green and brown plant on water

เคล็ดการฝึกกสิณและกราบพระธาตุจอมกิตติ

เวลาอ่าน : 3 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”

วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม 2568

เรื่อง เคล็ดการฝึกกสิณและกราบพระธาตุจอมกิตติ

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ผ่อนคลายร่างกายกล้ามเนื้อทุกส่วนพร้อมกับความรู้สึก ปล่อยวางความเกาะความยึดความห่วงในร่างกายขันธ์ห้า วางอารมณ์ใจเบาๆสบายๆ

จากนั้นกำหนดปล่อยวาง ภาระทั้งหลายของใจ กิจการงานทั้งหลายที่คั่งค้างอยู่ก็ดี ความห่วงความกังวล สิ่งที่เป็นภาระที่ใจเราแบกมา ตลอดทั้งวัน ตลอดทั้งสัปดาห์ ตลอดเดือน ตลอดปี หรือตลอดชีวิต ปล่อยวางภาระทั้งหลายของใจเราลง  จดจ่ออยู่กับสมาธิอยู่กับลมหายใจสบาย ยิ่งปล่อยวางยิ่งปลอดโปร่ง ลมหายใจยิ่งเบายิ่งสบาย ยิ่งปล่อยวางยิ่งสงบสุข อยู่กับลมหายใจสบาย และจินตนาการว่า ลมหายใจที่เราหายใจเข้าหายใจออก มีสภาวะสภาพเป็นเหมือนกับแพรวไหม เป็นประกายระยิบระยับแพรวพราว หายใจเข้าออกพร้อมกับภาพจินตนาการให้เห็นกระแสของลม กระแสของปราณ เมื่อไรที่เรากำหนดเพียงแค่รู้ลมก็เป็นอานาปานสติ เมื่อไรที่เรากำหนดภาพเห็นลมหายใจเราเป็นเหมือนกับแพรวไหม เห็นกระแสปราณ เห็นกระแสของชี่ กระแสของพลังชีวิต ที่เรากลั่นจากลมให้กลายเป็นปราณ ไหลเวียนโคจรผ่านเข้าออกในกาย  สติก็มีเพิ่มขึ้น กำลังประโยชน์ของการปฏิบัติก็มีเพิ่มขึ้น

กำหนดรู้ว่าการปฏิบัติของเรานั้น เกิดประโยชน์เกิดผลทั้งกายและจิต กำหนดเห็นลมหายใจเป็นประกายพรึกระยิบระยับแพรวพราว หายใจเข้า หายใจออก ลมหายใจละเอียด เบา ปราณี สงบ ลมหายใจต่อเนื่อง สงบ เบา ลมสัมพันธ์อารมณ์จิต ลมหายใจสัมพันธ์สมาธิ ลมปราณสัมพันธ์จิตใจ จดจ่ออยู่กับลมหายใจที่เหมือนกับแพรไหมพลิ้วผ่านเข้าออกในกาย ลมหายใจยิ่งละเอียดสงบแผ่วเบา อารมณ์จิตยิ่งสงบยิ่งเบาสบาย

ทรงสมาธิต่อเนื่องอยู่กับลมหายใจสบาย อารมณ์จิตที่สบาย ปล่อยวางจากความฟุ้งซ่านความกังวลความวุ่นวายทั้งหลาย จิตเข้าสู่ความสงบเย็น

จิตยิ่งสงบ ลมหายใจยิ่งละเอียดเบาสบาย แม้ว่าลมหายใจเราจะเบาจะน้อย แต่ด้วยสมาธิ ด้วยความสงบ ด้วยการกำหนดลมให้เป็นปราณ ลมแม้จะน้อยแต่เป็นกระแสของพลังชีวิต กลั่นลมให้เป็นปราณ มีพลังชีวิตที่เข้มข้นกว่าลมหายใจปกติ กายจิตซึมซาบซึมซับกระแสของปราณ ความสงบความตั้งมั่นของจิต ยิ่งสงบ จิตยิ่งมีกำลัง

จิตที่วุ่นวายฟุ้งซ่านซัดส่ายหรือถูกกิเลสครอบงำ เป็นจิตที่มีความอ่อนแอ แต่เมื่อไรก็ตามถ้าสติของเราฝึกจนกระทั่ง ควบคุมจิตที่วุ่นวายฟุ้งซ่านให้สงบให้รวมตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง รวมให้จิตจากที่ซัดส่ายฟุ้งซ่านวุ่นวายสับสน ให้รวมเป็นหนึ่ง ให้มีความตั้งมั่นได้ นั่นคือจิตของเรา เกิดจิตตานุภาพ เกิดความเข้มแข็ง เมื่อไรที่เราคุมจิตได้ เราก็คือพ้นจากกิเลสในสภาวะที่จิตเราเข้าสู่ฌานเป็นการชั่วคราวได้ เรียกว่า การใช้ความสงบสยบความวุ่นวายความฟุ้งซ่านและกิเลสทั้งหลายด้วยกำลังของฌานสมาบัติ อยู่กับลมสบายพร้อมกับกำหนดรู้การปฏิบัติ กำหนดรู้ดูจิตดูลมดูอารมณ์ ลมหายใจละเอียดเบา จิตสงบ

จากนั้นรวมจิตให้นิ่งหยุดเป็นหนึ่ง นิ่งหยุดสงบ กำหนดรู้ในความหยุด หยุดคือจิตรวมเข้าสู่เอกัคคตารมณ์ อุปมาเหมือนแสงสว่างของดวงอาทิตย์ที่ส่องผ่านเลนส์แว่นขยาย รวมให้ความเข้มของแสงรวมเป็นจุด หยุดเป็นหนึ่ง จิตหยุดนิ่งตั้งมั่นเป็นเอกัคคตารมณ์ นิ่งหยุด หยุดการปรุงแต่งจากสิ่งที่มากระทบทางผัสสะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นิ่งหยุด

เมื่อเข้าถึงเอกัคคตารมณ์คือฌานสี่ในอานาปานสติแล้ว เราก็เดินจิตสู่สมถะที่สูงขึ้น คือกำหนดจากจุดขยายกลายเป็นวง จากวงเป็นเส้น 2 มิติ กลายเป็นทรงกลมคือกลายเป็น 3 มิติ ทรงกลมกลายเป็นดวงแก้ว ดวงแก้วค่อยๆขยาย สว่าง ใส

