เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม 2567
เรื่อง เตรียมจิตก่อนฝึกวิชามโนมยิทธิเต็มกำลัง
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม รู้สึกทั่วร่างกายพร้อมกับความรู้สึกผ่อนคลายร่างกาย กล้ามเนื้อทุกส่วน ปลดกำลังปลดความเกาะ ปลดความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายขันธ์ห้าของเราไปให้หมด ผ่อนคลายปล่อยวางร่างกายของเรา จนจิตเข้าถึงความสงบ สมาธิจดจ่ออยู่กับการปฏิบัติ จากนั้นกำหนดความรู้สึกปล่อยวางจิตใจของเรา ปลดปล่อยความห่วง ความกังวลในภาระ ในกิจการงานทั้งหลาย วางทั้งกาย วางทั้งจิตของเราออกไป จิตจดจ่ออยู่กับความสงบ
กำหนดรู้ในลมหายใจ จินตภาพเห็นลมหายใจของเรา เหมือนกับแพรวใหม่พลิ้วผ่านเข้าออก ลมหายใจราบรื่น รู้ลมตลอดทั้งสาย ลมหายใจต่อเนื่องสงบ ลมหายใจสัมพันธ์กับจิตใจของเรา ยิ่งลมหายใจละเอียด จิตเรายิ่งเข้าถึงความสงบความเบา ความสุขของสมาธิ ทรงสภาวะจิตจดจ่ออยู่กับลมหายใจไว้
อานาปานสติมีผลอานิสงส์ที่ทำให้จิตของเรา ปล่อยวางจากความวุ่นวายฟุ้งซ่าน รวมเข้าสู่ความสง บความเบาของจิต ซึ่งอันที่จริงแล้ว ความเบาในอานาปานสตินั้น เป็นจังหวะ เป็นจุด ที่สมาธิเราเข้าสู่อุปจารสมาธิ จิตมีความสบาย จิตสงบสงัดลงจากนิวรณ์ 5 ประการ แต่ในขณะเดียวกัน ยังสามารถที่จะพิจารณาธรรมได้ เรากำหนดจิตอยู่กับอานาปานสติให้มีความเคยชิน จดจ่ออยู่กับจินตภาพที่เห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหม พลิ้วผ่านเข้าออกราบรื่นต่อเนื่อง พร้อมกับการกำหนดรู้ในอารมณ์ใจที่เบาสบาย ลมหายใจสบาย อารมณ์จิตเบาสบาย ลมปราณสัมพันธ์จิตใจ
กำหนดรู้ว่าลมหายใจของเรา คือ ความสงบระงับ คือความสงบเย็น
จากนั้นกำหนดต่อไป จากความสงบนิ่งเบาในอานาปานสติ เรากำหนดใช้กำลังจิตตานุภาพ หยุดจิต นิ่งหยุด หยุดปรุงแต่ง หยุดซัดส่าย จิตนิ่งหยุด ลมหายใจสงบระงับ เข้าสู่เอกัคคตารมณ์ และจุดที่หยุด จิตกำหนดให้เห็นเป็นจุดที่รวมกำหนดให้เห็นเป็นจุดสว่างเล็กๆ ที่รวมหยุดอยู่ ในขณะที่หยุดจิต เราสัมผัสได้ถึงความสงบสงัดของจิต หยุดจิต เมื่อรวมจิตเป็นเอกัคคตารมณ์ได้แล้ว ระงับนิวรณ์ทั้งหลายจากใจเราก็เดินจิตต่อไปเข้าสู่กสิณของจิต
สำหรับวันนี้เราก็จะฝึก โดยที่ก้าวผ่านจากกสิณที่เป็นปฏิภาคนิมิต เข้าสู่สภาวะที่เราทรงอารมณ์ในการทรงภาพพระ เพื่อเป็นฐานในการที่เราจะไปฝึก ไปปฏิบัติ สำหรับโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่สนใจจะไปปฏิบัติมโนมยิทธิเต็มกำลัง ในช่วงสัปดาห์หน้า ให้เรากำหนดน้อมนึกภาพพระพุทธองค์ปรากฏอยู่เบื้องหน้า องค์พระสว่าง เป็นองค์ที่เป็นเพชรระยิบระยับแพรวพราว
การกำหนดน้อมนึกถึงพระพุทธองค์นั้น จุดสำคัญก็คือกำหนดภาพนิมิตขององค์พระที่เรานึกถึง แล้วจิตเราเกิดความเคารพศรัทธา จิตมีความเคยชิน จิตเมื่อระลึกนึกถึงภาพองค์พระแล้ว อารมณ์จิตของเรามีความเอิบอิ่ม มีความผ่องใส มีความยินดี ทรงภาพพระพร้อมกับใจที่ปิติสุข สว่าง กำหนดทรงภาพพระเอาไว้ จนรู้สึกได้ว่าองค์พระท่านสว่างอย่างยิ่ง ชัดเจนอย่างยิ่ง นิ่งจดจ่ออยู่กับภาพพุทธนิมิต ในขณะที่ทรงอารมณ์ทรงภาพองค์พระในจิตที่ท่านเสด็จมาประทับอยู่เบื้องหน้าเรา เราก็น้อมใจของเรา สลายล้างความกระด้าง ความหยาบมานะทิฏฐิ ความถือตัวถือตน ความถือดี น้อมจิตของเรา ให้เข้าถึงอารมณ์ที่มีความนอบน้อม เคารพในพระพุทธเจ้าสุดหัวจิตหัวใจ ถ่อมใจของเรา ถ่อมจิตของเราให้มีความนอบน้อมที่สุด เท่าที่จะมีความละเอียดอ่อนโยนได้ ทรงภาพองค์พระด้วยจิตที่ผ่องใสอย่างยิ่ง
จากนั้นกำหนดจิตต่อไปอธิษฐานว่า ขอให้พระพุทธองค์ท่าน เมตตาสงเคราะห์ข้าพเจ้า ขอให้ดวงจิตข้าพเจ้ายกขึ้นไปบนพระนิพพานด้วยกำลังแห่งพุทธานุภาพ ขอกำลังใจข้าพเจ้าจงยกอาทิสมานกายพุ่งขึ้นไปบนพระนิพพาน ด้วยกำลังแห่งมโนมยิทธิเต็มกำลังด้วยเถิดพระพุทธเจ้าค่ะ
