และขึ้นชื่อว่าความตายหรือมรณานุสตินั้น ไม่มีใครที่เกิดมาแล้วสามารถหลบหนี หลีกพ้น คมเคียวของพญามัจจุราช ไปได้ พิจารณาต่อไปว่า แต่สิ่งสำคัญที่เราจะต้องพิจารณาและรู้ คือเมื่อตายแล้วเราจะไปไหน เราจะมีคติที่ไปคือที่ใด และจิตของเรามีความมั่นคงเด็ดเดี่ยว หรือมีคติที่ไปที่มั่นคงชัดเจนแล้วหรือยัง พิ
จารณาว่าอันที่ จริงร่างกายเนื้อนี้ มันเป็นเพียงบ้านเช่าเป็นที่พักชั่วคราวของชาติภพชาติภพหนึ่งเท่านั้น เวลาบนโลกมนุษย์ที่เราคิดว่า ยาวนาน แต่เทียบ กับกาลเวลาทั้งหมดที่เราเดินทางในสังสารวัฏ เปลี่ยนภพ เปลี่ยนภูมิ เปลี่ยนชาติ เปลี่ยนสมมุติ เวียนว่ายตายเกิด ในสังสารวัฏ มันยาวนานมากมายมหาศาล เราไม่ได้เกิดมาถึงแค่สิบชาติ ร้อยชาติ แต่จิตทุกดวงที่ปรากฏขึ้น ล้วนแล้ว แต่เคยเกิด เวียนว่ายตายเกิด หมุนเวียนสูงต่ำ ทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งสุคติทั้งทุคติ มาเป็นล้านล้านล้านชาติ มากมายมหาศาล เพียงแต่สัญญาที่ถูกปิด ในขณะที่เราเกิดใหม่ถูกปิดสัญญา ถูกปิดความทรงจำ เราเลยไม่อาจจะระลึกได้ ว่าเราเคยเกิด มามากเพียงใด เกิดมามากเท่าไหร่ ก็ยังไม่สำคัญต่อว่า แล้วสิ่งที่จะนำพาเราไปยังชาติภพใหม่ ไปเกิดใหม่ ไปจุติใหม่ เราจะไปไหน เราจะเกิด ตายไปตามยถากรรม หรือเราจะปฏิบัติธรรมเพื่อกำหนดเป้าหมาย กำหนดคติที่ไปของเราได้ คติที่ไปทั้งหลายก็มีทั้งสุคติและทุคติ สุคติก็คือไปจุติไปเกิดในความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์พร้อม เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี มีลูก มีทรัพย์ มีปัญญา มีความครบถ้วนบริบูรณ์ในอาการ 32 มีรูปลักษณ์ มีบุญ มีบารมี อยู่ในกุศลหรือ ไปเกิดสูงกว่า ความเป็นมนุษย์ ก็คือไปเกิดนับตั้งแต่ เป็นภุมมเทวดาคือพระภูมิเจ้าที่ รุกขเทวดาคือ เทวาอารักษ์ที่อยู่บนต้นไม้ มีวิมานอยู่กับต้นไม้อันมีแก่น หรือสูงขึ้นไปอีกก็คือไปจุติเป็นอากาศเทวดา ซึ่งบนสวรรค์ ทั้งหมดมี 6 ชั้น อาทิเช่น จาตุมหาราชิกา ดาวดึงสา ยามา ดุสิตเป็นต้น หรือเกิดสูงกว่านี้ก็โดยที่เราทำเหตุ คือการทรงฌานให้ปรากฏ เจริญพรหมวิหาร 4 ให้ครบถ้วน ทรงอารมณ์จิตในฌานสมาบัติ เป็นจิตสุดท้ายก่อนตาย เพื่อไปจุติ ยังพรหมโลกทั้ง 16 ชั้น หรือเข้าอรูปฌาน ไปจุติเป็นอรูปพรหมซึ่งมีทั้งหมด 4 ชั้น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คนที่มาปฏิบัติ จนถึงจุดนี้ มีปัญญา พิจารณา เห็นทุกข์ เห็นโทษภัย ในการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ มีจิต มีปัญญามองเห็น คุณของพระนิพพาน ก็ตั้งจิตว่าเราไม่ปรารถนาซึ่งการเกิดอีก ต้องการสิ้นภพจบชาติ สิ้นภพจบกิจ ปรารถนาให้ชาตินี้ เป็นชาติสุดท้ายของเรา คือขอเข้าไปนิพพานชาตินี้ ก็สามารถทำได้ด้วยการที่เราปฏิบัติธรรม เมื่อเรากำหนดพิจารณาเช่นนี้แล้ว เราก็สามารถ ที่จะเลือกคติที่ไป อยากไปสวรรค์ก็ขยันทำทานสร้างกุศลรักษาศีล อยากไปพรหมก็เจริญฌาน เจริญเมตตาพรหมวิหาร อยากไปพระนิพพานก็ขยันพิจารณาในวิปัสสนาญาณ ตัดภพ ตัดชาติ ตัดสังโยชน์ทั้ง 10 ประการ ดังนั้นเหตุที่ ครูบาอาจารย์ทุกรูปท่านกล่าวตรงกันว่า กรรมฐานการฝึกสมาธิ การฝึกกรรมฐานเป็นบุญใหญ่ ยิ่งกว่าทาน ยิ่งกว่า ทำทานทั้งหลาย ก็เนื่องจากว่ากรรมฐานเป็นการฝึกจิต ให้เราสามารถทรงอารมณ์เพื่อกำหนดคติที่ไป ในภพภูมิต่างๆได้
หากเราเข้าใจปฏิบัติถึง การปฏิบัติที่เราฝึกมันก็ไม่ใช่ยากเกินวิสัย การฝึกจิตก็ไม่ยากเกินวิสัย จะไปพระนิพพาน ชาตินี้ก็ไม่ยากเกินวิสัย เพียงแต่ว่าใจของเรานั้น ต้องมีความเพียร มีธรรมฉันทะ พึงพอใจในพระนิพพาน เมื่อพิจารณา แล้ว ก็ให้เราถามจิตตัวเราเองตอบจิตตัวเราเอง ในเมื่อเราจะต้องตายแน่นอน แต่เราไม่รู้ว่า เราจะตายเมื่อไหร่ คำถาม ของเราคือตายแล้วเราจะไปไหน ชาตินี้เรามีคติที่ไปแล้วหรือยัง ถ้าคืนนี้เราหลับไปแล้วตายไป ในคืนนี้ คนหลายคน มีความประมาทในชีวิต คิดว่าเรายังเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ แต่อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน คนอายุแค่ 20 กว่าปี ยังมีอนาคต อีกไกล อยู่ๆหลับตายไม่ฟื้นขึ้นมา โดยที่อาจจะไม่เคยคิดเลยสักนิดว่าตัวเองจะตาย ไม่เคยคิดสักนิด หรือเตรียมใจไว้สักนิดว่าตายแล้วจะไปไหน สำหรับบุคคลที่ไม่ได้เตรียมตัว ไม่ได้เตรียมจิต ไม่มีคติที่ไป หากไม่มีธรรมะ ไม่มีการปฏิบัติ เป็นพื้น เป็นฐานมาก่อน วิญญาณก็จะมีความสับสนสงสัย บางครั้งก็กลายเป็นโอปปาติกะ สัมภเวสี เพราะยังห่วง ยังพะวง ยังไม่อยากตาย ยังไม่คิดว่าตัวเราจะตาย สภาวะก็กลายเป็นโอปปาติกะ สัมภเวสี ปะปนอยู่กับภพ ไม่อยากตาย
แต่ถ้าหากเราเคยกำหนดจิต เคยพิจารณามาก่อน ก็อุปมาเหมือนเรามีความไม่ประมาท เราทำประกันชีวิต เพื่อป้องกัน ความไม่ประมาทไว้ฉันใด เราตั้งกำลังใจในคติที่ไป ก็เป็นการประกันชาติภพของเราฉันนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหาก ตั้งกำลังใจเพื่อพระนิพพาน ทุกวันกำหนดจิตพิจารณาปักใจลงไปว่าตายเมื่อไหร่เราไปพระนิพพานแน่นอน ยิ่งทำจนกระ ทั่งสะสมลงลึกถึงอนุสัยจิต ในที่สุดจิตสุดท้ายก่อนตายก็จะรวมตัวกัน หรือโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่เราฝึกมโนมยิทธิได้ ซ้อมยกจิตอทิสมานกาย ด้วยกำลังความเป็นทิพย์ ยกอทิสมานกายขึ้นไปบนพระนิพพานไว้ทุกวัน ทำไว้ เพาะบ่มไว้ สะสมบารมีไว้ จนในที่สุดเมื่อไหร่ก็ตามจะเร็วจะช้า เมื่อถึงเวลาจิตสุดท้ายเราก่อนตาย จิตก็รวมลงที่พระนิพพานตามที่ เคยฝึก ตามทีเคยปฏิบัติไว้โดยอัตโนมัติ ดังนั้นการที่เราฝึกมโนมยิทธิได้ ก็ถือว่าเรามีข้อได้เปรียบเป็นทางลัดจากจุด A ไปจุด B ให้กลายเป็นจุดเดียวกัน อย่างเร็วที่สุด ง่ายที่สุด
