เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน 2565
เรื่อง ยกจิตสูง
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
น้อมจิตเข้าสู่สมาธิ อยู่กับลมหายใจสบายผ่องใส กำหนดในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ผ่อนคลายร่างกายกล้ามเนื้อทุกส่วน ในขณะที่เราผ่อนคลายร่างกายทุกส่วน กำหนดว่าเราปล่อยวาง ละ วาง ความเกาะเกี่ยว ความสนใจในร่างกายขันธ์ 5 ทั้งหมด ผ่อนคลายพร้อมกับปล่อยวาง ตัดความเกาะ ความห่วง ความยึดในขันธ์ 5 ปล่อยวางเรื่องราวที่เป็นความห่วง ความกังวลทั้งหลาย ออกไปจากจิตใจให้หมด ความห่วง ความกังวล ความพะวักพะวง ในเรื่องต่างๆมีภาษาธรรมที่ใช้คำว่าปลิโพธ ละปลิโพธออกไปจากใจ วางกาย วางจิต จดจ่ออยู่กับลมหายใจที่ ละเอียดปราณีตลื่นไหล จินตภาพกำหนดความรู้สึกของลมหายใจที่ผ่านเข้าออกในกายของเรา เป็นเหมือนกับแพรวไหมพริ้วผ่านเข้าออก กำหนดว่าจิตมีสติรู้ในลมหายใจ กำหนดกลั่นลมหายใจให้เป็นปราณ เป็นพลังชีวิต เป็นอนุภาคที่ละเอียดระยิบระยับแพรวพราวไหลรินเข้าสู่ภายในกายของเรา หล่อเลี้ยงร่างกายธาตุขันธ์ ลมหายใจที่พริ้วผ่านเข้าออกภายใน ไหลออกภายนอก เป็นลมหายใจออกนั้น ต่อเนื่องลื่นไหล จิตจดจ่ออยู่กับลมหายใจนั้น ไม่คลาดไปจากลมหายใจตลอดทั้งสาย ตลอดทั้งกองลม ยิ่งกำหนดติดตามดู ติดตามรู้ในลมหายใจ ลมหายใจยิ่งปรับสภาวะ มีความละเอียดขึ้น เบาขึ้น ปราณีตขึ้น อยู่กับลมหายใจที่ละเอียดปราณีต ลื่นไหล เป็นละอองไอ ระยิบระยับแพรวพราว กำหนดรู้พิจารณาธรรม ในระหว่างที่เรากำหนดติดตามรู้ในลมหายใจ ตลอดสายเป็นเปลวระยิบระยับแพรวพราว พริ้วไหวเข้าออกในกายนั้น
กำหนดรู้ว่าการกำหนดเห็นอนุภาคของอากาศเป็นแก้ว เป็นเพชร เป็นละอองระยิบระยับแพรวพราว ความระยิบระยับแพรวพราวนั่นก็คือ เรากำหนดลมหายใจกลายเป็นกสิณลม ลมที่เรากำหนดในอานาปานสติ ควบกับกสิณลมเป็นประกายพรึก ลมหายใจ เรากำหนดจิตกลั่นอนุภาคให้เป็นเพชรประกายพรึก เป็นปราณ เป็นพลังชีวิต ในขณะที่เรากำหนดในลมหายใจ อานาปานสติก็ก่อเกิดทั้งการกำหนดในกสิณลม กำหนดในการเสริมเพิ่มปราณพลังชีวิตเข้ามาสู่กาย ลมหายใจยิ่งละเอียด ยิ่งสว่างผ่องใส ยิ่งเปี่ยมพลัง อยู่กับลมหายใจละเอียด สงบ ผ่องใส กำหนดรู้ในลมหายใจนั้น ว่าลมหายใจยิ่งละเอียด ยิ่งเบาสบาย อารมณ์จิต ยิ่งมีความเบาสบาย ความรู้สึกที่ปรากฏขึ้นของอารมณ์ ก็คือเวทนามหาสติปัฏฐาน ลมหายใจยิ่งละเอียด จิต อารมณ์ยิ่งเบาสบายเป็นสุข อารมณ์ยิ่งสบายเป็นสุข จิตยิ่งสงบ จิตยิ่งผ่องใส ยิ่งจิตสงบผ่องใส จิตยิ่งสงบสงัดว่างจากกิเลสและนิวรณ์ทั้ง 