เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาสมาธิ”
วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2568
เรื่อง รัศมีกายทิพย์ คือรัศมีแห่งกระแสเมตตาสัมมาทิฏฐิและการตัดกิเลสเป็นสมุทเฉทปหาน
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม กำหนดรู้ทั่วร่างกาย จากนั้นผ่อนคลายร่างกายทุกส่วนพร้อมกับความรู้สึกปลดปล่อยความเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงผัสสะความรู้สึกที่เกี่ยวเนื่องกับร่างกายทั้งหมดออกไป ตัดร่างกายตัดผัสสะในกายปล่อยวางกายตัดขันธ์ 5 พร้อมกับความรู้สึกที่ผ่อนคลายปล่อยวาง
จากนั้นจึงมากำหนดพิจารณา ว่าเราตั้งจิตปฏิบัติธรรมเจริญพระกรรมฐาน เราปล่อยวางความคิด ปล่อยวางความวิตกกังวล ปล่อยวางภาระทั้งหลายกิจการงานหน้าที่ทั้งหลายออกไปให้หมด ด้วยปัญญาที่กำหนดรู้ว่าในแต่ละจุดที่เราทำเราทำเพื่อสิ่งใด
อุปสรรคของการทำสมาธิจุดแรกที่สุดก็คือ สิ่งที่เป็นภาษาธรรมะเรียกว่าปลิโพธ ความกังวลใจห่วงทั้งหลาย ซึ่งเกี่ยวพันเป็นเรื่องเดียวกันกับนิวรณ์ 5 ประการ ความกังวลจิตที่ฟุ้งซ่าน จิตที่คิดไปในเรื่องของรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส จิตที่ใคร่คิดไปในเรื่องของความโมโหโกรธเกลียดอาฆาตพยาบาท ล้วนแต่เป็นอุปสรรคที่ทำให้จิตเรารวมลงสู่ความสงบไม่ได้ หรือแม้แต่สิ่งที่เป็นภาระเป็นหน้าที่ ห่วงทั้งหลาย ความกังวลทั้งหลาย ภาระทั้งหลาย เราปล่อยวาง ไม่ให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งมาเป็นอุปสรรคในการทำสมาธิเจริญพระกรรมฐานของเราได้ พร้อมกับการกำหนดรู้ว่าเป็นการฝึกจิต ขัดเกลาใจของเราให้รู้จักปล่อยวาง ปล่อยวางกายขันธ์ 5 ปล่อยวางจิตใจจากความคิดจากความกังวลทั้งหลาย วางทุกสิ่งรวมลงสู่ความสงบ
กำหนดรู้ว่ายิ่งวางยิ่งเบา ยิ่งวางยิ่งสบาย ยิ่งวางยิ่งสงบ วางทั้งร่างกายขันธ์ 5 วางทั้งภาระของใจ
เมื่อจิตสงบลงแล้ว เราก็มาใช้สติกำหนดดูกำหนดรู้อยู่กับลมหายใจ จินตภาพเห็นลมหายใจเข้าออกเป็นเหมือนกับแพรวไหม พลิ้วผ่านเข้าออกในกาย ลมหายใจยิ่งเบายิ่งละเอียด จิตยิ่งสงบเบาสบาย ลมหายใจที่เป็นเหมือนกับแพรวไหม เรากำหนดจิต กลั่นอากาศให้เป็นพลังชีวิตเป็นปราณ กลั่นอากาศธาตุ ธาตุลมให้เกิดความบริสุทธิ์จากพิษจากฝุ่นทั้งหลาย
กำหนดใช้จิตกลั่นลมปราณ ลมที่ล่วงเข้าสู่กายเราถูกฟอกด้วยกำลังของจิตตานุภาพ ลมที่ล่วงผ่านเข้าสู่กายของเรานี้ มีแต่ธาตุลมที่มีพลังแห่งปราณมีพลังชีวิตเท่านั้น จดจ่อเห็นลมหายใจพลิ้วผ่านเข้าออกในกายเรา เป็นอณูธาตุเป็นปราณที่มีพลังละเอียด มีความสว่าง มีพลังชีวิต อยู่กับลมสบาย จิตใจยิ่งสงบ ลมหายใจยิ่งเบาสบาย สงบนิ่ง ปล่อยวาง กายจิตเบาสบาย ทรงอารมณ์แห่งความสงบลมหายใจสบาย อารมณ์จิตที่เบาสบาย ลมยิ่งเบายิ่งละเอียด จิตยิ่งสงบเป็นสมาธิ จิตเข้าถึงความเบาอันเป็นพื้นฐานสำคัญอย่างยิ่งที่จะต่อยอดไปสู่อภิญญาจิต วางอารมณ์จิตยิ่งเบาได้มากเท่าไหร่ ยิ่งเอื้อต่อการฝึกมโนมยิทธิ ยิ่งเอื้อต่อการฝึกให้เกิดญาณ 8 ญาณเครื่องรู้ทั้งหลายปรากฏขึ้นในขณะที่จิตเราสงบเบา ประคับประคองทรงสภาวะที่จิตเราสงบเบาสบายนี้ไว้ ให้จิตมีความตั้งมั่นมีความเสถียร ทรงสภาวะได้อย่างราบรื่นต่อเนื่องยาวนานตามที่เราต้องการ
จากนั้นกำหนดจิตต่อไป ยกกำลังใจเราขึ้นจากสบายราบรื่น จิตใกล้ความสงบจิตทรงสภาวะฌานสมาบัติในอานาปานสติ ในฌานที่สาม คือลมหายใจน้อยเบาละเอียด เรายกกำลังใจเพียงแค่ตั้งจิตว่าเราจะหยุดจิต หยุดจิตนิ่งหยุด จิตก็รวมลงสู่ฌานสี่ในอานาปานสติ นิ่งหยุดเป็นเอกัคคตารมณ์ ลมหายสงบระงับดับนิ่งไป นิ่งหยุดทรงสภาวะในเอกัคคตารมณ์สักครู่หนึ่ง
จากนั้นจึงเดินจิตต่อ จากจุดที่หยุด น้อมนึกให้ปรากฏว่าจุดนั้นขยายกลายเป็นวง กลายเป็นวงกลายเป็นดวงแก้วสว่าง กำหนดเดินจิตให้เร็วขึ้น จากดวงแก้วสว่างปรากฏเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง ขยายมีขนาดใหญ่ มีความเป็นเพชร มีความสว่างไสว มีความแพรวพราว