เมื่อพิจารณาแล้วก็ให้เรากำหนดจิตต่อไป การปฏิบัติธรรมของเราจะให้เกิดพลัง เกิดผลแห่งการปฏิบัติ เกิด ประสิทธิภาพในการฝึก ในการปฏิบัติให้ได้สูงสุด เราก็วางกำลังใจใหม่ตั้งแต่ต้น อานาปานสติ ครูบาอาจารย์ สอนว่าคนทั่วไป ปุถุชนทั่วไป คนไม่ปฏิบัติทั่วไป หายใจทิ้งไปเปล่าๆ หายใจทิ้งไปเปล่าๆ เราก็เปลี่ยนหายใจด้วยสติ หายใจด้วยพุทโธ รู้ลมหายใจ ฝึกสติอยู่กับพุทโธ อยู่กับภาวนา อยู่กับลมหายใจ อันนี้ก็ถือว่าไม่ทิ้งลมหายใจ ให้ลมหายใจอยู่กับสติ แต่เพิ่มขึ้นมาอีกขั้นหนึ่งก็คือ กำหนดลมหายใจ คำบริกรรมและการกำหนดรู้ในปราณ ทุกลม หายใจไม่หายใจทิ้ง กักเก็บสะสมเพาะบ่มปราณ พลังชีวิต ไว้เยียวยาร่างกายธาตุขันธ์ของเราไปพร้อมกัน สร้างสะสมเพาะบ่มจิตตานุภาพ พลังจิต พลังชีวิตของเราไปพร้อมกัน กำหนดในทุกลมหายใจ เราหายใจสะสมปราณ ที่เป็นประกายพรึก เป็นพลังชีวิตไว้เสมอตลอดทุกครั้งที่มีสติกำหนดรู้ได้
พิจารณาต่อไปให้มันเกิดสภาวะที่เต็มกำลัง ทุกครั้งที่ทรงอารมณ์จิต ในการตั้งไว้ในกสิณจิต กำหนดจิตเป็นแก้วใสก็ดี เป็นประกายพรึกก็ดี กำหนดจิตรวมกสิณทั้ง 10 กอง ให้เป็นหนึ่งเดียวกับจิตดวงนั้นเสมอ เมื่อปฏิบัติแล้วเราจะพบว่า กำลังของจิตพลังของภาพ ดวงกสิณมันมี เพิ่มพูนขึ้น มากกว่าการที่เราไม่ได้กำหนดเช่นนี้ไว้ แล้วก็เป็นการรวมอภิญญา รวมกำลังอันเป็นเหตุที่ทำให้ปฏิบัติแล้ว ได้ผล แห่งฉฬภิญโญมาพร้อมกัน อันนี้ก็ให้เราเสริมเพิ่มขึ้นไป ในส่วนต่อมาที่เราจะเสริมเพิ่มให้มันเต็มกำลังเกิดพลัง เพิ่มขึ้น ในการปฏิบัติธรรม ก็ให้เรากำหนดเสมอ ให้สมถะกลายเป็นวิปัสสนาญาณ บางคนบอกว่าสมถะก็คือสมถะ วิปัสสนาก็คือวิปัสสนา แต่วิธีกำหนดให้สมถะกลายเป็นวิปัสสนาญาณก็คือ ให้เรากำหนดเพิ่มว่า ทุกครั้งที่จิตเรา เข้าสู่สมถะไม่ว่าจะอานาปานสติ จนจิตเข้าถึงฌาน 4 สงบระงับจากกิเลสและนิวรณ์ 5 ประการเมื่อไหร่ก็ตามหรือทรงจิตไว้ในความเป็นทิพย์ เป็นประกายพรึก เป็นกสิณจิต เป็นปฏิภาคนิมิต จิตสะอาดปราศจากกิเลส ธุลีกิเลสที่มา ห่อหุ้ม เป็นเมือกเป็นตมที่มาห่อหุ้มให้จิตเศร้าหมอง จิตที่เป็นประกายพรึกนั้น ไม่เป็นเพียงแค่สมถะ แต่เป็นการ ฝึกจิตเราให้ชินกับสภาวะที่ปราศจากกิเลส คืออารมณ์พระนิพพาน เมื่อเราพิจารณาได้ว่าทุกวินาที ทุกลมหายใจ ที่จิตสะอาดจากกิเลส สะอาดจากนิวรณ์ 5 ทุกลมหายใจและทุกวินาทีนั้น เรายิ่งใกล้พระนิพพาน ทุกลมหายใจ ทุกวินาทีนั้น เรายิ่งห่างจากความโลภ ความโกรธ ความหลง เมื่อนั้นสมถะก็กลายเป็นวิปัสสนา กำหนดจิตตอนนี้ ใจเราผ่องใสเป็นเพชรประกายพรึก องค์พระอยู่กลางใจ เป็นสรณะ เป็นที่พึ่งของเรา สว่างใสจิตเป็นสุข
