green and brown plant on water

อธิษฐานบารมี

เวลาอ่าน : 3 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน” 

วันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2567

เรื่อง อธิษฐานบารมี

โดย อาจารย์คณานันท์ ทวีโภค

กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทั่วร่างกายทุกส่วนพร้อมกับความรู้สึกว่าเราปลดปล่อยความเกาะ ความรู้สึกที่เกี่ยวโยงเชื่อมโยงกับร่างกายขันธ์ 5 ผ่อนคลายปล่อยวางขันธ์ 5 จนจิตเกิดความเบาความสบายความสงบตามไปด้วย 

จากนั้นกำหนดจิต ใช้สติพิจารณาปลดปล่อยความคิดความกังวล สิ่งที่เป็นห่วงทั้งหลาย สิ่งที่เป็นภาระของใจทั้งหลายออกไปจากห้วงความคิด ปล่อยวางทั้งกายและใจ มาจดจ่ออยู่กับลมหายใจสบาย จินตภาพเห็นลมหายใจของเราเหมือนกับแพรวไหมพลิ้วผ่านเข้าออกในกาย ลมหายใจยิ่งเบายิ่งละเอียด ลมหายใจยิ่งผ่องใส อารมณ์ใจเรายิ่งเข้าถึงความปลอดโปร่งโล่งเบาสบาย ลมหายใจละเอียด เบา สงบ ลมปราณสัมพันธ์จิตใจ ยิ่งลมหายใจละเอียดเบา  อารมณ์จิตเรายิ่งปลอดโปร่งยิ่งสงบ เข้าถึงความสุขแห่งความสงบในอานาปานสติ 

วิหารธรรม คือธรรมอันเป็นเครื่องอยู่เครื่องพักใจของจิต ลมหายใจละเอียดเบาสบายผ่องใส ทรงอารมณ์ทรงสภาวะแห่งความสงบ 

จากนั้นกำหนดหยุดจิต หยุดความคิด หยุดการปรุงแต่ง หยุดเป็นตัวสำเร็จ สำเร็จประโยชน์จากการที่เราได้ฝึกจิตให้มีจิตตานุภาพ ธรรมชาติของจิตย่อมไหลไปตามกิเลส ไหลไปกับกระแสของความคิดการปรุงแต่งที่เรียกว่าความฟุ้งซ่าน แต่เมื่อไรก็ตามที่จิตเรามีความตั้งมั่นในเอกัคตารมณ์ นิ่งหยุดจิตเราก็มีกำลังอยู่เหนือนิวรณ์ 5ประการ อยู่เหนือกิเลสความรักโลภโกรธหลงทั้งปวง หยุดปรุงแต่งได้ หยุดยั้งความรู้สึกความคิดในความอาฆาตพยาบาทได้ หยุดจากความคิดอยากได้โลภโมโทสัน หยุดจากอกุศลทั้งหลายที่เล็ดลอดเป็นมารของใจ ดลให้เราคิดในสิ่งที่เป็นอกุศล หยุดจากอกุศลทั้งปวง นิ่งหยุด

เมื่อหยุดจิตแล้ว เรากำหนด ณ ตำแหน่งที่ความรู้สึกของลมนั้นหยุด จิตหยุด กำหนดจิตนึกเป็นภาพดวงแก้วใสสว่างขยายขึ้น ดวงแก้วยิ่งสว่างขึ้นใสขึ้น จนจิตมีสภาวะเป็นเพชรประกายพรึก มีความแพรวพราวมีรัศมีแสงสว่างเป็นประกายรุ้ง รายรอบออกมาจากดวงจิต ทรงสภาวะความระยิบระยับของจิต ความสว่างไสวแพรวพราวของจิต พร้อมกับความรู้สึกที่จิตเรามีความอิ่ม มีความสุข จนกระทั่งกระแสความรู้สึกแห่งความสุขความเอิบอิ่มแช่มชื่นเบิกบาน แผ่สว่างกระจายสัมพันธ์กับรัศมี สัมพันธ์กับภาพสภาวะที่จิตเราเป็นเพชรประกายพรึก จิตเป็นปฏิภาคนิมิต 

พอถึงภาคของกสิณ เคล็ดของการปฏิบัติก็คือ ภาพนิมิตสัมพันธ์จิตใจ ยิ่งภาพของกสิณแพรวพราวระยิบระยับสว่างใสมากเท่าไร จิตยิ่งเป็นความสุขอย่างยิ่งยวด กระแสพลังงานของจิตที่แผ่ความสุขออกไป ก็คือกระแสของความเป็นทิพย์ การผนวกประสานระหว่างกสิณจิต 

เราควบกองโดยกำหนดจิตใน 2 ลักษณะ 

ลักษณะแรกคือ ทำความรู้สึกว่าแสงสว่างกระแสของจิตรัศมีของจิตความเป็นทิพย์ที่แผ่ออกไปนั้น เป็นกระแสของความสงบเย็นเมตตา คือควบผนวกเอากสิณมารวมกับเมตตาพรหมวิหาร เมตตาอัปปนาฌาน และที่เพิ่มต่อมาอีกก็คือการกำหนดว่าในดวงแก้วอันเป็นกสิณโดยเฉพาะอย่างยิ่งกสิณแสงสว่าง คืออาโลกสิณควบกองกับภาพพุทธนิมิตคือภาพองค์พระอยู่ในดวงจิตดวงแก้ว นั่นก็คือทรงไว้ในพุทธานุสติควบอาโลกสิณ กระแสแสงสว่างที่แผ่ออกไปเป็นกระแสเมตตาเป็นกระแสพระพุทธเมตตา ก็ควบอีกกองหนึ่งก็คือเมตตาฌาน 

ดังนั้นฌานทั้งหลายกรรมฐานทั้งหลาย อันที่จริงสามารถควบกอง สามารถประสานประโยชน์ ประสานเป็นกำลังจิตได้ เราก็ทรงอารมณ์จิตว่าจิตเราเป็นเพชรประกายพรึก กลางดวงจิตของเรามีองค์พระสว่าง พร้อมกับกระแสรัศมีแสงสว่าง ความเป็นทิพย์ของจิตที่แผ่ออกไปเป็นกระแสแห่งเมตตา ที่มีกำลังของพุทธานุภาพเป็นพระพุทธเมตตา แผ่สว่างกระจายออกไป

คราวนี้ผลอานิสงส์แห่งการปฏิบัติก็คือ 

1 จิตเราตั้งมั่น อยู่ในพุทธานุสติ จิตเรารำลึกมีพระพุทธองค์เป็นสรณะที่พึ่งที่อาศัย 