กำหนดจิตทรงอารมณ์ของเราให้สัมพันธ์กับนิมิตของจิต อารมณ์สมาธิอารมณ์กรรมฐาน สัมพันธ์เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับภาพนิมิตของกสิณ จิตคือกสิณ กสิณคือจิต
ภาพกสิณคือนิมิตนั้นยิ่งสว่างไสว ยิ่งมีความแพรวพราวของความเป็นเพชรระยิบระยับมากเท่าไหร่ อารมณ์จิตเรายิ่งรู้สึกถึงความสุขความอิ่มใจ มีความรู้สึกว่ายิ่งสว่างจิตเรายิ่งเปี่ยมพลัง จิตเรายิ่งเปล่งประกายพลังงานจากจิตที่มีความสว่างนั้น ยิ่งสว่างยิ่งรู้สึกถึงพลังที่อัดแน่นอยู่ภายในจิต มีกำลังจิตสว่างไสว จิตเป็นประกายพรึก จิตยิ่งมีพลังมากเท่าไหร่ก็ยิ่งส่งผล
หนึ่ง จิตที่มีกำลังนั้นย่อมมีจิตตานุภาพเอาชนะกำลังของกิเลส คือความรักโลภโกรธหลงได้ จิตที่มีกำลังนั้นยิ่งก่อเกิดพลังงานความเป็นทิพย์ของจิตอภิญญา ยิ่งจิตมีกำลังมากเท่าไหร่ จิตนี้ก็ยิ่งมีกำลังของฌานที่จะใช้ประหัตประหารตัดกิเลสได้มากขึ้นเพียงนั้นด้วยเช่นกัน
กำหนดจิตว่าการฝึกการทรงอารมณ์จิต ภาพนิมิตที่เห็นจิตเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง จิตเราเอิบอิ่ม จิตเรามีพลัง เข้าถึงพลังเข้าถึงแสงสว่างของจิตที่เปล่งประกายออกจากภายใน จิตเปล่งประกายระยิบระยับ จิตเอิบอิ่มยิ้มมีความสุข
กำหนดน้อมให้จิตเปล่งประกาย เส้นแสงแสงสว่างรัศมีของจิต สว่างไปทั่วทะลุถึงสามแดนโลกธาตุ สว่างออกไปทั่วจักรวาล สว่างออกไป ขึ้นไปยังสุคติ ภพสวรรค์ พรหม ลงไปเบื้องล่าง แสงสว่างเปล่งประกายออกไปจนถึงนรกภูมิ ทรงอารมณ์จิตที่เปล่งประกายความสว่างพร้อมกับกำหนด ให้รัศมีจิตแสงของจิตเราเป็นรัศมีแห่งเมตตา จิตที่เปล่งประกายที่ส่องสว่างเป็นคลื่น เป็นพลังงาน เป็นกระแส เป็นเจตนา แห่งเมตตาจิต เป็นความรัก เป็นความปรารถนาดี เป็นบุญ เป็นกุศล เป็นมงคล เป็นความสุข เป็นความเจริญ แผ่เมตตาสว่าง
จำไว้เสมอว่าเราปฏิบัติอยู่ในเส้นทางของสัมมาทิฏฐิ อยู่ในเส้นทางของมรรคผลพระนิพพาน การฝึกจิตนั้น การปฏิบัติสมาธินั้น มีทั้งสัมมาสมาธิ มีทั้งมิจฉาสมาธิ
สัมมาคือสิ่งที่เป็นกุศลเป็นมงคล เป็นทางแห่งการละวาง ปราศจากการเบียดเบียน เป็นเส้นทางแห่งการโปรดการสร้างสรรค์การเกื้อกูลสงเคราะห์ หากแต่ว่ามิจฉาสมาธิถึงมีจิตตานุภาพมีอภิญญาจิต แต่ก็เอาไปใช้เพื่อตอบสนองความโลภโกรธหลง เอาไปใช้เพื่อการเบียดเบียน เอาไปใช้เพื่อการประหัตประหาร เอาไปใช้เพื่อการเอารัดเอาเปรียบบุคคลอื่นที่เขามีจิตตานุภาพอ่อนด้อยกว่าอ่อนแอกว่า
ดังนั้นเราตั้งใจเพื่อที่จะให้ทานแห่งธรรมเหล่านั้น อยู่ในเส้นทางแห่งกุศลเสมอ เราทุกคนจึงพึงผูกจิตของเราไว้ ให้รัศมีจิตของเราเป็นคลื่นเป็นกระแสเป็นพลังงานของเมตตาจิต เมื่อไหร่ก็ตามที่เราฝึกไปจนเป็นปกติ เราไปที่ใดก็ตาม เมื่อคลื่น เมื่อกระแสของจิตเราเปล่งประกายออกไปโดยที่เราจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ดี เทวดาพรหมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านเป็นสัมมาทิฏฐิ ท่านก็จะเมตตาสงเคราะห์ เราไปที่ใดก็มีแต่คนรักมีแต่คนเมตตาเป็นมหานิยม คลื่นกระแสของคนที่ฝึกสมาธิจิตในเมตตาสมาธิในเส้นทางแห่งสัมมาสมาธิ จะเป็นกระแสของความสงบเย็น แต่ในทางตรงกันข้าม บุคคลที่ฝึกปฏิบัติเป็นกระแสของมิจฉาสมาธิ คลื่นกระแสจิตที่เปล่งออกมาจากตัวบุคคลนั้นจากจิตของบุคคลนั้น มันก็จะมีความเร่าร้อน มีบรรยากาศของการคุกคาม มีคลื่นมีกระแสของความน่ารังเกียจ กระแสของความเกลียดชัง กระแสของความโกรธเกลียดอาฆาตพยาบาท จิตของเราฝึกเพื่อละวางสิ่งที่เป็นอกุศล ยิ่งปฏิบัติยิ่งสว่าง กับบุคคลที่ฝึกในมิจฉาสมาธิ เขาคิดว่าสว่างมีกำลังแต่พลังที่เกิดขึ้นมันเป็นพลังของความมืด ยิ่งปฏิบัติ สิ่งที่ได้ยิ่งเป็นอวิชชา ยิ่งถลำลึกลงไปสู่สิ่งที่เป็นอกุศล และในขณะเดียวกันเมื่อไหร่ก็ตามที่จิตเราฝึกปฏิบัติอยู่ในเส้นทางแห่งเมตตาแห่งสัมมาทิฏฐิ จนกระแสเมตตาเป็นธรรมชาติของใจเรา คลื่นของเรากระแสจิตของเราก็จะอยู่ขั้วตรงข้ามกันกับคลื่นที่เป็นอกุศลทั้งหลาย เมื่ออยู่ตรงข้ามกันก็จะผลักกันห่างไกลจากกัน บุคคลที่เป็นคนเอารัดเอาเปรียบอาฆาตพยาบาทจองเวรมีความเร่าร้อน เขาก็จะห่างจะหายไปจากชีวิตออกไปจากตัวเรา ออกไปจากชีวิตของเรา เรากำหนดรู้ว่าเราปฏิบัติแต่ละจุดทำไม เมื่อรู้คุณค่ารู้คุณประโยชน์ เราก็กำหนดว่ารัศมีกายของเราก็ดี รัศมีจิตของเราก็ดี ทุกครั้งที่เปล่งประกายในยามที่ทรงอารมณ์ของกสิณ ทรงสภาวะพลังแห่งกายทิพย์ กายทิพย์เราเปล่งประกายแสงสว่างเป็นคลื่นแห่งเมตตา แผ่สว่างไปทั้ง 3 ภพภูมิ ใจยิ่งเอิบอิ่ม ใจเรายิ่งเป็นสุข จิตของผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก จิตของผู้ให้ย่อมเป็นสุข สิ่งที่ให้ได้โดยไม่มีที่สิ้นสุดก็คือกระแสแห่งเมตตาอันไม่มีประมาณ
เมื่อกำหนดรู้แล้วเราก็เจริญจิตของเรา จิตอันเป็นประภัสสรนี้ ส่องสว่างด้วยคลื่นกระแสแห่งเมตตาอันไม่มีประมาณไปทั้ง 3 ภพภูมิ สว่างผ่องใส อารมณ์ใจเป็นสุข ทรงอารมณ์ที่สว่างไสวเป็นเพชรประกายพรึกไว้ จิตดวงนี้มีคุณค่าอันไม่มีประมาณหาค่ามิได้ เป็นจิตที่สามารถพัฒนาต่อไป ยิ่งใสสะอาดยิ่งบริสุทธิ์ ยิ่งขจัดสรรพกิเลสความโลภโกรธหลงออกไปได้มากเท่าไหร่ จิตดวงนี้ก็เข้าถึงอริยจิต เข้าถึงจิตแห่งความเป็นพระอริยเจ้า จิตดวงนี้ยิ่งประภัสสรยิ่งเมตตามากมายเท่าไหร่ ก็เข้าถึงซึ่งปฏิปทาของจิตแห่งพระโพธิสัตว์ สามารถเข้าถึงซึ่งสัมมาสัมโพธิญาณได้ จิตดวงนี้เมื่อเข้าถึงความสะอาดบริสุทธิ์ประภัสสรจนเป็นปกติ จิตดวงนี้ก็เข้าถึงอภิญญาสมาบัติ จิตของเรากลายเป็นแก้วสารพัดนึก คือเพียงแค่นึกสิ่งที่เรานึกก็เกิดเป็นความสำเร็จสัมฤทธิ์อัศจรรย์ได้ ทรงอารมณ์ในสภาวะที่จิตเป็นประภัสสรสว่างพร้อมกับกระแสเมตตาจากจิตของเรา สว่างออกไปทั้ง 3 ภพ 3 ภูมิ
กำหนดน้อมจิตว่านับแต่นี้ขอให้จิตข้าพเจ้าเข้าถึงเมตตาสมาธิ จนกลายเป็นธรรมชาติของจิต ยืน เดิน นั่ง นอน กำหนดจิตให้คลื่นกระแสของความสงบเย็น ความเจริญรุ่งเรือง ความอุดมสมบูรณ์สันติสุข จงปรากฏเป็นพลังงาน เป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติของจิตข้าพเจ้าด้วยเทอญ ความสุข สงบเย็น สว่าง
จากนั้นกำหนดจิตต่อไป ขอบารมีพระพุทธองค์เมตตาสงเคราะห์ ปรากฏเป็นธงชัยในจิตของข้าพเจ้า ในจิตที่ประภัสสรนั้นปรากฏองค์พระ ปรากฏสมเด็จองค์ปฐมอยู่ภายในดวงจิตของเราสว่าง จิตเรายิ่งสว่างยิ่งตั้งมั่นยิ่งเข้าถึงไตรสรณคมน์ จิตยิ่งตระหนักรู้ถึงเป้าหมาย คติที่ไป คือพระนิพพาน จากนั้นเราอธิษฐานขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอยกจิตอาทิสมานกายข้าพเจ้าขึ้นไปบนพระนิพพาน ขอจงปรากฏสภาวะเป็นกายแห่งพระวิสุทธิเทพ อยู่กับสมเด็จองค์ปฐมพร้อมพรั่งด้วยมหาสมาคม คือพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์บนพระนิพพานด้วยเทอญ
กำหนดน้อมขอให้ญาณเครื่องรู้ความเป็นทิพย์ของอาทิสมานกายข้าพเจ้า จงปรากฏเห็นทุกท่านทุกๆพระองค์จำนวนมากมายมหาศาล ความรู้สึกของจิต ความรู้สึกในความเป็นทิพย์ กำหนดเห็นว่าเราอยู่กลางวง มีสมเด็จองค์ปฐมทรงปรากฏประทับอยู่เบื้องหน้า ห้อมล้อมรายรอบด้วยพระพุทธเจ้าในระดับที่ใกล้ที่สุด ห่างออกไปก็เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ห่างออกไปก็เป็นพระอรหันต์ที่ท่านดับขันปรินิพพานถึงพระนิพพานแล้วทุกพระองค์ กำหนดน้อมจิตกราบ แยกอาทิสมานกายความรู้สึกของจิต กราบถึงทุกท่านถึงทุกๆพระองค์ กราบพร้อมกับด้วยความรู้สึกนอบน้อมเคารพ ถึงซึ่งไตรสรณคมน์อย่างแท้จริง