จากนั้นกำหนดจิตให้เต็มกำลังเพิ่มไปอีกชั้นหนึ่งว่า และทุกครั้งก็ตาม ที่ข้าพเจ้ากราบพระพุทธเจ้า กราบ พระพุทธรูป จิต กายทิพย์ อทิสมานกายของข้าพเจ้ายกจิตขึ้นไปกราบพระพุทธองค์บนพระนิพพานเสมอ พระพุทธเจ้า ทรงเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานเข้าสู่พระนิพพานเช่นใดก็ตาม พระอรหันต์ขีณาสพ ผู้บริสุทธ์หมดจดปราศจากกิเลสทั้งหลาย เข้าสู่พระนิพพานเช่นไรก็ตาม ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์อยู่บนพระนิพพานในสภาวะใด ก็ตาม อันนี้สำหรับคนที่ยังไม่ได้มโนมยิทธิ ก็ให้กำลังใจเราตั้งไว้ว่า ท่านอยู่ที่ใดก็ตาม เราขอยกอทิสมานกายขึ้นไปกราบ ขึ้นไปอยู่กับพระพุทธองค์บนพระนิพพานไว้เสมอ กายเนื้อเรากราบพระพุทธรูป พระประธานในวัด พร้อมกันกับจิต อทิสมานกายของเรา ขึ้นไป กราบพระพุทธองค์บนพระนิพพาน จิตเราไหว้พระ จิตเราถึงพระนิพพาน จิตถึงพลังถึง จิตถึงกระแสถึง เมื่อไหร่ก็ตามที่จิตเราน้อมถึงจิตเราถึงพระนิพพานทันที
ตอนนี้ ก็ให้เราทุกคนกำหนดจิตว่า พระพุทธองค์ ท่านอยู่บนพระนิพพาน ขอน้อมใจของข้าพเจ้าให้เกิดกายทิพย์ ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน ขอกระแสของพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ สำหรับคนที่ได้มโนมยิทธิแล้วก็กำหนดให้อทิสมานกาย เป็นกายพระวิสุทธิ เทพสว่างผ่องใส เต็มกำลังสว่างชัดเจน กราบพระพุทธองค์ กราบครูบาอาจารย์ กราบพระอรหันต์ น้อมจิตกราบ ใจสบายผ่องใส จากนั้นพิจารณาในอารมณ์พระนิพพานไว้ หากเราตายจากร่างกายเนื้อดีแล้ว และเราเข้าถึงซึ่ง พระนิพพาน การเกิดไม่มีกับเราอีกต่อไป วิบากกรรมทั้งหลายไม่อาจส่งผลกับเราอีกต่อไป เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ไม่อาจส่งผล ไม่อาจติดตามจองเวรกับเราได้ต่อไป การกระทบกระทั่งของจิต ไม่อาจส่งผลกับเราได้ ความทุกข์ ความปริเทวะ โสมนัส โทมนัสทั้งหลาย ไม่อาจมีผลกับจิตใจเราได้อีกต่อไป ภาระทั้งหลาย กิจทั้งหลาย หน้าที่ แรงอธิษฐานที่ทำให้เราต้องมาเกิด มาทำงาน มาทำหน้าที่ไม่อาจส่งผลกับเราได้ต่อไป กิจทั้งหลายจบแล้ว ชาติภพ ทั้งหลายสิ้นแล้ว ไม่มีการเกิด ไม่มีการตาย ไม่มีการพลัดพรากอีกต่อไป