ประการที่ 2 จิตมีกำลังจากกำลังของกสิณก็คือ อาโลกสิณอันเป็นบาทฐานของอภิญญาใหญ่ที่จะต่อยอดขึ้นไปสู่การใช้มโนมยิทธิ การเจริญเมตตาอัปปนาฌานที่เราแผ่ออกไปพร้อมกับรัศมีจิต ก็เป็นการแผ่เมตตาเจริญเมตตาอันไม่มีประมาณ ดังนั้นผลอานิสงส์ของการปฏิบัติในขณะจิตเดียวที่เราควบ 3 กองนั้น ก็เท่ากับเราได้อานิสงส์แห่งการเจริญพระกรรมฐานทั้ง 3 กองไปพร้อมกัน ซึ่งอันที่จริงแล้วการฝึกการปฏิบัติที่ทำได้แบบนี้ ผู้ที่ฝึกได้ก็ถือว่าเป็นผู้ที่มีบารมีมาในกาลก่อน เป็นผู้ที่มีความเพียรพยายามในการปฏิบัติ การทรงอารมณ์ฌาน การทรงอารมณ์พระกรรมฐานเพียงแค่กองเดียว อันที่จริงสำหรับบุคคลที่ไม่เคยมีวาสนาบารมี หรือมีกำลังเคยปฏิบัติมาในกาลก่อน คือในอดีตชาติแค่กรรมฐานกองเดียวก็ถือว่าเป็นเรื่องยากที่จะทรงอารมณ์ แต่การที่เราทรงอารมณ์ได้ทั้งสามกองก็ถือว่ากำลังของพระกรรมฐานกำลังของจิตตานุภาพ วสีความชำนาญเชี่ยวชาญที่เราปฏิบัติ ค่อยๆส่งผลให้จิตของเรามีการทรงตัวในการทรงกรรมฐานหรือการทรงฌาน อันนี้แจงพิจารณาย้อนให้เราได้เข้าใจได้ทราบว่าสิ่งที่เราปฏิบัตินั้น อันที่จริงแล้วมีผลมีอานิสงส์หลายอย่าง 

ให้จิตเรามีความยินดีในการปฏิบัติ เราปฏิบัติมาได้ไกลได้สูง ปฏิบัติจนกระทั่งสิ่งที่ยากนั้นกลายเป็นเรื่องปกติกลายเป็นเรื่องง่ายกลายเป็นเรื่องสามัญ อันนี้ก็คือเป็นผลของการปฏิบัติซ้ำ ปฏิบัติจนกระทั่งเป็นธรรมดาจนกระทั่งกรรมฐานติดเนื้อของจิตเป็นธรรมชาติของจิตไป พอเราฝึกได้ทำได้แล้ว คราวนี้เราก็กำหนดต่อไป ตั้งจิตทรงอารมณ์ให้ดีที่สุด จิตเราเปล่งประกายสว่างองค์พระสว่างเป็นเพชร คลื่นกระแสรัศมีของจิต คลื่นกระแสความเป็นทิพย์ของจิต แผ่ออกเป็นกระแสเมตตาอันไม่มีประมาณสว่าง 

ทรงสภาวะภาพนิมิตของจิต ทรงสภาวะความสุขความอิ่มใจ ความเป็นทิพย์ แผ่สว่างกระจายชัดเจนอยู่ ทรงอารมณ์สว่างไสว ประคองสภาวะในนิมิตกสิณในกรรมฐาน การประคองเพื่อให้เกิดวสีความชำนาญความตั้งมั่น ทรงอารมณ์ไว้ สว่าง 

กำหนดจิตว่าความสว่างความผ่องใสนี้ จิตของข้าพเจ้าเป็นจิตที่สะอาดปราศจากกิเลสความรักโลภโกรธหลงทั้งปวง ในขณะที่ข้าพเจ้าปฏิบัตินี้ จิตข้าพเจ้าเข้าถึงทานศีลภาวนาพร้อม จิตทรงไว้ในกุศลผลบุญ ทานที่ข้าพเจ้าได้ถวาย สังฆทานมหาสังฆทาน กฐินทาน ทานนั้นสำเร็จประโยชน์ เกิดเป็นทิพยสมบัติ เกิดเป็นอริยสมบัติ น้อมใจของเราตอนนี้ อธิษฐานจิตต่อองค์สมเด็จพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ภาพองค์พระปรากฏชัดเจนแจ่มใส กระแสแห่งพุทธานุภาพพุทธบารมีของพระพุทธองค์เป็นหนึ่งเดียวกับพุทธนิมิต คือภาพของพระในจิตของเรา องค์พระสว่าง

จากนั้นเราอธิษฐานจิต ขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอยกจิตอาทิสมานกายของข้าพเจ้าขึ้นไปบนพระนิพพาน อาทิสมานกายของเราปรากฏอยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐมบนพระนิพพาน กายทิพย์เราปรากฏในสภาวะความเป็นการแห่งพระวิสุทธิเทพ อธิษฐานขออาราธนาพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ เมตตาปรากฏสงเคราะห์เราอยู่บนพระนิพพาน เราอยู่ท่ามกลางมหาสมาคม น้อมจิตกราบด้วยความเคารพด้วยความนอบน้อม 

จากนั้นตั้งจิตอธิษฐานขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอให้ข้าพเจ้าได้อธิษฐานจิตตรงต่อพระพุทธองค์บนพระนิพพาน พอเราได้ตั้งกำลังใจตั้งจิตดังนี้เช่นนี้แล้ว ต่อไปเวลาที่เราอธิษฐานสิ่งใดก็ตาม เราก็จดจำว่าเราขึ้นมาอธิษฐานตรงกับพระพุทธองค์บนพระนิพพาน

จำไว้ว่าการที่เราฝึกปฏิบัติจนกระทั่งสามารถขึ้นมากราบพระ ขึ้นมากราบทูลพระพุทธองค์ท่านได้ เราก็จงเจริญรอยตามครูบาอาจารย์ทุกท่านทุกๆพระองค์ ที่ท่านเคยเมตตาทำสืบต่อกันมา ตั้งแต่สมัยพุทธกาล ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าในอดีตกาล หรือในยุคสมัยที่ครูบาอาจารย์ที่เรายังทันยังรู้จัก ก็มีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับการที่ท่าน ที่เป็นพระดีพระสุปฏิปันโน พระอริยเจ้า องค์ใดที่ท่านสามารถมีกำลังของอภิญญา ท่านก็จะขึ้นมากราบทูลพระพุทธเจ้าเสมอ 

อย่างหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านจะสร้างสิ่งใดไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูปไม่ว่าจะเป็นถาวรวัตถุ วัดวาอาราม เจดีย์วิหารต่างๆ ก็เป็นคำที่พระท่านเมตตาสั่งให้สร้างสั่งให้สงเคราะห์ เพื่อเตรียมการในการปูพระพุทธศาสนา รองรับผู้คนที่จะเข้าถึงมรรคผลต่อไปในอนาคตกาล จากยุคสมัยที่ท่านเริ่มสร้าง แล้วก็เป็นไปตามที่พระท่านบอกสงเคราะห์จริงๆ หรือแม้แต่หลวงตามหาบัว การที่ท่านรวบรวมเงินในการซื้อทองคำรวบรวมทองคำเพื่อถวายเข้าสู่พระคลังหลวง สุดท้ายท่านก็เล่าเป็นการภายใน ซึ่งต่อมาก็มีการเผยแผ่ ว่าตอนแรกท่านก็พิจารณามองว่าเป็นกิจของสงฆ์หรือไม่ที่เข้ามารวบรวมทองคำถวายเข้าสู่พระคลังหลวง แต่สุดท้ายท่านก็ได้เล่าบอกว่า ท่านได้ขึ้นไปทูลถามพระพุทธองค์ข้างบน พระพุทธองค์ท่านทรงมีพุทธานุญาต ท่านก็เลยได้ประกาศในการจัดทำผ้าป่าทองคำช่วยชาติกับหลวงตาท่าน 