เมื่อจิตเรายกขึ้นมาถึงบนพระนิพพานแล้ว อยู่ท่ามกลางพระพุทธองค์แล้ว เราก็กำหนดพิจารณาในอารมณ์แห่งพระนิพพาน พิจารณาว่าจิตเรามีความปรารถนา ว่าจะเข้าถึงพระนิพพานชาตินี้ไหม พิจารณาต่อไปในเรื่องของการตัดภพจบชาติ พิจารณาโดยจิตว่าจิตเราในขณะที่อยู่บนพระนิพพาน ในสภาวะเป็นกายพระวิสุทธิเทพ เรามีความห่วงใย มีความเสียดาย มีความเกาะในขันธ์ 5 ร่างกายที่เป็นกายหยาบกายเนื้อไหม พิจารณาต่อไปว่าขึ้นชื่อว่าการมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี มาเกิดเป็นเทวดาก็ดี มาเกิดเป็นพรหมก็ดี เรายินดีในภพใดภูมิใดอีกไหม หรือในภพในชาติที่มีความผูกพันมีอารมณ์ความเข้มข้น เช่นภพของการเป็นพญานาค ภพที่เรารบทัพจับศึก เสียเลือดเสียเนื้อเพื่อพิทักษ์ดินแดนมาตุภูมิในชาตินั้นๆ เรายังมีความอาลัย มีความห่วงมีความเกาะมีความอยากกลับไปเกิดไหม
พิจารณาต่อไปว่า แล้วบุคคลไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่เราอาฆาตพยาบาท เราปล่อยวางจากบุคคลเหล่านั้นได้ไหม อโหสิกรรมให้ได้ไหม หรือบุคคลที่เรารักเคยผูกพัน จะเป็นสามีภรรยา จะเป็นพ่อจะเป็นแม่จะเป็นลูกของเรา ที่ใจมันพันผูกรัดกับจิตของเราแน่นหนาสาหัส เรายังอยากไปเกิดไปพบไปเจอ ยังห่วงกับบุคคลเหล่านั้นอีกไหม ขึ้นชื่อว่าห่วงจากความเกลียดชัง คือความอาฆาตพยาบาทก็ดี ห่วงที่เกิดจากความรักความอาลัยความผูกพันจากความรักก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องผูกให้จิตเรายังต้องเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏเพื่อไปพบเจอกับบุคคลเหล่านั้น แต่ตัดคนที่เกลียดบางทีมันก็กลายเป็นว่าตัดง่ายกว่าตัดใจจากคนที่เรารัก อารมณ์จิตเราในขณะที่อยู่บนพระนิพพานนี้เราตัดได้ทั้ง 2 ทางไหม ตัดทั้งคนที่เราพยาบาท ตัดทั้งคนที่เรารักที่สุด ไม่ไปเกิดไม่เป็นลูกไม่เป็นสามีไม่เป็นภรรยาของคู่กัน เราตัดได้ไหม พิจารณาใจของเราเพื่อตัดสรรพกิเลสทั้งหลาย สังโยชน์ทั้งหลาย ห่วงทั้งหลาย เครื่องร้อยรัดทั้งหลายของจิต
สุดท้ายมาพิจารณาว่าไม่มีความผูกพันใดๆแรงดึงดูดใดๆที่จะมาล่อลวงเป็นอวิชชาลวงใจของเรา ให้เราหลงกลับลงไปเกิดในสังสารวัฏนี้อีก ใจเมื่อตัดทั้งหมดดับอวิชชาได้หมด ก็สิ้นภพจบชาติ จบการเกิด จบการเวียนว่ายในสังสารวัฏ สิ้นภพก็คือสิ้นความอาลัยในภพทั้งหลาย จบชาติก็คือจบสิ้นการเกิดชาติสุดท้าย ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา
กำหนดน้อมจิตอยู่บนพระนิพพานว่าข้าพเจ้าขอสิ้นภพจบชาติ ขอเข้าถึงซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบัน ขอพระพุทธองค์ขอมหาสมาคมบนพระนิพพานนี้ เมตตาสงเคราะห์ กำหนดรับรู้กำลังใจการเจริญพระกรรมฐาน การกำหนดจิต การปล่อยวาง การเจริญวิปัสสนาญาณของข้าพเจ้าด้วยเทอญ
การเจริญกรรมฐานนี้สมบูรณ์ด้วยกำลังแห่งสมถะ สมถะคือจิตเข้าถึงฌาน 4 ทั้งในอานาปานาสติ ทั้งฌาน 4 ในกสิณ ใช้กำลังแห่งอภิญญาจิตคือกำลังของมโนมยิทธิขึ้นมาปฏิบัติธรรมอยู่บนพระนิพพาน ซึ่งการปฏิบัติธรรมเจริญวิปัสสนาญาณ ถ้าตัดร่างกายขันธ์ 5 ไม่ได้พอ เราก็ไม่อาจยกจิตขึ้นมาอยู่บนพระนิพพานได้ การที่เราขึ้นมาปฏิบัติตัดกิเลส ตัดนานเข้าบ่อยเข้า กิเลสมันก็เบาบางลง จากจิตที่สมัยก่อนปฏิบัติใหม่ๆมีความลังเลสงสัย ทั้งว่าเราปฏิบัติได้จริงหรือไม่ได้จริง ลังเลสงสัยว่าเราปฏิบัติแล้วเราจะมาพระนิพพานได้หรือไม่ได้ ยิ่งเราปฏิบัติตัดกิเลสได้มากเท่าไหร่บ่อยเท่าไหร่ สุดท้ายในที่สุดกิเลสก็ค่อยๆถอดถอน ความตั้งมั่นความแนบในพระนิพพานของจิตเราก็ค่อยๆเพิ่มพูนขึ้น บารมีแปลว่ากำลังใจ กำลังใจเราสูงขึ้น กำลังใจที่จะปฏิบัติเพื่อพระนิพพานมันเพิ่มพูนขึ้นไปเรื่อยๆ และท้ายที่สุดพระพุทธองค์ท่านก็ทรงสอน ว่าอันที่จริงการที่คนเราจากปุถุชนจะปฏิบัติเพื่อให้ได้มรรคผลพระนิพพาน ท่านทั้งหลายที่ท่านเข้าถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว จะมีส่วนหนึ่งที่ฟังธรรมครั้งเดียวแล้วก็บรรลุความเป็นพระอริยเจ้าเลย แต่อันที่จริงแล้วไม่ใช่ว่าท่านเหล่านั้น จะเคยฟังธรรมเพียงครั้งเดียวจริงๆ อันที่จริงแต่ละพระองค์แต่ละท่านที่ฟังธรรมครั้งเดียวในชาตินั้นในวาระนั้น ท่านฟังครั้งเดียวจริง แต่ท่านเคยเกิดพบพระพุทธเจ้ามากี่ชาติภพแล้ว