5 ประการ ในลมหายใจที่เรากำหนด ครบถ้วนบริบูรณ์ ทั้งการกำหนดในอานาปานสติ กำหนดรู้กำกับลมหายใจกลายเป็นกสิณลม เป็นปราณ เป็นพลังชีวิต สติในการกำหนดรู้ ควบรวมกองแห่งมหาสติปัฏฐานทั้ง 4 ไว้ จิตสงบระงับตั้งมั่น เป็นหนึ่งเป็นเอกัคคตารมณ์ สงบนิ่งผ่องใส ใจมีความเบา มีความสบาย เสวยความสงบในอานาปานสติเข้าถึงจิต ที่รวมหยุดเป็นเอกัคคตารมณ์ เข้าถึงสภาวะที่จิตมีสติเปี่ยมรู้ แต่จิตนั้นมีความตั้งมั่น ในเอกัคคตารมณ์มีอุเบกขารมณ์ คือความอุเบกขาต่อสิ่งที่มากระทบ ทางอายตนะทั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สิ่งใดกระทบ เรารู้แต่เราปราศจากการปรุงแต่ง ปราศจากความหวั่นไหว จิตตั้งมั่นเป็นหนึ่ง จิตสงบจากนิวรณ์ 5 และสรรพกิเลสทั้งปวง สงบนิ่ง ในความสงบนิ่ง ตบะและทมะ ความข่มใจ อันเป็นกำลังแห่งฌานปรากฏขึ้น นิ่ง สงบ ผ่องใส
จากนั้นจึงกำหนดจินตนาการให้เห็นในจิตของเรา เป็นแก้ว เป็นเพชรประกายพรึก จิตที่เป็นเพชรประกายพรึกนั้น สว่าง ใส เห็นสภาวะของจิต จากเป็นดวงแก้วใส เป็นประกายระยิบระยับ แพรวพราว เป็นประกายรุ้ง เป็นประกายพรึก มีเส้นรัศมีสว่างกระจายออกเป็นเส้น จากนั้นจึงกำหนดจิตต่อไปว่า เลยจากเส้นรัศมีของจิต สภาพสภาวะที่รายรอบรัศมีจิต ปรากฏสภาวะความเป็นทิพย์ มีสภาวะเป็นเพชร กากเพชร แพรวพราว ระยิบระยับ พร่างพราย อยู่หลายรอบ ใจเป็นสุข ใจผ่องใส จิตเปล่งกำลังรัศมีของจิตสว่างออก จิตสงบผ่องใส สว่าง การทรงจิตเป็นเพชรประกายพรึกนั้น นั่นหมายความว่าจิตเราทรงอยู่ในกสิณ ในนิมิตที่เรียกว่าปฏิภาคนิมิต ปฏิภาคนิมิตนั่นก็คือฌาน 4 ของกสิณ สภาวะของจิตมีกำลังแห่งความเป็นทิพย์ ความเป็นทิพย์ของจิต เชื่อมโยงกับอารมณ์ ยิ่งอารมณ์ของเราเป็นสุข เอิบอิ่มผ่องใสมากเท่าไหร่ ความเป็นทิพย์ กำลังแห่งฤทธิ์ อภิญญาแห่งจิต ยิ่งปรากฏ จิตจะเกิดพลังงานคือจิตตานุภาพได้ ก็เมื่อจิตมีความสุข มีรัศมีความสว่างผ่องใสเต็มกำลัง อันเป็นตรงกันข้ามกับสภาวะจิตที่ซึมเศร้า เศร้าหมอง หมองคล้ำ ด้วยความเครียดบ้าง ความกังวลบ้าง ความหนักบ้าง ความคิดปรุงแต่งไปในเรื่องกังวลต่างๆ ความทุกข์ที่ทับถมใจ อารมณ์จิตที่เศร้าหมองนั้น คือจิตที่ปราศจากกำลัง ปราศจากความเป็นทิพย์ เมื่อเรามีปัญญา พิจารณาเทียบเคียงจิต เราก็พึ่งรู้ว่า เราไม่เพียงแต่ดูจิต แต่เรารู้และฉลาดที่จะประคับประคองรักษาจิตของเรา ให้คงความผ่องใสเป็นประภัสสร เป็นประกายพรึก เป็นจิตที่เปี่ยมจิตตานุภาพ แห่งความเป็นทิพย์ไว้เสมอ