ดังนั้นกิจการต่างๆที่เราทำ เราก็จำไว้ว่าเราเป็นลูกหลานของหลวงพ่อ ของครูบาอาจารย์ อันที่จริงก็เป็นลูกหลานของพระพุทธองค์ ตัวเราทุกคนปฏิบัติถึงก็ถือว่าเป็นลูกหลานของพระพุทธเจ้า เราก็พึงที่จะทำการสิ่งใดเราก็ขึ้นมาทูล อย่างจะสร้างพระเราก็ทูลถามก่อน เราจะหล่อพระเราจะบวงสรวงก็ทูลถามทูลขอ ท่านมีพุทธานุญาตเราก็เลยทำเราก็จึงทำ ถึงเวลาถ้าเราทำแบบนี้ โดยการที่เราทูลขออธิษฐานจิตขอ กิจการต่างๆคือสิ่งที่เราทำ งานบุญต่างๆ กุศลต่างๆที่เราทำ ส่วนใหญ่ก็จะมีความราบรื่นเรียบร้อยเสมอ แต่ถ้าเมื่อไรก็ตามที่เราใช้กำลังของตัวเราเอง คำว่ากำลังของตัวเราเองก็คิดไปตามประสาของเราว่า ฉันจะเอาแบบนี้ ฉันจะทำแบบนี้ ฉันก็จะทำแบบนี้ โดยที่ไม่ได้ขอ พระท่านไม่ได้มีขอพุทธานุญาตจากพระพุทธองค์ ส่วนใหญ่ก็จะมีอุปสรรคก็จะมีปัญหาอันนี้ก็จะเป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าใครก็ตามที่ทูลขอก่อนส่วนใหญ่งานก็จะมีความราบรื่น ตรงจุดนี้หลายคนแม้กระทั่งเรื่องทางโลกเรื่องกิจงานกิจการงานเรื่องธุรกิจส่วนตัวอาชีพที่ทำ บางคนก็ขอพระท่านด้วยเช่นกัน อันนี้อันที่จริงก็ถือว่าไม่ใช่เป็นเรื่องผิดสามารถทำได้ ซึ่งหลายคนที่ทำก็ประสบความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า อันนี้เป็นเรื่องปกติซึ่งจริงๆก็สามารถทำได้ ไม่ใช่เฉพาะแต่ขอในเรื่องสิ่งที่เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างเดียว แต่การขอในเรื่องอาชีพการงานที่เราไปขออาราธนาขออธิษฐานกับพระกับพระพุทธองค์ ก็ยังมีความจำเป็นว่าจะต้องเป็นอาชีพที่เราไม่ไปละเมิดศีลไม่ไปทำผิด ไม่ไปเบียดเบียนไม่เป็นมิจฉาอาชีวะ คือเป็นอาชีพที่ถูกทำนองคลองธรรมเป็นสัมมาอาชีวะ เป็นอาชีพที่ไม่ได้เป็นอาชีพต้องห้ามที่พระพุทธเจ้าทรงตรัส อาทิเช่น การค้าชีวิตสัตว์ การค้าอาวุธ การค้าที่เป็นอบายมุข หรือการค้าที่เป็นยาพิษการทำลายชีวิตผู้อื่น การเบียดเบียนผู้อื่นหรือเป็นธุรกิจที่มีการฉ้อโกงเบียดเบียนเบียดบังผู้อื่นหรือคอรัปชั่นเอารัดเอาเปรียบบ้านเมืองเป็นต้น 

ถ้าเป็นสัมมาอาชีวะทำด้วยจิตบริสุทธิ์ ยามมีแล้วก็แบ่งปันมาทำบุญทำทานมาสงเคราะห์ ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ส่วนใหญ่พระท่านก็เมตตาให้สำเร็จอยู่ คราวนี้สิ่งสำคัญที่จะให้อธิษฐาน เนื่องจากถ้าเราสังเกตดู สิ่งสำคัญที่สุดโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เข้ามาใหม่ในพระพุทธศาสนา คือในอดีตชาติเราเคยปฏิบัติมามีทั้งตรงมีทั้งเป๋ แต่คราวนี้บางคนเพิ่งเข้ามาปฏิบัติธรรม เราบางทีเราเห็นการสอนของแต่ละสายแต่ละสำนักแต่ละครูบาอาจารย์ มีอุปนิสัย มีวาสนา มีเทคนิคการสอน มีเนื้อธรรมการสอนที่แตกต่างกัน แต่คราวนี้บางคนของเก่าทำมาดีหรือเคยอยู่ในสายที่ตรง เราเข้ามาปุ๊บหรือเข้ามาเพียงไม่นานเราก็เข้ามาอยู่กับครูบาอาจารย์ที่เป็นสัมมาทิฏฐิที่สอนตรง แต่คราวนี้บางคนบางท่านไม่ได้มาในสายที่ตรงกับครูบาอาจารย์ที่ท่านสอนตรงมาแต่แรก เคยอยู่ผิดที่ผิดทางบ้าง อยู่ผิดสายหรืออยู่ในสายที่เป็นอวิชชา อยู่ในสายที่เป็นคุณไสย อยู่ในสายที่เป็นมิจฉาทิฐิ อันนี้โอกาสหลายๆคนจากประสบการณ์ของอาจารย์ที่สังเกตมาก็พบ บางคนไปผิดสายก็ไปผิดสายอยู่นั่น ถึงเปลี่ยนครูบาอาจารย์ก็ไปเจอสายผิดอยู่ดี อันนี้บางครั้งบางทีก็น่าเสียดาย 

ดังนั้นอันที่จริงวิธีการที่สำคัญ สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือเมื่อเข้าสู่เขตพระพุทธศาสนา อธิษฐานบารมีสำคัญที่สุด เราอธิษฐานตรง ถ้าอธิษฐานตรงกับพระพุทธองค์ได้ อันที่จริงก็ถือว่าเราเข้ามาตรงเข้ามาลึก เราอธิษฐานว่าการที่เรามาปฏิบัติขอให้พบเจอแต่ครูบาอาจารย์จากพระที่เป็นพระอริยเจ้าพระอริยสงฆ์ พระสุปฏิปันโน พระโพธิสัตว์ผู้เป็นสัมมาทิฏฐิ โดยเฉพาะอย่างยิ่งขอให้เจอเฉพาะแต่ครูบาอาจารย์ที่ท่านสอนแล้วโปรดแล้วเราสามารถเข้าใจและเข้าถึงธรรมได้ บางทีเรามีโอกาสไปปฏิบัติหรือไปฝึกหรือเจอครูบาอาจารย์ ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้า แต่วิสัยของท่านบางครั้งบางองค์ท่านเป็นวิสัยเฉพาะตน เหมือนคล้ายกับวิสัยของพระปัจเจกพระพุทธเจ้าคือ ท่านสอนตนนำพาตนจนสิ้นอาสวะกิเลสหรือกิเลสเบาบางไปได้ แต่ไม่ได้อยู่ในวิสัยที่มาสงเคราะห์มาโปรดที่จะทำให้ญาติโยมนั้นเข้าถึงมรรคผลเช่นเดียวกับที่ท่านทำได้ อันนี้แต่ละองค์ต้องเข้าใจก่อนว่าครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้านั้นมีวาสนาบารมีที่แตกต่างกัน 