เคยปฏิบัติธรรมมากี่ชาติภพแล้ว เคยมีพื้นฐานของการเจริญสมถะวิปัสสนามากี่ชาติภพแล้ว เพราะสุดท้ายแล้วทุกๆพระองค์ที่ท่านบรรลุอรหันต์เพียงการฟังครั้งเดียว ถ้าพระพุทธองค์คือพระพุทธเจ้า ท่านทรงตรัสเล่าบุพกรรมให้ฟัง เราก็จะพบอย่างเช่น พระภิกษุหลายรูปที่มาฟังบทอภิธรรมครั้งเดียวและบรรลุอรหันต์ อันที่จริงอดีตชาติเคยเป็นค้างคาว ฟังพระท่านสวดอภิธรรมในถ้ำ มีความชอบมีความพึงพอใจ ฟังเพลินแล้วก็ตกมาตายอีกชาติก็มาเกิดเป็นพระ ดังนั้นจริงๆก็มีของเก่ามา อย่างการที่เราฝึกปฏิบัติเข้ามาถึงจุดที่ปฏิบัติในขั้นสูงนี้ได้ บุพกรรมเก่าของเราก็เคยปฏิบัติมาในกาลก่อนในชาติก่อนหลายภพชาติ ดังนั้นเราอย่าไปคิดว่าเราไม่มีบุญ ถ้าไม่มีบุญพอไม่มีทางที่จะปฏิบัติมาถึงขั้นนี้ ถ้าไม่เคยเจริญสมถะวิปัสสนามาก่อน เอาจำเพาะแค่ระงับความฟุ้งซ่านวุ่นวายของนิวรณ์ 5 ให้จิตสงบนิ่ง คนที่ไม่เคยมีวาสนาในการปฏิบัติมาก่อนก็ทำไม่ได้แล้ว หรือบางคนเอาแค่กำหนดให้น้อมนึกให้เห็นลูกแก้ว ให้เห็นดวงแก้วก็นึกไม่ได้แล้ว ให้จับลมก็มีแต่ความฟุ้งซ่านทำไม่ได้
ดังนั้นอันที่จริงเราทุกคนบารมีเต็มแล้ว เพียงแต่ต้องมีความมั่นใจ ปฏิบัติธรรมซ้ำ ให้เรานึกภาพว่าเรากำลังมีท่อนซุงเป็นไม้ขนาดใหญ่อยู่ การใช้ปัญญาคือวิปัสสนาญาณเข้าประหัตประหารกิเลส ก็อุปมาเหมือนการที่เราใช้เลื่อยหรือมีดที่มีความคมมาเลื่อยท่อนซุงที่มีขนาดใหญ่ ที่อุปมาว่าท่อนซุงที่มีขนาดใหญ่เป็นกิเลสก็เพราะว่า เราอยู่กับกิเลสถูกกิเลสชักจูงไปหลายล้านหลายหมื่นหลายแสนมหากัป
ดังนั้นอันที่จริงการที่เราจะตัดกิเลส การที่เราจะใช้มีดสักเล่ม 1 ดาบชั้นเยี่ยมมาตัดเพียงฉับเดียว จริงๆมันก็ถือว่าเป็นเรื่องยาก ดังนั้นวิธีจะตัดซุงขนาดใหญ่ โดยที่เรามีมีดมีดาบหรือมีเลื่อยอยู่ 1 อัน เราจะตัดได้ บางทีเราก็ต้องเถือทางได้ทีเลื่อยไปด้านนี้ที เปลี่ยนมุมไปเรื่อยๆ ค่อยๆเถือไปเรื่อยๆ คือปฏิบัติธรรมซ้ำไปเรื่อยๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกระทั่งรอยเลื่อยรอยตัดรอยบากมันค่อยๆเข้าไปในเนื้อของไม้ ลึกลงไปเรื่อยๆจนเหลือเพียงแค่นิดเดียว เมื่อไหร่ที่เหลือเพียงแค่นิดเดียว จุดนั้นพระพุทธองค์ท่านทรงว่าให้รวบรวมกำลังใจ ใช้กำลังฌานที่สูงที่สุดตั้งกำลังใจเด็ดเดี่ยวว่าการเกิดเราไม่เอาอีกแล้วกิเลสเราไม่เอาอีกแล้ว เราไม่หวนกลับไปทำแบบนี้ไปอยู่กับอกุศลแบบนี้อีกแล้ว ความเด็ดเดี่ยวที่เราตัดมีผลจากการที่เราเถือจนเนื้อไม้มันหายจนมันสึกจนเหลือนิดเดียว แล้วเราก็ตัดสินใจเด็ดขาดฟันฉับ อาการที่ตัดสินใจเด็ดขาดฟันฉับ ตรงจุดนั้นพระพุทธองค์ท่านเรียกว่าตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน ตัดด้วยกำลังเช่นนั้นได้เมื่อไหร่ จิตก็ยกขึ้นสู่ความเป็นพระอริยเจ้าโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ท่านกล่าวถึงนี่คืออารมณ์ของอรหันตผล แต่สุดท้ายแล้วการปฏิบัติต้องทำซ้ำ เราอย่าคิดว่าคิดพิจารณาว่าเรายกจิตมาพระนิพพานได้หนึ่งครั้งในชีวิตแล้ว เรารอไม่ปฏิบัติต่อเลย ผ่านไปอีก 60 ปีเราถึงตายแล้วเราคิดว่าเราจะไปได้ เราต้องเถือไปเรื่อยๆ เราต้องปฏิบัติไปเรื่อยๆ ต้องฝึกไปเรื่อยๆ ยิ่งเราฝึกมีความเข้มข้นมากเท่าไหร่ ซ้ำดีซ้ำร้ายจิตแนบกับอารมณ์พระนิพพาน วาระบุญเข้าเราอาจจะมีกำลังใจในชั่วขณะที่เป็นจังหวะบุญเต็มที่ส่งผล ตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานก็ได้