จิตเราเป็นวิมุตหมดจดจากแรงดึงดูดของ สังสารวัฏอย่างสิ้นเชิง กำหนดในอารมณ์ ทรงในอารมณ์ของพระนิพพาน นิพพานัง ปรมังสุขัง พระนิพพานเป็นสุข อย่างยิ่ง พระนิพพานเป็นความว่าง จากภาระ ความว่างจากกิเลส ความว่างจากห่วง จากความอาลัยทั้งปวง นิพพานังปรมังสุขัง พระนิพพานจึงเป็นสุขอย่างยิ่ง กำหนดจิตเห็นอทิสมานกายเรายิ่งสว่างขึ้น ใสขึ้น จิตเป็นสุข เปี่ยมพลัง เปี่ยมแสงสว่าง ใจเราใส อทิสมานกายบนพระนิพพานของเราใสสว่าง ความห่วง ความอาลัย ที่จะลงมาเกิด มาจุติในภพใด ไม่มีในจิตเราอีกต่อไป ว่างวางเบาอย่างยิ่ง จิตเราเห็นทุกข์ เกิดความเบื่อหน่ายในสังสารวัฏ ปล่อยวางจากทุกสรรพสิ่ง ปล่อยวางจากสมมุติทั้งปวง ความเกี่ยวพัน ความอาฆาตพยาบาท การจองเวรทั้งหลาย สิ้นสลายออกไปจากดวงจิตของเราจนหมดสิ้น ใจเรายิ่งโปร่งโล่งเบา ว่างวางสภาวะอารมณ์ของพระนิพพานปรากฏ ชัดเจนในจิตของเรา
ทรงอารมณ์พระนิพพานไว้ กำหนดจิตว่านับตั้งแต่บัดนี้ ขอให้ข้าพเจ้ายกจิตขึ้นมาบนพระนิพพาน ได้ทุกครั้งทุกเวลา จิตถึงพลังถึง จิตถึงกระแสถึง กระแสจิตของเราเชื่อมโยงกับพระพุทธองค์ เชื่อมโยงกับพระนิพพาน อย่างถาวรมั่นคง ขอจิตข้าพเจ้า จงเข้าสู่กระแสแห่งโลกุตระ ขอจิตข้าพเจ้าจงเข้าสู่กระแสแห่งมรรคผลพระนิพพาน อันที่จริงเมื่อยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานได้ เราก็เริ่มก้าวเข้าสู่กระแสของพระนิพพานแล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่จิตเห็น โทษภัยในสังสารวัฏ เริ่มแสวงหาหนทางในการปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน เราก็ได้ชื่อว่าได้ดวงตาเห็นธรรม เมื่อเริ่มก้าวเดิน ในการปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน อันที่จริงก็เริ่มก้าวเข้าสู่ความเป็นโสดาปฏิมรรค คือทางเดินเพื่อความเป็นพระโสดาบัน ดังนั้นอันที่จริงแล้วความหมายของ คำว่าดวงตาเห็นธรรม ความหมายหรือการที่จิตเราเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า เบื้องต้นที่ง่ายที่สุดคือ โสดาปัตติมรรค ตามที่เราเคยสวดมนต์ทำวัตรตอนเช้า บุรุษสี่คู่คือโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ซึ่งเป็นเบื้องต้นของความเป็นพระอริยเจ้านั้น อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินวิสัย หากใจเราพิจารณาได้ถูก ได้ตรงแล้ว สิ่งสำคัญคือ กำลังใจที่มีความศรัทธาว่าเราสามารถปฏิบัติเพื่อพระนิพพานชาตินี้ได้ ทรงอารมณ์พระนิพพานไว้ใจเรา ผ่องใส