เมื่อกำหนดในสภาวะของจิตเป็นดวงแก้ว เป็นลักษณะของกลม ในอีกลักษณะหนึ่งของจิต นั่นก็คือจิตปรับเปลี่ยน แปรรูปเป็นกายทิพย์ ซึ่งกายทิพย์นั้นก็จะสัมพันธ์กันกับอารมณ์ใจ อารมณ์จิต กำลังแห่งกุศล กำลังแห่งความดี หรือกำลังแห่งวิบากของจิต ณ ขณะนั้น จิตของเราเมื่อเป็นประภัสสร เป็นประกายพรึก สว่างเต็มที่ หากกำหนดจิตให้ตรงกับอารมณ์ของการทรงอารมณ์นั้น จิตก็จะปรากฏสภาวะเป็นอาภัสราพรหม พรหมที่มีแสงสว่างรุ่งโรจน์อย่างยิ่ง กำหนดจิต ให้จิตของเรากลายเป็นกาย ที่เป็นกายแก้ว กายที่เป็นแสง กายที่สว่างใส กายทิพย์ของเราสว่างผ่องใส เอิบอิ่ม ยิ่งสว่างขึ้นเพียงใด รัศมีกายยิ่งสว่าง จิตเรายิ่งเปี่ยมไปด้วยความสุข ความอิ่มใจ กำลังจิต รัศมีของกายทิพย์ แผ่สว่างไปมากพร้อมกับความเมตตาความรักมากเท่าไหร่ จิตของเรายิ่งเอิบอิ่ม ผ่องใส เปี่ยมพลังเพิ่มขึ้นเพียงนั้น กายทิพย์ยิ่งเกิดจิตตานุภาพ เกิดกำลังเพียงนั้น
จำไว้ว่ายิ่งแผ่เมตตายิ่งมีรัศมีจิต จิตตานุภาพยิ่งเพิ่มพูนขึ้น กำหนดให้เห็นเส้นแสงของรัศมีกาย กายทิพย์เราสว่างเจิดจ้าอย่างยิ่ง จิตเป็นสุขอย่างยิ่ง กระแสเมตตาที่เราแผ่ไปยังสรรพดวงจิตและสรรพสัตว์ทั้งหลาย เกิดกำลัง เกิดความสุข ความปิติอย่างยิ่ง ทรงอารมณ์นี้ไว้ กำหนดอธิษฐานจิต ขอให้จิตของข้าพเจ้าเข้าถึงจิตเดิมแท้อันเป็นประภัสสร กายทิพย์อันสว่าง มีรัศมีจิตแห่งความเมตตาพรหมวิหาร 4 แผ่ออกไปไม่มีประมาณ ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ จิตยิ่งเอิบอิ่ม เกิดจิตตานุภาพ และขอให้ข้าพเจ้าเข้าถึงสภาวะ ความปิติสุข แห่งมหาเมตตาอันไม่มีประมาณนี้ ได้เป็นปกติ ได้ในทุกครั้ง กำลังแห่งบุญ กำลังแห่งการเจริญเมตตาฌาน เพาะบ่มสะสมให้กายทิพย์ข้าพเจ้า ยิ่งมีกำลังเพิ่มขึ้น สูงขึ้น สว่างขึ้น กำลังฌานสมาบัติ กำลังพรหมวิหาร 4 ยิ่งเพิ่มพูน จิตอันเมตตา ไร้การเบียดเบียน รักษาให้ศีลข้าพเจ้า เป็นศีลแห่งพระอริยเจ้า กำลังแห่งเมตตา กำลังแห่งความสว่าง ผ่องใส ยิ่งหล่อเลี้ยงกำลังแห่งฌานสมาบัติ พลังแห่งกายทิพย์ยิ่งมีกำลังเพิ่มพูนขึ้น สว่างขึ้น ทรงอารมณ์ความผ่องใส แผ่เมตตาสว่าง รัศมีกายสว่าง ยิ่งสว่างยิ่งเป็นสุข ยิ่งสว่างยิ่งเอิบอิ่ม
เมื่อจิตของเราสว่าง มีกำลังเต็มที่ กำหนดจิตรำลึกถึงองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า น้อมนึกถึงพระรูปโฉมของพระพุทธองค์ ที่ทรงเป็นเพชรประกายพรึก สว่างอยู่บนพระนิพพาน กำหนดจิตพุ่งอาทิสมานกายของเรา ด้วยกำลังแห่งบุญ กำลังแห่งฌานสมาบัติ พุ่งขึ้นไปปรากฏอยู่เบื้องหน้าพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกพระองค์ บนพระนิพพาน