ดังนั้นจุดนี้ก็ให้เราเข้าใจอารมณ์อาการของการปฏิบัติ การปฏิบัติต้องทำซ้ำ การพิจารณาเปลี่ยนมุมในการพิจารณาก็เหมือนกับการที่เราเปลี่ยนมุมในการเลื่อยในการเถือเนื้อไม้ท่อนซุงขนาดใหญ่ เดี๋ยวเราเถือด้านนี้บ้าง เถือฝั่งนี้บ้าง เถือขวั้นไปรอบๆให้ทะลุถึงระดับของเปลือก ก็อุปมาเหมือนเราค่อยๆถากถอดถอนกิเลสที่มันเป็นเรื่องหยาบที่สุด เช่น หนึ่ง เราเลิกที่จะเบียดเบียนคือมีศีล 5 ที่บริสุทธิ์ เราเลิกที่จะโกรธรุนแรง เลิกที่จะโกรธเข้มข้นชนิดที่เรียกว่าอาฆาตมาดร้ายพยาบาท จนจะมีการแก้แค้นเอาชีวิตกันไม่มีในจิตเรา อันนี้ก็ถือว่าหยาบเป็นระดับของเปลือกเราก็เถือไปจนทะลุแล้ว แล้วมาพิจารณาต่อไปในความโลภ เราอาจจะอยากรวย เราอาจจะอยากสวย เราอาจจะอยากมีเงิน แต่อารมณ์จิตที่เราคิดว่าเราจะไปปล้นไปเบียดเบียนไปลัก หรือไปหาเหตุฉ้อฉลล่อลวงไม่มีในจิตเราอีกต่อไป อันนี้เป็นของหยาบ เปลือกทั้งหลายเราถากออกไป หรือความหลงในกาย โมหะความหลงในกาย หลงในความตายหลงในชีวิตจนเกินไป เปลือกที่เป็นหยาบนี้เราก็เถือไปจนหมด เราเริ่มเข้าถึงเนื้อไม้ด้านใน เข้าไปเรื่อยๆ เข้าไปเรื่อยๆ ลึกมากเท่าไหร่ คราวนี้อารมณ์ใจเรา จากศีลที่บริสุทธิ์ เราก็จะเริ่มเข้าไปสู่อารมณ์ที่ปรารถนาในการปฏิบัติในกุศลกรรมบถ 10 คือมีความละเอียดความลึกเข้าไปอีก ชำแรกเนื้อไม้ลึกเข้าไปอีก หรืออารมณ์จิตที่เราตัดความพยาบาทสิ้นไปอย่างสิ้นเชิง อโหสิกรรมได้อย่างสิ้นเชิง อารมณ์จิตที่เราปรารถนา ใคร่ปล่อยวางจากความวุ่นวายทางโลก คืออารมณ์จิตน้อมไปในทางเนกขัมมะ อันนี้จิตเราก็เริ่มลงลึกไปเรื่อยๆ ตัดกิเลส ควั่นรอบเนื้อไม้ลึกลงไปเรื่อยๆ
ดังนั้นพอเราเข้าใจสภาวะอาการของการตัดกิเลส บางมุมเราทำซ้ำบ่อยๆ มันไม่เข้าเราก็เปลี่ยนมุมเช่น เราพิจารณาตัดร่างกายขันธ์ 5 ด้วยอสุภกรรมฐาน ขาดไหม ชินไหม พอชินเราก็เปลี่ยนมุมบ้าง ไปพิจารณาในเรื่องธาตุ 4 ไปพิจารณาในเรื่องอาการ 32 หรือไปตัดกิเลสโดยการพิจารณาใคร่ครวญ ในเรื่องของโทษของความโกรธโทสะความอาฆาตพยาบาท เรากำหนดพิจารณาตัดกิเลสหลายๆแง่มุมไปเรื่อยๆ เหมือนกับเปลี่ยนมุมในการเลื่อยไม้ จนสุดท้ายในที่สุดกิเลสมันก็ขาด มันก็เบาบางลง
กำหนดน้อมให้จิตของเราแต่ละคน เราลองพิจารณาขอบารมีพระพุทธองค์ทรงเมตตาสงเคราะห์ ขอให้ข้าพเจ้าเห็นเป็นนิมิต ท่อนซุงคือกิเลสของข้าพเจ้านี้ ข้าพเจ้าถากเลื่อยถอดถอนลงไปลึกเท่าไหร่ ก็ขอให้เห็นเป็นนิมิตในจิตด้วยเทอญ เป็นปัจจัตตัง เป็นพุทธนิมิต เป็นนิมิตของแต่ละบุคคลในการตัดกิเลส ในการทำให้กิเลสเบาบางเป็นการกำหนดรู้ของเรา
จากนั้นกำหนดน้อมขออาราธนาบารมีพระพุทธองค์ถามขึ้นมาในจิตต่อไปอีก เครื่องมือคือกรรมฐานกองใด การเจริญวิปัสสนาญาณด้านใด ที่เป็นข้อธรรมที่เหมาะสมกับจริตดวงจิตวาสนาบารมี ที่ข้าพเจ้าทำมาและปฏิบัติแล้วจะเกิดผลที่ได้เร็วลัด ก็ขอให้ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ปรากฏขึ้นมาในจิตผุดขึ้นมาในใจ กำหนดรู้ด้วยกำลังของพุทธานุภาพของพระพุทธองค์ ให้จิตข้าพเจ้าสามารถถอดถอนกิเลสตัดกิเลสออกไปได้ง่ายคล่องตัวราบรื่นมากที่สุดด้วยเทอญพระพุทธเจ้าคะ กำหนดน้อมตอนนี้ บางคนอาจจะมีภาพกสิณ มีภาพกรรมฐานปรากฏขึ้นมาในจิต ก็ให้กำหนดรู้ของตัวเราเองไว้ ว่าเป็นการพิจารณาในธรรมข้อใดหัวข้อใด
จากนั้นน้อมขอให้ธรรมทั้งหลายผุดรู้ขึ้นมาในจิต กำหนดน้อมจิตสงบพิจารณาของเราเอง อาทิสมานกายกายพระวิสุทธิเทพพิจารณาธรรมอยู่เบื้องหน้าพระพุทธองค์สมเด็จองค์ปฐมบนพระนิพพาน เมื่อน้อมจิตพิจารณาธรรมแล้ว อารมณ์จิตเรามีความเบามีความสบายมีความผ่องใสแล้ว เราก็กำหนดรู้ในใจของเรา บุคคลผู้ถอดถอนกิเลสให้เบาบางจากจิตได้บุคคลนั้นย่อมได้ชื่อว่าเป็นบัณฑิต เป็นบุคคลที่จิตได้ฝึกมาดีแล้ว จงมีความยินดีในธรรมที่ปรากฏขึ้นในตน แล้วก็พิจารณาว่ายังมีธรรมอันเป็นเครื่องวิมุติหลุดพ้นอีกจำนวนมากที่ยังสามารถเจริญงอกงามในจิตของเราได้ ดังนั้นเราจะมีความเพียรมีความขยันมีวิริยะมีความสม่ำเสมอในการปฏิบัติ ยิ่งมีธรรมมากสลัดละวางกิเลสได้มาก ความทุกข์ก็ยิ่งสัมผัสใจเราได้น้อย ความทุกข์มีเท่าเดิม แต่จิตรู้สึกทุกข์น้อยลง เพราะจิตเราปล่อยวาง เมื่อจิตเรามีความเบามีความละเอียดขึ้น เราก็น้อมจิตอธิษฐาน ตั้งใจว่านับแต่นี้รัศมีกายทิพย์เราคือรัศมีกระแสแห่งเมตตา