จากนั้นกำหนดยกจิต ขึ้นไปอยู่เบื้องหน้าพระพุทธองค์บนพระนิพพาน กำหนดในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพอยู่เบื้องหน้าพระพุทธองค์บนพระนิพพาน จากนั้นกราบพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกๆ พระองค์ ครูบาอาจารย์ ที่ท่านเมตตามาสงเคราะห์บนพระนิพพานนั้น อธิษฐานจิตกำหนดรู้ในกายแห่งพระวิสุทธิเทพ เมื่อเห็นกายที่เป็นกายพระวิสุทธิเทพของตนเองแล้ว เราก็กำหนดจิตนะ พิจารณาตัดขันธ์ห้า กายเนื้อ กายหยาบ พิจารณาในความเป็นอสุภะ พิจารณาในมรณานุสติ พิจารณาว่าร่างกายเนื้อขันธ์ห้า ถ้าเราตายไปแล้ว มันก็เป็นวัตถุธาตุ วัตถุธาตุนั้น ประกอบไปด้วย ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ซึ่งเป็นของหยาบ ซึ่งเป็นวัตถุธาตุของโลกใบนี้ ต่างกันกับจิตหรืออาทิสมานกาย
จิตหรืออาทิสมานกายนั้น เป็นพลังงาน คำว่าเป็นพลังงานก็คือ จิตเป็นพลังงานอันก่อเกิดขึ้น จากกุศลและอกุศล จิต อาทิสมานกาย จะมีสภาวะไปตามกำลังของบุญ ของบาป ที่เราทำ จิตมีอาหารหล่อเลี้ยงก็คืออารมณ์ทั้งหลาย อาหารที่เราหล่อเลี้ยงจิต ถ้าเป็นบาปอกุศล ความโกรธ ความเกลียด ความโลภ ความโกรธ ความหลง จิตอาทิสมานกายนั้น ก็เป็นกายของเปรตบ้าง อสุรกายบ้าง สัตว์เดรัจฉานบ้าง สัตว์นรกบ้าง ยิ่งจิตเลวมากเท่าไหร่ ก็กลายเป็นอาทิสมานกายของสัตว์นรก
ในขณะเดียวกันธรรมารมณ์ หรืออาหารของจิต ถ้าจิตเสวยอารมณ์แต่กุศล คือเป็นอารมณ์จิตที่ตั้งไว้ในอารมณ์ของการให้ทาน การเกื้อกูล การสงเคราะห์ จิตมีการระงับ งดเว้นการเบียดเบียน คือเป็นผู้ที่มีศีล จิตทรงในเมตตาพรหมวิหารสี่ หรือทรงฌานสมาบัติ จิตทรงสภาวะแห่งการเจริญวิปัสสนาญาณ ถอดถอน สะอาดบริสุทธิ์ จากกิเลสจากความเศร้าหมอง จากความโลภโกรธหลง จากสังโยชน์ทั้ง10 ที่ร้อยลัดจิต อาทิสมานกายก็จะเป็นกายของเทวดา เป็นกายของพรหม เป็นกายของพระวิสุทธิเทพ
ดังนั้นอาทิสมานกายของเรา หรือกายทิพย์ของเรานั้น ผันแปรเปลี่ยนไปตามสิ่งที่มาเสวยอารมณ์ ธรรมารมณ์หรืออาหารของจิตที่เราป้อนเข้าไป อารมณ์ของกุศลก็ทำให้รัศมีกายเราสว่างขึ้น อารมณ์ของอกุศลก็ทำให้รัศมีกายของเราเศร้าหมองเสื่อมทรามหรือหมดลงไป ดังนั้นเมื่อเราทราบแล้ว การที่เราแผ่เมตตามากเท่าไหร่ รัศมีกายก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น เจริญวิปัสสนาญาณ ตัดร่างกาย ตัดกิเลส ได้ละเอียด ได้ลึกได้มากเท่าไหร่ ความบริสุทธิ์ของจิต รวมถึงรัศมีกาย ก็ยิ่งปรากฏสูงขึ้น
ดังนั้นการที่เราใช้กำลังของมโนมยิทธิ จำไว้ว่าเรื่องของโลกทิพย์ กฎของโลกทิพย์ กายทิพย์ เขามีกฎอยู่ 2-3 ข้อ
ข้อที่1 ก็คือ บุคคลที่มีบุญกว่า ก็จะมีปรากฏขอบเขตความสว่างของรัศมีกายมากกว่าคนที่มีบุญน้อยกว่า อันนี้ก็คือสร้างบุญมากเท่าไหร่ให้ทานมากเท่าไหร่ แสงสว่างของกายทิพย์ยิ่งสว่าง ทานแต่ละชนิดก็ให้ผลต่างกัน สร้างพระพุทธรูปไว้ก็ยิ่งมีรัศมีกายสว่าง หรือการที่เราฝึกสมาธิเจริญพระกรรมฐาน กายทิพย์เราก็มีแสงสว่างมากกว่าการให้ทาน ยิ่งเจริญเมตตาอัปปนาฌาน คือเมตตาไม่มีประมาณ สว่างได้มากเท่าไหร่ รัศมีกายก็ยิ่งสว่างมากเท่านั้น หรือรัศมีกายของจิตที่เข้าสู่ความเป็นอริยเจ้า จิตของพระโสดาบัน ก็มีความสว่างที่เสถียรราบเรียบ คือจะไม่กลับ ไม่ตก ไม่เศร้าหมอง ไปสู่อบายภูมิ ดังนั้นแสนสว่างก็จะมีเป็นปกติ
ส่วนบุคคลที่เป็นจิตของปุถุชนคนธรรมดา บางครั้งทรงฌานสมาบัติได้ บางครั้งทรงอารมณ์ที่เป็นอกุศล บางครั้งทำผิดศีล ดังนั้นแสงสว่างรัศมีกายของกายทิพย์ หรือสภาวะของกายทิพย์เรา มันก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกุศลและอกุศลที่เราขึ้นลงของจิต แต่ความเป็นพระอริยเจ้านั้น ท่านไม่ถอยหลังลง ดังนั้นแสงสว่างก็จะทรงตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะมีศีลปิดกั้นอบายภูมิ กายทิพย์จะไม่เปลี่ยน ไม่ต่ำลงไปจากกายของมนุษย์ กายทิพย์ของมนุษย์ขึ้นไปจนกระทั่งถึงเทวดา พรหม
คราวนี้ในเรื่องของมโนมยิทธิ เรากำหนดจิต ตั้งใจว่าเราฟังแนวทางในการปฏิบัติ เข้าใจศึกษาในเรื่องของจิต การปฏิบัติจิต อยู่บนพระนิพพาน อยู่เบื้องหน้าพระพุทธองค์ การที่เรายกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานได้ อันนี้เป็นไปตามกฎของกายทิพย์ข้อต่อมา