ดังนั้น บางครั้งเราจำเป็นที่ต้องไปพบเจอครูบาอาจารย์ที่ท่านมีวาสนาบารมี ภาษาการปฏิบัติเรียกว่าเป็นคู่ปรับ คำว่าคู่ปรับนั่นหมายความว่าสามารถที่จะสอนให้เราเข้าใจ สอนและสามารถเอาเราอยู่ได้ บางครั้งเราดื้อก็รู้เชิงที่จะแก้จริตแก้จุดที่ติดขัดของเราได้ อันนี้เรียกว่าเป็นคู่ปรับ ถ้าเราอธิษฐานแล้วพบเจอได้ตรง การปฏิบัติธรรมของเราก็ก้าวหน้าก็เร็วขึ้น เร็วลัดตัดตรงขึ้น อันนี้อันที่ 1 ก็จะคือ “อธิษฐานขอพบครูบาอาจารย์”

ต่อมาก็คืออธิษฐานจิต “ขอให้พบเจอธรรมะที่ถูกต้องกับจริต” จริตของเราแต่ละคนแตกต่างกัน ตรงกับนิสัยวาสนาบารมีในกาลก่อนของเรา อย่างเช่นบางคนในอดีตชาติเคยทำบุญมาเป็นทานอันประณีต ถึงเวลาจิตเกิดมาชาติใหม่ก็ชอบทานที่มีความปราณีต ต้องมีความสวยงามต้องมีความวิจิตรบรรจง ต้องมีทองคำเป็นเครื่องถวายเป็นเครื่องประดับ จิตจึงมีความอิ่มความเต็ม ภาพองค์พระก็จำเป็นที่ต้องทรงภาพพระที่มีความวิจิตรบรรจงงดงาม อันนี้ก็คือวาสนาเดิม 

หรือบางครั้งบางบุคคลในอดีตชาติเคยมีวาสนา เคยเป็นสัปเหร่อหรือเป็นอาสาที่ช่วยทำศพของผู้อื่นมา หรือเคยเป็นแพทย์มาในกาลก่อน เห็นร่างกายเห็นซากศพบ่อยเข้าเป็นปกติ พอมาในชาติปัจจุบัน วาสนาอุปนิสัยในกรรมฐานที่เจริญแล้วจะทำให้มีความก้าวหน้าในการบรรลุมรรคผล ก็จะแตกต่างกันไป กลายเป็นว่ามีอุปนิสัยที่เมื่อพิจารณาในอสุภะกรรมฐาน อสุภสัญญาคือการพิจารณาซากศพนวศรี 9 กลับมีความก้าวหน้า คือจิตมีความสลด ปล่อยวางในกายขันธ์ 5 วางกิเลสตัดกิเลสจากการตัดกายทิ้งกายด้วยการเจริญอสุภสัญญา แต่สำหรับบางคนให้ไปพิจารณาดูซากศพ จิตกลับเกิดความหวาดความกลัวเกิดความหลอน จิตตกจิตขาดกำลังใจ จิตมีอาการสะดุ้งสะเทือน กลับกลายเป็นว่าไม่สามารถที่จะไปพิจารณาในเรื่องอสุภะหรือนวศรี 9 ได้อย่างบุคคลที่เขามีวาสนา 

ดังนั้นการอธิษฐานก็จงอธิษฐานว่าขอให้พบเจอกระแสธรรมที่ตรงกับจริตนิสัยแล้วก็วิสัยวาสนาบารมี วิสัยอันนี้ก็คือ เราเป็นวิสัยสุขวิปัสสโก หรือเตวิชโช หรือฉฬภิญโญ หรือปฏิสัมภิทัปปัตโต ถ้าตรงกับวิสัยในการบรรลุธรรม การปฏิบัติก็รุดหน้าก้าวหน้าขึ้น 

ส่วนสุดท้ายก็คือการอธิษฐานว่า “ขอให้มีปัญญารู้แจ้งแทงตลอดในธรรมทั้งปวง พิจารณาธรรมทั้งหลายได้กระจ่างประดุจลายที่ปรากฏอยู่บนฝ่ามือของตน” คือเข้าใจกระจ่างชัดเจนแทงทะลุในธรรมทั้งปวง 

สุดท้ายการอธิษฐานที่เกี่ยวข้องตรงจุดนี้ อธิษฐานครบหมดแล้ว เราก็ต้องมาอธิษฐานแก้ในเรื่องของวิบาก ในเหตุที่เราเคยกระทำมาในอดีตชาติ จำไว้ว่าการที่คนเราจะก้าวเข้ามาสู่การภาวนาได้ ส่วนใหญ่ก็จะเจอวิบากกรรม เจอเครื่องขัดขวาง เจอมารขัดขวาง เจอเจ้ากรรมนายเวรขัดขวาง บางคนปฏิบัติธรรมครั้งแรกคือฝึกเจริญภาวนากรรมฐาน อย่างประสบการณ์ของอาจารย์ที่พบเจอจากการสอนสมาธิ มีหลายคนมากที่พอฝึกสมาธิเริ่มหลับตาจิตเริ่มรวมเป็นสมาธิ มีภาพของโครงกระดูกบ้าง มีภาพของสิ่งที่เป็นอสุภะคือภาพของซากศพลอยเข้ามาประชิดติดตัว พอถึงเวลาหลับตาปุ๊บมีภาพนี้ขึ้นมาปั๊บ คราวนี้จิตก็สะดุ้งไม่กล้าทำสมาธิต่อถ้าไม่มีครูบาอาจารย์คอยคุมคอยแนะนำ 

หรืออย่างประสบการณ์ที่พบเจอโดยตรงเคยมีโอกาสไปสอนไปแนะนำสมาธิกับเพื่อนที่บวชเป็นพระ แต่อาจารย์เป็นโยมไปสอน พอสอนกำหนดจิตทำสมาธิได้ไม่นาน ท่านก็ได้รับกลิ่นเป็นกลิ่นเหมือนกับกลิ่นซากศพกลิ่นที่เป็นศพที่ไหม้ไฟ จากนั้นก็เห็นภาพนิมิตเป็นผู้หญิงใส่ชุดไทยห่มผ้าสไบแต่กายมีผิวไหม้อยู่ เขาก็มาปรากฏให้เห็นทันทีที่เริ่มทำกรรมฐานได้ อันนี้ก็คือเจ้ากรรมนายเวร 