น้อมกระแสอาราธนา ขอกำลังพุทธานุภาพของพระพุทธองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ที่ปรากฏ น้อมกระแสเมตตาปรากฏรวม จากนั้นจิตเราแผ่เมตตาลงมาจากพระนิพพานด้วยกำลังของพุทธบารมี แผ่เมตตาลงมายัง 3 ภพภูมิ นับตั้งแต่ภพของอรูปพรหมทั้ง 4 พรหมโลกทั้ง 16 ชั้น อากาศเทวดาสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น ภพของภุมเทวดารุกขเทวดาทั่วอนันตจักรวาล แผ่เมตตาต่อไปยังภพของมนุษย์สัตว์ที่มีขันธ์ 5 ร่างกายกายเนื้อกายหยาบทั่วอนันตจักรวาลทุกดวงดาวทุกเอกภพ แผ่เมตตาลงไปยังภพของโอปปาติกะสัมภเวสี ชาวเมืองบังบดลับแลทั้งหลาย มิติที่ทับซ้อนทั้งหลายทั่วอนันตจักรวาล แผ่เมตตาต่อไปยังภพของเปรตอสุรกาย ภพของบรรดาสัตว์นรกทั้งหลาย ลึกลงไปถึงที่สุดคือโลกันตมหานรก อธิษฐานขอบารมี ขอกระแสแห่งพระนิพพาน บารมีของสมเด็จองค์ปฐม เมตตาเปิดสามแดนโลกธาตุ แผ่เมตตาปรากฏเป็นเมตตาอันไม่มีประมาณทั้ง 3 ภพภูมิด้วยเทอญ
จิตยิ่งสว่าง จิตยิ่งผ่องใส กำลังบุญยิ่งปรากฏ
จากนั้นตั้งจิตอธิษฐาน ขอน้อมกระแสบุญกุศลแห่งการปฏิบัติ เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา บูชาคุณพ่อแม่ทั้งในชาติปัจจุบันและพ่อแม่ในอดีตชาติ น้อมกระแสเป็นบุญบูชาครูอุปัชฌาย์อาจารย์ท่านผู้มีพระคุณทุกท่าน บรรพบุรุษ บูรพมหากษัตราธิราชเจ้าทุกๆพระองค์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์เทพพรหมเทวาทั้งหลาย ที่ปกปักรักษาตัวข้าพเจ้า ปกปักรักษาเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับบ้านวงศ์สกุลบ้านเมือง ขอบุญทั้งหลายจงสำเร็จสัมฤทธิ์ถึงท่าน ขอท่านทั้งหลายเมตตาสงเคราะห์ช่วยเหลือเกื้อกูลข้าพเจ้า
จากนั้นอธิษฐานจิตต่อไป ให้บุญกุศลกระแสบุญจากพระนิพพานเป็นกำลังบุญใหญ่ ส่งตรงลงมาคลุมคุ้มครองโลกใบนี้ให้เกิดความสุขสงบสันติร่มเย็นเข้าสู่ยุคชาววิไล ขอบุญกุศลจงแผ่ลงมาสู่ผืนแผ่นดินไทย ให้เกิดความสามัคคีปรองดอง บุคคลที่มีคุณธรรมจงได้ขึ้นมาปกครองบ้านเมือง น้อมกระแสบุญกุศลกระแสจากพระนิพพานลงมายังเขตพระพุทธศาสนา ลงมายังวัดยังสถานที่ปฏิบัติธรรม เกิดกำลังพุทธานุภาพยังพระพุทธรูปทุกพระองค์ พระเครื่องทุกพระองค์ พระธาตุพระบรมธาตุพระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุเจดีย์ พระบรมธาตุพระอัฐิธาตุพระอรหันตธาตุ ขอเกิดกำลังแห่งพุทธานุภาพ เกิดความศักดิ์สิทธิ์ เกิดความอัศจรรย์ กระแสสัมมาทิฏฐิในธรรมจงปรากฏ กระแสของกุศลจงปรากฏ กระแสแห่งความสัมมาทิฏฐิจงชัดแจ้งชัดเจนในธรรมทั้งปวง
จากนั้นน้อมกระแสบุญกุศล กระแสจากพระนิพพานลงมา เป็นเกราะแก้วคุ้มครององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมราชินีนาถ พระบรมวงศานุวงศ์ และบุคคลที่ทำคุณประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองด้วยความบริสุทธิ์ใจ กระแสบุญกุศลจงมาส่งผลคุ้มครองพระราชบัลลังก์พระมหาเศวตฉัตรพระที่นั่งทุกพระที่นั่งพระบรมมหาราชวัง ตลอดรวมจนเป็นกำลังให้กับพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระสยามเทวาธิราช เทวดาอารักษ์ผู้พิทักษ์รักษาเศวตฉัตรรักษาพระราชบัลลังก์รักษาพระชนมวาร ขอจงมีกำลังทั้งเทพฤทธิ์อิทธิฤทธิ์บุญฤทธิ์จงถึงพร้อม ด้วยกำลังอำนาจเดชะบารมีที่จะเมตตาปกปักรักษาทั้ง 3 สถาบันคือชาติศาสนาพระมหากษัตริย์เข้าสู่ยุคชาววิไลได้ ขอบุญจงสำเร็จ ขอบุญจงสัมฤทธิ์ ขอจิตแห่งการเจริญพระกรรมฐานด้วยจิตอันบริสุทธิ์ทั้งหลายนี้ จงก่อเกิดเป็นอธิษฐานใหญ่เป็นบุญใหญ่ด้วยเทอญ เมื่อเราน้อมจิตอธิษฐานเพื่อช่วยชาติบ้านเมืองส่วนรวมแล้ว เราก็น้อมจิตกราบลาพระพุทธเจ้า กราบลาทุกท่านทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน อธิษฐานจิตกราบลาหลวงพ่อกราบลาท่านผู้มีพระคุณทุกๆพระองค์