กฎของกายทิพย์ข้อต่อมาก็คือ ภพภูมิที่สูงขึ้น ย่อมสามารถที่จะไปได้ทุกภพ เช่น ท่านที่เป็นเทวดาก็เห็นทั้งภพของมนุษย์ เห็นทั้งภพของ อันนี้พูดถึงอากาสเทวดา เห็นทั้งภพของรุกขเทวดาภูมิเทวดา โลกมนุษย์ เปรตอสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ลงไปถึงอเวจีมหานรกหรือนรกต่างๆ ขึ้นอยู่ท่านจะกำหนดดูไหม แต่เทวดาจริงๆ แล้ว ถ้าเกิดไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่ได้ยกจิต ก็ไม่สามารถไปเห็น หรือเสด็จไปปรากฏที่พรหมโลก หรือภพอื่นที่สูงกว่าได้ หรือเทวดาแต่ละชั้น อันที่จริงถ้าไม่ได้รับอนุญาต เช่น สมมุติว่าเป็นเทวดาอยู่ชั้นจาตุมหาราชิกา จริงๆ ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากท้าวมหาราชทั้ง 4 ก็อาจจะไม่สามารถที่จะไปที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ได้ อันนี้ขึ้นไปตามลำดับขั้นแต่เทวดาที่ท่านเป็นผู้ใหญ่เช่น พระอินทร์ ท่านก็สามารถไปได้ทั้ง 6 ชั้น หรือมีกำลังที่ท่านสามารถขออนุญาตขึ้นไปถึงพรหมโลก หรือขึ้นไปเฝ้าพระพุทธองค์บนพระนิพพานได้ เพราะอย่าลืมว่าเทวดาผู้ใหญ่หรือพรหมที่ท่านเป็นผู้ใหญ่ หลายองค์ท่านเป็นพระอริยเจ้าแล้ว
คราวนี้หลักการของการที่เราได้มโนมยิทธินั้น ถึงแม้ว่าเรายังเป็นปุถุชนมีดีบ้าง มีเลวบ้าง แต่ในขณะจิตที่เราเจริญพระกรรมฐาน เราตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน ณ ขณะนั้น จิตเราขณะนั้น ก็มีความบริสุทธิ์เทียบเท่ากับอารมณ์ของพระอรหัตผล คือตัดกายแล้วไม่เอาร่างกายแล้ว ดังนั้นกำลังใจจุดนี้ก็ทำให้เราขึ้นมาบนพระนิพพานได้ จริงๆ เราทำกำลังใจได้จุดไหน ก็ทำให้เราสามารถยกอาทิสมานกายขึ้นมาได้ ณ จุดนั้น รวมถึงถ้ากำลังใจเราทำได้ถึงภพไหน ก็ทำให้เรามีวิมานที่ภพนั้นๆ ด้วยเช่นกัน เช่น เราเคยสร้างกุศลใหญ่ บุญใหญ่ไว้ เป็นมหาสังฆทาน กำลังของมหาสังฆทานนั้น ถ้าโดยธรรมชาติ ถ้าเราไม่ได้อธิษฐานพิเศษ คือการอธิษฐานพิเศษว่า ขอให้ทานนี้จงเป็นบารมีที่รวมตัวเพื่อพระนิพพานในที่สุด แต่ถ้าสมมุติเราไม่ได้อธิษฐานโดยธรรมชาติของทานนั้น สังฆทาน มหาสังฆทานที่เราถวาย มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ มีผ้าไตร มีอาหารก็ทำให้เราสามารถที่จะไปจุติยังสวรรค์ในชั้นต่างๆ ได้หลายชั้น ขึ้นอยู่กับอารมณ์ใจที่มีความอิ่ม ความยินดีในทานที่ถวาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ทำให้เรามีวิมาน มีเครื่องประดับ มีรัศมีกายจากการถวายพระพุทธรูปองค์ใหญ่ มีอาหารทิพย์จากเครื่องบริวารของมหาสังฆทาน บุญจากผ้าไตรก็ทำให้เรามีอาภรณ์ทิพย์บนสวรรค์ วิมานที่ปรากฏเกิดจากการที่เรามีบุญจากการถวายวิหารทาน เคยร่วมบุญสร้างพระอุโบสถ สร้างวิหาร สร้างกุฏิ ตรงนี้ก็ทำให้เรามีวิมานปรากฏอยู่ที่สวรรค์บ้าง ปรากฏอยู่ที่พรหมบ้าง
อันนี้ทุกสิ่งทุกอย่างให้เราเข้าใจว่า เมื่อจิตเรามีกำลังของบุญสะสมรวมไว้ในจิต มันก็ส่งผลทำให้กายทิพย์หรืออทิสมานกายเราได้ สามารถไปได้ตามที่ต่างๆ ภพต่างๆ ด้วยเช่นกัน อันที่จริงแล้ว คนที่เจริญพระกรรมฐาน ถ้าเข้าใจหลักอย่างที่อธิบาย เราก็จะสามารถที่จะใช้อาทิสมานกายไปได้ทุกภพทุกภูมิ หรือแม้แต่พระนิพพาน แต่คราวนี้คนที่สามารถทำความเข้าใจและยกจิตไปได้ทุกภพ ทุกภูมิ นั่นที่จริงหมายความว่า คนที่เจริญพระกรรมฐานได้ในจุดนี้ ระดับนี้ถือว่าเป็นบุคคลที่ฝึกจิต จนสามารถที่จะกำหนดในเรื่องของคติที่ไปได้ เพราะจิตเรามีความเข้าใจแล้วว่าจะวางอารมณ์ใจยังไง วางอารมณ์จิตเช่นนี้ ทำให้ไปจุติยังภพใด มีเครื่องรำลึกรู้อย่างนี้ จะทำให้เราไปที่ภพใด
ดังนั้นการที่เรายกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานได้ หลักจริงๆ ก็คือตัดกิเลสให้ได้มากที่สุด ตัดกายให้ได้มากที่สุด มโนมยิทธิครึ่งกำลัง คือการที่เราใช้กำลังใจของเรา ฐานจากการที่เราตัดกิเลส กำลังฌานที่เราฝึกที่เราทำได้ครึ่งหนึ่ง ความสามารถพื้นฐานสมาธิของเราเอง ฝึกจิตจนเข้าถึงอุปปจาระได้ ในขณะเดียวกันพระท่านก็สงเคราะห์เราครึ่งหนึ่ง ถึงเรียกว่าครึ่งกำลังกำลัง มโนมยิทธิถึงเรียกว่าครึ่งกำลัง แต่คราวนี้เวลาที่ฝึกมโนยิทธิเต็มกำลัง เวลาที่เราไปปฏิบัติ เราต้องใช้กำลังใจสูงกว่าเหตุผลเพราะ
