green and brown plant on water

อารมณ์ของปุถุชนกับอารมณ์ของผู้ปฏิบัติธรรม พิจารณาขันธ์ห้าต่างกัน

เวลาอ่าน : 3 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน” 

วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม 2565

เรื่อง อารมณ์ของปุถุชนกับอารมณ์ของผู้ปฏิบัติธรรม พิจารณาขันธ์ห้าต่างกัน

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

ครับสวัสดีนะครับทุกคน กำหนดรู้กาย ผ่อนคลายปล่อยวางร่างกาย แยกกายแยกจิต ปล่อยวางความกังวลความคิดความห่วงถึง ปล่อยวางความรู้สึกในร่างกายของเราทั้งหมด ทิ้งกายทิ้งความกังวลทั้งหลายออกไปจากใจของเรา จับลมหายใจ กำหนดรู้ลมหายใจตลอดทั้งสาย เห็นลมหายใจรู้สึกจินตภาพว่าลมหายใจของเราเป็นเหมือนกับแพรวไหม แพรวพราวพลิ้วผ่านเข้าออกในกายของเรา รู้ในลมสบาย รู้ในลมหายใจ ลมหายใจยิ่งเบายิ่งละเอียด อารมณ์จิตของเรายิ่งสงบยิ่งเป็นสุข ลมหายใจสัมพันธ์กับอารมณ์ใจ เมื่อจิตสงบ มีความเบา มีความสบาย ประคับประคอง รักษาความผ่องใสของจิตเราไว้ ความผ่องใสของจิต คือเหตุแห่งสภาวะความเป็นทิพย์ ญาณเครื่องรู้ต่างๆที่ปรากฏก็ปรากฏขึ้นจากความเป็นทิพย์ จากความผ่องใสของจิตนั่นเอง 

การตัดขันธ์ห้าร่างกาย การพิจารณาในอสุภ พิจารณาในอาการสามสิบสอง พิจารณาขันธ์ห้าร่างกายในสภาวะความเป็นธาตุทั้งสี่ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ รวมความว่าการตัดขันธ์ห้า คือแก่นสำคัญของการแยกกายแยกจิต แยกรูปแยกนาม แยกกายเนื้อจากกายทิพย์ ตราบที่จิตเรายังไม่แยกจากร่างกาย ยังไม่อาจปลดความห่วงความกังวลจากร่างกาย กำลังจิตความเป็นทิพย์  กำลังของอาทิสมานกายก็ไม่สามารถที่จะปรากฏออกมาได้สมบูรณ์พร้อมหรือเต็มกำลัง ยิ่งห่วงกาย ยิ่งเกาะกาย ญาณเครื่องรู้ยิ่งมีความผิดพลาด ยิ่งไม่มีความแจ่มใส ยิ่งแยกเจริญวิปัสสนาญาณได้มากเท่าไหร่ แยกจิตออกมาได้มากเท่าไหร่ แยกอาทิสมานกายออกจากกายเนื้อได้มากเท่าไหร่ กำลังของมโนมยิทธิก็ดี กำลังของความเป็นทิพย์ ญาณเครื่องรู้ ญาณทั้งแปดประการยิ่งปรากฏชัดขึ้นมากขึ้นตามนั้น ดังนั้นการที่เราสามารถทำความเข้าใจจับแก่นสำคัญในการปฏิบัติธรรม จับแก่นจับหลักได้ชัดเจนมากเท่าไหร่ การปฏิบัติธรรมเรายิ่งก้าวหน้ามากขึ้นเท่านั้นตามไปด้วย

พิจารณาเอาง่ายๆว่าในขณะที่เราปฏิบัติธรรม กำลังใจเราให้เข้มข้นตัดเป็นตัดตาย ไม่ต้องไปสนอกสนใจสิ่งใดที่เป็นสภาวะภายนอก ไม่สนใจใยดีในกิจการที่คั่งค้าง ภาระความพะวง เรื่องราวที่เป็นนิวรณ์ห้าประการทั้งหลายเราทิ้งเราวางให้ออกจากใจของเราในขณะที่ปฏิบัติธรรมทั้งหมดให้ได้ วางกำลังใจของเราว่าในขณะที่ปฏิบัติ ความลังเลสงสัยเราไม่มี ใจเรามุ่งมั่นด้วยการปฏิบัติ ตัดเป็นตัดตายคือสิ่งสำคัญก็คือตัดความสนใจในร่างกาย ตัดว่าร่างกายนี้เป็นซากศพ ตัดว่ามันตายไปแล้ว พิจารณาจนใจของเราไม่มีความอาลัยในกายในขันธ์ห้านี้เลย ตัดเป็นตัดตายในอารมณ์ที่เราตัดว่ามันตาย มรณานุสติเข้ามาจับกับการพิจารณาธาตุขันธ์ วิปัสสนาญาณก็จะเริ่มปรากฏขึ้น