จิตกำหนดจินตภาพเป็นดวงแก้วสว่างใส ยิ่งใสมากเท่าไร อารมณ์ใจของเราในขณะที่นึกภาพหรือจินตภาพ กสิณ เคล็ดวิชชาก็คือ อารมณ์จิตสัมพันธ์กับภาพนิมิตที่ปรากฏขึ้น ยิ่งใส ยิ่งสว่าง ยิ่งสวยงาม จิตยิ่งเป็นสุข จิตยิ่งเอิบอิ่มยินดี ยิ่งสว่าง จากใสกลายเป็นเพชรประกายพรึก เพชรกลายเป็นเพชรระยิบระยับสว่าง ใจเรายิ่งเป็นสุข จิตของเราเชื่อมโยงกับภาพนิมิต กสิณคือจิต จิตคือกสิณ จิตเราขณะนี้แปรสภาวะกลายเป็นเพชรลูกขนาดใหญ่ มีประกายละเอียดระยิบระยับเหมือนกับเพชรที่เจียระไนมาอย่างดี มีเส้นแสงรัศมีสว่าง   จิตเป็นเพชร จิตเป็นสิ่งมีค่าสูงสุด เมื่อไรก็ตามจิตสว่าง สว่างด้วยกำลังของฌานสมาบัติ สว่างด้วยกำลังของบุญกุศลที่เราทำที่เราบำเพ็ญสะสมมา จิตสว่างเป็นเพชรระยิบระยับด้วยกำลังของตบะเดชะบารมีที่เราสะสมมา กำหนดน้อมนึกให้จิตเรายิ่งสว่างขึ้นใสขึ้น

กำหนดอธิษฐานว่าในขณะที่เราทรงกำลังของอภิญญาสมาบัติ จิตที่เราทรงสภาวะ เป็นเพชรประกายพรึก เป็นปฏิภาคนิมิต เรากำลังน้อมนึกรวมบุญรวมบารมีของเราไว้ที่จิตของเรา บุญบารมีที่เราสร้างที่เราบำเพ็ญที่เราสะสมมา นับตั้งแต่อดีตชาติอดีตกาลมารวมตัวกัน สว่าง จิตเราเป็นเพชรระยิบระยับยิ่งสว่างขึ้นใสขึ้น บุญบารมียิ่งรวมตัวกันส่งผลมากขึ้น เร็วขึ้น ไวขึ้น บุญจงรวมตัว กุศลจงรวมตัว กรรมฐานทั้งหลายที่เราเคยฝึกเคยปฏิบัติมา นับตั้งแต่อดีตชาติปางก่อน หรือในชาติปัจจุบัน จงรวมตัว จิตที่เป็นเพชรประกายพรึกยิ่งสว่างขึ้น จิตยิ่งเป็นสุขขึ้น ภาพนิมิตกำหนดให้ใสยิ่งขึ้นไป สว่างแล้วสว่างขึ้นไปอีก ใสแล้วใสขึ้นอีก อันนี้ก็คือเทคนิคที่เรียกว่า “การกลั่นจิต” จิตใสอยู่แล้ว เราบอกว่าเราทำได้เท่านี้ เราต้องนึกกลั่นให้ภาพนั้นสว่างขึ้นไปอีก ใสขึ้นไปอีก ผ่องใสแล้วผ่องใสขึ้นไปได้อีก จิตเป็นสุขแล้ว จิตเป็นสุขขึ้นไปได้อีก สว่างเปล่งประกายออกไป รัศมีแผ่ออกไปได้เท่านี้ก็ยังแผ่ออกไปไกลได้อีก เวลาที่ฝึกกสิณต้องฝึกให้ครบถ้วน ทั้งภาพนิมิตมีความชัดเจน ภาพนิมิตมีความสว่างมีความแพรวพราว อารมณ์จิตต้องเข้าถึงความสุข อารมณ์จิตต้องเข้าถึงสภาวะที่สัมผัสได้ถึงความเปี่ยมพลังของภาพนิมิตหรือดวงกสิณนั้น

กำหนดให้องค์แห่งการปฏิบัติถึงพร้อมในการปฏิบัติในจิตของเราแต่ละบุคคล มีจุดด้อยมีจุดที่ยังสามารถพัฒนาได้จุดใด เราก็มุ่งปรับให้ก้าวหน้าขึ้น ละเอียดขึ้น ใสขึ้น สว่างขึ้น ถ้าภาพยังชัดน้อยก็ปรับนึกให้ใสขึ้นไปอีก ถ้าภาพยังมัวก็ต้องกำหนดให้สว่างขึ้นไปอีก ถ้านึกว่าให้สว่างเพิ่มขึ้นได้อย่างไร ก็ลองไปเปิดไฟหลอดไฟที่มีระบบดีมาก เราก็ลองจากหรี่ หรี่แล้วค่อยเร่งให้แสงสว่างขึ้น ภาพนิมิตในจิตเราก็เช่นกัน จิตที่เป็นกสิณ สว่างแล้วก็ให้สว่างขึ้นไปอีก เร่งความสว่างขึ้นไปอีก อย่าพอใจแต่จุดที่เราทำได้ของเดิม ถ้าจิตเรารู้จักมีการพัฒนา เราก็จะก้าวหน้าขึ้นไป แล้วเมื่อไรที่เราฝึกจนพื้นฐานของกสิณ ทั้งความชัดเจนของภาพ ทั้งความสว่าง ทั้งความใส ทั้งอารมณ์ คือความสุขความรู้สึกเปี่ยมพลัง มีถึงพร้อมเต็มอัตราเต็มกำลัง ผลที่สืบเนื่องกับการฝึกมโนมยิทธิก็จะมีความสว่างมีความชัดเจนตามไปด้วย อันนี้ก็คือหลักของการฝึกในเรื่องของกสิณ

ตอนนี้ก็ให้เราทุกคนกำหนด กลั่นจิตของเราให้ใส กสิณสำหรับคนที่ฝึกครั้งแรก ฝึกครั้งแรกๆสิ่งที่ยากก็คือนึกภาพ พอนึกภาพได้แล้วก็กำหนดให้ภาพนั้นติดตาตรึงใจก็คือ นึกให้สามารถทรงภาพนั้นได้นานเท่าที่เราจะนานได้ พอเราฝึกทรงภาพ  ทรงภาพได้นานเท่าที่จะนานได้ เราก็เริ่มมาฝึกคุณภาพของจิต คุณภาพของนิมิต เราก็มาฝึกในเรื่องของการบังคับควบคุม เช่นย่อเล็กให้ได้ ขยายใหญ่ให้ได้ เลื่อน movement คือ เคลื่อนซ้ายขวา ขึ้นบนลงล่าง หมุนรอบตัว หมุนภาพมิติของภาพด้านหน้าด้านหลัง บังคับนิมิตกสิณ การเคลื่อนไหว การขยาย การย่อเล็ก ให้ได้เต็มที่ สามารถควบคุมบังคับได้ดั่งใจ