- จะไม่มีอาจารย์ จะไม่มีครู จะไม่มีคนนำ เราต้องฝึกที่จะยกจิตของเรา ขึ้นไปบนพระนิพพาน คือพยายามวางอารมณ์ใจตัดกิเลสน้อมจิตขึ้นไป แต่ถามว่าเต็มกำลัง คือเราไปด้วยเต็มกำลังของตัวเองไหม จริงๆ ก็ไม่ใช่ จริงๆ เวลาที่มีงานฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง พระท่านบนพระนิพพาน คือพระพุทธองค์ ครูบาอาจารย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทวดา พรหม พระอินทร์ท่านกำกับเป็นงานใหญ่ เทวดาต้องมาช่วยกันจำนวนมาก พยายามช่วยกันดึง พยายามช่วยกันนำพาจิต ของคนที่เข้าพิธีในการฝึกให้ขึ้นถึงพระนิพพานให้ได้ คือท่านก็พยายามสงเคราะห์เราให้ขึ้นมาเต็มกำลังให้ได้
- คราวนี้ลักษณะที่แตกต่างกันกับ ฝึกครึ่งกำลังนอกเหนือจากไม่มีครูแล้ว คือไม่มีครูที่จะมาคอยนำ คอยแนะแนวอย่างที่เราฝึกกันอยู่ตอนนี้ เราต้องยกขึ้นไปด้วยตัวเอง แต่กำลังที่พระท่านสงเคราะห์จริงๆ เหมือนกับแสงสว่างเป็นลำแสงลงมา ถ้าเห็นด้วยจิตหรือความเป็นทิพย์ เป็นลำแสงขนาดใหญ่ คุมศาลาที่เราฝึกปฏิบัติทั้งหมด แล้วก็มีพลังที่ดึงดูดกายทิพย์เราขึ้นไป คนที่ตัดกิเลสได้ ไม่เกาะกาย ถึงเวลาถ้าขึ้นไปเต็มกำลังได้สภาพสภาวะในการปรากฏของอาทิสมานกาย หรือสิ่งที่เห็นด้วยกายทิพย์ มันจะมีความชัดเจนแจ่มใสมากกว่ามโนมยิทธิครึ่งกำลัง เรียกว่าชัดยิ่งกว่าตาเนื้อ ใช้คำนี้เลย ว่าชัดยิ่งกว่าตาเนื้อ เหมือนกับเราดูภาพที่มีแสงสว่าง สปอตไลท์ ส่องสว่างชัดเจน มากกว่าแสงของเวลากลางวันที่เราเห็น คือสว่างชัดอย่างยิ่ง แต่ในขณะเดียวกันเวลาขึ้นไปเต็มกำลังได้ มันจะมีความรู้สึกว่ากายเนื้อมัน ขยับได้ยากกว่ามโนครึ่งกำลังเยอะ มันจะมีอาการหนืดๆ เหมือนกับบางครั้งเราฝัน แล้วเราจะขยับตัววิ่งแต่ว่ามันวิ่งไม่ค่อยออก มันหนืดๆ อาการของเวลาที่ขึ้นเต็มกำลัง มันจะมีแบบนี้
คราวนี้เวลาที่เราจะไปเต็มกำลัง เราจะไปได้ยังไง เพราะอะไร เราขึ้นไปเต็มกำลังได้เพราะว่า เราตัดกิเลส คือความเกาะในขันธ์ห้าร่างกายได้มากกว่า อย่าลืมว่ากายทิพย์ เวลาที่เราถอดกายทิพย์มันมีสายโยงใยของจิต ถ้าเรายังห่วงกาย เกาะกาย สนใจกาย มันจะมีเหมือนกับสายขนาดใหญ่ คอยดึงกายทิพย์เราไว้ แต่ถ้าเราตัดได้มากเท่าไหร่ ไอ้สายโยงใยของจิตมันจะเหลือเล็กนิดเดียว เหมือนกับเหลือเพียงแค่เส้นด้าย เพราะเครื่องดึง เครื่องรัด เครื่องผูก มันเล็กลง มันมีกำลังน้อยลง ความคล่องตัว ความชัดเจนของจิต หรือกายทิพย์ มันก็มากกว่าเดิม ขอบเขตศักยภาพของจิตเราจริงๆแล้ว เราถูกจำกัดด้วยกายเนื้อ จิตของเราสามารถรู้รอบได้ 360 องศา จิตของเราสามารถรู้ไปในอดีต ปัจจุบัน อนาคต ในทุกสถานที่ จิตของเราสามารถเคลื่อนที่ได้เร็วยิ่งกว่าแสง จะไปดาวดวงอื่น จะไปภพอื่นภูมิใด ก็ไปเร็วเพียงแค่รัดนิ้วมือเดียว แต่กายทิพย์มันไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าเราเอาความรู้สึกในความเป็นมนุษย์ กายเนื้อมาจับ เราก็จะคิดว่าทำไม่ได้ แต่ศักยภาพของจิตหรือกายทิพย์มันทำได้ทุกสิ่ง จะขยายกายให้ใหญ่เท่ากับจักรวาลก็ทำได้ จะเคลื่อนที่ไปภพอื่นภูมิใดให้เร็วแค่ไหนก็ได้ ดังนั้นยิ่งเราตัดกายได้มากเท่าไหร่ กำลังมโนยิทธิ เวลาที่เราฝึกมันก็จะกลายเป็นเต็มกำลังมากเพียงนั้น
คราวนี้คำแนะนำทุกอย่างที่อธิบายไป ทำให้เราเข้าใจหลักการ คราวนี้ก็ให้เราทำแบบจำลองในการฝึก ทำแบบจำลองในการฝึกก็คือ ใช้อนาคตังสญาณกำหนดจิต โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่จะไปร่วมพิธีมโนมยิทธิเต็มกำลัง หรือบางคนอยู่ต่างประเทศ อยู่ต่างจังหวัดไม่สะดวก อันที่จริงก็น่าจะมีไลฟ์สดของวัด เราก็ฝึกที่บ้าน เปิด แล้วฝึกตามไปก็ได้ พอเข้าไปในพิธีปุ๊บ ท่านก็ให้เอาดอกไม้อยู่ในถาดดอกไม้ 3 สี ธูป เทียน ปัจจัยทำบุญ เป็นค่าบูชาครู พร้อมกับมีหน้ากากพระคาถา นะโมพุทธายะ ก็คือพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ที่ให้ปิดหน้า พอถึงเวลาที่เริ่มเข้าสู่พิธีท่านก็ให้สมาทานพระกรรมฐานถือศีลนะโมตัสสะ ไตรสรณคมน์ บูชาคุณพระรัตนตรัย จากนั้นก็สมาทานพระกรรมฐาน พอสมาทานพระกรรมฐานเสร็จ ท่านก็ให้ภาวนาเราก็ภาวนา นะมะพะทะ จุดสำคัญก็คือภาวนาจนใจสบาย จนอารมณ์จิตเบาสบายเป็นอุปจารสมาธิ จากนั้นช่วงที่สมาทานพระกรรมฐาน เราก็กำหนดจิตให้เห็นพานบูชาครูเป็นทิพย์ แผ่นหน้ากากเป็นทิพย์ปิดหน้าอักษรอักขระ นะโมพุทธายะ กลายเป็นเพชร ทรงอารมณ์จิตให้ผ่องใส กายเนื้อ กายทิพย์เรา เป็นเพชรให้หมด จากนั้นเมื่อใจสบาย ก็พิจารณาตัดขันธ์ห้าร่างกาย ทิ้งกาย ตัดกาย