ดังนั้นก่อนเจริญพระกรรมฐานการสมาทานพระกรรมฐาน จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ การกราบขมาลาโทษก็เป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลายคนในอดีตชาติเคยทำให้คนอื่นสะดุ้งตกใจ อย่างอดีตชาติบุพกรรมหลายคนสมัยบวชเณร เห็นเพื่อนเณรนั่งสมาธิแล้วมาแหย่ มาหลอกผีบ้างมาแหย่หรือมาทำให้สะดุ้งตกใจในขณะเจริญพระกรรมฐานบ้าง บางทีจุดนี้มันเป็นเหมือนเรื่องเล็กๆเป็นเรื่องสนุก แต่ถึงเวลาผลของกรรมมันแรงเพราะว่าจิตของผู้ที่เขาเจริญพระกรรมฐานถือว่าเป็นปรมัตถบารมี หรือบางครั้งจิตเขากำลังจะก้าวเข้าสู่ฌานที่สูงขึ้นบารมีที่สูงขึ้น หรือกำลังจะตัดกิเลสได้อยู่แล้วกลับมามีคนมาขัดขวาง มาทำให้สะดุ้งบ้าง มาทำให้ตกใจบ้าง หรือทำเสียงรบกวนทั้งที่เจตนาหรือไม่เจตนาบ้าง อันนี้ก็เป็นวิบากกรรมทั้งสิ้น

ดังนั้นการที่เราเมื่อเริ่มปฏิบัติ เราชิงอธิษฐานขอขมากรรมในกรรมทั้งหลายที่เราเคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกิน ผู้ที่เจริญพระกรรมฐานมาในกาลก่อนทั้งที่รู้และไม่รู้ ขอให้วิบากทั้งหลาย กรรมทั้งหลายที่จะมาขัดขวางการเจริญพระกรรมฐานนั้น ได้เบาบางไป ได้คลายตัวไป กำหนดน้อมว่าการเจริญพระกรรมฐานของเรานี้ อุทิศส่วนกุศลให้กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายด้วย ให้ท่านทั้งหลายได้รับได้โมทนาบุญกับเราด้วยทุกครั้งไป อันนี้ก็จะทำให้การปฏิบัติของเรามีความคล่องตัวอุปสรรคมันบรรเทาเบาบางลดน้อยลงไป

อย่างตอนนี้ก็ให้เราอธิษฐานซ้ำ หลายคนเคยอธิษฐานแล้วแต่ให้อธิษฐานซ้ำ ตั้งจิตทรงสภาวะในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพให้สว่างผ่องใสเต็มที่ อยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐมและพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ตั้งจิตอธิษฐานตรงต่อสมเด็จองค์ปฐมและทุกพระองค์บนพระนิพพาน “ขอนับแต่นี้ข้าพเจ้าได้อยู่ในเขตของพระพุทธศาสนา มีปัญญาเป็นสัมมาทิฐิ ขอพบเจอแต่ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอริยเจ้าพระอริยสงฆ์ พระสุปฏิปันโนพระโพธิสัตว์ ขอมีแต่เทพพรหมเทวาผู้เป็นสัมมาทิฐิคอยพิทักษ์รักษาตลอดการเจริญพระกรรมฐาน ตลอดเวลาในการบำเพ็ญบารมี คือการบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนา ขอให้ข้าพเจ้านับแต่นี้สร้างกุศลแต่อยู่ในเขตแห่งเนื้อนาบุญอันประเสริฐ ไปแต่วัดที่เป็นวัดแห่งการปฏิบัติ ทำบุญสร้างกุศลถวายทานแต่พระอริยสงฆ์พระสุปฏิปันโนพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบพระโพธิสัตว์ หากไปพบเจอท่านที่เป็นอลัชชีท่านที่เป็นมิจฉาทิฐิ ก็ขอให้สะดุ้งจิตรู้ทันหลุดออกมาก่อนโดยที่ไม่ถลำลึกไป จิตนับแต่นี้ขอให้ข้าพเจ้ายินดีอยู่กับธรรมอันเป็นกระแสแห่งโลกุตรธรรม เป็นธรรมที่ถ่ายทอดเป็นกระแสจากพระนิพพาน ธรรมอันเป็นแก่นแห่งมรรคผล และเป็นกระแสธรรมอันมีผลให้จิตข้าพเจ้ามีความงอกงามเจริญในธรรม ในศาสนาขององค์สมเด็จพระสมณโคดมพระพุทธเจ้า ธรรมถอดถอนกิเลสให้เบาบางลง ธรรมอันเป็นเครื่องหลุดพ้น ธรรมอันเป็นเครื่องเข้าถึงวิมุติ ขอให้การปฏิบัติธรรมของข้าพเจ้านี้ตั้งมั่นมั่นคงอยู่ในกระแสแห่งโลกุตรธรรมเจ้าเท่านั้น ไม่หลุดออกไปเป็นมิจฉาทิฐิ ไม่หลุดออกไปจากไตรสรณคมน์ นับแต่นี้ตลอดชาติภพตราบเท่าเข้าถึงพระนิพพาน ขอพระพุทธองค์ขอครูบาอาจารย์ผู้เป็นพระอรหันต์ เมตตาสงเคราะห์เกื้อกูลข้าพเจ้าอย่าให้มารทั้งหลาย อย่าให้วิบากทั้งหลาย เข้ามาแทรกเข้ามาพัวพัน เข้ามารั้งการเจริญก้าวหน้าในธรรมของข้าพเจ้าได้เลย”

จากนั้นตั้งจิตกราบ ตั้งจิตกราบทุกท่านทุกๆพระองค์ไว้ คราวนี้น้อมจิตต่อไป ขอภาพองค์พระสว่างผ่องใส สมเด็จองค์ปฐมสว่างเจิดจ้าอย่างยิ่ง อธิษฐานจิตว่าข้าพเจ้าจะมีสติเครื่องรำลึกรู้และใช้วิชาของครูบาอาจารย์คือหลวงพ่อพระราชพรหมญาณในวิถีทางที่ถูกต้อง คือใช้กำลังแห่งมโนมยิทธิ ใช้ญาณทัศนะคือญาณ 8 เครื่องรู้ของจิต ใช้เพื่อมรรคผลพระนิพพาน ใช้เพื่อให้เข้าใจกฎของกรรม ใช้เพื่อให้เข้าใจวัฎจักร การเวียนว่ายตายเกิด ตั้งใจว่าเราจะไม่ใช้ในเรื่องที่เป็นเรื่องของกิเลส เป็นเรื่องที่จะนำพาให้การที่เรามีญาณทัศนะนี้มันเฝือไปได้ เราจะไม่เอาไปใช้ ใช้ในการสนทนาในเรื่องข้ออรรถข้อธรรม ถามพระในเรื่องที่เป็นกิจการงานของพระพุทธศาสนา หรือเรื่องที่เป็นงานของชาติบ้านเมือง เรื่องที่เป็นการโปรดมวลหมู่สรรพสัตว์เพื่อเป็นการสงเคราะห์ช่วยเหลือ เราจะใช้ในขอบเขตตรงเท่านั้น พยายามอย่าไปใช้ในเรื่องที่เป็นความรักความโลภเป็นความผูกพันเป็นความหลงในภพชาติ