จากนั้นในขั้นที่สูงขึ้นก็คือกำหนดให้ภาพนั้นชัดเจนขึ้น  ใสขึ้น สว่างขึ้น เมื่อไรก็ตามที่ภาพสว่างชัดเจนทรงตัว ก็เท่ากับเราทรงกำลังของมโนมยิทธิเต็มกำลังได้ คือภาพชัดเจนอย่างยิ่งกว่าคนทั่วไป

คราวนี้สิ่งสำคัญที่ส่วนใหญ่คนที่ฝึกกสิณเขาไม่ได้เข้าใจหรือเห็นความสำคัญคือสักแต่ว่านึกภาพก็พอ อันที่จริงส่วนที่สำคัญที่สุดของการฝึกกสิณก็คือเรื่องของอารมณ์ อารมณ์จิตต้องสัมพันธ์กับภาพนิมิต คือยิ่งสว่างจิตยิ่งเป็นสุข ยิ่งเป็นสุขยิ่งรู้สึกเปี่ยมพลัง พลังที่เกิดขึ้นทั้งสุขและมีพลังก็คือความเป็นทิพย์ของจิต คราวนี้เมื่อไรเราอยู่ในสภาวะนี้เราอธิษฐานจิตในอารมณ์นี้ได้ ความสำเร็จความอัศจรรย์กำลังอภิญญาก็จะเริ่มเกิดขึ้น เมื่อเราเข้าถึงอารมณ์ความสุขความเป็นทิพย์และความรู้สึกเปี่ยมพลัง

ตอนนี้ก็ให้เรากลั่นภาพของกสิณจิตที่เป็นเพชรสว่าง อารมณ์จิตเป็นสุข ใจเราเป็นสุข ใจเราเปี่ยมพลัง คลื่นกระแสที่แผ่ออกจากดวงจิตจากรัศมีของจิต มีสภาวะรายรอบมีความพร่างพราย มีความเป็นทิพย์ มีประกายระยิบระยับพร่างพราย

ทรงอารมณ์ไว้ ใจยิ้มใจเป็นสุข สภาวะที่จิตเป็นเพชรระยิบระยับสว่าง จิตเราเป็นสุข เมื่อทรงสภาวะในความเป็นทิพย์ ใจเราเป็นสุขดี ใจเราอิ่ม เราปรับกำลังใจของเราเพิ่ม กำหนดน้อมนึกในพุทธานุสติ กำหนดน้อมนึกในกำลังของพุทธานุภาพ ตั้งจิตอาราธนาบารมีพระพุทธองค์ไว้ ให้ภาพนิมิตของพระพุทธรูป คือพระพุทธเจ้าเป็นพุทธนิมิตในดวงจิตที่เป็นเพชรประกายพรึกก็คือในจิตของเรา กำหนดองค์พระสว่างใสเป็นเพชรสว่างขึ้น คราวนี้รัศมีโดยรวมยิ่งสว่างขึ้นไปอีก ภาพยิ่งสว่างขึ้น องค์พระเมื่อมาสถิตอยู่ในดวงจิต จิตเรายิ่งสว่างขึ้นไปอีก

จากนั้นอธิษฐานจิตขอให้รัศมีจิตของเราที่สว่างออกไปโดยรอบนั้น ขอจงเป็นกระแสแห่งเมตตา ขอกำลังพุทธานุภาพจงมาเป็นกำลังแห่งพระพุทธเมตตา แผ่สว่างกระจาย ให้จิตเรามีธรรมชาติมีปกติของรัศมีจิต เป็นกระแสแห่งเมตตาอัปปันนาณฌาน กระแสของเมตตาความปรารถนาดี ความสุขสงบ ความสันติสุขร่มเย็น แผ่ออกจากดวงจิตนี้ที่มีองค์พระอยู่ภายใน  ใจเรายิ่งสงบเย็นขึ้น กระแสแห่งเมตตาเป็นกระแสของความรักความปรารถนาดี บุญกุศล ความสุข ความสันติ กระแสพลังงานที่ส่องสว่างจากจิตเรานั้น โดยธรรมชาติ คลื่นที่เป็นกุศลก็ย่อมเป็นคลื่นที่อยู่ตรงข้ามกับอกุศล

จิตเรายิ่งแผ่เมตตาสว่าง รัศมีจิตเราเป็นพลังงานของกระแสเมตตา เราก็ดึงดูดคนดีๆให้มารักมาเมตตาเรา เข้าถึงอานิสงส์แห่งเมตตาอย่างลึกซึ้งที่สุด จากผัสสะของรัศมีจิตของเรา เมื่อแผ่กระแสเมตตาออกไปอันไม่มีประมาณ กระแสจิตนี้เมื่อถึงเทวดาพรหมทั้งหลายได้รับบุญกุศล เขาก็พลอยรักพลอยเมตตาเอ็นดูเรา ช่วยเหลือเกื้อกูลสงเคราะห์เรา

แผ่เมตตากระแสเมตตาคลื่นของความรู้สึกที่เป็นมิตร ที่ปรารถนาดี ที่เป็นความสงบเย็น แผ่ออกไปจากจิตของเรา คนที่เขามีจิตใจดีงามเขาก็พลอยอยากอยู่ใกล้ คนที่คิดร้ายคิดลบเขาก็ค่อยๆห่าง ค่อยๆหาย ค่อยๆไกลไปจากชีวิตของเรา กระแสเมตตาของเรามีความสงบเย็น เป็นที่รักของเทวดา พรหม มนุษย์ สัตว์ และอมนุษย์ทั้งหลาย กระแสเมตตาสงบเย็น และในขณะเดียวกันกระแสเมตตานี้ก็เป็นกำลังของบุญ คลื่นพลังของบุญนั้นก็ช่วยปัดเป่าบรรเทาคลายวิบากกรรม คลายภัยพิบัติทั้งหลาย จิตของเราที่ทรงตัวในกระแสเมตตาที่เราทรงภาพพระอยู่นี้ ก็เป็นเหมือนกับเกราะแก้วที่คุ้มครองป้องกันเราจากภัยพิบัติทั้งปวง