กำหนดพิจารณาในวิปัสสนาญาณมากเท่าไหร่เข้มข้นเท่าไหร่ ใจยอมรับความเป็นจริงว่าร่างกายนี้มันเป็นของสกปรก ร่างกายนี้มีความแก่ ค่อยๆเสื่อม ค่อยๆชรา ค่อยๆแก่ มีความเจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบาย เป็นรังของโรค คือทุกส่วนทุกอวัยวะในร่างกายล้วนแต่เจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบายได้ทั้งหมด ไม่มีส่วนใดในร่างกายเลยที่ไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บ เพียงแต่โรคภัยไข้เจ็บนั้นจะปรากฏในแต่ละอวัยวะแต่ละส่วนของขันธ์ห้าของแต่ละบุคคล อาจจะมีความแตกต่างกัน แต่โรคที่เกิดขึ้นก็คือ ความเสื่อมความชรา จนในที่สุดเมื่อกายขันธ์ห้าหมดอายุ เราทุกคนก็ถึงกับความตายแน่นอน จิตเรายอมรับตามความเป็นจริง จนกระทั่งความห่วงความหวง หรือจิตที่มันมีความเร่าร้อนทุรนทุรายเกาะในร่างกายเกินไปไม่มีในจิตของเราผู้ปฏิบัติประพฤติธรรม พิจารณาว่าเราปล่อยวางได้ไหมในร่างกาย พิจารณายอมรับได้ไหมหากเราต้องตายไปในขณะจิตนี้หรือคืนนี้หรือวันนี้ ยอมรับได้ไหมว่าเราทุกคนต้องตายแน่นอน เมื่อไหร่ที่ใจเราจิตเรายอมรับได้ ว่าเราไม่ใช่ร่างกายร่างกายไม่ใช่เรา เราคือจิตหรืออาทิสมานกายที่เข้ามาอาศัยขันธ์ห้าร่างกายเนื้อ พูดง่ายๆว่าเป็นวิญญาณที่มาสิงร่างนี้ ใช้ร่างนี้  แต่ด้วยโมหะความหลงมันนำพาให้เราหลงว่าเราเป็นเจ้าของร่างกาย หลงว่าเป็นตัวเราของเรา หลงว่าใครมาดุมาด่ามาติมาว่ามาตำหนิมาวิจารณ์ร่างกายนี้ เราก็เจ็บร้อน เราก็ทุกข์ เราก็ทนไม่ได้ 

วันนี้เราจะมาพิจารณาว่าอารมณ์ของปุถุชนกับอารมณ์ของผู้ปฏิบัติธรรมหรือในวิสัยของอารมณ์ของผู้ที่เข้าถึงกระแสเข้าถึงอารมณ์วิสัยแห่งพระอริยะเจ้านั้น จะมีความคิดพิจารณา การรับรู้ การยอมรับในสิ่งต่างๆที่ปรากฏรู้เกี่ยวกับร่างกายขันธ์ห้าต่างกัน

ปุถุชนทั่วไปก็มองพิจารณาคิดถึงกังวลในร่างกาย ในความสวยงามในร่างกาย กังวลว่ามีริ้วรอยบนใบหน้า กังวลว่าความสวยสดงดงามมันมีตำหนิตรงจุดไหนที่จะต้องไปเสริม ไปเติม ไปแต่ง กังวลเวลาที่ขันธ์ห้าร่างกาย ผิวพรรณมัน ดรอป มันมีริ้วรอยมันหมองคล้ำไป มันชราไป ความคิดมันห่วงมันเกาะมันกังวลเนื่องจากร่างกายข้องกับร่างกาย แต่อารมณ์ของผู้ที่เจริญพระกรรมฐานก็ดี อารมณ์ใจในวิสัยของพระอริยเจ้าในกระแสมรรคผลที่พิจารณาก็ดี ท่านพิจารณามองเห็นกายนี้เป็นเหมือนกับซากศพเดินได้ บางครั้งญาณเครื่องรู้ก็ปรากฏให้บางบุคคลบางท่านเห็นในบางวาระโอกาส บางครั้งเห็นเป็นกายเนื้อ เห็นคนเดินผ่านไปผ่านมา ปรากฏเห็นเป็นโครงกระดูกบ้าง มองเห็นเครื่องในอวัยวะตับไตไส้พุงภายในมองทะลุไปเห็นบ้าง เมื่อไหร่ที่พิจารณามองเห็นเช่นนี้  กามฉันทะความพึงพอใจในความสวยงามในความรักในกามคุณในความรักระหว่างเพศมันก็ไม่เกิดขึ้น มองเห็นได้เช่นนี้ความเกาะความยึดในขันธ์ห้าร่างกายมันก็เบาบางลงกว่าคนที่ไม่เคยเห็นหรือสัมผัสยอมรับเข้าใจในอารมณ์แบบนี้ 

ดังนั้นให้เราลองพิจารณาเห็นภายในกายเห็นอวัยวะทั้งหลายทำความรู้สึกว่าร่างกายที่เป็นขันธ์ห้ากายเนื้อนี้เป็นโพรง ภายในบรรจุไปด้วยโครงกระดูก เส้นเอ็น หลอดเลือด ตับ ไต ไส้ พุง คืออาการสามสิบสอง รู้สึกพิจารณาทะลุอยู่ข้างในตลอดเวลา การที่หมั่นพิจารณาเช่นนี้ ถ้าจิตมีความเข้มข้นรู้สึกสัมผัสพิจารณาอยู่ตลอดเวลา ก็มีปรากฏของแม่ชีที่อาจารย์ได้ลงเรื่องไว้ในห้องเมตตาภิรมย์กรรมฐาน ท่านพิจารณาเห็นในสภาวะเห็นร่างกายเป็นโพรง พิจารณาในอาการสามสิบสอง พิจารณาเห็นอวัยวะภายในโครงกระดูกทุกสิ่งทุกอย่าง พิจารณาอยู่เนืองเนืองตลอดเวลา ในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เส้นผมของท่านก็กลายเป็นพระธาตุปรากฏก่อตัวอย่างชัดเจน คุณย่าชีลา_ศีลดำรงธรรม[พรหมสุขันธุ์]

การพิจารณาตัดร่างกาย ยิ่งพิจารณาได้นานเท่าไรในขณะที่พิจารณา จิตเราจะยิ่งแยกจากขันธ์ห้าชัดเจนมากเท่านั้น

ซึ่งการที่อธิบายเช่นนี้ก็จะมาเชื่อมโยงกับเรื่องของการฝึกมโนมยิทธิ

การฝึกมโนมยิทธิในส่วนของครึ่งกำลัง ถ้าฝึกตามแบบแผนที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนก็จะประกอบไปด้วย 

