เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม 2567
เรื่อง เดินลมปราณ
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
กำหนดสติ ในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ผ่อนคลาย ปล่อยวางร่างกายขันธ์ห้าของเรา ปลดปล่อยกำลัง ปลดลปล่อยความรู้สึกที่เรายึดโยงเกาะเกี่ยวห่วงใยในร่างกาย จากนั้นกำหนดจิต พิจารณาปล่อยวางความห่วง ในความคิด ความกังวล การปรุงแต่งทั้งหลาย ปลดปล่อยสลายออกไปให้หมด เหลือแต่เพียงสติที่กำหนดรู้ในลมหายใจที่ละเอียดอ่อนจินตภาพเห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหม พลิ้วผ่านเข้าออกภายในกายของเรา จดจ่ออยู่กับลมหายใจสบาย สัมพันธ์ระหว่างลมหายใจและอารมณ์จิต ลมปราณสัมพันธ์จิตใจ
กำหนดจดจ่ออยู่กับลมหายใจ สมาธิสงบนิ่งอยู่กับลมหายใจ
ลมหายใจ คือลมปราณ คือพลังชีวิต ลมหายใจ คือความสงบ
ความสุขสงบของสมาธิก่อเกิด ลมหายใจยิ่งละเอียด เบา จิตยิ่งเข้าถึงความสงบ ความเบา ความสบายตามไปด้วย ทรงในความสงบของจิต ลมหายใจยิ่งละเอียดราบรื่น อารมณ์จิต ยิ่งมีความสงบในระดับฌานที่สูงขึ้น ลมหายใจยิ่งสงบระงับลงเพียงใด จิตยิ่งสงบหยุดจากการปรุงแต่งเพียงนั้น
หยุดจิตได้ หยุดอกุศล หยุดการปรุงแต่ง หยุดความคิด หยุดความกังวล หยุดเป็นตัวสำเร็จในฌานในสมาธิ สงบนิ่งหยุด หยุดอยู่ในอารมณ์จิตที่ตั้งมั่นในเอกัตคตารมณ์ จิตรวมโฟกัสอยู่กับความหยุด ความนิ่ง ทรงอารมณ์ไว้
จากนั้นในความนิ่งความหยุด จุดที่หยุด กำหนดดวงแก้วขึ้น นึกจินตภาพเป็นดวงแก้วสว่างขึ้น เป็นการกำหนดในกสิณ ภาพนิมิตกสิณเชื่อมโยงสัมพันธ์กับจิตของเรา จิตคือกสิณ กสิณคือจิต จิตเราเป็นดวงแก้วใสสว่าง จากแก้วที่ใสสว่างนั้น ยิ่งสว่างขึ้น ยิ่งมีรัศมีแสงสว่างเพิ่มขึ้น ใจยิ่งเบิกบานเป็นสุข ภาพนิมิตสัมพันธ์จิตใจของเรา จากดวงแก้วสว่างใสก็กลายเป็นเพชรระยิบระยับ แสงระยิบระยับเพิ่มความเข้มข้นจนปรากฏเส้นแสงรัศมีเข้มพุ่งออกโดยรอบ 360 องศา จากดวงจิตที่เป็นเพชรประกายพรึกนั่น เรายิ่งเข้าถึงสภาวะที่จิตเกิดกำลังความเป็นทิพย์ รู้สึกถึงกำลัง รู้สึกถึงความอิ่มใจ ความเป็นทิพย์ของจิตยิ่งเปล่งประกายออกมากเท่าไร ใจเรายิ่งแย้มยิ้มเบิกบานเป็นสุขเพียงนั้น
ทรงอารมณ์จิตผ่องใสเป็นเพชร จิตเข้าถึงความเป็นทิพย์ จิตเข้าถึงกสิณจิตอันเป็นปฏิภาคนิมิต จิตเข้าถึงสภาวะอันเป็นจิตเดิมแท้อันประภัสสร ทรงอารมณ์ไว้ กำหนดน้อมนึกพิจารณาว่าอารมณ์จิตที่เราทรงกสิณจิต จิตคือกสิณ จิตทรงไว้ในความเป็นทิพย์ในความเป็นปฏิภาคนิมิต ในความเป็นจิตประภัสสรนั้น เราสามารถทรงอารมณ์นี้ได้เป็นปกติเป็นธรรมดา ยิ่งเข้าถึงความเป็นธรรมดา ความเป็นธรรมชาติ ทรงอารมณ์ได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายาม โดยไม่รู้สึกว่ายาก เมื่อนั้นวสีความชำนาญเชี่ยวชาญในการทรงอารมณ์ ในการเข้าถึงอารมณ์จิต อารมณ์พระกรรมฐานก็เกิดขึ้น เป็นเนื้อเดียวกับจิตของเราเมื่อนั้น ทรงอารมณ์จิตที่ผ่องใสไว้
กำหนดรู้ว่าการปฏิบัติขัดเกลาฝึกฝนจิตนั้น จิตนอกเหนือจากมีคุณภาพสูงสุด คือเข้าถึงฌานในกำลังสูงสุดในกรรมฐานแต่ละกองแล้ว คือถือว่าเข้าสู่กรรมฐานเต็มกำลัง เมื่อเข้าในกรรมฐานเต็มกำลังได้เช่นกสิณ กสิณเข้าถึงก็ไม่ใช่เป็นดวงแก้วเฉยๆ เข้าถึงที่สุดก็คือเป็นปฏิภาคนิมิต คือฌาน 4 ของกสิณ เมื่อเข้าถึงที่สุดเต็มกำลังได้ก็ปรากฏว่า เราสามารถทรงอารมณ์ คือทรงสภาวะของพระกรรมฐาน อารมณ์พระกรรมฐานนั้นได้อย่างเสถียร คือมีความราบรื่นตั้งมั่นมั่นคง