อานิสงส์ของเมตตานั้น ผู้ที่เจริญสม่ำเสมอ ย่อมไม่เป็นอันตรายจากภัยพิบัติ อันได้แก่ไฟ ไฟป่าก็ดี ไฟบรรลัยกัลป์ทั้งหลายก็ดี ไฟอันเกิดจากดวงอาทิตย์โซล่าแฟร์ทั้งหลายก็ดี  ไฟไม่อาจทำอันตรายบุคคลผู้เจริญเมตตาฌานนั้นได้

น้ำก็เช่นกัน ภัยจากน้ำ ภัยจากคลื่นลม ภัยจากพายุหรือแม้แต่ภัยจากปฐพีนี่คือแผ่นดินไหว ดินถล่ม โคลนถล่ม ก็ไม่อาจทำอันตรายต่อบุคคลผู้เจริญเมตตาฌานเป็นปกติ เข้าถึงกำลังแห่งเมตตาฌานอย่างแท้จริงได้

กำหนดจิตอธิษฐาน ด้วยสัจจะวาจาที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้เจริญเมตตาอันไม่มีประมาณ จิตข้าพเจ้ามีเมตตากระแสเมตตาแผ่สว่างจากจิตดวงนี้ ด้วยสัจจะวาจานี้

•           ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้รอดปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวง

•           ขอให้เป็นที่รัก มีเทวดาพรหมทั้งหลายสนับสนุนเมตตาช่วยเหลือคุ้มครองป้องกันภยันตรายทั้งปวง

•           ขอกระแสเมตตาพัดพาให้บรรดาผู้ที่คิดร้ายคิดลบ ผู้ที่มีอกุศลจิตต่อข้าพเจ้าเจตนาร้าย ขอจงห่างหายไกลออกไปจากดวงจิตชีวิตของข้าพเจ้า คลื่นกระแสเมตตาพลักพัดพาจิตที่คิดร้ายคิดลบต่อข้าพเจ้าให้ห่างออกไปห่างออกไป

•           ขอกำลังเมตตาอันไม่มีประมาณสว่างขึ้น เปล่งประกายขึ้น

•           ขอดวงจิตของพระโพธิสัตว์ พระมหาโพธิสัตว์ พระมหาพระโพธิสัตว์องค์ใดผู้เปี่ยมเมตตาเป็นเลิศประเสริฐอย่างยิ่ง ขอให้จิตข้าพเจ้าเข้าถึงสภาวะแห่งเมตตาอันบริสุทธิ์ประเสริฐ กระแสเมตตารัศมีจิตอันไม่มีประมาณนี้ด้วยเถิด

กำหนดจิตแผ่เมตตา หลายคนตอนนี้ก็เห็นเจ้าแม่กวนอิมมาปรากฏ เราก็กำหนดแผ่เมตตาไปพร้อมกับเจ้าแม่กวนอิมด้วย บางท่านเห็นพระโพธิสัตว์คือ พระศรีอริยเมตไตรยปรากฏ เราก็กำหนดจิตแผ่เมตตาไปพร้อมกับพระศรีฯ บางคนเห็นภาพหลวงปู่ดู่หลวงปู่ทวด เราก็กำหนดจิตแผ่เมตตาไปพร้อมท่าน

จากนั้นอธิษฐานจิตต่อไป ขอบารมีแห่งเมตตาอันไม่มีประมาณของพระพุทธองค์ก็ดี ของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายก็ดี และจากดวงจิตอันบริสุทธิ์ของข้าพเจ้าทั้งหลายที่เจริญพระกรรมฐานกันในวันนี้ ขอจงรวมกันเป็นอภิจิต

ขออาราธนากระแสแห่งพุทธานุภาพ มีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ พระอริยเจ้า พระโพธิสัตว์ เมตตาแผ่กระแสให้กับโลกใบนี้ เป็นกระแสบุญคุ้มครองโลกใบนี้จากภยันอันตราย จากภัยสงคราม จากภัยพิบัติ กระแสบุญกระแสเมตตาขอปกปักรักษาคุ้มครอง หากผู้ใดที่ไม่เกินวาระกฎของกรรม ก็ขอให้รอดพ้นปลอดภัย แต่หากผู้ใดอยู่ในช่วงของวิบากกรรม กระแสบุญไม่อาจต้านทานได้ ไม่อาจแก้ไข ไม่อาจให้ผลช่วยเหลือได้ ข้าพเจ้าทั้งหลายก็ขออุเบกขา แต่หากผู้ใดอยู่ในวิสัยที่พึงละพึงรอดพึงพ้นจากภัยพิบัติ อาณาบริเวณเขตประเทศไทยดินแดนสุวรรณภูมิอันเป็นเขตที่จะเป็นยุคขึ้นแห่งพระพุทธศาสนา ก็ขอให้กำลังแห่งเมตตา กำลังแห่งบุญกุศลนี้ คุ้มครองป้องกัน รักษาเขตแคว้นเขตแดนให้บรรเทาเบาบางจากภัยพิบัติ ให้เบาจากเขตอื่น จุดใดที่สามารถรอดปลอดภัยได้ก็จงรอดปลอดภัย จุดใดจากหนักก็จงเป็นเบา จากเบาก็จงคลายสลายไป กำหนดจิต น้อมอาราธนากระแสแห่งเมตตาสว่างคลุมไว้

จากนั้นอธิษฐานจิตต่อ อาราธนาขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอยกจิตอาทิสมานกายข้าพเจ้าขึ้นไปบนพระนิพพาน อยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐมพร้อมทั้งมหาสมาคม คือพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน กำหนดจิตอธิษฐานให้เห็นกายของเราปรากฏสภาวะเป็นกายทิพย์กายพระวิสุทธิเทพสว่าง ความรู้สึกในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพปรากฏชัดเจน ทั้งความรู้สึก ทั้งการขยับเคลื่อนไหว ทั้งเครื่องประดับเครื่องทรงที่เราสวมใส่อยู่

อธิษฐานจิตน้อมพิจารณาในอารมณ์ของพระนิพพาน อารมณ์จิตที่สิ้นภพจบชาติ อารมณ์จิตที่เราพิจารณาอธิษฐาน ไม่ปรารถนาในการเกิดอีกต่อไป จิตไม่ยินดีในภพใดภูมิใดอีกต่อไป จิตสลายล้างสังโยชน์ทั้งสิบอันเป็นเครื่องร้อยรัดจิตเราไว้กับวัฏสงสาร อธิษฐานจิตให้คลายออกไปให้หมด จิตตั้งมั่นอยู่จุดเดียว คือ พระนิพพานเป็นที่สุด