1 การที่เราเริ่มกำหนด การทำสมถะ คือจับลมหายใจบริกรรมภาวนา นะ มะ พะ ทะ คือ ธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ 

พิจารณา ดิน น้ำ ลม ไฟ นั้นก็เป็นบาทฐานของการได้ทิพย์จักษุญาณความเป็นทิพย์รวมไปถึงการได้อิทธิวิธี

สำเร็จธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ กสิณธาตุ เป็นบาทฐานในการได้ ฉฬภิญโญ คืออภิญญาหก หรืออภิญญาใหญ่  ขณะที่บริกรรม นะ มะ พะ ทะ ใจสบาย จิตเบา จิตมีความเบาความสบาย ความเบาของลมหายใจในขณะภาวนาบริกรรม    อานาปานสติ นะ มะ พะ ทะ  บริกรรมจนเบาเป็นเมฆจิต ความเป็นทิพย์อ่อนๆเริ่มปรากฏขึ้น 

จากนั้นเริ่มพิจารณาในวิปัสสนาญาณที่เรียกว่าพิจารณาตัดขันธ์ห้า ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นการเปิดไฟล์เสียง เปิดคลิปเสียงหลวงพ่อที่ท่านนำตัดร่างกาย ซึ่งการพิจารณาตัดร่างกายนั้น เราก็น้อมจิตตามไป หรือในขณะที่หากเราฝึกเราปฏิบัติด้วยตัวเราเอง เราฝึกพิจารณาให้เห็นกายเป็นโพรง มองทะลุเห็นโครงกระดูก มองทะลุเห็นเส้นเอ็นหลอดเลือด มองทะลุถึงภายในกาย ปอด หัวใจ ตับ ไต ไส้พุงภายในทั้งหมด มองเห็นจนกระทั่งรู้สึกได้ว่าเราแบกถุงที่บรรจุเครื่องในเดินไปเดินมาอยู่ เราแบกโครงกระดูกเดินไปเดินมาอยู่ พิจารณาจนเห็นเป็นปกติ เมื่อตัดกายแล้ว จิตเริ่มแยกจากกาย จิตเริ่มไม่ห่วงไม่สนใจในร่างกาย 

ลำดับต่อไปก็เริ่มกำหนดจิต รำลึกนึกถึงภาพพุทธนิมิต คือน้อมอาราธนาเชื่อมกระแสกับพระพุทธองค์ อาราธนาบารมีพระพุทธองค์ กำหนดน้อมนึกภาพเป็นพุทธนิมิตก็คือพุทธานุสติควบอาโลกสิณ อันเป็นบาทฐานของการได้ทิพย์จักษุญาณและมโนมยิทธิ ถึงเวลาก็ฝึก  ครูฝึกท่านก็แนะนำ นึกถึงพระพุทธเจ้า เคารพในพระพุทธเจ้า

กำหนดจิตพุ่งอาทิสมานกายไปกราบพระพุทธเจ้า ถ้าโดยปกติท่านก็แนะนำให้ขึ้นไปกราบพระจุฬามณี ไปกราบท่านปู่ท่านย่าคือพระอินทร์และพระชายาของท่านก่อน เหตุผลที่ขึ้นไปกราบที่พระจุฬามณีเจดีย์สถานและสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น เป็นการป้องกันสำหรับบางคนที่กำลังใจยังไม่เข้มแข็ง ยังไปนิพพานไม่ไหว อย่างน้อยที่สุดมาฝากมาเกาะไว้ ตายเมื่อไหร่มาที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ไว้ก่อน อยู่กับพระอินทร์อยู่กับท่านปู่ท่านย่า ถึงเวลาวาระเมื่อไหร่ที่พระศรีอริยเมตไตรเสด็จมาโปรด ถึงเวลานั้นบุคคลที่รออยู่ที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ก็ดี หรือสวรรค์ชั้นอื่นพรหมก็ดี ก็ไปบรรลุ ไปปฏิบัติเข้าถึงมรรคผลพระนิพพานในยุคของพระศรีอริยเมตไตร เพื่อให้ทันภัทรกัปในพุทธันดรนี้ เพราะหากเลยไปจากภัทรกัปเลยจากยุคพระศรีแล้ว ถึงเป็นพระพุทธเจ้าองค์ต่อไปจากพระศรีก็ใช้เวลาอีกเป็นเวลานานมากมายมหาศาล ดังนั้นหากไปได้เราก็ไปพระนิพพานตั้งแต่ชาตินี้ ไปตั้งแต่ยุคพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ 

พอยกจิตไปกราบพระอินทร์ท่านแล้ว ลำดับต่อไปก็พุ่งจิตขึ้นไปอยู่เบื้องหน้าพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน 

ตอนนี้ก็ให้เรากำหนดจิตนะ เริ่มต้นก่อน น้อมจิตตัดร่างกายเห็นร่างกายขันธ์ห้าเป็นโพรง มองเห็นอวัยวะภายในทุกอย่าง เห็นในความเป็นสิ่งปฏิกูล เห็นในสภาวะตับไตไส้พุงทั้งหลาย อย่างวันนี้มีข่าวเรื่องเครื่องในที่หมัก เราก็ให้เห็นว่ากายของเราภายในก็เหมือนกับถังที่เขาบรรจุเครื่องในที่หมักดองไว้ กำหนดให้เห็นว่ามันเป็นปฏิกูล คิดพิจารณาเรียบร้อยแล้วก็ตัดร่างกาย ไม่ห่วงใยไม่สนใจในร่างกาย พิจารณาว่าร่างกายนี้เราพอแล้ว 