อธิษฐานจิต ว่าเมื่อเรายกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานแล้ว เราพิจารณาในอารมณ์แห่งพระนิพพาน พิจารณาว่าสังสารวัฏทั้งหลาย ไม่ว่าจะการเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเทวดาหรือพรหม อรูปพรหม ในที่สุด ก็ยังมีวาระการหมดบุญ เวียนว่ายตายเกิด ยังไม่สิ้นสุดแห่งทุกข์ เป็นความสุขในทิพยสมบัติเพียงชั่วคราว ใจเราไม่ปรารถนา จิตเราปรารถนาหนึ่งเดียวคือพระนิพพาน ด้วยมีปัญญาญาณ พิจารณาเห็นโทษภัยในการเวียนว่ายตายเกิด ความพลัดพรากจากคนรัก จากของรัก ของเจริญใจทั้งหลายทั้งปวง ภพอื่นภูมิใดไม่เป็นที่ปรารถนาของเรา เท่าพระนิพพาน พิจารณาปล่อยวาง รูป รส กลิ่น เสียง ผัสสะ พิจารณาปล่อยวางความเกาะเกี่ยว สังโยชน์ทั้ง 10 ออกไปจากใจ ความโง่ ความหลง ความยึดมั่นถือมั่น ความยึดติดในบุคคล ในภาระ ในภพในชาติทั้งหลาย พิจารณา ละ วาง ตัดสะบั้นให้สิ้นออกไปจากใจ สังโยชน์ 10 พิจารณาตัดออกไปจากใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สลายล้างความอาฆาต พยาบาทจองเวรอารมณ์ความรู้สึกที่เราเป็นเจ้ากรรมนายเวรของผู้อื่น มุ่งจองล้าง จองผลาญ อาฆาตแค้นบุคคลหนึ่งบุคคลใด หรือหลายๆบุคคลก็ตาม สลายพันธะ สลายพยาบาท ออกไปจากจิตใจของเราให้หมด ให้จิตของเรา สว่าง โล่ง เบา ตัดเยื่อใย ตัดความอาลัยทั้งหลาย เหลือเพียงแต่จิตอันเป็นอิสระ พ้นจากแรงดึงดูดแห่งสังสารวัฏทั้งปวง
กำหนดจิตทรงสภาวะกายทิพย์ อยู่ในกายพระวิสุทธิเทพ สว่างเป็นแก้ว เป็นเพชรละเอียดระยิบระยับผ่องใส กำหนดจิต น้อมกราบพระพุทธเจ้า น้อมกราบสมเด็จองค์ปฐม ด้วยความเคารพนอบน้อม สุดหัวจิตหัวใจ กราบลงให้ถึงแทบเบื้องพระบาทขององค์พระศาสดา กราบจนรู้สึกได้ ว่าฝ่ามือทั้งสองประกบอยู่แทบพระบาทของพระพุทธเจ้า บางคนผัสสะจะรู้สึกว่าสัมผัสพระบาทที่มีลักษณะที่ท่านไม่ได้สวมรองเท้า พระบาทนิ้วทั้ง 5 ในแต่ละฝ่าพระบาทเรียบเสมอกัน บางคนบางท่านสัมผัสว่ากราบบนฉลองพระบาทปลายงอน เนื่องจากกราบองค์สมเด็จองค์ปฐมในกายที่เป็นกายพระวิสุทธิเทพ น้อมจิตกราบ ตามผัสสะวาระความรู้สึกของใจของแต่ละคน ในขณะที่กราบพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน ตั้งใจว่านับแต่นี้ เราถึงแม้ว่าไม่ได้ทรงพระกรรมฐานกราบพระพุทธเจ้า กายเนื้อกราบพระพุทธรูปบนโลกมนุษย์ จิตกราบให้ถึงพระบาทพระพุทธองค์บนพระนิพพานทุกครั้ง มือยกมือไหว้พระพุทธรูป ภาพพระ พระเจดีย์ จิตอาทิสมานกายพุ่งขึ้นไปไหว้ ไปกราบพระพุทธองค์ถึงพระนิพพานทุกครั้ง