จุดสำคัญที่เป็นจุดที่คนทำไม่ได้ก็คือ
- มีความสำคัญผิดคิดว่าจะไปได้ มันต้องเต้นมันต้องสั่น อันที่จริงท่านบอกว่าการสั่นการเต้นการโยกตัวเป็นปิติหยาบ คำว่าปิติหยาบก็คือจิตยังหยาบ แล้วก็ยังเกาะกาย เมื่อไหร่ที่เราสั่น เมื่อไหร่ที่เราเต้น คิดว่าจะสั่นให้ถึงที่สุดแล้วให้หลุดออกไป อันที่จริงมันก็จะสั่นอยู่นั่นแหละ มันไม่หลุดง่ายๆ มันกลายเป็นว่ายิ่งดูอาการสั่น ยิ่งจดจ่ออยู่อาการสั่น ยิ่งเร่งการสั่นของกายก็คือสั่นกาย ดังนั้นโอกาสที่จะตัดไปได้กลับน้อยกว่า อันที่จริงอยู่ที่จิต จิตเรากำหนดทิ้งกาย ยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพานแบบครึ่งกำลังก่อน แล้วไปตัดกิเลสเพิ่มให้ละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้นจนหมด
- กับส่วนต่อมาที่ทำให้ติดขัดไปไม่ได้ก็คือ ถึงเวลาคนอื่นเขาสั่นถึงเวลาคนอื่นเขามีปิติเขาร้อง ถึงเวลาคนอื่นเขามีปิติ เขาออกมารำ คราวนี้เราตื่นละ ตื่นคือ ตื่นเปิดหน้ากากออกมาดูละ ใครทำอะไรบ้าง ตรงนั้นก็มีอันนี้ คนนี้เขามีอันนั้น คนนั้นเแสดงอาการอย่างโน้น สรุปได้ดูของแปลก ได้ดูเขาสั่น ได้ดูเขามีปิติ ได้ดูเค้าแสดงอาการรำ ในอารมณ์ของชาวดาวดึงส์บ้าง อะไรบ้างไป แต่ถามว่าได้ฝึกมโนเต็มกำลังไหม ได้เข้าไปนั่งแต่ว่าไม่ได้ผลของการฝึกเต็มกำลัง
คราวนี้สิ่งสำคัญในกรณีที่เราจะแก้เรื่องนี้ ก็คือเมื่อเข้าไปปุ๊บเรานั่ง เรากำหนดฝึกตามที่เคยเรียนเคยสอน จิตตวิเวกนั่งปุ๊บ กำหนดจิตเห็นคนทุกคนหายออกไปหมด นั่งสมาธิประดุจเรานั่งอยู่เพียงคนเดียว ท่ามกลางคนเป็นพัน เป็นหมื่นกำหนดจิตเหมือนเรานั่งอยู่เพียงบุคคลเพียงคนเดียว จากนั้น ทิ้งกายฝึกปฏิบัติไปตามขั้นตอน จิตน้อมพิจารณาตามที่เขาเปิดไฟล์เสียงหลวงพ่อในการตัดกิเลส พอท่านให้ตัดกิเลส เราก็พิจารณาตาม น้อมจิตตาม ตัดกาย ทิ้งกาย อารมณ์จิตของเราพิจารณาตัดจนถึงอารมณ์ของอรหันตผล คือตรัสว่าตายเมื่อไหร่เราไปพระนิพพาน เราไปปฏิบัติ เรายกจิตขึ้นไปบนพระนิพพานก็เพื่อการนี้ และสิ่งสำคัญที่เป็นหัวใจของการฝึกมโนเต็มกำลัง ก็คือเป็นการซักซ้อมว่าถ้าเกิดไม่มีคนนำ คือไม่มีคนพาไปแบบมโนครึ่งกำลังแบบนี้ เราจะสามารถยกจิตไปบนพระนิพพาน ด้วยกำลังใจของเราเองได้ไหม คือยกจิตขึ้นไปด้วยตัวเราเองได้ไหม อันนี้ถ้าเราฝึกเป็นปกติอยู่แล้ว คือกราบพระเมื่อไหร่ เราก็กราบถึงพระพุทธองค์บนพระนิพพานทุกครั้ง ถวายข้าวพระ เราก็ยกถึงพระนิพพานทุกครั้ง เขียนแผ่นทองถวายสร้างพระ เราก็ยกจิตเขียนบนพระนิพพานทุกครั้ง ถ้าเราทำได้ อันนี้เป็นปกติยังไง เราก็ยกจิตในการฝึกในมโนมยิทธิเต็มกำลังได้แน่นอน อันนี้ก็คือ ตัดความสนใจคนอื่นทั้งหมด ตั้งใจขึ้นไปกราบพระข้างบน พอขึ้นไปกราบแล้วก็อย่าลืมที่จะตัดกิเลสให้ละเอียดขึ้นไปอีก
กำหนดจิตฝึกในเรื่องของการกลั่น กลั่นจิต คือพิจารณาระเบิดกายก็ได้ พุทโธระเบิด ระเบิดกายทิพย์ คือกายพระวิสุทธิเทพนี่แหละ ระเบิดกายออกให้สว่างขึ้น ระเบิดทิ้งแล้วให้สว่างขึ้น ทิ้งกาย ระเบิดกาย แล้วให้สว่างขึ้นไปอีก กำหนดจิตให้สว่างขึ้น สว่างขึ้น จากครึ่งกำลังก็กลายเป็นเต็มกำลัง พอขึ้นไปแล้วเราก็พยายามที่จะกราบทูล กราบเรียน สนทนากราบทูลกับพระพุทธเจ้าในเรื่องของการปฏิบัติของเรา หรือสิ่งที่เราต้องการที่จะถามอย่างอาจารย์เอง เวลาไปงานมโนเต็มกำลัง ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องของการที่ ไปรับคำสั่ง คือสิ่งที่พระพุทธองค์ท่านทรงสั่งงาน ว่าในปีนี้ ปีนี้ คือขึ้นในปีต่อไป มีสิ่งใดที่จะต้องทำ สิ่งใดที่จะต้องทำเป็นงานถวายพระพุทธศาสนา งานที่ทำให้ประเทศชาติ ท่านก็จะเมตตาบอก เมตตาเล่าให้ฟัง อันนี้ก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคลนะ อย่างพุทธภูมิก็อาจจะต้องเป็นแบบนี้ แต่ว่าถ้าสาวกภูมิ ตัวเราก็สอบถาม เรียนถามพระพุทธองค์เรื่อง แนวทางในการปฏิบัติของเรา การตัดกิเลสของเราให้ตรงกับจริตนิสัย