ทรงอารมณ์อยู่บนพระนิพพาน กำหนดจิตกราบทุกท่านทุกๆพระองค์ที่เราสัมผัสที่เรารู้สึกถึง กราบด้วยความนอบน้อม กราบด้วยความเคารพ กราบจนกระทั่งจิตเราถึงพระพุทธองค์อย่างแท้จริง จิตเรามีความเคารพรักในพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง เคารพรักในครูบาอาจารย์ในพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์อย่างแท้จริง จิตเคารพดื่มด่ำซาบซึ้งเข้าใจในกระแสแห่งพระธรรมอย่างแท้จริง รวมความแล้วจุดนี้ถึงจะเป็นจุดที่เราเข้าถึงไตรสรณคมน์อย่างแท้จริง

ทรงอารมณ์อยู่บนพระนิพพานไว้

อารมณ์จิตกำหนดปล่อยวางตัดกิเลสทั้งหลาย ไม่มีความโลภโกรธหลง  ไม่มีความอาลัยในสังสารวัฏ ไม่มีความอาลัยในภพภูมิ จิตเกิดปัญญามองเห็นความทุกข์ ในการเวียนว่ายตายเกิดทั้งหลาย จิตตั้งมั่นอยู่จุดเดียวคือพระนิพพานเป็นที่สุด

เมื่อทรงอารมณ์มีความผ่องใสเต็มที่แล้ว เราก็กำหนดจิต ขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ เนื่องจากช่วงนี้ก็เป็นช่วงเทศกาลที่ศิษยานุศิษย์สายวัดท่าซุง สายลูกศิษย์สายหลวงพ่อฤาษีท่านเดินทางไปกราบสักการะทางเหนือ คือพระธาตุจอมกิตติพระธาตุดอยตุง เราก็กำหนดบ้างเราหลายคนไม่ได้เดินทางไป บางคนก็อยู่ที่เชียงรายเรียบร้อย

สำหรับคนที่ไม่ได้ไปก็ไม่เป็นไรบางคนไปต่างประเทศอยู่ที่ต่างประเทศ ฝึกสมาธิจากต่างประเทศ เราก็ไม่ได้ไปก็ไม่ได้น้อยใจ กำหนดจิตเรามีกำลังมโนยิทธิเราก็ไปด้วยกายทิพย์  ไปทั้งทีเราก็ไม่ไปในปัจจุบัน ขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอให้เห็นภาพในอดีตกาล ในสมัยที่พระพุทธองค์ทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ ทรงเสด็จมาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนล้านนา ในยุคของโยนกนคร เสด็จมาที่บริเวณปัจจุบัน เป็นพระธาตุจอมกิตติ

เราก็กำหนดจิตขอให้เห็นภาพที่ท่านเสด็จมาปรากฏ เมื่อท่านเสด็จมาอยู่บนยอดดอย อันที่จริงก็ถือว่าไม่ได้เป็นดอยสูงมาก สำหรับพระธาตุจอมกิตติ เมื่อถึงจุดนี้พระองค์ท่านก็ทรงเล็งด้วยกำลังของกระแสพระพุทธญาณของพระพุทธเจ้า ท่านก็เล็งดูว่า สถานที่แห่งนี้ต่อไปจะเป็นเขตจารึกพระพุทธศาสนาให้ดำรงคงอยู่ได้ครบห้าพันปี ดังนั้นตถาคตจึงจำเป็นที่จะต้องอธิษฐานจิต และก็เสด็จแสดงสัญลักษณ์ไว้ นั่นก็คือท่านก็ดึงพระเกศออกมา 3 เส้นอธิษฐานไว้ ซึ่งต่อมาก็มีการสร้างเป็นพระธาตุจอมกิตติ

แต่จุดสำคัญก็คือการที่ท่านประกาศทรงประกาศ ดังนั้นพระธาตุแห่งนี้ก็จึงมีคำว่า พระธาตุจอม จอมก็คือพระพุทธเจ้า กิตติก็คือประกาศ ทรงประกาศจารึกพระพุทธศาสนาว่า ดินแดนนี้จะเป็นที่จารึกได้ ให้อยู่ครบถ้วนห้าพันปี ดังนั้นลูกหลานของหลวงพ่อก็ดี หรือบุคคลที่ตั้งจิตอธิษฐานมาทำหน้าที่ที่จะช่วยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองตราบห้าพันปี จึงต้องมาสักการะกราบไหว้เพื่อระลึกถึง เพื่อตรึกนึกถึงปฏิญญาคำสัญญาคำอธิษฐานที่เราแต่ละบุคคลได้ให้ไว้กับพระพุทธองค์ ได้ให้ไว้กับเทวดาพรหม เมื่อก่อนที่เราลงมาเกิด

คราวนี้เราเห็นภาพเหตุการณ์ที่พระพุทธองค์ทรงเสด็จมา เราก็ขอดูในความเป็นทิพย์ เมื่อพระพุทธองค์ท่านทรงเสด็จมา และก็ทรงประกาศอธิษฐาน เราขอภาพให้เห็นในความเป็นทิพย์คือเทวดาพรหมมาปรากฏ ณ สถานที่นั้นด้วยไหม มีมากไหม และเทวดาพรหมทั้งหลาย เมื่อฟังคำที่พระพุทธองค์ทรงเปล่งประกาศอธิษฐาน หลายองค์ก็มีจิตโสมนัสศรัทธา อธิษฐานว่าเราจะมาเกิด เราจะมาทำนุบำรุง เราจะมาช่วย เราลองดูว่าตัวเราแต่ละคนที่มาฝึกสมาธิอยู่นี่ เราบางคนได้เคยอธิษฐานไหม จิตมันมีความซาบซึ้ง จิตมันมีความรู้สึกปลื้มปีติ  จิตเมื่อมารู้มาเห็นในภาพเหตุการณ์นี้แล้ว จิตมันซาบซึ้งดื่มด่ำจนน้ำหูน้ำตาไหลไหม ภายในมันรู้ตื่นขึ้นไหม เรากำหนดรู้เป็นปัจจัตตังเฉพาะตน

สำหรับเราถ้าใครอธิษฐานไว้ เราก็อย่าลืมทำหน้าที่ อย่างสิ่งที่อาจารย์ทำอยู่นี้ ก็คือสิ่งที่ทำหน้าที่ตามที่อธิษฐาน

เมื่อเรากำหนดรู้ขึ้นมาในจิตแล้ว เราก็ดูภาพต่อไป นอกเหนือจากพระธาตุจอมกิตติ ในดินแดนที่เป็นเขตล้านนาดินแดนสุวรรณภูมิตอนบน ตามตำนานก็บอกว่า 2 เชียง 2 ลำ จะเป็นเขตสำคัญที่ปลอดภัยจากภัยพิบัติก็ดี เป็นเขตจารึกพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองก็ดี ทั้งสองเชียงก็ได้แก่เชียงใหม่กับเชียงราย สองลำก็ได้แก่ลำปางกับลำพูน