จากนั้นตั้งจิตพุ่งจิตอาทิสมานกายกลับมาที่กายเนื้อพร้อมกับน้อมกระแสพระนิพพานลงมาเป็นลำแสงสว่างไสวขาวคลุม คลุมกายทั้งหมด อธิษฐานจิตขอกระแสบุญฟอกชำระล้างธาตุขันธ์ของข้าพเจ้าให้สะอาดใส โรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายจงสลายตัวไป ธาตุธรรมชำระล้างฟอกธาตุขันธ์ ผมขนเล็บฟันหนังจงกลายเป็นแก้วใส โครงกระดูกทั่วกายจงกลายเป็นแก้วใส หลอดเลือดเส้นเอ็นทั่วกายจงกลายเป็นแก้วใสสะอาดบริสุทธิ์ เซลล์ทุกเซลล์ทั่วร่างกายกล้ามเนื้อทุกส่วนจงฟอกด้วยธาตุธรรม ธาตุขันธ์จงกลายเป็นแก้วใส อาการทั้ง 32 อวัยวะภายในโดยเฉพาะอย่างยิ่งปอดและสมองจงสะอาด ชำระล้างจากฝุ่นจากมลทินจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายจงสลายขับออกจากกาย ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ ฟอกปอดฟอกหัวใจฟอกสมองให้สะอาด เซลล์ทุกเซลล์ที่ผิดปกติจงสลายตัวไปด้วยกำลังกระแสจิตตานุภาพพุทธานุภาพ ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ จากนั้นอธิษฐานสำหรับใครที่เจ็บป่วยส่วนใดของร่างกายก็อธิษฐาน ขอให้ธาตุกระแสธรรมธาตุนิพพานธาตุ สลายล้างชำระล้างธาตุที่เป็นกายของเรา เจ็บป่วยที่ไหนก็ขอให้ธรรมธาตุฟอกธาตุขันธ์
จากนั้นกำหนดจิตขอกระแสบุญพระกรรมฐานที่เราเจริญไว้ดีแล้ว ทานศีลภาวนาที่เรากระทำบำเพ็ญไว้ดีแล้ว ขอจงเมตตาเปิดสายบุญสายทรัพย์สายสมบัติสายบารมี ทิพยสมบัติสวรรค์สมบัติพรหมสมบัติ ขอจงปรากฏสภาวะมาเป็นมนุษย์สมบัติในชาติปัจจุบันจับต้องได้ ตอบสนองเป็นมนุษย์สมบัติ เป็นความคล่องตัว เป็นมหาโภคทรัพย์ ขอบุญทั้งหลายทานทั้งหลาย จงปรากฏความอัศจรรย์ ทานนั้นจงสำเร็จประโยชน์อย่างฉับพลันทันใจในชาติปัจจุบัน บุญจงส่งผลทันใจบุญใหญ่จงส่งผลก่อน เปิดประตูมหาลาภ เปิดประตูมหาโภคทรัพย์ เงินทองความคล่องตัวนับแต่นี้จงหลั่งไหลมาสู่ชีวิตของข้าพเจ้าทุกคน ขอกรรมฐานพลิกชีวิต เป็นมหาอุบาสกเป็นมหาอุบาสิกาผู้ใจบุญใจกุศล เป็นมหาอุปฐากทำนุบำรุงชาติศาสนาพระมหากษัตริย์
จากนั้นน้อมจิตโมทนาสาธุกับเพื่อนกัลยาณมิตรทุกคนที่ฝึกเจริญสมาธิพระกรรมฐาน โมทนาสาธุกับเพื่อนที่มีจิตมุ่งมั่นปฏิบัติเพื่อพระนิพพานในชาตินี้ ซึ่งถือว่าเป็นบุญกุศลใหญ่ จากนั้นหายใจเข้าช้าๆลึกๆ 3 ครั้ง หายใจเข้าพุทธออกโธ ครั้งที่ 2 ธรรมโม ครั้งที่ 3 สังโฆ
จากนั้นเราก็ค่อยๆถอนจิตช้า ๆ จากสมาธิด้วยความเอิบอิ่มเป็นสุขแย้มยิ้ม กายยิ้มจิตยิ้ม จิตเป็นสุข เป็นสุขทั้งเบื้องต้นท่ามกลางที่เราปฏิบัติเจริญพระกรรมฐาน และเป็นสุขในที่สุดคือหลังจากสมาธิแล้วใจเราก็ยังรักษาความผ่องใสไว้ได้ กุศลจิตเจตนารมณ์เพื่อพระนิพพานไว้ได้
สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน สำหรับวันนี้ก็ขออนุญาตแจ้งความคืบหน้าในเรื่องของการจัดสร้างพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพาน แผ่นทองที่เขียนคำอธิษฐานเพื่อพระนิพพานก็รวบรวมจนครบหนึ่งแสนแผ่นเรียบร้อยแล้ว แล้วก็ขณะนี้ก็เป็นช่วงสอบถามเรื่องงบประมาณในการจัดสร้างว่าค่าจัดสร้างเท่าไหร่ แล้วก็ขณะนี้มีเจ้าภาพที่จะช่วยลงแรงในการปิดทองพระพุทธรูปเรียบร้อย มีเจ้าภาพบางส่วนในเรื่องของค่าแผ่นทองคำเปลวที่ต้องใช้ปิดก็เดี๋ยวเมื่อไหร่ก็ตามที่ได้ตัวเลขค่าใช้จ่ายในการจัดสร้างทั้งหมดออกมา ก็จะเริ่มประกาศในการจัดสร้างอย่างเป็นทางการ ตอนนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคนที่ร่วมกันเขียนแผ่นทองอธิษฐาน ซึ่งสำหรับใครที่ยังอยากส่งมาก็ยังสามารถส่งมาได้ครับ เขียนเพิ่มของตัวเองมาได้แต่เน้นว่าขอให้เป็นการเขียนคำอธิษฐานเป็นกำลังจิตเพื่อพระนิพพาน เพราะว่าเราต้องการจะรวบรวมกระแสจิตที่มีเจตนารมณ์เดียวกันคือ สำหรับบุคคลที่ปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน
สำหรับวันนี้ก็ขออนุโมทนาบุญกับทุกคน สำหรับช่วงสัปดาห์หน้าก็จะเป็นวันที่เราจะไปถวายมหาสังฆทานที่บ้านสายลม ซึ่งวันพรุ่งนี้ก็จะประกาศในการให้ร่วมบุญ
สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน พบกันใหม่สัปดาห์หน้า สัปดาห์นี้สวัสดีครับ
ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย : คุณรัตนา