คราวนี้ขึ้นไปได้แล้ว อารมณ์จิตถ้าบางคนขึ้นไปเต็มกำลัง ชนิดที่ชัดเจนมาก ก็อธิษฐาน อย่าลืมนะ ถ้าได้เต็มกำลังหรือสว่างมากกว่าปกติ ก็ให้เราอธิษฐานเลย ว่าขอให้ข้าพเจ้าสามารถยกจิตในกำลังมโนมยิทธิเต็มกำลังได้ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ แล้วสว่างแล้ว ชัดแล้ว ก็อธิษฐานให้สว่างขึ้นไปอีก ตัดกิเลสแล้ว ให้สว่างขึ้นไปอีก ค่อยๆ ไล่อารมณ์ให้ละเอียดขึ้นไปอีก สว่างขึ้นไปอีก พิจารณาตัดขันธ์ห้า พิจารณาตัดให้ละเอียด หรือถ้าเราขึ้นไปแล้วยังมีเวลา ถามคำถามก็ถามหมดแล้ว เราก็ฝึกปฏิบัติด้วยตัวเอง คือเจริญวิปัสสนาญาณ พิจารณาตัดขันธ์ห้า กายเนื้อ โดยอาการ ในข้อของการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย คือเห็นร่างกายแก่ ร่างกายเจ็บ ร่างกายป่วย ร่างกายตาย แล้วก็ต่อเดินจิตต่อมา พิจารณาในอสุภะ เห็นร่างกายเน่าเปื่อยผุพัง จนไม่เหลือกาย แล้วก็พิจารณาปล่อยวางว่าเราไม่เกาะ ไม่ห่วงในกาย ตายเมื่อไหร่มาพระนิพพาน พิจารณาตัดกาย พิจารณาตัดภพ ก็คือพิจารณาว่าจิตของเรายังยินดีในภพใดไหม จิตเราตัดภพของความเป็นมนุษย์ไหม จิตเราตัดภพของการเป็นเทวดา การเป็นพรหม การเป็นอรูปพรหมไหม พิจารณาตัดจนกระทั่งจิตยินยอม พอใจ อยู่จุดเดียวคือพระนิพพาน คือตัดตัวเลือกของจิต ไม่มีทางเลือกให้จิต เวลาที่ตัด ก็ตัดด้วยปัญญา อธิบายให้จิตของเรา มีความเข้าใจว่าเพราะภพต่างๆ มันไม่เที่ยง เพราะกายเนื้อมันไม่เที่ยง เพราะการเกิดมันไม่เที่ยง เป็นเทวดาแล้วถามว่าหมดบุญ ถ้าหมดบุญจนกลายเป็นศูนย์ของการเป็นเทวดา ก็ต้องไปเสวยวิบากต่อ คือใช้บุญฝ่ายกุศลจนหมดเหลือศูนย์ ใช้บุญของความเป็นพรหมจนหมดเหลือศูนย์ เราก็ต้องไปใช้ส่วนที่เป็นกรรมที่เป็นวิบากที่เรายังไม่ได้ใช้
ดังนั้นจริงๆ สิ่งที่พระพุทธองค์ท่านทรงตรัส ในเมื่อท่านทราบว่าอาจารย์ของท่าน ไปจุติ ไปเกิดยังอรูปพรหม ด้วยเหตุผลที่ว่าอรูปพรหมนั้นจริงๆ เป็นภพที่ใช้บุญฝ่ายกุศลจนหมด แต่เทวดาและพรหม อันที่จริงยังมีหนทางที่ช่วงเวลาที่ยังไม่หมดบุญ ยังสามารถที่จะขออนุญาตมาเกิด เพื่อต่อบุญ ต่อวีซ่าได้ หรือปลอมตัวลงมาถวายทาน หรือขออาสามาทำหน้าที่ดูแลคนที่ปฏิบัติธรรม หรือมาโมทนาสาธุกับการรักษาอุโบสถศีลของมนุษย์บนโลกบ้าง การสร้างพระพุทธรูป การถวายสังฆทาน การเจริญพระกรรมฐานของมนุษย์บนโลกบ้าง เขามาโมทนาก็ต่อบุญไป ดังนั้นถึงเวลาเราก็เมตตาอุทิศ ให้กับเทวดาพรหม ที่ท่านมารอมาขอมายินดีกับเรา
คราวนี้ถึงเวลาเราก็พิจารณาตัดกิเลส ตัดกิเลส ตัดกายเนื้อ ตัดภพจบชาติให้หมด พอตัดภพหมดจิต เมื่อขึ้นไปมโนเต็มกำลัง มีเวลาต่อ พิจารณาก็ทำหมดแล้ว เวลายังเหลือ เราก็ทรงอารมณ์ เสวยวิมุตติสุขบนพระนิพพาน ถึงเวลาจริงๆ ถ้าเกิดเราไม่ได้มีหน้าที่อะไร ถ้าเราเข้าพระนิพพานแล้ว ก็จะทรงอยู่ในอารมณ์ที่เสวยวิมุตติสุขนั่นแหละ ก็คือจิตสะอาดจากกิเลสอย่างสิ้นเชิง ไม่มีการรบกวนของกระแสกรรม กระแสวิบาก สิ้นจากความห่วง ความอาลัยในบุคคล ในเหตุการณ์ทั้งปวง ปล่อยวางความเกาะ ความยึดมั่นถือมั่นในภพทั้งปวง
เราก็ทบทวนพิจารณาจนจิตของเราสะอาด น้อมเจริญจิตพิจารณาว่าจิตของอรหัตผลท่านเป็นอย่างไร พอเราฝึกพอเราพิจารณามากเข้า บ่อยเข้า เข้าใจลึกซึ้งขึ้น กิเลสมันก็ค่อยๆ ถอดถอน ค่อยๆ จางจากจิตเรา แล้วยิ่งขึ้นไปด้วยมโนเต็มกำลังได้ จำไว้อย่างว่า ถ้าขึ้นไปเต็มกำลังชนิดที่ชัดเจนแจ่มใสอย่างยิ่งได้แล้ว จงตัดวิจิกิจฉาทั้งหมดในการปฏิบัติของเราให้หมดไปให้สิ้น อย่างอาจารย์ได้มโนเต็มกำลังปุ๊บนี่ ความสงสัยว่ามโนนี้มีจริง ไม่มีจริง จบ การปฏิบัตินี้มีจริงไหม จบ เพราะว่ามันชัดเจน เรียกว่าชัดเจนอย่างอัศจรรย์ใจ อย่าลืมที่จะฉวยว่าเมื่อขึ้นเต็มกำลังได้ จงตัดวิจิกิจฉาในการปฏิบัติ ในมรรคผล ในพระนิพพานให้หมด เรียกว่ามั่นคงในพระนิพพานอย่างสุดหัวจิตหัวใจ มั่นคงในความเมตตาของครูบาอาจารย์ ของพระพุทธเจ้า ของหลวงพ่อ อย่างสุดหัวจิตหัวใจ อันนี้เป็นหัวใจสำคัญของทำไมต้องมาฝึกมโนเต็มกำลัง