ถ้าสังเกตดูทางเหนือ ทางตำนานล้านนา เขาจะมีตำนานที่เรียกว่า “ตำนานพระเจ้าเลียบโลก” คำว่าพระเจ้าเลียบโลก ก็คือ พระพุทธเจ้าเสด็จเลียบ ก็คือ เสด็จมาโปรดชาวโลก ณ ดินแดนล้านนา จึงเรียกว่าตำนานพระเจ้าเลียบโลก

ถ้าตามตำนานไปก็จะมีหลายที่ที่พระพุทธองค์ท่านเสด็จมา เช่นพระธาตุจอมแจ้ง ก็คือเสด็จมาถึงดินแดนนี้ตอนเช้าพอดี ย่ำรุ่งพอดี

พระพุทธบาทตากผ้าก็เป็นสถานที่ที่พระพุทธองค์ท่านทรงให้พระอานนท์ซักจีวร แล้วก็ตากจีวรไว้กับพื้นดินพื้นหิน แล้วพื้นหินก็ประทับกลายเป็นลายของจีวร คือมีขันมีลายของจีวรติดอยู่กับหิน หลายๆจุดในตำนานล้านนาก็บอกพระพุทธองค์ทรงเสด็จมาที่ประเทศไทย มาที่ดินแดนล้านนา

อันนี้ก็เป็นเรื่องปกติ ชาวเหนือเขาก็มีความเชื่อเป็นเรื่องปกติ

พระพุทธบาทสี่รอย พระพุทธเจ้าทั้งสี่พระองค์ก็เสด็จมาประทับ อันนี้ก็เป็นธรรมเนียมของพระพุทธเจ้าในภัทรกัปที่ต้องมาประทับรอยพระบาท ณ ดินแดนที่เรียกว่าพระพุทธบาทสี่รอย อันนี้เป็นเรื่องปกติ เรากำหนดจิต เรากำหนดดู เรากำหนดรู้เรียบร้อยแล้ว ก็ให้ใจเรากำหนดรู้ว่า เราเข้าใจหรือยัง ว่าเหตุผลทำไมครูบาอาจารย์ท่านถึงต้องพาลูกศิษย์มากราบไหว้ที่พระเจ้าจอมกิตติ

สำหรับท่านที่มีหน้าที่ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ก็จะเดินทางมาสักการะ มายืนยัน มาอธิษฐาน ว่าลูกได้มาถึง  ลูกตื่นรู้ รำลึกรู้ในหน้าที่ตนที่จะพึงทำ ที่จะทำถวายพระพุทธเจ้า ทำถวายพระพุทธศาสนา

ดังนั้นเราก็สังเกตดูว่า อารมณ์ใจเราเป็นอย่างไร เฉยๆ เขาไปไหว้ก็ไปไหว้กัน หรืออารมณ์จิตของเรามีความซาบซึ้ง มีความเข้าใจ มีความดื่มดำในหน้าที่ สัญญาเก่ามันฟื้นขึ้น อันนี้ก็ขอให้เราแต่ละคนกำหนดรู้เป็นปัจจัตตังของเรา

สำหรับวันนี้เราได้มากราบด้วยความเป็นทิพย์ อธิษฐานให้เห็นเส้นพระเกศาทั้ง 3 เส้นภายในองค์พระธาตุจอมกิตติ ขอให้สว่างขึ้นให้เราเห็นมองเข้าไปข้างใน จิตเราก็กราบ น้อมกราบเส้นพระเกศาของพระพุทธเจ้า

เมื่อกราบเสร็จแล้วก็อธิษฐาน ขอเทวดาพรหมที่ท่านมาทํานุบํารุง มาดูแลที่พระธาตุจอมกิตตินี้ ขอให้ท่านเมตตาสงเคราะห์ เมตตาเอ็นดูข้าพเจ้า ช่วยเหลือสงเคราะห์ข้าพเจ้าและครอบครัว ให้มีความคล่องตัว ให้รอดปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งหลาย ให้มีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง และก็ขอให้จิตปณิธานของข้าพเจ้าที่ทำเพื่อส่วนรวม ขอจงสำเร็จสัมฤทธิ์ผลอัศจรรย์

จากนั้นกำหนดจิต ให้อาทิสมานกายของเรากลับขึ้นไปบนพระนิพพานอยู่กับพระพุทธองค์ กำหนดจิตทรงสมาธิ กายทิพย์สว่าง กายพระวิสุทธิเทพสว่าง

อธิษฐานจิต พระพุทธองค์เคยเสด็จมาในดินแดนเขตของประเทศไทยในปัจจุบัน เหตุผลสำคัญที่ทำให้ไทยนี้เป็นเอกราช ไม่เสียเอกราช ไม่เป็นเมืองขึ้นของประเทศใด ไม่เปลี่ยนแปลงจากศาสนา ก็ขอให้เรามีความเข้าใจว่า ด้วยเหตุที่พระพุทธองค์ท่านทรงอธิษฐานนี่แหละ การอธิษฐานนั้น ทำให้พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ต้องมาจุติเป็นกษัตริย์ ช่วยทำนุบำรุงรักษาพระพุทธศาสนาตามไปด้วย

ดังนั้นการสืบสายวงศ์กษัตริย์ของไทย แม้ว่าจะเปลี่ยนราชธานี จะเป็นอาณาจักรโยนกนครก็ดี อาณาจักรสุโขทัย อาณาจักรทวารวดี อาณาจักรกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี จนถึงราชวงศ์จักรีกรุงรัตนโกสินทร์ พระมหากษัตริย์ล้วนเป็นพระโพธิสัตว์ทั้งสิ้น ประกอบไปด้วยบุญบารมีที่ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น

ดังนั้นด้วยความเชื่อมโยงระหว่างพระพุทธศาสนากับสถาบันชาติ สถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยเหตุนี้ต่อไปจนตราบห้าพันปี ในดินแดนนี้ก็ยังเป็นระบบกษัตริย์อยู่ดี ก็ให้เราเข้าใจความสัมพันธ์ของ 3 สถาบัน ที่ต่างเคารพรักษาทำนุบำรุงซึ่งกันและกัน

จิตของเราตั้งไว้อยู่กับพระนิพพาน แต่ตราบที่เรายังมีชีวิต เราก็ทำหน้าที่ในฐานะมนุษย์บนโลก ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ทํานุบํารุงชาติ ทํานุบํารุงสถาบันพระมหากษัตริย์ให้ตั้งมั่นคงอยู่