กำหนดใจของเราให้มีกำลังใหญ่ มีกำลังใจในการปฏิบัติสูง ตั้งว่าเป็นมาตรฐานของเรา คนอื่นเขาจะทำเขาจะปฏิบัติเช่นไร ปล่อยเขา แต่ใจแต่จิตของเรานั้น เป็นผู้ที่มีกำลังเต็ม กำหนดจิตว่า กรรมฐานทุกกองของเราเป็นกรรมฐานเต็มกำลัง กราบพระก็กราบถึงพระพุทธเจ้า หรือแม้แต่การที่เราถวายมหาสังฆทานกันในวันนี้ กายเนื้อยกถวายท่านเจ้าอาวาสที่บ้านสายลม อยู่บนโลกมนุษย์ แต่อาทิสมานกายเราน้อมถวายสังฆทานทิพย์ ท่ามกลางมหาสมาคมเทพพรหมเทวา กายทิพย์ของทุกรูปทุกนาม กายทิพย์ของกัลยาณมิตรทุกคน ที่ร่วมบุญร่วมกุศลพากันยกถวายพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ มีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน กำลังบุญ กำลังกุศล กำลังกรรมฐาน กำลังความผ่องใสของจิต ก็ย่อมมีมากกว่า สภาวะที่เรายกไปทื่อๆแต่เพียงกายเนื้อ กุศลในอานิสงส์แห่งสังฆทาน ถึงแม้ว่ายกเฉยๆโดยตั้งจิตเป็นสมาธิ ก็เกิดบุญแล้ว แต่การที่เราทรงอารมณ์ ยกอาทิสมานกายไปถวายบนพระนิพพาน
เราจำไว้เสมอว่าทุกครั้งที่กายทิพย์เราขึ้นมาบนพระนิพพาน กายทิพย์อาทิสมานกายเรา ณ ขณะจิตนั้น ช่วงเวลานั้น จิตเราไม่มีกิเลส ไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ ไม่มีความหลง จิตเราเทียบเท่า ชั่วคราวของการเข้าถึงในอรหัตผล แม้เพียงชั่วคราว แต่เมื่อเราทรงอารมณ์อยู่บนพระนิพพาน นานเข้า มากเข้า นานเข้า ในที่สุดความดีก็ขังตัวคือ สะสม เพาะบ่ม จนจิตชินเป็นฌานในอารมณ์แห่งพระนิพพาน ชินในอารมณ์แห่งอรหัตผล ธรรมก็ค่อยๆชำระล้างฟอก ขัดเกลากิเลส ให้ค่อยๆสลายออกไปจากใจของเรา ทีละน้อย ทีละน้อย แต่มีประสิทธิภาพ ความรวดเร็วสูงกว่า นานเข้านานเข้า ในที่สุด จิตของเราก็เข้าถึงพระนิพพานได้ไม่ว่าจะเข้าถึงในชาติปัจจุบันก็ดี ในขณะที่มีชีวิตอยู่ก็ดี หรือเข้าถึงอรหัตผลในจิตสุดท้ายก่อนตายก็ดี แต่ท้ายที่สุดพระนิพพานก็ไม่ห่างไกล ความเป็นอรหัตผลซึ่งเข้าถึงพระนิพพานไม่กลับมาเกิด ก็ไม่เป็นเรื่องห่างไกลเกินจริงสำหรับเราทุกคนที่ปฏิบัติ ในกำลังใจสูงเช่นนี้
ดังนั้นก็ให้เราคิดพิจารณาไว้เสมอ ในแต่ละวัน กิจวัตรประจำวันของเรา เราจะผูก เราจะดำเนินกุศโลบายอย่างไร ให้จิตเอาผูกไว้ มั่นคงไว้อยู่กับพระนิพพาน ตื่นขึ้นมาตอนเช้า กำหนดจิต ยกจิตในความรู้สึกแรกขึ้นไปกราบสมเด็จองค์ปฐมบนพระนิพพาน ถึงเวลาที่เราอาบน้ำ กำหนดว่าน้ำที่เราอาบนั้น เป็นน้ำพระพุทธมนต์ชำระล้างความสกปรกในร่างกายฉันใด น้ำที่เราอาบ ประพรมจากฝักบัว รินรดจากศีรษะลงไปสู่ปลายเท้า น้ำที่เป็นน้ำพุทธมนต์ก็ชำระล้างจิตอันเศร้าหมอง สรรพกิเลสทั้งหลาย