ดำเนินอารมณ์ภาพนิมิตต่อเนื่องยาวนานได้นานเท่านานเท่าที่เราต้องการ อันนี้ถือว่าเป็นวสีในการทรงฌาน เหมือนกับการที่เราฝึกฝนร่างกายจนแบกของหนักได้ แบกของหนักได้ไม่ใช่ว่ายกขึ้นมาได้แล้วก็หมดแรงต้องปล่อยลง นั่นก็คือเข้าสู่อารมณ์ฌานสูงสุดได้แล้ว ก็อารมณ์จิตร่วงลงไปแต่นี่คือเราสามารถทรงอารมณ์ คือยกของหนักและประคองไว้ด้วยอาการที่มีความรู้สึกว่าของนั้นเป็นของที่เหมือนกับไร้น้ำหนัก ไม่รู้สึกว่าต้องใช้ความพยายามและสามารถยกของนั้นได้ยาวนานตามที่เราต้องการ อันนี้ถือว่าเราทรงฌาน ทรงอารมณ์ได้จนเป็นวสี เป็นความชำนาญ มีความสามารถในการทรงฌานได้นานเท่านานตามที่ต้องการ
ตอนนี้ให้เราทรงอารมณ์ปฏิภาคนิมิต จิตเป็นทิพย์สว่าง
กำหนดรู้กำหนดพิจารณาว่า เราฝึกฝนเพื่อปรับพื้นฐานของสมาธิของฌานให้มีความตั้งมั่นมั่นคงแข็งแกร่ง สมาธิจิตมีความแข็งแกร่งมีพื้นฐานที่ยอดเยี่ยม กำลังของจิตตานุภาพที่จะนำไปใช้ในการตัดสรรพกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหาน ก็ย่อมมีความเด็ดเดี่ยวมั่นคงเด็ดขาด มากกว่าบุคคลที่พื้นฐานของสมาธิจิตยังไม่มั่นคง ยังสั่นคลอน ยังหวั่นไหวอยู่ ทรงอารมณ์ไว้ ผ่องใสเต็มกำลัง
จากนั้นกำหนดจิตอธิษฐาน น้อมนึกคือจินตภาพให้เห็นภาพองค์พระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นภาพสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องจักรพรรดิเปิดโลก อยู่ใจกลางของดวงแก้วสว่าง กำหนดรู้ ว่าคราวนี้ดวงแก้วดวงจิตที่เราทรงอารมณ์เมื่อสักครู่ยิ่งมีกำลังสูงขึ้น กำหนดอธิษฐานจิตอาราธนาให้ดวงแก้วนั้นอยู่เหนือศีรษะของกายเนื้อของเราตอนนี้ พร้อมกับเปล่งฉัพพรรณรังสีแสงรัศมีจากองค์พระสว่าง สว่างไปทั่วจักรวาล
กำหนดจิต กระแสคลื่นพลังงานจากดวงดาว จากดวงอาทิตย์ กระแสพลังจากพายุสุริยะ เรามีกำลังของพุทธานุภาพคุ้มครอง กำลังขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งบารมีแห่งสมเด็จองค์ปฐมนั้นไม่มีประมาท คลื่นกระแสพลังงานที่เป็นลบทั้งหลาย ไม่อาจกล้ำกรายทำอันตรายต่อเราได้ กำลังแห่งพุทธานุภาพ ปรับกระแสพลังงาน ให้กลายเป็นคลื่นที่ส่งผลด้านบวกกับขันธ์ห้า กับดวงจิต กับกระแสคลื่น ความคิดของเรา องค์พระสว่างอยู่เหนือศีรษะ
คลื่นพลังงานจากดวงอาทิตย์ดังที่ปรากฏในข่าว ปรากฏเป็นแสงสีรุ้งคือออโรร่า ปรากฏอยู่ในบริเวณโลกที่อยู่เหนือเส้นศูนย์สูตรบ้าง ใต้เส้นศูนย์สูตรบ้าง เป็นแสงสีต่างๆ นั้น เรากำหนดคลื่นแสงนั้นเป็นพลังงานอาบลงสู่กายของเรา ดึงมาเป็นพลังเหมือนกับการที่เราฝึกวิชากายสายรุ้ง คลื่นสเปกตรัมพลังงานก่อให้เกิดการหักเหของแสงจากสนามแม่เหล็กไฟฟ้าที่แปรปรวน เรากำหนดจิตปรับเรียงคลื่นอนุภาคพลังงานเส้นแสงทุกอย่างให้เป็นคลื่นพลังงานที่เป็นปกติและส่งผลด้านบวกกับดวงจิต กับกายขันธ์ห้าของเรา
เห็นกายเราอาบแสงออโรร่า กายทิพย์เราอาบแสงที่เป็นเหมือนกับสีรุ้งนั้น องค์พระเสด็จประทับอยู่เหนือศีรษะของเราพร้อมกับดวงแก้วสว่าง ตั้งจิตอธิษฐานด้วยกำลังแห่งพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ อันมีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน ด้วยพุทธานุภาพอันไม่มีประมาณนั้น ขอจงเปลี่ยนคลื่นรังสีที่อาจก่อเกิดโทษภัยต่อโลกต่อมนุษย์ต่อสัตว์ ขอจงปรับเปลี่ยนระดับคลื่นความถี่นั้น ให้กลายเป็นคลื่นที่ส่งผลด้านบวกต่อจิตใจของมนุษย์ ให้อยู่ในกุศล ปรับเปลี่ยนคลื่นให้กระตุ้นเซลล์ในการสร้างเซลล์ใหม่ที่สมบูรณ์แข็งแรง ขอคลื่นความถี่นั้นเสริมแรงให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ยุคชาววิไลด้วยเทอญ