อธิษฐานจิต ขอบารมีสมเด็จองค์ปฐมพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ กระแสบุญบารมีของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย

ขออาราธนากระแสจากพระนิพพานลงมาคุ้มครองรักษาอาณาจักรดินแดนสุวรรณภูมินี้ ให้มีความสุขสงบร่มเย็น

ขอกระแสมรรคผลพระนิพพาน กระแสธรรมแท้ ที่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้น เพื่อเป็นไปในวิสัยทั้ง 4 ของการบรรลุธรรม คือ สุขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต จงครบถ้วนบริบูรณ์ในดินแดนสุวรรณภูมิแห่งนี้ ครบทุกวิสัย ไม่ถูกตัดทอน ไม่ถูกลดทอน ไม่ถูกบิดเบือน ไม่ถูกปรับเปลี่ยนไปจนเสียประโยชน์แห่งการบรรลุในมรรคผลพระนิพพาน

ขอความเป็นสัมมาทิฐิจงปรากฏ ความเข้าใจในกรรม กฎของกรรม ความเข้าใจในเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด

ความเข้าใจในเรื่องภพภูมิทั้งหลายคือไตรภูมิ    ความเข้าใจในเรื่องสังสารวัฏ คือวัฏสงสาร   

ความเข้าใจในเรื่องมรรคผลนิพพาน จิตอาทิสมานกายที่เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในภพทั้งหลาย ขอจงอยู่ในพระพุทธศาสนา จงกระจ่างแจ้ง ไม่ถูกตัดทอน ไม่ถูกลดทอน ตามกำลังอำนาจความพอใจพึงพอใจอวิชชาของบุคคลใด

ขอกระแสธรรมจงปรากฏในดินแดนสุวรรณภูมิแห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง

ขอกระแสมรรคผลของจิตของท่านผู้เคยบรรลุมรรคผลในดินแดนแห่งนี้ จงปรากฏขึ้นเป็นแสงสว่างผุดขึ้นบนแผ่นดิน

พระอริยเจ้านับตั้งแต่อาณาจักรทวารวดี พระอริยเจ้านับตั้งแต่ดินแดนโยนกนคร ขอจงปรากฏแสงสว่าง กระแสแห่งมรรคผล

พระอริยเจ้านับตั้งแต่ดินแดนสุโขทัย ศรีสัชนาลัย พระอริยเจ้านับตั้งแต่ดินอาณาจักรศรีวิชัย พระอริยเจ้า พระอริยสงฆ์ นับตั้งแต่ในอาณาจักรกรุงศรีอยุธยา

กำหนดให้เรารู้เห็นเป็นแสงสว่างหรือบางครั้งเราก็จะเห็นเป็นพระโบราณปรากฏองค์ขึ้น หากองค์ใดเราเคยเกิดเคยเจอเคยพบเคยทำบุญด้วย เคยเคารพนับถือเป็นครูบาอาจารย์ ก็ขอให้เมตตาปรากฏ จะเป็นจำนวนมากมายมหาศาลเพียงใด ก็ขอให้ปรากฏตัวรู้ขึ้นมาในจิตของแต่ละบุคคล ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์ ตั้งแต่ยุคธนบุรี กรุงธนบุรีรัตนโกสินทร์ตอนต้น ตอนกลางจนกระทั่งถึงปัจจุบัน

กำหนดรู้ว่าในดินแดนสุวรรณภูมิแห่งนี้ มีพระอริยเจ้า มีพระอรหันต์มากมายมหาศาล ท่านทั้งหลายได้เข้าถึงธรรม อันวิมุตติ คือพระนิพพาน

กำหนดน้อมจิตกราบโมทนาสาธุกับบูรพาจารย์แต่เก่าก่อน ต้นอาณาจักร ต้นยุค ต้นดินแดน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอธิษฐานจิตน้อมไปจนถึง พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณองค์แรกในดินแดนนี้ก็คือพระโสณเถระ ที่ท่านเสด็จมาที่บริเวณทราวดีเขตราชบุรีเก่า 

กำหนดจิตอธิษฐานน้อมรำลึกถึงบูรพาจารย์พระอรหันต์ตั้งแต่ยุคโบราณทุกพระองค์ โมทนาสาธุ ขอกำลังที่ท่านเคยบรรลุธรรม กระแสมรรคผล กระแสที่ท่านเคยเจริญพระกรรมฐาน ขอเป็นพลังงาน ขอเป็นพลังบุญ ปลุกให้ดินแดนแห่งนี้เข้าสู่ยุคขึ้นสู่ยุคชาววิไล ขอกายทิพย์ของพระอรหันต์ปรากฏเต็มแผ่นดิน ขอท่านเมตตาสงเคราะห์ให้ดินแดนแห่งนี้กลับฟื้นคืนสู่ความเจริญรุ่งเรืองคล้ายดั่งสมัยพุทธกาลอีกครั้ง ขอกิจนี้เป็นไปเพื่อพระพุทธศาสนาเป็นบารมีซึ่งพระเจ้าทุกพระองค์ในดินแดนนี้เมตตาสงเคราะห์ด้วยเถิด

กำหนดน้อมจิต อธิษฐานว่า ธรรมใดที่ท่านทั้งหลายได้เข้าถึงธรรมนั้น ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้เห็นธรรมนั้นอย่างกระจ่างแจ้งประดุจลายในฝ่ามือ และขอให้การเข้าใจกระจ่างแจ้ง เข้าถึงคุณธรรมความดีนั้น เป็นไปได้โดยง่ายโดยพลัน โดยฉับพลันทันใดด้วยเถิด

จากนั้นน้อมจิตกราบขอบพระคุณทุกท่านที่เมตตา หลายท่านเคยเป็นครูบาอาจารย์เรา หลายท่านเราเคยได้ทำบุญสร้างกุศลกับท่าน ตอนนี้เราได้รู้ได้เห็นได้สัมผัสถึงท่าน บูรพาจารย์ กำหนดน้อมสำนึกว่าหากท่านแต่ละองค์แต่ละยุค ไม่ได้สืบต่อการสอน การถ่ายทอดธรรมทั้งหลายก็ไม่สามารถส่งต่อมาถึงเราในยุคปัจจุบัน นี่คือคุณความดีของพระอริยสงฆ์ เราน้อมจิตอธิษฐาน นอบน้อมสำนึกบุญคุณท่าน