จากนั้นให้เราทุกคน น้อมกระแสอธิษฐานนะ ขออาราธนากระแสจากพระนิพพาน คือกำลังพุทธานุภาพของ พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ พระอรหันต์ทั้งหลาย กระแส ของพระนิพพานมีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน ขอกระแสบุญ กระแสจากพระนิพพาน จงส่องตรงลงมายังสังสารวัฏ ยังดวงจิตทั้งหลาย ขอกระแสแห่งพระนิพพานจงส่องตรงลงมา ยังวัดวาอารามทั่วทุกประเทศ ทั่วโลก ขอกระแสแห่ง พุทธคุณ จงลงมายังพระพุทธรูป พระบรมสารีริกธาตุ พระเครื่องวัตถุมงคลทั้งหลาย ขอจงเกิดกำลังความศักดิ์สิทธิ์ กำลังบุญฤทธิ์ กำลังอิทธิฤทธิ์ คุ้มครองรักษาคนดี เกิดกำลังแห่งพุทธานุภาพ แผ่ปกปักรักษาคุ้มครอง ให้โลกใบนี้ เกิดความสุขสงบร่มเย็นสันติ เข้าสู่ยุคชาววิไลได้ด้วยเถิด น้อมเห็นเป็นแสงสว่างลงมายังโลกมนุษย์ ลงมาจนเห็น พระพุทธรูปทั้งหลายทุกพระองค์สว่างมีรัศมี พระบรมสารีริกธาตุทั้งหลายสว่างมีรัศมี พระธาตุเกิดปาฏิหาริย์ เสด็จเพิ่ม เปลี่ยนวรรณะ ขาวใส เปลี่ยนสี องค์ใหญ่ขึ้น ขยายใหญ่ขึ้น ขอพระเครื่องทั้งหลาย เกิดกำลังพุทธานุภาพ เกิดพุทธบารมี เกิดรัศมีบุญ แผ่สว่างปกคลุมคุ้มครองรักษา ให้ผู้ที่บูชา ผู้ที่ปฏิบัติบูชา ผู้ที่มีความเคารพเลื่อมใสในคุณพระรัตนตรัย มีกำลังแห่งพุทธานุภาพคุ้มครองรักษา จากโรคระบาด จากโรคภัยไข้เจ็บ จากศึกสงคราม จากรังสีนิวเคลียร์ จากอาวุธเชื้อโรค อาวุธชีวภาพ อาวุธเคมีทั้งหลาย ขอประเทศไทยและประเทศ เมืองทั้งหลาย ที่พวกเราอาศัยอยู่ ปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งหลายทั้งปวงด้วยเถิด แผ่เมตตาลงมาสว่างคุ้มครอง
จากนั้นตั้งใจนะ อธิษฐานว่าการปฏิบัติของข้าพเจ้า ขออธิษฐานว่าเป็นการปฏิบัติ เป็นการปฏิบัติบูชา คุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย เทพพรหมเทวาทั้งหลาย ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย ขอให้การปฏิบัติบูชาของข้าพเจ้านี้ จงมีอานิสงส์ ให้ข้าพเจ้าเจริญรุ่งเรือง ก้าวหน้าอัศจรรย์ รวดเร็ว ทั้งทางโลก ทางธรรม สมบูรณ์พร้อม ด้วยลาภยศสรรเสริญ มีความเจริญรุ่งเรืองร่ำรวย รวยชาตินี้นิพพานชาตินี้ ขอความคล่องตัวจงปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็วอัศจรรย์ และขอให้บุญกุศลแห่งการปฏิบัติ แผ่เมตตาให้กับบรรดาสรรพสัตว์ ทั้ง 3 ภพภูมิ หนึ่งพระนิพพาน ขอทุกดวงจิต จงได้รับผลบุญอานิสงส์ ความสุขกาย สบายใจ ความเจริญรุ่งเรือง เช่น เดียวกับที่ข้าพเจ้าได้รับทุกอย่าง ทุกประการด้วยเถิด แผ่เมตตาสว่างกระจายออกไป ใจเรายิ่งเป็นสุขจากการให้ การสละ ใจเรายิ่งใสขึ้น สว่างขึ้น สงบเย็นขึ้น
จากนั้นกำหนดจิตกราบลาพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ตั้งใจอธิษฐาน นับแต่นี้ขอให้ ข้าพเจ้า ยกจิตมากราบพระพุทธองค์บนพระนิพพานได้โดยง่ายเสมอ อทิสมานกายมีความสว่างผ่องใสจิตมีความสะอาด เข้าถึงอารมณ์พระนิพพานอย่างละเอียดลึกซึ้งและแท้จริง ขอบารมีครูบาอาจารย์ที่เป็นกายทิพย์ เมตตามาสอนข้าพเจ้า ในจิต ขอธรรมอันบริสุทธิ์วิมุติหมดจดได้ผุดรู้ผุดเกิดขึ้นในจิตข้าพเจ้านับตั้งแต่บัดนี้ด้วยเถิด แผ่เมตตาน้อมจิตกราบพระ ใจเราสว่างผ่องใส จากนั้นเราจึงค่อยๆกำหนดจิตกลับมาอยู่กับร่างกายที่เป็นกายเนื้อ ตั้งใจแผ่เมตตา โมทนาบุญกับ เพื่อนที่ปฏิบัติธรรมร่วมกันทุกคน จิตที่เราเป็นกุศล ปฏิบัติกรรมฐาน น้อมพลังจิตมาช่วยโลก ช่วยสรรพสัตว์ ให้เกิด สันติสุข สันติภาพ ผ่านรอดพ้นภัยพิบัติเข้าสู่ยุคชาววิไล กำหนดจิตว่ากำลังบุญของเราทุกคนที่รวมตัวกันทำ รวมตัวกัน ปฏิบัติ เป็นกำลังบุญที่ช่วยนำพาให้โลกเข้าสู่ยุคชาววิไลได้โดยเร็ว เป็นกำลังบุญที่มาถ่วงดุลกำลังของอกุศล ของบาป ของกรรม ที่มนุษย์ส่วนใหญ่ก่อเวรสร้างกรรมไว้ เราก็ต้องสร้างเหตุใหญ่ ถึงแม้คนเราจะน้อย แต่กำลังจิตมีความเข้มแข็ง กำลังบุญมีความสูง มีความบริสุทธิ์ มีความละเอียด พลังของบุญ ก็มาถ่วงดุลกับพลังของบาปที่คนส่วนใหญ่ทำไว้ได้ น้อมให้กระแสบุญของเราเป็นบุญใหญ่ กระแสบุญของเราเป็นอภิจิต กระแสบุญของเราเป็นส่วนหนึ่ง เป็นกำลังที่ช่วย นำพาให้โลกเคลื่อนเข้าสู่ยุคแห่งชาววิไลได้โดยเร็ว ใจเราสว่างผ่องใส ใจเราโมทนาบุญกับเพื่อนทุกคน ที่ร่วมใจกัน มีความเพียรขยันมาฝึกมาปฏิบัติ มีความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติ
จากนั้นหายใจเข้าลึกๆช้าๆหายใจเข้าพุท ออกโธ เรามีกำลัง แห่งพระพุทธเจ้าคุ้มครองรักษา เชื่อมสายญาณสายบารมีมายังจิตของเรา หายใจเข้าลึกๆช้าๆครั้งที่ 2 ธัมโม เรามี กระแสธรรมะ ผุดรู้เป็นธรรมอันบริสุทธิ์เพื่อมรรคผลนิพพาน คุ้มครองรักษาผุดรู้ผุดเกิด ตรงวาระจิตของเรา หายใจเข้า ลึกๆช้าๆครั้งที่ 3 สังโฆ เรามีแรงครู แรงครูบาอาจารย์ พระอริยเจ้า พระอริยสงฆ์ คุ้มครองรักษา ประสิทธิ์ประสาท ธรรมะสืบต่อกระแสธรรม มาสู่ดวงจิตของเรา จากนั้นจึงค่อยๆวางใจให้เป็นสุขผ่องใส ภายในแย้มยิ้ม ค่อยๆถอนจิตช้าๆ จากสมาธิ ออกจากสมาธิด้วยจิตอันเป็นสุข ใจสบายเอิบอิ่มแช่มชื่นเบิกบาน สำหรับวันนี้ ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน ที่มีความเพียร มีความตั้งใจในการปฏิบัติเป็นนิจ มีความตั้งใจที่จะน้อมนำกุศลให้เกิดขึ้นยังจิต ก็ขอให้เราทุกคน รุ่งเรือง ร่ำรวย มีความเจริญพร้อมทั้งทางโลกทางธรรม ขอให้เกิดความสุข ความสวัสดี โชคลาภหลั่งไหล เข้ามา มีสุขภาพ สมบูรณ์แข็งแรง ปลอดภัย รอดพ้นจากภัยพิบัติ รอดพ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ รอดพ้นจากศึกสงครามทั้งปวง สำหรับวันนี้ สวัสดี พบกันใหม่สัปดาห์หน้า ขอขอบคุณทุกคนที่ติดตามมาตลอดครับ สวัสดี
ถอดความและเรียบเรียงโดย : คุณวรรณภา