สำหรับวันนี้ เราก็ได้เรียน ได้ทำความเข้าใจ ในเรื่องของมโนมยิทธิเต็มกำลัง มีความเข้าใจว่าฝึก ฝึกไปทำไม ทำไมต้องฝึก ฝึกยังไงจะให้ผล จุดอ่อน อุปสรรค แล้วก็อีกจุดหนึ่งที่สำคัญ คือ ร่างกายเวลาที่เรานั่ง พยายามอยู่ในท่าที่สบายบางคนเอาเบาะไปลอง เราก็ลอง ถ้าเมื่อยก็ขยับขา พยายามให้กายสบายที่สุด ไม่งั้นพอกายมันเมื่อยมากเกินไปสุดท้ายจิตมันก็ร่วงลงมา ดังนั้นพยายามนะให้กายสบาย แล้วปล่อยกาย ทิ้งกายไม่ต้องไปสนใจ พอขึ้นไปได้แล้วเราก็ตัดกิเลสตัดละเอียด กลั่นกายทิพย์ กลั่นจิตให้ใสขึ้น บริสุทธิ์ขึ้น สว่างขึ้น สว่างขึ้น จนเป็นเต็มกำลัง ถ้าเราไปปฏิบัติให้ได้แบบนี้ก็ขอกล้ารับประกันว่า เราทุกคนก็จะมีความก้าวหน้า แล้วก็เกิดผลของความชัดเจนสว่างของมโนมยิทธิ มากกว่าการที่เราฝึกครึ่งกำลังอย่างมาก
ตอนนี้เราก็อธิษฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนที่จะไป ก็อธิษฐานกับพระพุทธเจ้าตอนนี้ว่า ขอให้พระพุทธองค์ทรงเมตตาสงเคราะห์ข้าพเจ้าเต็มกำลัง ขอให้การไปปฏิบัติในมโนมยิทธิที่เต็มกำลังของข้าพเจ้า เกิดความชัดเจนแจ่มใส เกิดความอัศจรรย์ ขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์เต็มกำลังด้วยเทอญ แต่เราต้องตั้งใจด้วยนะ ต้องไม่มีอารมณ์ห่วงกาย ต้องไม่มีอารมณ์งอแง อารมณ์มีแต่ความเด็ดเดี่ยวในการตัดกาย ทิ้งกาย
จากนั้นกราบพระ แล้วก็อาราธนากระแสจากพระนิพพานลงมา ขอน้อมกระแสแห่งพระนิพพาน แผ่เมตตาให้กับ สามภพสามภูมิ แผ่เมตตาลงมายังอรูปพรหมทั้ง 4 ชั้น พรหมโลกทั้ง 16 ชั้น สวรรค์ทั้ง 6 ชั้น อากาศเทวดา ภูมิเทวดา รุกขเทวดาทั้งหลาย ทั้งหมด ทั่วจักรวาล แผ่เมตตาให้กับมนุษย์และสัตว์ในทุกดวงดาว ที่มีกายหยาบ กายเนื้อ ทั่วอนันตจักรวาล แผ่เมตตาให้กับอุปปาติกะสัมภเวสี ดวงจิต ดวงวิญญาณ มิติที่ทับซ้อนจักรวาลทั้งหลาย แผ่เมตตาให้กับภพของอสุรกายที่เสวยวิบากความทุกข์ทั้งหมด ทั้งปวง ทุกรูป ทุกนาม จงได้รับกระแสแห่งบุญ แผ่เมตตาให้กับบรรดาสัตว์นรกทุกขุม ลึกลงไปที่สุดจนถึงโลกันตมหานรก
จากนั้นน้อมจิต น้อมกระแสแห่งพระนิพพานลงมายังโลก ลงมายังประเทศไทย ขอจงมีความสุขจงมีสันติสุข จงปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวง น้อมกระแสจากพระนิพพาน น้อมกระแสแห่งพุทธานุภาพ ลงมายังเขตของพระพุทธศาสนา ขอกำลังพุทธานุภาพจงมาสถิตรักษาในพระพุทธรูปทุกพระองค์ ในพระเครื่อง ในพระธาตุ พระบรมธาตุ พระอัฐิธาตุ พระอรหัตธาตุ พระบรมสารีริกธาตุ ให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์ ขอกระแสมรรคผลแห่งพระนิพพานกระแสแห่งโลกุตรธรรม จงหลั่งไหลลงสู่จิตเป็นกระแสแห่งสัมมาทิฏฐิ ยังดวงจิตของพุทธบริษัท 4 ทั้งปวง ขอจงเป็นธรรมอันเป็นสัมมาทิฏฐิ ธรรมอันกระจ่างแจ้ง ธรรมอันลัดตัดตรงสู่มรรคผลพระนิพพาน ขอความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา ดั่งสมัยพุทธกาลจงปรากฏขึ้น
น้อมกระแสบุญจากพระนิพพานลงมา อธิษฐานขอให้เป็นกำลังแห่งพุทธานุภาพ คุ้มครององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอกำลังความศักดิ์สิทธิ์จงปรากฏ ยังเทวดาผู้เป็นพระสยามเทวาธิราช เทวดาพรหมผู้รักษาเศวตฉัตร เทวดาพรหมผู้รักษาพระบรมมหาราชวัง พระตำหนักทั้งหลาย เทวดาผู้เป็นพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระหลักเมือง พระกาฬไชยศรี เทพารักษ์ เทพยดาทั้งหลาย ผู้ทรงฤทธิ์ ขอกระแสบุญ ความอิ่ม ความสุข ทิพยสมบัติ พรหมสมบัติ นิพพานสมบัติ จงถึงทุกท่าน ขอกระแสบุญจากการเจริญพระกรรมฐาน จงถึงเทวดาพรหมที่ท่านมาสงเคราะห์คุ้มครองเราแต่ละบุคคล ขอบุญแห่งการปฏิบัตินี้จงเป็นปฏิบัติบูชา บูชาคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ บูชาคุณพ่อแม่ ทั้งพ่อแม่ในชาติปัจจุบันและอดีตชาติ ญาติทั้งหลาย เทวดาพรหมท่านผู้มีพระคุณที่สงเคราะห์ ครูบาอาจารย์ พระอุปัชฌายะ ผู้ที่ประสิทธิ์ประสาทสรรพวิชาให้กับข้าพเจ้ามาในทุกภพทุกชาติ อุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวร พร้อมกับขอคมากรรม ขอโหสิกรรม และเราก็ให้อภัยทานต่อกัน