จากนั้นกำหนดจิตเห็นกายเนื้อกายทิพย์ของเรา ชโลมอาบกระแสแสงสีที่เป็นออโรร่าที่ส่งผ่านมาจากดวงอาทิตย์นั้น ทั้งกายและจิตพลอยสว่างขึ้น กายจิตสว่าง กำหนดน้อมรำลึกรู้ว่า วันนี้เราฝึกสมาธิที่ยังเนื่องด้วยกายค่อนข้างเยอะเนื่องจากเป็นวาระพิเศษ การที่เราฝึกสมาธิ อธิษฐานจิตเช่นนี้ เราก็ช่วยปรับช่วยเปลี่ยนคลื่นกระแสพลังงานของโซล่าแฟร์ที่มากระทบโลก จากร้ายให้กลายเป็นดี จากคลื่นพลังงานที่อาจส่งผลเสียก็กลายเป็นคลื่นพลังงานที่เป็นบวก
ช่วยกันทรงอารมณ์นะ กายจิตกายทิพย์เราสว่างใสอาบแสงสีของออโรร่า กายเนื้อของเราเห็นภาพกายเนื้อของเราอาบแสงของออโรร่า กัลยาณมิตรที่อยู่ในต่างประเทศอยู่ในเขตที่รับคลื่นกระแสของออโรร่า ก็ยิ่งกำหนดภาพ กำหนดจิต กำหนดนิมิตได้ง่ายชัดเจนขึ้น แต่ตัวพลังงานที่ตกกระทบโดยตรงความเป็นจริงแล้วรอบนี้พลังงานที่แรงที่สุดลงมาที่ประเทศไทยพอดี ดังนั้นการที่เรานั่งสมาธินอกจากช่วยตัวเองแล้วก็ช่วยสิ่งมีชีวิตช่วยโลกนี้ด้วยไปในตัว กำหนดจิตต่อไปทรงอารมณ์ไว้ กายทิพย์เราสว่างขึ้น เห็นกระแสของออโรร่าอาบกายของเรากายทิพย์ของเรา แสงสีหลั่งไหลเหลือบอยู่ทั่วกายของเรา พลังของกายทิพย์พิ่มพูนขึ้น
จากนั้นกำหนดต่อนะ เห็นภายในกายของเราใสไปหมด เห็นอาการ 32 คือตับไตไส้พุง โครงกระดูกทั้งหมด หลอดเลือดเส้นเอ็น การเต้นของหัวใจ การขยับของปอด การขยับของกระเพาะอาหารลำไส้ กำหนดจิตเห็นกายในกาย พร้อมกับแสงรัศมีของออโรร่าพลังงานที่ลงนั้น ฉาบทาบเอิบอาบทั่วอวัยวะทุกส่วนในร่างกาย
จากนั้นกำหนดจิต รู้กายของเรา เห็นบริเวณตาที่สามของเราปรากฏภาพนิมิตเป็นดวงอาทิตย์พร้อมกับแสงรัศมีของดวงอาทิตย์สว่างอยู่บริเวณตาที่สามของเรา เปล่งประกายสว่าง กำหนดน้อมจิตอธิษฐาน ขอน้อมบุญกุศลทานศีลภาวนาที่ชาวโลกสรรพสัตว์ชาวธรรมทั้งหลาย ได้ถวายทานโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตพระพุทธศาสนา ถวายทานถวายมหาสังฆทาน ถวายวิหารทานสร้างพระพุทธรูป บุญกุศลจากบุคคลผู้รักษาศีล บุคคลผู้เจริญจิตใน เมตตา กรุณา มุทิตาอุเบกขา พรหมวิหาร 4 กระแสจิตกระแสบุญอันเกิดขึ้นจากการเจริญพระกรรมฐาน กระแสแห่งความบริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย นับตั้งแต่พระโสดาปัตติมรรคขึ้นไปจนถึงพระอรหัตผล กระแสแห่งบารมีของพระโพธิสัตว์ที่ลงมาจุติบนโลกมนุษย์
ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐานมหาโมทนาบุญรวมไว้ที่กึ่งกลางตาที่ 3 ที่เป็นนิมิตดวงอาทิตย์ และแผ่แสงสว่างเชื่อมโยงไปถึงดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะจักรวาลของโลกนี้ แผ่แสงรัศมีสว่างเป็นกระแสบุญออกไป เติมพลังแห่งบุญ ปิดจุดดับในดวงอาทิตย์อันเป็นเหตุที่ทำให้เกิดโซล่าแฟร์ พายุสุริยะขึ้น กระแสบุญเติมเข้าไป ดวงอาทิตย์มีพลังงานเปล่งพลังงานส่งพลังงานมหาศาลมายังโลก รุนแรงที่สุดในรอบ 1000 ปีฉันใด ก็ขอให้พลังแห่งสุริยันพันปีนั้นถ่ายทอดลงมาสู่กายทวาร วจีทวาร มโนทวารของข้าพเจ้า ณ บัดนี้
เชื่อมโยงกระแสพลังงาน พลังแห่งสุริยันคือดวงอาทิตย์ ถ่ายทอดเพิ่มพูนหลั่งไหลลงสู่ขันธ์ห้าร่างกายของเราในทุกอณู ใครส่วนใดในร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบาย มีเซลล์ร้าย มีเนื้อร้าย ก็ขอให้แสงแห่งดวงอาทิตย์นี้แผดเผาเซลล์ที่เป็นโทษภัยโรคภัยไข้เจ็บ เชื้อโรคในกายของข้าพเจ้าออกไปให้หมด คลื่นความถี่จากรังสีโฟตอนของพายุสุริยะสนามแม่เหล็กมหาศาลที่ส่งตรงลงมา ขอจงกระตุ้นเส้นลมปราณทั่วร่างกายของข้าพเจ้า ให้การโคจรไหลเวียนของลมปราณทั่วร่างของข้าพเจ้าได้ทะลุทะลวงจุดเส้นลมปราณใหญ่ทั้งหมด เส้นลมปราณย่อยทั้งหมด พลังสุริยันพันปีขอจงไหลเวียนเพิ่มพูนจนก่อเกิดเป็นอภิญญาจิต เพิ่มพูนพลังชีวิต เพิ่มพูนจิตตานุภาพให้กับข้าพเจ้าทุกคนด้วยเทอญ