ออกไปจากจิตเราด้วยเช่นกัน น้ำที่เป็นน้ำพุทธมนต์ ชำระล้างโรคภัยไข้เจ็บ พลังงานที่ติดค้าง ให้ไหลสลายออกไปจากกายของเราด้วยเช่นกัน พอถึงเวลาจะทานข้าว ในแต่ละมื้อที่ทาน ก็กำหนดจิต อธิษฐานนึกจินตภาพ อธิษฐานกลั่นอาหารให้กลายเป็นแก้ว เป็นเพชร เป็นอาหารทิพย์ยกขึ้นไปถวายพระพุทธเจ้าก่อนที่เราจะทาน เมื่อกำหนดจิตยกขึ้นไปถวายเสร็จ ท่านรับแล้ว เรายกจิตไปบนพระนิพพานถวายท่านแล้ว ก็กำหนดจิตลาอาหารทิพย์นั้น เป็นลำแสงลงมาอย่างอาหารที่เป็นของหยาบบนโลกมนุษย์ อาหารนั้นก็จะกลายเป็นอาหารทิพย์ มีพลัง มีพุทธานุภาพ ที่จะช่วยเยียวยาช่วยป้องกันโรคภัยไข้เจ็บ แล้วถ้าหากใครทำเป็นนิจ หมั่นสังเกตดู เราจะพบว่าอาหารที่เราทานเวลาที่เราถวาย และลาลงมา ความเป็นทิพย์ปรากฏ อาหารนั้นจะมีรสชาติที่เอร็ดอร่อยมากกว่าอาหารธรรมดา ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่อาหารนั้นก็มีพลังชีวิตอยู่ ให้เราสังเกตดูว่าบางครั้ง บางทีเราไปไหว้เจ้า เราไปเซ่น เราไปไหว้ พอไปไหว้ไปเซ่นต่างๆ บางทีเราเอาอาหารเซ่นอาหารไหว้มากิน ความเอร็ดอร่อยมันจะลดน้อยถอยลง เพราะบางครั้งบางครา อาหารที่เราไปไหว้ ไปเซ่นไหว้ บางทีก็มีโอปปาติกะ สัมภเวสีที่เขาอดอยากอยู่ เขาเห็นว่ามีของมาวาง มาเซ่น มาไหว้ เขาก็มากิน กินในภาคทิพย์ความเป็นทิพย์นั้น โอชารสที่มันปรากฏเป็นพลังชีวิตอยู่ในอาหารมันถูกสูบกลืนกินไปแล้ว เวลาที่เราเอามาทาน ความเอร็ดอร่อยมันก็ลดลง แต่หากเวลาที่เราถวาย ข้าวพระแล้วอาราธนาเป็นกระแส เป็นแสงสว่าง เป็นความเป็นทิพย์ลงมาที่อาหาร เรากลับพบว่าอาหารนั้น มีรสชาติอร่อยกว่า กว่าอาหารธรรมดาที่ไม่ได้เซ่นไหว้ด้วยซ้ำ
อันนี้ก็เป็นเรื่องของภาคทิพย์ เป็นเรื่องของกระแสบุญ กระแสพลังงานที่มันปรากฏ อันนี้ก็ให้เราสังเกตดู ต่อมาในกิจวัตรประจำวันที่เราจะทำต่อไป เราก็หาอุบายต่างๆ ในการยกจิตขึ้นไปกราบพระ ขับรถ เดินทาง ทรงอารมณ์อยู่ในสมาธิ สวดคาถาเงินล้านบ้าง กำหนดจิตอยู่ในสมาธิบ้าง หรือหลายคนที่ขับรถ หากทรงอารมณ์ฌานในการขับรถ เราจะรู้สึกว่าเรามีสมาธิกับการขับรถมากขึ้น จิตมีความตั้งมั่นมากขึ้น ในเวลาที่เราขับรถไป การเหยียบคันเร่งของเรา มันจะมีความราบเรียบต่อเนื่องไม่กระโชกโฮกฮาก ไม่เหยียบขึ้นเหยียบลง การประหยัดน้ำมันมันก็เกิดขึ้น แล้วก็บางครั้งเวลาที่เราขับรถ แล้วเราทรงฌาน ทรงสมาธิ จิตตั้งมั่นนิ่งอยู่ รู้เห็นอยู่ จิตจะเกิดญาณเครื่องรู้ รู้ว่ารถคันข้างหน้าเขาจะเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาโดยไม่บอกไม่กล่าว เดี๋ยวเขาจะทำยังไง รู้จิตรู้ใจของมอเตอร์ไซค์ที่ขับมา มีรถที่จะออกจากซอยมากระทันหัน จิตมันจะมีตัวรู้ กำหนดรู้เช่นนี้อยู่ ดังนั้นการทรงฌาน ทรงสมาธิในการขับรถ ก็ทำให้การขับรถปลอดภัยขึ้น หากจะว่าไปแล้ว ถ้าเรามีปัญญาความฉลาด เราจะมาบอกว่า เราไม่มีเวลาปฏิบัติธรรมได้ไหม