จากนั้นกำหนดต่อไป อธิษฐานจิตขอให้เกิดปรากฏอาทิสมานกายของเราคือกายที่เป็นจิต กายที่เป็นกายแก้ว  กายที่เป็นกายทิพย์ทับซ้อนอยู่กับกายเนื้อของเรา บางคนตอนนี้ก็เห็นเป็นกายเหมือนกับตอนที่มีชีวิตแต่ใสๆ บางคนที่เคยฝึกเคยปฏิบัติดีแล้วก็กำหนดเห็นเป็นกายของพระวิสุทธิเทพทับซ้อนอยู่กับกายเนื้อขันธ์ห้า กำหนดรู้ของเราเอง รู้สึกของเราเองได้ คนที่กำหนดเป็นกายพระวิสุทธิเทพก็กำหนดให้เห็นยอดมงกุฎ มงกุฎชฎาเครื่องทรงทั้งหลายปรากฏทับซ้อนอยู่ เราเป็นกายทิพย์ เราไม่ใช่ร่างกาย ร่างกายไม่ใช่เรา  เราคืออาทิสมานกาย เมื่อปรากฏความเป็นกายทิพย์ชัดเจน เราก็กำหนดจิตรำลึกนึกถึงพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน พุ่งจิตอาทิสมานกายเราเป็นแสงพุ่งด้วยความเร็วขึ้นไปปรากฏอยู่เบื้องหน้าองค์พระ กำหนดจิตกราบพระพุทธเจ้า หากเราฝึกเราปฏิบัติหรือเราตั้งกำลังใจตามที่สอนไว้สูง คือยามปกติเราเห็นพระพุทธรูปเราไปวัดวาอาราม เราไม่กราบพระอิฐพระปูนหรือพระโลหะ กายเนื้อกราบพระพุทธรูปบนโลก กายทิพย์อาทิสมานกายกราบพระพุทธองค์พระนิพพาน ไปถวายสังฆทานกายเนื้อยกสังฆทานถวายบนโลก กายทิพย์ยกอาทิสมานกายของเราและคนทั้งหลายถวายสังฆทานทิพย์ โดยมีสมเด็จองค์ปฐมพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกพระองค์บนพระนิพพาน เป็นมหาสมาคมเป็นหมู่สงฆ์ที่พระพุทธองค์ทรงเป็นประธาน กายทิพย์เราถวายเช่นนั้น ฝึกจนกระทั่งเราฝึกได้เช่นนี้ ความคล่องตัวในการยกจิตถอดจิตใช้กำลังมโนมยิทธิก็จะมีความคล่องตัวมีความคล่องแคล่วมากกว่าบุคคลทั่วไป

เราก็กำหนดจิตตอนนี้ อาทิสมานกายเรากราบอยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกพระองค์ ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เมื่อน้อมจิตกราบแล้วก็กำหนดทรงอารมณ์ ปรากฏกำหนดรู้ในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพบนพระนิพพาน กำหนดว่าเราใส่เครื่องทรงกายใสเป็นแก้วสว่างปรากฏอยู่บนพระนิพพานนั้น ยกอาทิสมานกายของเรายกส่วนที่เป็นแขนขึ้นมาดูขึ้นมาสัมผัส ฝึกทำความรู้สึกในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพอยู่บนพระนิพพาน ทำความรู้สึกมองลงมาจากบนพระนิพพาน เห็นกายเนื้อทำสมาธิอยู่บนโลก เห็นโลกจากระยะไกล กำหนดรู้ด้วยความเป็นทิพย์ของจิต กำหนดรู้ในรูปลักษณ์ของความเป็นกายพระวิสุทธิเทพชัดเจน

รูปลักษณ์ชัดเจนแล้วก็พิจารณาต่อไปอธิษฐานจิตน้อมรำลึกนึกถึงอารมณ์พระนิพพาน บุคคลที่จะยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานได้นั้น ต้องตัดความห่วงความอาลัย ตัดกายขันธ์ห้า ตัดความเกาะความหลงในภพภูมิทั้งหลาย ตัดภพจบชาติ ยิ่งอารมณ์จิตเราตัดภพตัดภูมิได้มากเท่าไหร่ ก็เชื่อมโยงกับการตัดสังโยชน์ทั้งสิบประการด้วยเช่นกัน ตัดความโลภความโกรธความหลงด้วยเช่นกัน ความโลภเกิดขึ้นเพราะเราปรารถนาในเบญจกามคุณห้า คือกามฉันทะความพึงพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เงินทองที่ต้องการ ต้องการมาก็เพื่อปรนเปรอร่างกายขันธ์ห้า เมื่อใจของเราไม่ปรารถนาที่จะมีร่างกาย ไอ้ความโลภมันก็ไม่ปรากฏ ไม่ว่าจะเป็นความโลภในมนุษย์สมบัติทรัพย์สินเงินทอง เกียรติยศชื่อเสียง ไม่ว่าจะเป็นความโลภในทิพยสมบัติ ในสวรรค์สมบัติ ความอยากความปรารถนาในการมีวิมานทั้งหลาย ในอารมณ์ของพระนิพพาน คือจิตเรา ก็ละ ก็ตัด ก็วาง ไม่เอาละ ทิ้งดีในส่วนที่ทิ้งดี ถ้าดีนั้นยังเนื่องอยู่กับการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ ใจเราก็ไม่เอา ใจเราก็พอ กำหนดพิจารณาว่าใจเราพอไหม 

เข็ดการเกิด เข็ดการมีร่างกายเนื้อนี้อีกไหม เข็ดการมีขันธ์ห้าอีกไหม เข็ดการมีภาระการมีห่วง 