ทรงอารมณ์ กำหนดรู้ในกระแสพลังทั่วร่างกายของเรา กายทิพย์สว่างเปล่งประกายเป็นเพชร กายเนื้อมีกระแสพลังงานมีกระแสพลังของปราณไหลเวียนโคจรทั่วร่าง จักระทั้งเจ็ดทั่วร่างกายของเราเปล่งประกายสว่างเจิดจ้า เป็นประดุจอัญมณีทั้งเจ็ดจุด
กำหนดจิตอธิษฐานด้วยกำลังของพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ เทวดาพรหม ตลอดรวมจนถึงกระแสบารมีแห่งพระโพธิสัตว์ กำลังแห่งครูบาอาจารย์ มาประสิทธิ์ประสาทให้ร่างกายขันธ์ห้าของข้าพเจ้า ได้ปรับธาตุปรับขันธ์ ปรับพลังงานรองรับยุคแห่งชาววิไล ญาณ ฌานทั้งหลายจงกระจ่างแจ้งชัดเจนแจ่มชัด จิตตานุภาพจงเพิ่มพูนกลายเป็นอภิญญาจิต
จากนั้นตั้งจิตต่อไปนะ กำหนดอธิษฐาน ว่าขอให้การเจริญพระกรรมฐานนี้ การตั้งจิต การทำสมาธิ การเดินลมปราณ การกำหนดจิตในกสิณ การพิจารณาโคจรกำลังในกายของข้าพเจ้านี้จงเกิดผล ให้ร่างกายขันธ์ห้านี้มีกำลัง มีพลังชีวิต เพื่อที่ว่าข้าพเจ้านี้จะได้สร้างคุณประโยชน์ต่อไป ต่อชาติ ต่อศาสนา ต่อพระมหากษัตริย์ สร้างคุณประโยชน์ให้กับโลกใบนี้ ช่วยเยียวยาโลกใบนี้ให้ดีขึ้น บุญกุศลจงหลั่งไหลลงมาสู่กายและจิตของเรา ความดีทั้งหลาย บุญกุศลทั้งหลาย กรรมฐานทั้งหลาย จิตตะสมาธิทั้งหลายที่เราเคยฝึกเคยปฏิบัติ จงหลั่งไหลมารวมตัว ณ จิตของเราตอนนี้
สงบนิ่ง สัมผัสซึมซับถึงพลังที่ไหลเวียนโคจรอยู่ทั่วกาย สัมผัสซึมซับกระแสแสงสว่างรัศมีพลังแห่งกายทิพย์ กระแสพลังคงตัวทรงตัวอยู่ในกายและจิตของเราทุกคน
ตอนนี้เราก็กำหนดต่อไปนะ ใช้กำลังของสมาธิ ตั้งจิตน้อมอาราธนาบารมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอทรงเมตตายกดวงจิตอาทิสมานกายข้าพเจ้า ขึ้นไปบนพระนิพพานด้วยเทอญ พระพุทธเจ้าข้า กำหนดลองพุ่งจิตอย่างรวดเร็วและเปี่ยมพลังขึ้นไปบนพระนิพพาน กายทิพย์กำหนดอธิษฐานปรับสภาวะเป็นกายแห่งพระวิสุทธิเทพ
เราขึ้นไปบนพระนิพพาน เราก็พยายามที่จะทรงในสภาวะกายพระวิสุทธิเทพไว้ และสำหรับคนที่ตั้งจิตเพื่อพระนิพพานในชาตินี้ จำไว้ว่าทุกครั้งที่เราใช้กายทิพย์จะไปภพใดภูมิใดก็ตาม จะไปภพที่เป็นสวรรค์ คือไปกราบท่านปู่ท่านย่าพระอินทร์ ไปพรหมโลกหรือแม้แต่ไปเมืองบาดาล เรากำหนดว่าเราจะไปพระนิพพานแล้ว ดังนั้นเราทรงอารมณ์ คือทรงสภาวะกายทิพย์เป็นกายพระวิสุทธิเทพอยู่ตลอดเวลา ไม่ต้องไปเปลี่ยนตามภพที่เราไป
คราวนี้เมื่อเราขึ้นไปถึงบนพระนิพพานแล้ว เราก็ตั้งจิตน้อมจิตกราบพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ กราบพระอรหันต์ทุกพระองค์ ครูบาอาจารย์หลวงปู่ หลวงพ่อ วันนี้ท่านมามากกันเป็นพิเศษ เราก็กำหนดจิตอธิษฐาน กำหนดว่าโลกเข้าสู่ยุคของการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนในระดับของจักรวาล มนุษย์ที่สร้างบุญกุศลก็มาก มนุษย์ที่สร้างบาปหยาบช้าก็เยอะ เราก็กำหนดรู้ ดังนั้นก็จะมีทั้งคนที่ตายแล้วก็คนที่อยู่ เราก็กำหนดไม่ประมาท ถ้าเราต้องตายจริงๆ เราก็ขอขึ้นมาบนพระนิพพาน แต่ในขณะเดียวกันถ้าเรายังอยู่ ก็ขอให้เราอยู่รอดปลอดภัยสุขภาพแข็งแรง ยังคุณประโยชน์ต่อโลกใบนี้ได้ ตายเมื่อไรเราถึงพระนิพพาน เราก็กำหนดตั้งกำลังใจไว้เช่นนี้ให้เป็นปกติไว้เสมอ