ตอนนี้ให้เรากำหนดจิต คิดพิจารณาดูให้ดี ในระหว่างที่ทำงาน ทรงภาพพระไว้บนศีรษะตลอดเวลาได้ไหม นึกงานต่างๆขึ้นไปถามพระได้ไหม ทำแบบนี้ค่อยๆฝึกอารมณ์ใจแบบนี้ ฝึกอารมณ์ในสถานการณ์ ในสมรภูมิรบในชีวิตอย่างแท้จริง ทรงภาพพระในขณะทำงาน กำหนดว่าเราจะคุมอารมณ์ใจ ไม่ให้โมโหได้ไหม ไม่ให้หงุดหงิดได้ไหม ไม่ให้เหวี่ยงได้ไหม พอเราคุมอารมณ์จิตของเราให้นิ่งได้ ผ่องใสได้ ถึงเวลาเจรจาติดต่องานกับเจ้านาย กับลูกค้า เราเจรจากำหนด Order นี้ ขอราคานี้ เรานึกในจิต ลูกค้าตอบมาตามที่เรานึกทุกอย่าง กำหนดคุยกับเจ้านาย เราตกลงจะทำแบบนี้ เจ้านายผ่าน ถึงเวลาเราทรงอารมณ์จิตไว้ เจ้านายก็โอเคตามนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็เป็นไปโดยกำลังฌาน กำลังสมาธิของเรากำกับอยู่ ถ้าหากเรามีปัญญา มีสติรู้ เราทรงอารมณ์ไว้เช่นนี้ ทุกอย่างก็สำเร็จราบรื่น ดังใจนึกได้ทั้งหมด จะไม่สำเร็จเมื่อไหร่ ก็ในขณะที่เราหลุดจากสมาธิ หลุดจากอารมณ์ความผ่องใสนั้นเอง
ให้เราแต่ละคนลองย้อนคิดพิจารณาว่า นับแต่นี้ เราจะน้อมเอาการปฏิบัติธรรมไว้ในจิต เราจะรบในสมรภูมิจิต เราจะทรงอารมณ์ไปในระหว่างที่เราทำงาน ในระหว่างที่เราทรงสติสัมปชัญญะ อยู่ในการดำรงชีวิตทุกอย่าง รักษาอารมณ์ให้ผ่องใสสูงสุด ทำจนกระทั่งเห็นผลแห่งการปฏิบัติว่า การทำงานทุกอย่างราบรื่น ต่อเนื่องสำเร็จง่ายขึ้นอย่างอัศจรรย์ ความเครียดในการทำงานลดลงอย่างอัศจรรย์ อัตราความสำเร็จ อัตราการขายเพิ่มขึ้นอย่างอัศจรรย์ ธรรมอยู่ในชีวิต ทำจนเป็นธรรม ให้เราน้อมจิตพิจารณาไว้เช่นนี้ แล้วก็พิจารณาต่อไป ถึงแม้แต่นอกเวลางาน ไปออกกำลังกายในสวนสาธารณะ ไปออกกำลังกายในยิม อาจารย์ยังเคยพบเคยเห็น หลายคนเอารูปพระมาวางบนเครื่องเทรดมิล เครื่องเดิน นั่นก็แปลว่าเขาเดินไป เขาทรงภาพพระไป บางคนออกกำลังกายไปเดินในสวนสาธารณะไป เอาหูฟังใส่ฟังธรรมะไป ในระหว่างที่เดิน ในระหว่างที่ออกกำลังกาย ไม่ต้องอะไรมาก ให้พิจารณาดูองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ท่านทรงใส่หูฟังไปในขณะออกกำลังพระวรกาย ในขณะเดิน ในขณะที่เสด็จพระราชดำเนินเจริญพระวรกายออกกำลัง พระองค์ก็ทรงฟังธรรมะไปพร้อมกัน เราก็สามารถจะทำเช่นนั้นได้