เช่นเมื่อเป็นรู้ว่าคนนี้เคยเป็นคู่ของเราก็กลายเป็นว่าไปยึดมั่นถือมั่นว่ายังต้องเป็นคู่เหมือนเดิม จงพิจารณาแต่ว่ามันไม่เที่ยง ไปรู้ในอดีตชาติก็รู้ว่ามันไม่เที่ยง จริงๆทุกอย่างรู้เพื่อละ ญาณทั้งหลายรู้เพื่อละ ละก็คือละเพราะว่ามันไม่เที่ยงอันที่ 1 คือเห็นในอนิจลักษณะความไม่เที่ยง ภพภูมิทั้งหลายไม่เที่ยง การเกิดทั้งหลายไม่เที่ยง เคยมียศศักดิ์ใหญ่โตมา มาชาติอื่นก็กลายเป็นคนธรรมดาเพราะมันไม่เที่ยง มันไม่ได้ดีตลอดไป มันไม่ได้รวยตลอดไป มันไม่ได้เป็นกษัตริย์ไม่ได้เป็นเจ้าชายเจ้าหญิงกันทุกชาติภพ ไอ้ความไม่เที่ยงนี่แหละคือความน่ากลัวของสังสารวัฏ และการรู้เพื่อละในชาติภพต่างๆก็คือรู้เพื่ออโหสิกรรม รู้เพื่อขมากรรม รู้เพื่อยอมรับกฎของกรรม เช่นเมื่อประสบวิบากเจอหกล้มหัวกระแทก หกล้มไปกระแทกไม้หน้าสาม จิตถึงเวลาถ้าเรามีความคล่องตัวในเรื่องญาณเครื่องรู้ในกำลังของมโนมยิทธิ จิตมันจะรู้ทันทีว่า อ๋อที่โดนเข้าให้นี่เพราะว่าเราเคยไปทำเขามาก่อน เคยไปตีเขามาก่อน เคยไปฟันหัวเขามาก่อน พอเรารู้แล้วคราวนี้ถ้าเรายึดเราก็คิดว่ามันมาทำเรา เราต้องเอาคืนมาเล่นเราได้เราก็เป็นคนมีวิชา แกทำฉันได้ฉันต้องทำคืน ถ้าอันนี้ก็คือรู้แล้วยึดติด แต่ถ้ารู้แล้วละก็คืออ้อเราเคยทำเขามา ดังนั้นจบที่เราเบาที่สุด เราก็พิจารณาว่าถ้างั้นไอ้การที่เราเจอหกล้มหัวฟาดบ้าง หกล้มไปเจอไม้หน้าสามบ้าง เราได้ใช้วาระกรรมแล้วก็ขอให้จบ ขอขมากรรม ขออโหสิกรรมขอให้กรรมนี้มันสิ้น พอเราตัดกรรมพิจารณาอโหสิกรรมเป็นโมฆะกรรม คราวนี้กรรมมันจบมันก็ไม่เกิดต่อก็ถือว่าเราสอบผ่าน มันก็ไม่ต้องไปเจอในข้อเดิมซ้ำอีก ไม่ต้องไปจองเวรต่อกันอีก พอเราทำมากเข้ามากเข้า อโหสิกรรมมากเข้ามากเข้า คราวนี้จากเดิมที่เมื่อก่อนอภัยทานเป็นของยาก อภัยทานมันก็ค่อยๆง่ายขึ้น วางได้ง่ายขึ้น อโหสิกรรมให้ง่ายขึ้น 

จำไว้ว่าเมื่อไรที่เราให้อภัยทานให้มากขึ้นง่ายขึ้นบ่อยขึ้น อโหสิกรรมให้มากขึ้นบ่อยขึ้น สุดท้ายกิเลสตัวที่เรียกว่าความพยาบาทมันก็จะสิ้นไปจางไปจืดไปในที่สุด อย่าไปคิดว่าน้อย อโหสิกรรมให้บ่อยจนเป็นอุปนิสัย ความพยาบาทมันเป็นสังโยชน์ข้อที่สูงก็คือเป็นองค์ที่เมื่อไรละได้เป็นองค์นึงที่พาให้จิตเข้าสู่ความเป็นพระอนาคามี 

ดังนั้นยิ่งอโหสิกรรม เรารู้เพื่อละ รู้เพื่อล้าง รู้เพื่อโหสิกรรม รู้เพื่อให้อภัยทาน มันก็กลายเป็นว่าเราตัดความพยาบาทได้ง่ายได้เบาได้เร็ว ไม่นานก็เข้าสู่อารมณ์จิตของความเป็นพระอริยเจ้าที่สูงขึ้น 

ดังนั้นพอเราเข้าใจเรื่องขอบเขตของการใช้ญาณเครื่องรู้ความเป็นทิพย์ของจิต พอใช้ให้ถูกใช้ให้ตรง ความเฝือก็ไม่มี ความก้าวหน้าก็เพิ่มขึ้น กิเลสมันก็เบาลงเพราะเราไม่ไปยึด จำไว้ว่ายิ่งยึดมันก็เท่ากับว่าเรายิ่งแบก แบกกรรมแบกวิบากสร้างกรรมสร้างวิบากเพิ่ม ยิ่งวางยิ่งเบายิ่งละ ยิ่งเข้าถึงวิมุต 

กำหนดน้อมจิตอยู่บนพระนิพพาน กายเป็นพระวิสุทธิเทพใส อธิษฐานวาง อโหสิกรรม ขมากรรม ให้อภัยทาน ให้จิตสภาวะความเป็นกายพระวิสุทธิเทพสว่างอย่างยิ่ง 

จากนั้นตั้งจิตแผ่เมตตา น้อมกระแสจากพระนิพพานแผ่เมตตาสว่าง ขอบารมีพระพุทธองค์เปิดโลกธาตุ เปิด 3 ภพภูมิให้เกิดความสว่างความผ่องใส แผ่เมตตาออกไปทั้ง 3 ภพภูมิ ลงไปจากพระนิพพานนับตั้งแต่อรูปพรหมทั้ง 4 พรหมลูกฟักทั้งหลาย ขอมีบุญมารอมารองรับเมื่อท่านหมดกุศลจากความเป็นอรูปพรหม 

แผ่เมตตาสว่างผ่องใสลงไปยังภพแห่งพรหม ทั้ง 16 ชั้น มีท่านท้าวสหัมบดีพรหมเป็นประธาน กระแสความเมตตาแผ่ไป พรหมทั้งหลายเกิดความยินดีเกิดรัศมีกายเกิดความเป็นประภัสสร บรรดาพรหมทั้งหลายเกิดรัศมีกายสว่างเอิบอิ่ม 