พิจารณาจนจิตเราวาง พิจารณาจนจิตเราปรารถนาพอใจในพระนิพพาน  ปรารถนาที่จะออกจากสังสารวัฏ พิจารณาด้วยใจ ถ้าจิตใจเราพอใจในพระนิพพานละ พอกันทีกับภพภูมิทั้งหลาย จะเอาสวรรค์สมบัติมาล่อเราก็ไม่เชื่อ จะเอาสมบัติจักรพรรดิ สมบัติที่เลิศเลอที่สุดของความเป็นมนุษย์มาล่อเราก็ไม่เอา เอาพรหมสมบัติความยิ่งใหญ่อมตะ อายุยาวนานหลายล้านล้านปี ความมีบารมีใหญ่ในความเป็นพรหมมหาพรหม ความเป็นผู้หยั่งรู้ในภูมิปัญญาทั้งหลายแห่งพรหม เอาสิ่งต่างๆเหล่านี้มาล่อเราก็ไม่เอา เมื่อรู้เท่าทันเครื่องล่อทั้งหลายที่เหนี่ยวนำผูกโยงมัดเราไว้กับสังสารวัฏ นั่นก็คือโมหะมันก็ดับลงไป ดับลงไปจากปัญญาที่รู้ทัน ไม่เมาไม่หลงในสังสารวัฏ ไม่เมาไม่หลงในการเวียนว่ายตายเกิด ไม่เมาไม่หลงในโลกในความรัก ไม่เมาไม่หลงในอารมณ์แห่งสัญญาที่เราผูกยึดกับภารกิจหน้าที่ใดๆก็ตามที่ยังทำให้เราต้องมาเกิดกลับมาเกิดเป็นโลกใบนี้ พิจารณาปล่อยวางจนหมด ดับความโลภ พิจารณาดับความหลง ดับความพยาบาท ดับความจองเวรทั้งปวง รัก โลภ โกรธ หลง โลภะ โทสะ โมหะ ดับไปจากจิตในขณะที่เราอยู่บนพระนิพพาน อยู่บนพระนิพพานสิ้นภพจบชาติ ภาระทั้งหลายหมดสิ้น กิจทั้งหลายจบแล้ว ภาระทั้งหลายสิ้นแล้ว การเวียนว่ายตายเกิดเหนื่อยยากทุกข์เข็ญในสังสารวัฏหมดสิ้นแล้ว เครื่องล่อในสังสารวัฏทั้งหลายไม่อาจโน้มนำ ไม่อาจชักจูง ไม่อาจทำให้เราหวนกลับมาเกิดในสังสารวัฏได้อีกแล้ว จิตเราทรงอารมณ์บนพระนิพพาน เข้าถึงสภาวะอารมณ์จิต “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง 

กำหนดน้อมใจ วางให้จิตของเรานั้นว่างจากความห่วงจากภาระทั้งหลาย จากความเกาะความยึดในภพทั้งหลาย มีแต่ความผ่องใส ความเป็นอาทิสมานกายสว่าง อารมณ์จิตเป็นสุขอย่างยิ่ง ว่างอย่างยิ่ง ว่างจากความโลภโกรธหลง ว่างจากภาระ  ว่างจากเรื่องร้อยรัดสังโยชน์ ว่างวางเบาอย่างยิ่ง สว่างผ่องใส  กำหนดน้อมรู้สึกสัมผัสได้ว่ากายพระวิสุทธิเทพยิ่งสว่างขึ้นใสขึ้น จิตยิ่งเป็นสุขมากขึ้น อาทิสมานกายเป็นเพชรระยิบระยับ 

สำหรับใครที่ไปฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังครั้งนี้ เราก็ยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพาน จากนั้นซักซ้อมในอารมณ์พระนิพพาน พิจารณาตัดร่างกายขันธ์ห้าซ้ำ ทรงอารมณ์จิตให้ผ่องใสที่สุด ถึงขึ้นมาเป็นครึ่งกำลัง แต่เมื่อเราปฏิบัติแล้ว เรากลั่นกายทิพย์โดยพิจารณาว่าจิตนี้ยังใสยังสว่างขึ้นเป็นสุขได้ยิ่งขึ้น จิตยิ่งเป็นสุข “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” ยิ่งวางยิ่งเบา  ยิ่งสว่างยิ่งเป็นสุข ยิ่งใสขึ้น อาทิสมานกายเปล่งประกายมากขึ้น ภาพองค์พระ ญาณเครื่องรู้ยิ่งชัดเจนขึ้น สว่างขึ้น ใสขึ้นเรื่อยๆ สว่างขึ้นเรื่อยๆ อาทิสมานกายเจิดจ้าเจิดจรัสเต็มกำลัง อารมณ์จิตเอิบอิ่มเป็นสุขเต็มกำลัง ผ่องใสสว่าง  ทรงอารมณ์นี้ไว้ เห็นทุกสิ่งทุกอย่างสว่างชัดเจน เห็นฉัพพรรณรังสีรัศมีของพระพุทธองค์เป็นรุ้งประกายพรึก มีการขยับเหลื่อมลาย เห็นชัดเจนกระจ่าง กระแสของพระพุทธเมตตาจากรอยยิ้มที่พระพุทธองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์ กระแสของความสงบเย็น กระแสของความเมตตาแผ่สว่างถึงอาทิสมานกายเราชัดเจน จิตของเราเข้าถึงสภาวะความเป็นหนึ่งเดียวกับพระนิพพาน อารมณ์จิตของเราในขณะนี้ ว่างวางจากภาระทั้งมวล ว่างวางจากความปรารถนาในภพภูมิทั้งปวง จิตความเป็นกายพระวิสุทธิเทพสว่างเจิดจ้าอย่างยิ่ง ทรงอารมณ์นี้ไว้