คราวนี้ก็พิจารณาขอบารมีพระท่านสงเคราะห์ ขอให้เห็นแสงสว่าง พลังงานที่พวยพุ่งจากดวงอาทิตย์จากบริเวณจุดดับที่ใหญ่ บริเวณเยื้องลงมาด้านล่างทางด้านขวามือ ด้านล่างของดวงอาทิตย์ถ้ามองตรงไป จุดดับบนดวงอาทิตย์นี้มีขนาดใหญ่มากกว่าโลกประมาณ 150 เท่า จุดดับทั้งหลายก็คือความไม่เสถียรในการเปล่งพลังงานของดวงอาทิตย์ คนอื่นที่เป็นนักวิทยาศาสตร์จะว่าอย่างไรไม่ทราบ แต่ผลของการเกิดจุดดับบนดวงอาทิตย์นั้นเกิดขึ้นมาจากคลื่นกระแสวิบากกรรม กรรมของโลกมนุษย์ที่ส่งผ่านแผ่ออกไปโดยรอบ ซึ่งบางคนก็บอกมันไม่มีผลแต่ที่จริงมันมีผลกับจักรวาล เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงจันทร์ฉันได้ คลื่นกระแสบุญกระแสบาปมันก็ส่งผลไปกระทบจิต ไปกระทบกับดวงดาว
ดังนั้น คลื่นพลังงานที่ไปกระทบกับดวงอาทิตย์ ที่เป็นกรรมเป็นวิบาก ก็ก่อให้เกิดจุดดับคือความมืดบอด ความดับบนดวงอาทิตย์ ความสว่างผ่องใสมันก็หายไป คราวนี้เมื่อถูกปฏิกิริยาที่ถูกกระแสพลังงานลบคือกระแสกรรมวิบากอกุศลจากดวงจิตทั้งหลาย รวมกันเป็นกรรมโดยรวมมากระทบกับดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์ก็เปล่งพลังงานเพื่อจริงๆ แล้วพลังงานนั้นถูกเติมเข้ามาเยียวยา บริเวณจุดดับคือเป็นการสมานแผลประสานรอยรั่วของพลังที่ถูกเจาะออก พลังงานนั้นก็เป็นพายุสุริยะ ยิ่งรูหรือจุดดับใหญ่มากเท่าไร
พลังงานคือโซล่าแฟร์เป็นรังสีโฟตอนจากดวงอาทิตย์ก็จะยิ่งเปล่งประกายเป็นพลังงานมหาศาล แล้วต้นเหตุคือใครคือโลกคนบนโลก ดังนั้นโซล่าแฟร์เขาก็พุ่งมาโดยตรงในทิศทางเดียวกัน พุ่งกลับมายังโลกเวลาที่พลังงานของโฟตอนโซล่าเซลล์ พุ่งมายังโลก มันก็ก่อให้เกิดพายุของสนามแม่เหล็กไฟฟ้า สนามแม่เหล็กไฟฟ้านั้นยิ่งเข้มข้นยิ่งมากเท่าไหร่ ยิ่งก่อให้เกิดการหักเหของแสงจึงทำให้เกิดแสงออโรร่าขึ้น
คราวนี้มันเข้มข้นในระดับที่เห็นในในทวีปยุโรป ในสหรัฐอเมริกา ในประเทศนิวซีแลนด์หรือออสเตรเลียบางส่วน แต่พนักงานที่เข้ามาเต็มๆ เข้ามาที่บริเวณประเทศไทยทำไมถึงโดนที่ประเทศไทย เพราะจริงๆ ตอนนี้ชาวธรรมก็มาก สร้างบุญสร้างกุศลและคนที่อยู่ในเขตพระพุทธศาสนาเอง กลับปรามาสพระรัตนตรัย กลับมีความคิดที่ล้อเรียน ปรามาสพระพุทธเจ้า พระสงฆ์ พระอริยสงฆ์มากมายเพิ่มพูนขึ้น ผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่บ้าง ผ่านโซเชียลบ้าง
ดังนั้น กรรมตรงนี้มันเลยกลายเป็นพลังงานลบ เอาง่ายๆ ที่ครูบาอาจารย์ท่านเทศน์สอน ท่านบอกว่าพูดถึงเกณฑ์ บุคคลที่ปรามาสพระอนาคามีมรรค อันนี้พูดถึงพระอนาคามีมรรค ยังไม่ได้เป็นพระอนาคามีผล ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ เพียงแค่ครั้งเดียว คนเดียวนั้น บุคคลนั้นก็ต้องไปเสวยกรรมในอเวจีมหานรก เป็นเวลายาวนาน จนแม้พระพุทธเจ้าเสด็จมาตรัสรู้เกิน 10 พระองค์แล้วก็ยังไม่ขึ้น
อันนี้ทำไมท่านเอาเกณฑ์ของพระโสดาบัน พระอนาคามี เพราะว่าถ้าเราศึกษาในเรื่องของพระอนาคตวงศ์บ้าง เราจะพบว่าในงานลื้อขนมวลสรรพสัตว์นั้น เริ่มพระอนาคตวงศ์ ท่านนับตั้งแต่องค์พระสมณโคดมได้ทรงตรัสสอนเล่าแสดงธรรมไว้องค์ที่ 1 ถัดจากท่านก็คือพระศรีอริยเมตไตรย ซึ่งจะเป็นองค์ที่ปิดภัทรกัปป์
พอปิดตาภัทรกลับไป คราวนี้ก็เกิดสุญญากาศเป็นเวลายาวนานไม่มีพุทธเจ้า ยาวนานมากกว่าช่วงที่จากพระพุทธเจ้าองค์พระสมณโคดมมาถึงพระศรีอริยเมตไตรยกัปป์ ความยาวนานนั้นยาวนานมาก แล้วก็เกิดพระพุทธเจ้าสืบต่อมาจนครบทั้งหมด 10 พระองค์