แผ่เมตตาลงไปยังภพของอากาศเทวดาทั้ง 6 ชั้น กระแสความบริสุทธิ์ของจิตที่เรายกขึ้นมาบนพระนิพพาน กระแสที่เราละวางความอาฆาตพยาบาทจองเวรกิเลสทั้งหลาย จิตมีความบริสุทธิ์สูงและแผ่เมตตากำลังบุญยิ่งเพิ่มพูนมากมาย ขอกระแสเมตตาที่แผ่ไปจนเกิดเป็นทิพยสมบัติสำหรับเทวดาแต่ละภพแต่ละชั้น ขอจงเกิดทิพยสมบัติเทวสมบัติ ไม่ว่าเป็นวิมาน เครื่องนุ่งห่มอันเป็นทิพย์ อาหารอันเป็นทิพย์ ทิพยสมบัติจงสำเร็จต่อท่านทั้งหลายอย่างอัศจรรย์ เทวดาทุกชั้นขอท่านเกิดความปรีดาปราโมทย์ ยินดีในทิพยสมบัติที่ข้าพเจ้าแผ่เมตตากุศลตั้งจิตถึง ขอท่านปู่ท่านย่าคือพระอินทร์และพระชายา ขอท่านทั้งหลายคือท้าวมหาราชทั้ง 4 ขอท่านพี่อินทกะ ได้โมทนาได้มีส่วนร่วมในทิพยสมบัติจากการแผ่เมตตา ให้จิตข้าพเจ้าเห็นทิพยสมบัติของเทวดาทั้งหลายปรากฏพร่างพรายมากมายมหาศาลเต็มวิมานของทุกท่านทุกๆพระองค์ด้วยเทอญ  เวลาที่จิตเราเกิดความเป็นทิพย์เห็นผลของการแผ่เมตตา ทิพยสมบัติปรากฏกับท่านทั้งหลายเทวดาพรหม จิตเราก็จงพลอยมีความเอิบอิ่มจิตเราก็จงพลอยมีความยินดีกับท่านที่เข้าถึงความสุขได้รับความเป็นทิพย์ความอิ่ม

จากนั้นแผ่เมตตาต่อมาลงมายังภพของรุกขเทวดา ขอทิพยสมบัติของรุกขเทวดาจงปรากฏ รุกขเทวดาท่านใดที่วิมานคือต้นไม้ถูกทำลายถูกหักโค่น ก็ขอโมทนาบุญของข้าพเจ้า กระแสบุญจากพระนิพพานที่ข้าพเจ้าน้อมอาราธนาแผ่ลงมา ขอท่านทั้งหลายจงโมทนา ยกจิตปรับภพภูมิขึ้นจากรุกขเทวดาที่ไม่มีวิมานขึ้นสู่ความเป็นอากาศเทวดา มีวิมานปรากฏขึ้นบนสวรรค์ชั้นต่างๆด้วยเทอญ ส่วนท่านที่ยินดีในวิมานในทิพยสถานทิพยสมบัติแห่งการเป็นรุกขเทวดาก็ขอให้ปรากฏความเป็นทิพย์ ปรากฏกระแสบุญ อาหารทิพย์ ผ้าทิพย์ วิมานอันวิจิตรบรรจงปรากฏขึ้นกับทุกท่านทุกๆพระองค์ รุกขเทวดาทั้งหลายจงมีความสุข 

แผ่เมตตาต่อไปยังภุมเทวดาทั้งหลาย เจ้าที่เจ้าทางเจ้าป่าเจ้าเขา เจ้าที่ในเคหสถานทุกที่ทุกเขตแคว้น และจำเพาะอย่างยิ่งพระภูมิเจ้าที่ที่บ้านที่อยู่อาศัยที่ร้านค้าที่กิจการของเรา ขอจงเกิดวิมานเกิดอาหารอันเป็นทิพย์ เกิดเครื่องประดับอันเป็นทิพย์ เกิดรัศมีกายอันสว่างรุ่งโรจน์ เกิดความอิ่มความสุข ทิพยสมบัติจงปรากฏต่อท่านทั้งหลาย กระแสเมตตาจงนำประโยชน์สุขให้ปรากฏต่อท่านทั้งหลาย 

จากนั้นแผ่เมตตาต่อไปยังมนุษย์และสัตว์ที่มีขันธ์ 5 กายเนื้อกายหยาบทั้งโลกและทุกดวงดาวทั่วทุกจักรวาลทั่วอนันตจักรวาล ขอจงเป็นสุข ขอจงเข้าถึงธรรม ขอจงเข้าถึงศีล ขอจงเข้าถึงความสุขกายสุขใจ ขอจงเข้าถึงการปราศจากการเบียดเบียนการมีเวรภัยต่อกัน ขอกระแสแห่งเมตตาจงชำแรกซึมซาบเอิบอาบลงสู่จิตของสรรพสัตว์ทั้งหลายมนุษย์ทั้งหลายทุกดวง 

แผ่เมตตาต่อไปยังภพของโอปปาติกะสัมภเวสีดวงจิตดวงวิญญาณเร่ร่อน ผู้ที่ปราศจากอาหารก็ขอจงมีอาหารทิพย์ ผู้ที่ปราศจากเครื่องประดับก็ขอจงมีเครื่องประดับ ผู้ที่อยู่ในวิสัยที่โมทนาบุญได้ปรับภพภูมิได้ก็ขอจงโมทนาปรับภพภูมิขึ้นไป ขอสรรพสัตว์อันเป็นโอปปาติกะสัมภเวสีผู้ผุดเกิดขึ้น ผู้หลงภพภูมิ ผู้ปะปนอยู่ในโลกมนุษย์ จงโมทนาและปรับภพภูมิขึ้นสู่ภพที่เป็นสุขเป็นสุขด้วยเทอญ  

จากนั้นแผ่เมตตาต่อไปยังภพของเปรตอสุรกายทั้งหลาย ดวงจิตใดที่อยู่ในวิสัยที่โมทนาบุญได้ก็จงโมทนาบุญ 

แผ่เมตตาต่อไปยังสัตว์นรกทุกขุม ขอท่านลุงพุฒท่านพญายมราชเมตตาเป็นประธาน ขอนายนิรยบาลทั้งหลายได้รับรู้รับทราบอนุญาต ขอท่านทั้งหลายได้โมทนาบุญมีส่วนร่วมในทานศีลภาวนาการเจริญพระกรรมฐาน การตั้งจิตเพื่อมรรคผลพระนิพพาน นิพพานชาตินี้ของข้าพเจ้าด้วยเทอญ ขอลุงพุฒท่านรับทราบ ถ้าพัดหลงร่วงหล่นลงมาที่สำนักพระยายมก็ขอให้ท่านเมตตาจดจำข้าพเจ้าได้ว่าท่านเป็นพยานบุญของข้าพเจ้า เป็นพยานในการปฏิบัติเพื่อมรรคผลพระนิพพานของข้าพเจ้า