จากนั้นน้อมจิต กราบลาพระพุทธองค์ กราบลาทุกท่านบนพระนิพพาน พร้อมกับน้อมกระแสพุ่งจิตอาทิสมานกายกลับมายังกายเนื้อบนโลกมนุษย์ น้อมกระแสพระนิพพานลงมาฟอกธาตุขันธ์ชำระล้าง ขอกายเนื้อนี้จงสะอาดบริสุทธิ์กระแสธรรมจงฟอกธาตุขันธ์ของข้าพเจ้า ให้สะอาด ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง จนเป็นแก้วใสสะอาด โครงกระดูก กระดูกทุกชิ้น หลอดเลือด เส้นเอ็น จงใสสะอาด กล้ามเนื้อทุกส่วน เซลล์ทุกเซลล์ จงเป็นแก้วใสบริสุทธิ์ อาการทั้ง 32 อวัยวะภายในทั้งหลาย จงสะอาดใส เซลล์มะเร็ง เซลล์เนื้องอก ซีสต์ ถุงน้ำดี ถุงไขมัน สิ่งที่ผิดปกติทั้งหลาย จงสลายตัวไปด้วยอำนาจของธาตุธรรม โลกภัยไข้เจ็บอาพาธ โรคาพยาธิ จงสลายไป ด้วยธาตุธรรม ธาตุขันธ์ จงปรากฏความบริสุทธิ์
จากนั้นอธิษฐาน ขอให้กำลังบุญกุศล จงเปิดสายบุญ สายทรัพย์ สายสมบัติของข้าพเจ้า ขอจงมีความคล่องตัวอัศจรรย์ ขอทิพยสมบัติ พรหมสมบัติ ทาน ศีล ภาวนา เหตุที่ข้าพเจ้าสร้างกุศลโดยเฉพาะอย่างยิ่งทานบารมี จงเป็นปัจจัยส่งผลให้สายทรัพย์ สายสมบัติข้าพเจ้า เปิดหลั่งไหลลงมาสู่ชีวิตในปัจจุบัน หลั่งไหลลงมาทันใจบุญส่งผลทันใจ บุญใหญส่งผลก่อน ทาน มหาทาน มหาสังฆทาน จงเกิดผลอานิสงส์อย่างอัศจรรย์ ต่อข้าพเจ้าทุกคนด้วยเทอญ ขอให้ความคล่องตัวจงปรากฏขึ้นกับข้าพเจ้า ขอความมีสุขภาพ อายุ วรรณะ สุขะ พละ จงปรากฏขึ้นกับข้าพเจ้า ขอจิตอันเป็นสัมมาทิฏฐิ จิตอันเป็นกุศล จิตอันตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพาน จงมั่นคง กระจ่างแจ้ง ประจักษ์ชัดต่อดวงจิตของข้าพเจ้า
จากนั้นน้อมจิตโมทนาสาธุ เห็นกระแสบุญส่องสว่าง บ้านเคหะสถาน ที่เราอยู่ ที่เราพัก ที่เราอาศัย สว่างด้วยกำลังของบุญ บ้านของเราสว่าง กระแสกุศลครอบคลุมอยู่เย็นเป็นสุข ร่มเย็น
จากนั้นโมทนากับเพื่อนที่ปฏิบัติธรรม กัลยาณมิตรที่ปฏิบัติธรรมด้วยกัน 83 ท่านวันนี้ รวมถึงท่านที่จะมาปฏิบัติฟังติดตามต่อในภายหลัง
จากนั้นหายใจเข้าช้าๆ ลึกๆ 3 ครั้ง พุทโธ ธัมโม สังโฆ ถอนจิตช้าๆ ละเอียดประณีตค่อยๆ ออกจากสมาธิ ด้วยจิตอันเป็นสุข จิตแย้มยิ้ม กายแย้มยิ้ม จิตปิติเอิบอิ่ม กายเอิบอิ่มผ่องใสสว่าง
สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน เดี๋ยวขอแจ้งก่อนว่าสัปดาห์หน้า อาจารย์ไปฝึกมโนมยิทธิ ก็จะงดสอนทั้งห้องครูแล้วก็ห้องเมตตาสมาธิ เพราะว่าต้องเดินทางไปต่างจังหวัด ส่วนอีกสัปดาห์นึงคือ 22 ก็จะเป็นวันที่มีคอร์สเมตตาสมาธิท่านใดที่สะดวกไป ลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว ก็พยายามไป ถ้าท่านใดลงทะเบียนแล้ว บังเอิญติดธุระ ก็รีบแจ้งให้ทราบก่อนจะได้เตรียมอาหารให้พอดีกับคนที่ไปจริงๆ นะครับ
แล้วก็อย่าลืมช่วยกันเขียนแผ่นทอง อธิษฐานพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพาน เดี๋ยวช่วงปลายปีอาจารย์ก็จะเดินทางไปกราบเรียนพระอาจารย์หนุน ที่จังหวัดสกลนคร ความคืบหน้า แล้วก็ท่านใดที่ได้รับแผ่นทองไปแล้ว หรือกระจายแผ่นทองต่อให้เพื่อนเขียน ก็อย่าลืมช่วยกันรวบรวม แล้วช่วงนี้ช่วยรบกวนส่งกลับมาที่คุณคี้ได้แล้ว เพราะว่าเป็นช่วงที่รวบรวมนับแผ่นทอง ตอนนี้ก็น่าจะได้ประมาณ 80,000 แผ่น ยังขาดอีกประมาณ 20,000 แผ่น แต่แจกแผ่นทองไปทั้งหมดตอนนี้ 130,000 แผ่น ยังเรียกกลับมาไม่ครบนะ ถ้าเป็นไปได้ ก็พยายามส่งกลับมาได้แล้วนะครับ
สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน ให้ทุกคนมีความสุข ความเจริญ ท่านใดที่ไปฝึกมโนเต็มกำลัง ก็ถ้าเจออาจารย์ก็ทักทายบอกกันด้วยนะ ว่าฝึกอยู่ด้วยกัน เพราะบางคนอาจจะไม่ได้พบหน้าค่าตากัน ไม่ได้เจอตัวกันนะ พบเจอกันแต่ในออนไลน์ ถ้าเจอกันยังไงก็ทักอาจารย์ด้วย
สำหรับว่านี้ขอโมทนาบุญกับทุกคน ให้ทุกคนสามารถที่จะฝึกได้กำลังของมโนมยิทธิเต็มกำลัง สมใจทุกคน
สำหรับวันนี้สวัสดี
ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย : คุณลัดดา