แต่คราวนี้จาก 10 พระองค์แล้ว คราวนี้ยิ่งยาวนานนานแสนนานหนักเข้าไปอีก เรียกว่าใครที่หลุดไปจากพระอนาคตวงศ์ ไปอีกหลุดจากพระศรีอริยเมตไตรย นี่ก็แย่มากแล้ว หลุดจากพระอนาคตวงศ์เข้าไปอีกนี่ หลุดเลยไปอีกในไม่ต้องพูดถึงเรียกว่า กว่าจะหวนกลับ หรือกลับมาเจอพระพุทธศาสนาได้โอกาสแทบจะเป็น Infinity
ลองคิดเอาว่าคนที่เขาปรามาสแค่พระสงฆ์ ยังโดนขนาดนี้แล้ว คิดว่าแรงกรรมที่ปรามาส ทำรูป ทำภาพ ล้อเลียนพระพุทธเจ้า แล้วมีการแชร์เข้าไปเป็นพัน เป็นหมื่นครั้ง ก็เท่ากับคูณพัน คูณหมื่นวาระ ปริมาณกรรมจะมากแค่ไหน ดังนั้นการในการปรามาสพระรัตนตรัยมีถือว่า มีผลรุนแรง พ้นจากนรกขึ้นมาแล้ว จะมาปฏิบัติธรรม ก็เจริญพระกรรมฐานไม่ขึ้น แล้วเมื่อไหร่ที่ปรามาสพระรัตนไตรขั้นรุนแรงปุ๊บ มันก็พ่วงความเป็นมิจฉาทิฏฐิมาด้วยพร้อมกัน
ดังนั้นโอกาสจะมาพบพระพุทธศาสนาอีกก็ยาก แล้วเมื่อไหร่บุคคลนั้นปรามาสพระรัตนตรัย กำลังของคุณพระรัตนตรัยก็ไม่อาจที่จะเมตตาคุ้มครองได้
เหตุผลว่าบุคคลนั้นปรามาสท่านเสร็จแล้ว เหมือนกับครูบาอาจารย์ เอาแค่การเป็นคนธรรมดาสามัญตัวเล็กๆ ใจเราเมตตาอยากช่วยคน อยากช่วยลูกศิษย์ทุกคน แต่บางครั้งเราก็รู้วาระจิตของลูกศิษย์บางคน เกิดมีความปรามาสไปซะแล้ว เราอยากช่วยเราก็ช่วยไม่ได้ ทั้งที่เราอยากช่วย เพราะเมื่อไหร่ที่ปรามาส เมื่อนั้นจิตเขาก็ปิดจากกระแสที่จะส่งจากกระแสเมตตาที่จะสงเคราะห์ อันนั้นก็คือบุคคลนั้นเป็นผู้ที่ปิดกั้นตัวเอง ทำร้ายตัวเองไป บุคคลที่ปรามาสพระรัตนตรัยก็เท่ากับปิดจิตตัวเองจะเขตพระพุทธศาสนา
กระแสกรรม กระแสวิบากพรุ่งนี้ตอนนี้มันรวมพลังมากเข้า บุคคลไร้ซึ่งศีลธรรมความดี บุคคลอกตัญญูต่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ บุคคลอกตัญญูต่อพ่อแม่ ท่านผู้มีพระคุณ ดังนั้นพลังงานพวกนี้ ก็คือพลังงานที่ไปดับก่อให้เกิดจุดดับบนดวงอาทิตย์ ดวงอาทิตย์จึงส่งเปลวพลังงาน โซล่าแฟร์
และเรื่องเหตุการณ์ที่เล่าเป็นอาทิทั้งหมดนี้ ก็เป็นเรื่องอจินไตยที่มาย้อนกลับ อธิบายในเรื่องยุคที่ไฟบรรลัยกัลป์ เผาผลาญโลก ดังที่พระพุทธเจ้าท่านทรงตรัสไว้ว่า เมื่อถึงยุคที่มนุษย์ทั้งหลายเสื่อม มีแต่ความไม่มีศีลธรรม มีแต่อกุศลมีแต่การเบียดเบียนกัน ทำตัวเป็นเหมือนสัตว์เดรัจฉาน ทำตัวเหมือนสัตว์นรก บาปกรรมมันมีพลังงานลบ มันรวมมีมวลรวมมากเข้า ถึงเวลาพลังงานก็ส่งไปยังดวงอาทิตย์ คราวนี้พลังงานมันเนื่องจากไม่มีผลบุญมาช่วยหนุน ช่วยต้าน มาช่วยเป็นเกราะอย่างที่เราช่วยกันทำ ช่วยกันเจริญพระกรรมฐานเป็นเกราะคุ้มกัน
คราวนี้มันก็กลายเป็นว่าโซล่าแฟร์ มันก็กลายเป็นไฟบรรลัยกัลป์จากดวงอาทิตย์ที่มาเผาผลาญโลก เป็นไปดั่งคำพุทธทํานายทั้งหมด คราวนี้เราก็เข้าใจเหตุและผล การเป็นไป โดยทุกสิ่งทุกอย่างนั้นที่จริงแล้วมันก็อธิบายได้ว่ามันเป็นเรื่องของกรรม มันเป็นเรื่องของพลังงาน มันเป็นเรื่องของกระแส เรารู้แล้ว เราก็เพิ่งสำเนียก ระมัดระวังในเรื่องของการรักษากุศล การละอกุศลทั้งปวง การหมั่นขอขมาพระรัตนตรัยให้ละเอียดขึ้นมากกว่าเดิม
สำหรับนี้เราทุกคนก็ได้กำหนดจิต พลิกเรื่องร้ายให้กลายเป็นเรื่องดีสำหรับเรา ที่ฝึกสมาธิที่โชคดี สำหรับคนที่ฟังในภายหลัง อยู่ในช่วงเวลาที่กระแสพลังงาน โซล่าแฟร์ ลงก็ขอให้ ฟังก็ขอให้ฝึกตาม จริงๆ แล้วถ้าในเชิงของผู้ที่ฝึกในเรื่องของลมปราณ มันก็เป็นช่วงที่พลังงานของดวงอาทิตย์ส่งมายังโลก เปล่งประกายมากที่สุด