จากนั้นกำหนดจิต อธิษฐานขอบารมีสมเด็จองค์ปฐมปรากฏเป็นพระพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องจักรพรรดิเปิดโลก แผ่เมตตา 3 ภพภูมิ เปิด 3 ภพภูมิ เปิดจักรวาล กระแสจากพระนิพพานแผ่เมตตาเปิดจักรวาลเปิดภพภูมิ สว่างผ่องใส จิตเราเกิดบุญกุศล ผ่านพ้นวิบากอุปสรรคในชีวิตทั้งหลาย เกิดความเจริญก้าวหน้าในธรรม เกิดปัญญามองเห็นภัยในสังสารวัฏ จิตเกิดปัญญาเข้าใจความเชื่อมโยงสัมพันธ์การเวียนว่ายตายเกิดสลับภพภูมิทั้งหลาย จิตเกิดปัญญาครอบคลุมเข้าใจในภัยแห่งสังสารวัฏทั้งปวง เข้าใจครอบคลุมในธรรมทั้งปวง ว่าทำไมพระพุทธองค์จึงทรงตรัสสอน ทำไมหน้าที่พุทธกิจจึงต้องเป็นงานรื้อขนมวลสรรพสัตว์เข้าสู่พระนิพพาน เมื่อแผ่เมตตาแล้วจิตเป็นกุศลแล้ว อธิษฐานจิตตรงอยู่กับพระนิพพานแล้ว เราก็กำหนดจิตไปกราบทุกท่านทุกๆพระองค์ กราบหลวงพ่อ

จากนั้นกำหนดจิตน้อมกระแสจากพระนิพพานลงมา ดูเหตุการณ์บนโลกมนุษย์ด้วยความเป็นทิพย์ กำหนดรู้ในสภาวะความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ ลงมาในงานพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐินในพยุหยาตราทางชลมารค กำหนดให้เห็นเทวดาพรหมความเป็นทิพย์ เทวดาพรหมท่านเสด็จมาเยอะไหม เทวดาบางองค์หัวขบวนก็เสด็จลอยมาพร้อมกับถือธง กำหนดให้เห็นเทวดาพรหมทั้งหลาย กำหนดรู้ในกิจนี้มีความสำคัญ ถวายผ้าพระกฐินทานที่วัดอรุณราชวนารามเป็นนิมิตหมายเข้าสู่ยุคอรุณรุ่งสู่ยุคชาววิไล อธิษฐานจิตขอเทวดาพรหมทั้งหลายโมทนาสาธุการ ให้ผลบุญของสาธุชนผู้จงรักภักดี ตั้งจิตจดจ่อโมทนากับพระราชพิธีพยุหยาตราทางชลมารคพร้อมกับกำลังบุญ พิธีการพิธีกรรมโบราณอันศักดิ์สิทธิ์ขอจงเกิดความเข้มขลัง เกิดนิมิตหมายเข้าสู่ยุคชาววิไลด้วยกระแสแห่งบุญกุศล ด้วยกระแสแห่งจิตที่มหาชนทั้งหลายรวมจิตรวมใจเป็นหนึ่งจงรักภักดีต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีจิตศรัทธาปสาทะมั่นคงอยู่ในบุญทานในเขตพระพุทธศาสนา ขอให้ความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์จงปรากฏ จงปรากฏ จงปรากฎด้วยเทอญ

กำหนดรู้ด้วยความเป็นทิพย์เทวดาพรหมเยอะ เราก็โมทนาสาธุ คราวนี้เรากราบลาเสร็จจบการปฏิบัติ กราบลาพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ กราบลาหลวงพ่อ พอกราบลาเสร็จแล้วก็น้อมจิตพุ่งกายทิพย์อาทิสมานกายกลับมาที่กายเนื้อ น้อมกระแสแห่งพระนิพพาน กระแสบุญ กระแสพุทธานุภาพลงมาคลุมลงมาฟอกธาตุขันธ์ กระแสพระนิพพานกระแสธรรมฟอกธาตุขันธ์ ผมขนเล็บฟันหนังกลายเป็นแก้วใสสะอาดบริสุทธิ์ โครงกระดูกกลายเป็นแก้วใสบริสุทธิ์ หลอดเลือดเส้นเอ็นทั่วกายใสเป็นแก้ว กล้ามเนื้อทุกส่วนอาการ 32 เซลล์ทุกเซลล์สะอาดใสเป็นแก้ว ธาตุธรรมชำระล้างโรคภัยไข้เจ็บ โรคาพยาธิทั้งหลายสารพิษทั้งหลาย เชื้อโรคเชื้อไวรัสเซลล์ที่ผิดปกติ ธาตุธรรมชำระล้างฟอกสลายหายไปจนหมด ขันธ์ 5 ของข้าพเจ้าสะอาดผ่องใส มีกำลังกระแสแห่งพุทธานุภาพ มีกระแสพลังชีวิต มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง

จากนั้นน้อมกระแสจากพระนิพพานคลุมบ้านคลุมเคหสถานบ้านเรือนของเรา ขอบุญแห่งการเจริญพระกรรมฐานเปิดสายบุญทรัพย์สายสมบัติสายบารมีของข้าพเจ้า ความเจริญรุ่งเรืองความมั่งคั่ง ขอจงปรากฏเป็นมนุษย์สมบัติตราบที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตมีขันธ์ 5  ขอจงมีกระแสมหาบุญกุศลอันเกิดขึ้นจากทานจากศีลจากภาวนา ปรากฏเป็นมหาโภคทรัพย์เป็นมนุษย์สมบัติอันจับต้องได้ หลั่งไหลเข้ามาจากทุกทิศทุกทางมีความคล่องตัว พ้นจากอุปสรรคทั้งปวงได้อย่างอัศจรรย์ด้วยเทอญ 

จากนั้นให้เราโมทนาสาธุกับผู้ที่เป็นกัลยาณมิตรเข้ามาเจริญพระกรรมฐานด้วยกันจำนวน 83 ท่าน แล้วก็ตั้งจิตตั้งใจเขียนแผ่นทองอธิษฐานสร้างพระเจ้าองค์แสนพระนิพพานด้วยกัน แล้วก็ถึงเวลาวาระเราก็ตั้งจิตโมทนากับผู้ที่ถวายในกฐินและทานทั้งหลายทุกกองทุกกองบุญ แล้วก็อย่าลืมวันอาทิตย์ต่อไปก็เป็นวาระที่เราจะถวายมหาสังฆทานที่บ้านสายลมร่วมกันอีกครั้งสิ่งที่ต้องประกาศอีกอย่างก็คือวันที่ 22 ธันวาคมก็จะเป็นการปฏิบัติในเมตตาสมาธิที่สมาคมศิษย์เก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเต็มวัน และก็เตรียมอีกไม่นานก็จะประกาศให้เริ่มลงทะเบียนได้ ก็มีสิ่งที่จะประกาศโดยรวมก็ประมาณนี้ 

สำหรับวันนี้ก็ขอให้ผู้ที่ปฏิบัติธรรมทั้งหลายมีความสุขมีความเจริญรุ่งเรืองมีความเป็นสัมมาทิฏฐิเห็นตรง จิตกำหนดรู้มีปัญญาในธรรมแยกแยะธรรมะที่ตรงต่อมรรคผลพระนิพพาน มีความเป็นสัมมาทิฐิตลอดไป สำหรับวันนี้สวัสดี

ถอดเสียงและเรียบเรียง โดย คุณรัตนา

You cannot copy content of this page