กำหนดน้อมพิจารณา ตราบที่อยู่บนโลกก็ยังมีการกระทบกระทั่ง ตราบที่อยู่บนโลกก็มีความขัดเคือง ตราบที่อยู่บนโลกก็มีความขัดแย้งขัดข้อง ปรารถนาไม่สมหวังในทุกสิ่ง สิ่งที่อยากได้สำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง สิ่งที่ปรารถนาก็มีคนตามใจบ้างขัดใจบ้าง เราปรารถนาดีต่อทุกคนทุกดวงจิต เราน้อมใจของเรา ตราบที่อยู่บนโลกเจอผู้คนร้อยพ่อพันธุ์แม่ หลายอารมณ์จิต หลายความคิด หลายการปรุงแต่ง การกระทบกระทั่งในกระแสจิตกระแสอารมณ์เป็นเรื่องปกติ จิตเราปล่อยวาง แต่ตราบที่เมื่อไหร่เรามาอยู่บนพระนิพพาน ให้เราน้อมทำความรู้สึก จับกระแสบนพระนิพพานดูให้ดี

จิตของทุกท่านทุกพระองค์ จิตของพระพุทธองค์มีแต่ความปรารถนาดีต่อสรรพสัตว์อย่างแท้จริง จิตของพระอรหันต์ทุกพระองค์ล้วนแต่สิ้นซึ่งสรรพกิเลสทั้งหลาย ไม่มีความคิดหมั่นไส้อิจฉาริษยาตำหนิติเตียน ไม่มีความรู้สึกแข่งดีแข่งร้าย ไม่มีความรู้สึกเปรียบเทียบ ไม่มีความรู้สึกที่เบียดเบียนกัน กระแสมีแต่ความผ่องใสมีแต่ความบริสุทธิ์หมดจด บนพระนิพพานแห่งนี้ ปราศจากความขัดข้อง ปราศจากความขัดแย้ง ปราศจากความขุ่นเคืองทั้งปวง มีแต่ความผ่องใสเต็มกำลัง มีแต่ความสุขเต็มกำลัง กำหนดใจของเรา ยามใดก็ตามที่เราพบเจอเรื่องราวที่มันหนักที่มันทุกข์ เรื่องราวบนโลกทั้งหลายเราวางลงทิ้งมันไว้บนโลก ทิ้งออกไปจากใจ ยกจิตอาทิสมานกายขึ้นมาบนพระนิพพาน อยู่กับความผ่องใส อยู่กับสภาวะที่ว่างจากสรรพกิเลสอย่างยิ่ง เข้าสู่สภาวะที่เป็นสุขเป็นปรมัตถ์ น้อมใจของเราให้สว่างที่สุดตอนนี้ กายทิพย์ให้สว่างที่สุด วางทุกอย่าง ทิ้งทุกอย่าง อยู่กับพระพุทธองค์บนพระนิพพาน อยู่กับกระแสเมตตาของพระพุทธองค์

ซึมซับรับกระแสเมตตา รับกระแสของความผ่องใส กระแสของความสว่าง

กำหนดน้อมว่าขอให้เมื่อเรากลับลงมายังโลก เราก็ยังสามารถจะทรงสภาวะความรู้สึกว่าเราเป็นกายพระวิสุทธิเทพได้ตลอดเวลา เมื่อกลับลงไปยังโลกก็ขอให้เราทรงอารมณ์ความรู้สึกในความผ่องใส ในความว่างในความวางในการปล่อยวาง เหมือนจิตเราเป็นเหมือนกับใบบัวที่หยาดน้ำไม่อาจจะเปียกใบบัวได้ฉันใด ใจของเราก็ไม่เกาะเกี่ยวอารมณ์ที่มากระทบทั้งหลาย กระแสใจกระแสความรู้สึกกระแสความคิดที่มากระทบทั้งหลายฉันนั้นด้วยเช่นกัน ใจของเราสว่างจนความมืด อกุศล ความคิดลบ กระแสลบ ไม่อาจกล่ำกลายเข้ามา มีแต่ความสว่าง มีแต่ความผ่องใส มีแต่กระแสความรู้สึกเมตตาอภัยสันติ จิตสว่างว่างวาง ทรงอารมณ์บนพระนิพพานไว้ เห็นกายพระวิสุทธิเทพเรานั่งอยู่บนแท่นห้อยพระบาทห้อยขาลงมา กายสว่างอย่างยิ่งชัดเจนอย่างยิ่ง