ดังนั้นในเรื่องของลมปราณมันก็กลายเป็นว่าผู้ที่ฉลาด ผู้ที่เรารู้จักใช้วาระโอกาสนี้ก็สามารถฝึกลมปราณขั้นสูง ฝึกสมาธิจิตขั้นสูงขึ้น ลมปราณสุริยันพันปีนี้ได้ดังที่เราฝึก อันนี้ก็แล้วแต่บุคคลว่าจะสามารถสร้างเสริมหรือต่อยอด หรือเดินจิต เดินลมปราณ จนมันก่อเกิดเป็นความก้าวหน้า รุดหน้า ทั้งสมาธิจิตและลมปราณได้มากน้อยเพียงใด อันนี้ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมี
สำหรับวันนี้เราทั้งหลายก็ได้พิจารณา เข้าใจเห็นเรื่องของกรรมมวลรวมของโลก เราอยู่ในโลกเดียวกัน อยู่ในโลกใบนี้ บุคคลอื่นเขาทำกรรม เราก็พลอยได้รับผลกรรมด้วยเพราะมันถือว่าเป็นกรรมมวลรวม ถ้ามีบุคคลที่อยู่ในเขตของกุศลทำดีมาก คนพาล คนหยาบช้า จริงๆ ก็พลอยได้รับผลของกุศลที่คนดีเขาทำด้วยเช่นกัน เพียงแต่บุคคลเหล่านั้นเขาจะรู้ เขาจะเข้าใจรู้คุณค่าหรือกตัญญูกตเวทิตาไหม
อันนี้เราก็กำหนดรู้ของเราเองว่า ครูบาอาจารย์ที่ท่านละขันธ์ 5 ในช่วงที่ผ่านมา ครูบาอาจารย์ที่ท่านเตือนเรื่องภัยพิบัติครูบาอาจารย์ที่ท่านเร่งสอนให้เดินจิต ให้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอริยเจ้า เพื่อความเป็นพระโสดาบัน ครูบาอาจารย์ที่ท่านได้รับคำสั่งตรงเช่นกันให้เร่งสอนในเรื่องของอภิญญาใหญ่
อันที่จริงหลายท่านหลายสายนั้น ได้รับคำสั่งจากพระข้างบนมาตรงกัน ตอนนี้ก็อยู่ในเขตที่เร่งการปฏิบัติ เร่งรัดการปฏิบัติ เร่งรัดการตัดสรรพกิเลส ให้เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า บุญกุศลนั้นจึงจะสามารถช่วยถ่วงดุล นำพาให้โลกนี้ผ่านพ้นจากภัยพิบัติ เข้าสู่ยุคชาววิไลได้
สำหรับวันนี้ เมื่อเราฟังพิจารณาแล้ว ก็ขอให้เราทุกคนเป็นผู้ที่ไม่ประมาท เร่งการปฏิบัติ เวลามีน้อย ปฏิบัติด้วยกำลังใจที่มั่นคงเข้มแข็ง เข้มข้น ตระหนัก แต่จิตเราอย่าตระหนกกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด เห็นความเป็นธรรมดา ความไม่เที่ยง ความเสื่อม ความแปรปรวนของโลก ของจักรวาล ว่ามันก็อยู่ในกฎไตรลักษณ์ทั้งหมดนั่นแหละ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มีความเจริญ มีความตั้งมั่นดำรงอยู่ และในที่สุดก็มีความเสื่อมถอย มีความสลายตัวไปในที่สุด
เมื่อเราเห็นในความเป็นธรรมดาแล้ว เห็นความไม่เที่ยงแล้ว ก็ตั้งกำลังใจว่า เมื่อเป็นเช่นนี้หนอ ตายเมื่อไหร่เราไปพระนิพพาน ใจปล่อยวาง เอิบอิ่ม ผ่องใส ตายเมื่อไหร่เราก็ไปพระนิพพานเท่านั้น มันไม่ใช่เรื่องยาก เรื่องหนัก ทุกสิ่งเป็นเรื่องธรรมดา
จากนั้นกำหนดจิต แผ่เมตตา จิตเราที่กำหนดมั่นคงในพระนิพพาน ถือว่าเป็นอุปมานุสติกรรมฐาน กรรมฐานใหญ่ตัดสรรพกิเลส จิตเข้าถึงอรหันตผล แม้เพียงชั่วคราวที่ทรงอารมณ์ ชั่วคราวที่ตั้งอาทิสมานกายไว้บนพระนิพพานก็ตาม แต่กำลังบุญนั้นมันใหญ่มากมหาศาล
เราก็น้อมกระแส เชื่อมกระแสจากทุกท่านทุกๆ พระองค์บนพระนิพพาน แผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ ไล่ลงมาจากพระนิพพาน ลงมายังอรูปพรหมทั้งสี่ พรหมโลกทั้งสิบหกชั้น อากาศเทวดาทั้งหก ภูมิเทวดา รุกขเทวดา แผ่เมตตาไปทั่วอนันตจักรวาล นับตั้งแต่สุริยจักรวาล แผ่เมตตาตรง ลงยังดวงอาทิตย์ รวมลงยังโลก แผ่ออกไปยังอนันตจักรวาล แผ่เมตตาให้กับมนุษย์ทั้งหลาย ทั้งมนุษย์โลกและมนุษย์ที่อาศัยอยู่ในอุตตรกุรุทวีป ในดวงดาวอื่น ในจักรภพอื่น ในกาแล็คซี่อื่น
แผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ สิ่งมีชีวิตมีกายหยาบทั้งหลายทั่วอนันตจักรวาล แผ่เมตตาให้กับโอปปาติกะสัมภเวสีทั้งหลาย แผ่เมตตาให้กับชาวบังบดลับแล มิติที่ทับซ้อนในจักรวาลทั้งหลาย ในภพภูมิทั้งหลาย แผ่เมตตาต่อไปยังอสูรกาย แผ่เมตตาต่อไปยังนรกภูมิทุกขุม