จากนั้นกำหนดจิต กลับมาบนพระนิพพาน กำหนดว่าวันนี้เราก็ได้ไปกราบที่พระธาตุจอมกิตติ ย้อนอดีตังสญาณไปเห็นเหตุการณ์ เมื่อครั้งพระพุทธองค์ทรงอธิษฐานจิต เราได้ปฏิบัติธรรม อาราธนาบารมีกำลังของสังฆานุภาพ พระอรหันต์ พระอริยเจ้าในอดีตในทุกอาณาจักรในดินแดนสุวรรณภูมิ ขอท่านเมตตามาเปิดบารมีให้ดินแดนนี้ ขึ้นสู่ยุคชาววิไล ซึ่งเราได้อธิษฐานจิตกันเรียบร้อยแล้ว ท่านมาสงเคราะห์เรียบร้อยแล้ว เราได้ช่วยกันทำกิจในพระพุทธศาสนา

คราวนี้สมควรแก่เวลาแล้วก็น้อมจิตกราบลาพระพุทธเจ้า กราบลาทุกท่านบนพระนิพพาน

เมื่อกราบลาแล้ว พุ่งจิตกลับมาที่กายเนื้อบนโลกมนุษย์ พร้อมกับน้อมให้เห็นกระแสแสงสว่าง กระแสของพระนิพพานเป็นลำแสงลงมา กำหนดอธิษฐาน ขอกระแสพระนิพพานลงมาฟอกชำระล้างธาตุขันธ์ ผมขนเล็บฟันหนังเป็นแก้วใสสว่าง โครงกระดูกทั่วร่างของเรากลายเป็นแก้วใสสว่าง กล้ามเนื้อทุกส่วนเซลล์ทุกเซลล์กลายเป็นแก้วใสสว่าง หลอดเลือดเส้นเอ็นสะอาดสว่างใส อาการทั้ง 32 อวัยวะภายในทั่วร่างสะอาดใส เซลล์ที่ผิดปกติทั่วร่างกายสลายตัวไปให้หมด ธาตุธรรมสลายล้างเซลล์ที่ผิดปกติ ร่างกายสะอาดสว่างขึ้น กายทิพย์กายเนื้อสะอาดเปี่ยมพลัง

จากนั้นอธิษฐาน ขอบารมี ขอกระแสบุญ ขอกระแสแห่งพระนิพพานลงมา เป็นกระแสแห่งกุศล คุ้มครองกายของเรา คุ้มครองบุคคลอันเป็นที่รักญาติทั้งหลาย คุ้มครองบ้านเรือนเคหะสถานกิจการธุรกิจของเรา จากภัยพิบัติทั้งหลาย จากอุปสรรคทั้งหลาย จากวิบากทั้งหลาย ให้บุญกุศลส่งผล ขับเคลื่อนชีวิตของเราให้มีแต่ความสุขความเจริญความคล่องตัว ให้กระแสบุญเป็นเครื่องนำทางชีวิตเรา ทางโลกให้อยู่ในเส้นทางแห่งบุญกุศลความดี เส้นทางธรรมพบเจอแต่คนดีๆ

จากนั้นตั้งจิตโมทนาสาธุกับเพื่อนกัลยาณมิตรที่ปฏิบัติเจริญพระกรรมฐานร่วมกันในวันนี้ ให้ทุกคนได้บุญได้กุศล และเราก็โมทนากับบุญกุศลของทุกท่านทุกคน รวมถึงคนที่มาฟังมาปฏิบัติในภายหลัง

จากนั้นหายใจเข้า ช้า ลึก ยาว หายใจเข้า พุท ออกโธ  ครั้งที่สอง หายใจเข้า ธัม หายใจออก โม ครั้งที่สามหายใจเข้าสัง หายใจออก โฆ กำลังพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ คุ้มครองรักษาร่างกายธาตุขันธ์ของเราทุกคน คุ้มครองใจของเราให้เบิกบาน

วันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน

วันนี้ก็ขอแจ้งข่าวคือแผ่นทองที่เราเขียนคำอธิษฐานดวงจิตโดยการยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพานอธิษฐาน ตอนนี้ การนับรวบรวมจำนวนแผ่นทองได้ครบหนึ่งแสนแผ่นแล้ว ซึ่งอันที่จริงก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะเป็นส่วนที่ยากที่สุดในการจัดสร้างจัดทำองค์พระ

การเขียนแผ่นทองแสนแผ่นโดยทรงอารมณ์พระกรรมฐาน ทรงอารมณ์จิตพระนิพพาน จิตตั้งจิตมุ่งมาดปรารถนาในพระนิพพานให้ได้แสนแผ่น ซึ่งแสนจริงๆไม่ใช่จำนวนที่อุปมา การทำเช่นนี้ได้ก็ถือว่าเป็นบารมีวิริยาธิกะพิเศษ การที่เราสร้างพระก็กำลังจะดำเนินการต่อไป ซึ่งจะรายงานเล่าประชาสัมพันธ์เป็นระยะ แต่ตอนนี้ก็ประชาสัมพันธ์ให้เราทุกคนที่มีส่วนร่วมเกิดความปิติยินดีก่อน

ดังนั้นใครก็ตามที่เราร่วมในการปฏิบัติร่วมในการอธิษฐาน  สิ่งใดก็ตามที่บารมีใกล้เต็ม นิมิตหมายนี้ก็คือบารมีเราทุกคนขอจงเต็ม ขอจงล้น สิ่งใดที่เกือบก็ขอจงสำเร็จ สิ่งใดที่รออยู่ก็ขอจงเกิดความสำเร็จ เพราะบุญนี้เป็นบุญใหญ่ไม่ใช่เป็นวัตถุทาน แต่เป็นกำลังบุญกรรมฐานใหญ่ กรรมฐานเข้าสมาธิ มีความสงบเล็กน้อยก็เป็นบารมีมาก แต่นี่เป็นอารมณ์สูงสุด คือ อารมณ์พระนิพพาน คือฌานสมาบัติก็ต้องเต็ม บารมีก็ต้องเต็ม ความบริสุทธิ์ของจิตที่สะอาดจากกิเลสก็ต้องเต็ม ดังนั้นกำลังสูงยิ่งกว่าทานปกติ อันนี้ก็ขอให้เราทุกคนจงมีบารมีที่เต็มสมบูรณ์สำเร็จสัมฤทธิ์ทุกอย่าง

วันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน พบกันใหม่สัปดาห์หน้า

สำหรับวันนี้สวัสดี

ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย คุณวิลาวัลย์ วลีเดช

You cannot copy content of this page