** ถึงเวลาหากท่านใดไปปฏิบัติในการปฏิบัติธุดงค์ฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง เราก็ตั้งใจยกจิตขึ้นมาครึ่งกำลังก่อน จากนั้นทรงอารมณ์ทวนอารมณ์ สำคัญของฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลังนั้นก็คือบารมีพระบารมีพระพุทธองค์ บารมีจากพระนิพพานท่านลงมาช่วยเต็มกำลัง แต่ในขณะเดียวกันเราทุกคนที่มาฝึก จำเป็นที่จะต้องใช้กำลังใจของเราเองยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพาน ไม่มีอาจารย์ ไม่มีครูที่จะมาช่วยแนะนำ มาช่วยพานำพาทำพาให้เราน้อมจิตไป เราต้องพุ่งจิตของเราขึ้นมาบนพระนิพพานให้ได้เอง ขึ้นมาแล้วยังไม่ต้องกังวลว่าชัดไม่ชัด เต็มกำลังไม่เต็มกำลัง กลั่นจิตพิจารณาตัดขันธ์ห้าเพิ่มบนพระนิพพาน ทรงอารมณ์ทบทวนอารมณ์ความผ่องใสให้เต็มกำลัง ยิ่งจิตผ่องใสเต็มกำลังมากเท่าไหร่ มโนมยิทธิยิ่งเต็มกำลังขึ้นมาเอง อันนี้ก็ให้เราจำไว้ ส่วนคนที่เข้าไปร่วมพิธีก็ให้ตั้งกำลังใจว่าเราไม่ต้องไปสนใจอาการเต้นอาการสั่น เสียงกรีดร้องของคนอื่นคนรอบข้างจะใกล้จะไกลตัดร่างกายไม่สนใจ พอเริ่มฝึกเริ่มปฏิบัติปุ๊บ เราพุ่งจิตอาทิสมานกายขึ้นมานั่งอยู่บนพระนิพพาน ถ้าจะดูถ้าจะรู้ อยากรู้ก็มองจากบนพระนิพพานมองลงมายังโลกมนุษย์ ให้ตั้งกำลังใจไว้เช่นนี้ เวลาขึ้นมาเป็นเต็มกำลังเรียบร้อยแล้ว เราก็กำหนดกราบเรียนกราบทูลสมเด็จองค์ปฐมก็ดี พระพุทธองค์ก็ดี ครูบาอาจารย์ที่ปรากฏขึ้นที่เราเห็นที่เราสัมผัสได้ในมโนมยิทธิก็ดี กราบเรียนถามเรื่องหน้าที่ที่มีต่อส่วนรวมต่อพระพุทธศาสนาของเรา หน้าที่ในการอธิษฐานลงมาเกิดของเรา และในขณะเดียวกันก็กราบเรียนถามเรื่องกรรมฐานเรื่องแนวทางในการปฏิบัติของเราที่เป็นเรื่องเฉพาะตน บางครั้งบางคนก็จะปรากฏเห็นบ้างเจอบ้างอดีตชาติของตน ให้รู้ก็กำหนดรู้ไว้ เรื่องใดที่พึงรู้ก็รู้ อันนี้ก็เป็นส่วนที่เราแต่ละคนพึงทำเวลาที่ไปฝึกมโนมยิทธิ

เมื่อพระท่านสอนแล้วหรือกราบทูลกับพระพุทธเจ้าก็ดี ครูบาอาจารย์ก็ดีข้างบนเรียบร้อยแล้ว ก็ทรงอารมณ์ อารมณ์พระนิพพานให้นานที่สุดอยู่ตรงนั้นจนหมดเวลา อันนี้ก็เป็นแนวทางในการปฏิบัติ

สำหรับคนที่ไปปฏิบัติธุดงค์ก็ตั้งกำลังใจ พอไปปฏิบัติปุ๊บทำความรู้สึกว่ากายเราเป็นกายของพระวิสุทธิเทพ ทรงกายพระวิสุทธิเทพอยู่ตลอดเวลาที่ปฏิบัติ ในขณะที่อีกกายหนึ่งเป็นกายพระวิสุทธิเทพอยู่บนพระนิพพานตลอดเวลาที่นึกถึงอยู่กับพระพุทธเจ้าตลอดเวลาที่นึกถึง เพียงแต่ช่วงบวชก็เป็นช่วงที่เรากำหนดอารมณ์ใจให้มีความเข้มข้น และระมัดระวังพยายามรักษาไม่สนใจไม่รับกระแสคลื่น คลื่นความคิด คลื่นความรู้สึก เราไม่ต้องไปรับ การกระทบกันด้วยวาจาด้วยกายด้วยอารมณ์จิต เราไม่รับไม่สนใจปล่อยวางให้เร็วที่สุด กำหนดว่าเรามาปฏิบัติให้เข้มข้น ทรงอารมณ์ความผ่องใสตลอดเวลา เวลาเดินไปไหนมาไหน อาทิสมานกายกายพระวิสุทธิเทพเป็นตัวพาขันธ์ห้าไป ไม่ใช่ขันธ์ห้าลากเราไป แต่กายทิพย์กายพระวิสุทธิเทพเป็นตัวลากซากศพขันธ์ห้านี้ไป ขันธ์ห้ามันก็ไปตามภาษา แต่เราคือ กายพระวิสุทธิเทพสว่างผ่องใส ใจยิ้มตลอดเวลา อันนี้ก็สำหรับคนที่ปฏิบัติที่ไปนะ

ส่วนคนที่ไม่ไปก็ไม่เป็นไร ในวันที่ฝึกมโนมยิทธิก็จะมีกระแสจากพระนิพพานท่านลงมาเยอะเพราะท่านสงเคราะห์มากเป็นพิเศษ เทพพรหมท่านมาสงเคราะห์มากเป็นพิเศษ เราจะอยู่ต่างประเทศก็ดี อยู่บ้านก็ดี เราก็ฝึกตาม ทรงอารมณ์ตาม โดยตั้งจิตอธิษฐานว่า “กระแสครูบาอาจารย์ กระแสของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ เทพพรหมเทวาที่มีโปรดลงมามากเพียงใด ก็ขอให้กระแสนั้นส่งลงมาถึงข้าพเจ้าให้มีกำลังใจในการยกจิตในการปฏิบัติ ให้มีความสว่างชัดเจนอย่างยิ่งด้วยเถิด” อย่าลืมนะก็ตั้งใจปฏิบัติได้เหมือนกัน

สำหรับวันนี้ ก็ขอโมทนากับทุกคน ทรงอารมณ์ความเป็นกายพระวิสุทธิเทพสว่าง กำหนดน้อมจิตกราบลาพระพุทธเจ้า กราบลาพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ทุกพระองค์ เทพพรหมเทวา ท่านผู้มีพระคุณทุกพระองค์

น้อมจิตกราบด้วยความเคารพ พระอสีติมหาสาวกที่ท่านมาโปรดมาสงเคราะห์ เราก็น้อมจิตกราบ ใจเราผ่องใสสว่าง