กำหนดจิตให้กระแสบุญที่แผ่เมตตานั้นเป็นกำลังบุญอันไม่มีประมาณ เป็นกระแสบุญจากพระนิพพานอันไม่มีประมาณ จิตเราเชื่อมกระแสกับพระนิพพาน เชื่อมกระแสกับกระแสแห่งโลกุตระ กระแสอริยมรรค อริยผล
จากนั้นกำหนดจิตต่อไปนะ กราบลาพระพุทธเจ้า กราบลาทุกๆ ท่านทุกๆ พระองค์ ขอพุทธบารมี ธรรมะบารมี สังฆบารมี คุ้มครองรักษากาย วาจา ใจ ชีวิตของข้าพเจ้า ครอบครัว ทรัพย์สมบัติ อาคารบ้านเรือนทั้งหลายให้ปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวง
จากนั้นน้อมกระแสจากพระนิพพาน ลงมายังกายเนื้อ ลงมายังบ้านที่พักอาศัย ลงมายังปิยชน บุคคลอันเป็นที่รักของเรา น้อมกระแสจากพระนิพพาน ให้สว่างเป็นกำแพงแก้วเจ็ดชั้น
ก็เรามีกำลังพุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา
พุทธังกำแพงแก้ว ธัมมังกำแพงแก้ว สังฆังกำแพงแก้ว เป็นเกราะแก้วเจ็ดชั้น
กันกระแสภัยพิบัติทั้งหลาย รังสีทั้งหลายนิวเคลียร์ทั้งหลาย เชื้อโรคทั้งหลาย ขอให้ปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวงด้วยเทอญ
จากนั้นตั้งจิตอธิษฐาน ขอโมทนาสาธุกับเพื่อนกัลยาณมิตรทั้ง 87 ท่านที่ฝึกปฏิบัติตั้งใจกันทุกคน สำหรับท่านใดที่มีปรากฏการณ์มีความรู้สึก มีภาพนิมิตที่ปรากฏขึ้น ในระหว่างการฝึกการปฏิบัติในวันนี้ ก็สามารถแชร์ เล่าแบ่งปันในห้องไลน์ได้ หรือในกลุ่มได้ จะได้เป็นประโยชน์ เป็นกำลังใจกับท่านอื่นต่อไป
ต่อไปก็กำหนดจิตหายใจเข้าลึกๆ ถอนจิตจากสมาธิ หายใจเข้าช้าลึกยาวที่สุด วันนี้ให้ลึกที่สุดนะ
กักไว้กำหนดจิต พุท ออกโธ ระบายพลังงานลบ ระบายคลื่นกระแสที่เป็นลบออกไป
หายใจเข้า ลึก ยาว ครั้งที่ 2 ธัมโม กักไว้ที่ท้อง นิ่ง หยุด สว่าง หายใจออกดึงพลังงานลบ ดึงกระแสที่เป็นลบสลายออกไปพร้อมกับลมหายใจออก
หายใจเข้า ช้า ลึก ยาว สังโฆ ลึกที่สุด นิ่งหยุดที่ท้อง สว่าง หายใจออกสลายล้างคลื่นกระแสพลังงานลบ ความหนัก ความมึน ความตึง ทั้งหลาย สลายเป็นความเบา ความว่าง ความสบาย กายเบา จิตเบาปลอดโปร่ง กายใสเป็นแก้วสว่างจิตใสเป็นแก้วสว่าง ปลอดโปร่งโล่ง
สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคนด้วย ขอให้ตั้งใจปฏิบัติเร่งและความเข้มข้นในการปฏิบัติให้เพิ่มขึ้น พยายามฝึกจิตปฏิบัติจิตให้สม่ำเสมอ เวลาใกล้เข้ามาทุกที อย่าประมาทโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฝึกยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพานทุกวัน
สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน พบกันใหม่สัปดาห์หน้า เราก็ขอให้ตั้งใจกันนะ สม่ำเสมอ
แล้วก็ประกาศข่าวล่วงหน้าว่า สำหรับคนที่อยากปฏิบัติแบบพบเจออาจารย์วันที่ 21 กรกฎาคม ได้กำหนดมาเรียบร้อยเมตตาสมาธิครั้งที่ 4
21 กรกฎาคม เต็มวัน รับทั้งหมด 300 ท่าน ใกล้ๆวันจะเปิดประกาศ เป็นทางการลงทะเบียนอีกครั้งหนึ่งสอนฝึกปฏิบัติ ที่หอประชุม กองพันปืนใหญ่กองพลปืนใหญ่ที่ 1 รักษาพระองค์ในอยู่ในโซนแถวสะพานแดง บางซื่อ เกียกกาย แถวๆนั้น เดี๋ยวจะลงรายละเอียดให้ทีละคนที่สนใจก็รีบพยายาม กำหนด ลงทำตัวให้ว่างไว้ล่วงหน้า ถ้ามีกำลังใจเต็มที่จะมาก็ต้องมาได้มาให้ครบ 300 ท่าน คราวนี้ต้องโมทนาบุญกับท่านเจ้าภาพ ที่เอื้อเฟื้อเรื่องสถานที่เป็นเจ้าภาพค่าใช้จ่ายเรื่องสถานที่และเจ้าภาพที่เลี้ยงอาหารกลางวันครบถ้วนทั้ง 300 ที่ด้วย ดังนั้นพยายามหาให้ครบ ให้เต็ม
วันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคนพบกันใหม่สัปดาห์หน้าสวัสดี
ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย : คุณสิริญาณี แลบัว