จากนั้นน้อมจิตแผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลว่า ขอให้การปฏิบัติบูชาของข้าพเจ้าวันนี้ จงเป็นไปเพื่อทำให้พระนิพพานให้แจ้ง ขอการปฏิบัติบูชา กระแสจากพระนิพพานนี้ เป็นการปฏิบัติบูชาโดยตรงต่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ พ่อแม่ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ ครูบาอาจารย์ที่อบรมสั่งสอนทั้งทางโลกทางธรรม เทพพรหมเทวาที่เกื้อกูลสงเคราะห์ พ่อเกิดแม่เกิด พ่อธาตุแม่ธาตุทั้งสี่ ปู่โสมที่เฝ้าทรัพย์ทั้งหลายของข้าพเจ้า รุกขเทวดาภุมมเทวดาทั้งหลาย พญานาค พญายม อินพรหมยมยักษ์ทั้งหลาย ดวงจิตดวงวิญญาณปู่ย่าตายายต้นตระกูลบรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมกระแสบุญกุศลถึงท่านทุกรูปทุกนาม ขอกระแสจงปรากฏขึ้นเต็มกำลัง ขอบุญโดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้มีบุญที่ถวายมหาสังฆทานขอบุญมหาสังฆทานจงปรากฏเป็นมนุษย์สมบัติ ส่งผลให้ข้าพเจ้าใช้สร้างบารมี ดูแลขันธ์ห้าร่างกายอันตภาพนี้ในการสร้างบุญสร้างบารมี ขอจงเป็นมนุษย์สมบัติทรัพย์สินในการดูแลอุปถัมภ์ ปิยชนและครอบครัวของข้าพเจ้า ขอให้ทรัพย์สินเงินทองมากมายล้นเหลือในการสร้างบารมี สร้างคุณประโยชน์ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์สืบต่อไป

จากนั้นเราพุ่งจิตกลับลงมายังโลกมนุษย์  น้อมกระแสจากพระนิพพานเป็นแสงสว่าง ลงมาฟอกธาตุขันธ์ขันธ์ห้า เห็นร่ายกายขันธ์ห้านี้เป็นแก้วใส อวัยวะภายในเป็นแก้วใสสว่างลึกลงไปถึงระดับเซลล์ระดับDNAสว่าง โรคภัยไข้เจ็บสลายหายไป สิ่งที่เป็นพิษเป็นโทษสลายหายไปจากร่างกาย สารพิษสิ่งแปลกปลอมที่อยู่ในร่างกายถูกกระแสแห่งพระนิพพาน แสงสว่าง สลายอนุภาคอันเป็นพิษ สลายล้างหายออกไป ร่างกายปลอดโปร่ง โล่ง กระแสบุญส่งผลถึงระดับเซลล์ พลังชีวิตในระดับเซลล์เพิ่มพูนขึ้น บุญหล่อเลี้ยงรักษาทั่วร่างกายขันธ์ห้า ใครที่เจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบายก็ขอจงหายเจ็บหายไข้มีพละกำลัง จิตมีความสว่างผ่องใส ใจมีความสุข ใจประกอบชอบด้วยกุศลเจตนา

จากนั้นนะตั้งใจว่าเราโมทนาสาธุกับเพื่อนที่ปฏิบัติธรรมทุกคน ญาติติธรรมทั้งหลาย รักสามัคคี เมตตา อภัย อโหสิกรรมต่อกัน ใจเรามีแต่ความสุข ใจเรามีแต่ความผ่องใส เคราะห์วิบากทั้งหลายสลายตัวไป คลายตัวไป บุญส่งผลทันใจ บุญส่งผลทันใจ สิ่งใดที่เป็นภาระ สิ่งใดที่เป็นทุกข์ สิ่งใดที่มากระทบใจ เราอโหสิกรรม คนรักคนใกล้เคียงอาจจะกระทบใจเรา มีภาระเรื่องเดือดร้อนให้เรา เราอโหสิกรรม รักษาใจเราให้ผ่องใส ผลบุญจงส่งผล กุศลจงเปิดสายบุญสายทรัพย์สายสมบัติสายบารมี ความเดือดร้อนทั้งหลายวิบากกรรมทั้งหลายจงผ่านพ้นผ่านไปหายไปอย่างอัศจรรย์กันทุกคนด้วยกำลังแห่งบุญมาหนุนนำด้วยเถิด

น้อมใจอธิษฐาน บุญส่งผลทันใจ บุญส่งผลทันใจ บุญส่งผลทันใจ

จากนั้นหายใจเข้าลึกๆช้าๆ 3 ครั้ง

หายใจเข้าพุทธ ออกโท พระพุทธเจ้าคุ้มครองรักษา

หายใจเข้าลึกๆช้าๆ ครั้งที่ 2 ธัมโม กระแสธรรมน้อมนำให้ใจเราผ่องใสเป็นสุขเสมอ

หายใจเข้าครั้งที่ 3 สังโฆ กำลังแห่งครูบาอาจารย์ พระอริยเจ้าส่งผล บันดาลให้เกิดความสุขความเจริญ สุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงกันทุกคน

สำหรับวันนี้ก็ขอให้ทุกคนมีความสุขความเจริญ ท่านไหนไปปฏิบัติไปเจริญพระกรรมฐาน ปฏิบัติธุดงค์ ฝึกมโนมยิทธิ ก็ขอให้สำเร็จไปได้เต็มกำลังกันทุกคน มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม จิตทรงอารมณ์ความผ่องใส ภูมิจิตภูมิธรรมสูงขึ้น มีความสุขความเจริญขึ้น แล้วก็ขอให้เราตั้งกำลังใจดีๆในการปฏิบัติ มีความสม่ำเสมอ ทรงอารมณ์ที่ผ่องใสให้ได้แม้จะเจอสิ่งที่มากระทบในชีวิตประจำวัน

สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน พบกันใหม่สัปดาห์หน้าวันอาทิตย์ ฃ

สำหรับวันนี้สวัสดีครับ

ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย คุณ Be Vilawan

You cannot copy content of this page