ดังนั้นธรรมะก็จะเริ่มสอดแทรกซึมซับอยู่กับกิจวัตรและอิริยาบทของเรา นั่นก็แปลว่าเราเริ่มเป็นผู้ที่ทรงฌาน คือทรงจิตอยู่ในธรรม อยู่ในฌาน อยู่ในสมาธิ แทบจะทุกขณะจิต เวลาในการปฏิบัติมากขึ้น เพิ่มขึ้นแทรกในกิจวัตรมากขึ้น อารมณ์ความผ่องใส ความก้าวหน้าในการปฏิบัติก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น สูงขึ้น ซึ่งการปฏิบัติเช่นนี้ ย่อมแน่นอนว่า ย่อมสูงกว่าคนที่กะเกณฑ์ว่า วันนี้จะนั่งสมาธิ 1 ชั่วโมง วันนี้จะนั่งสมาธิ วันนี้ขี้เกียจนั่งสมาธิ กว่าจะนั่งสมาธิที ต้องตั้งท่า ของเราไม่ต้องตั้งท่า แทรกอยู่ในกิจวัตรสม่ำเสมอ ทำตัวเรียบง่ายเป็นเหมือนคนธรรมดา แต่ภายในทรงฌาน ทรงความผ่องใส ทรงภาพพระไว้เป็นปกติ ยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพานได้ง่ายดาย คล่องตัวเป็นปกติ หากเราทำได้เช่นนี้เสมอ ความก้าวหน้ายิ่งเกิดขึ้น อันนี้หลวงพ่อฤาษีท่านสอนว่า อันที่จริงปฏิบัติแบบกระจุ๋มกระจิ๋มเล็กๆน้อยๆ แต่สอดแทรกแบบนี้ มันเกิดประโยชน์สูงกว่า เพราะเท่ากับเรานึกจะทำเมื่อไหร่ทำได้ทุกครั้ง ซึ่งก็จะไปเข้าหลักของผู้ทรงอภิญญา เข้าฌาน 4 ได้ทุกครั้งที่เราต้องการ เมื่อเข้าฌาน 4 ทุกครั้งที่เราต้องการได้ ก็กำหนดจิตเป็นเพชรประกายพรึกได้ทุกครั้งที่เราต้องการ ทรงอารมณ์จิต ยกจิตเป็นเพชรขึ้นไปได้ทุกครั้งที่เราต้องการ คือจิตทรงความเป็นประกายพรึกได้ ก็กำหนดจิตอาทิสมานกาย ให้กายนั้นเป็นกายทิพย์ เปี่ยมพลัง แผ่เมตตาอันไม่มีประมาณได้ เพียงแค่ลัดนิ้วมือเดียวอย่างง่ายดายทุกครั้ง พอแผ่เมตตาปรากฏกำลังแห่งกายทิพย์เต็มกำลังได้ง่ายดายเพียงแค่นิ้วเดียวทุกครั้ง ก็สามารถยกจิตขึ้นไปเป็นกายพระวิสุทธิเทพขึ้นไปบนพระนิพพานได้ทุกครั้ง ลัดนิ้วมือเดียวก็ขึ้นได้ทุกครั้ง ขึ้นได้แล้วจึงไปกำหนดในอารมณ์พระนิพพานโดยละเอียดซ้ำอีกที ทำจนกระทั่งการปฏิบัติทั้งหมดเป็นเรื่องง่ายดาย เป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องธรรมดา เมื่อไหร่ที่เราเข้าถึงสภาวะนี้ จิตของเรา ก็ถือว่าทรงฌานในอารมณ์พระนิพพานได้เป็นปกติ กำลังใจก็ถือว่าสูงอย่างยิ่ง
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เรามองเห็น เราเห็นทาง ทางแห่งพระนิพพาน เรียกว่ามรรค มรรคของเราก็ราบรื่น ลัดตัดตรง ง่ายดายและเปี่ยมพลังอย่างยิ่ง ไม่ใช่เป็นทางที่มันสลับซับซ้อนยาก มีเงื่อนไข เต็มไปด้วยอุปสรรคขวากหนาม จะไปพระนิพพาน ถามจริงๆ อุปสรรค มันมีไหม มันมีคือความขี้เกียจ มีความวุ่นวาย มีความห่วง มีความกังวลเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่หากเราจะไปพระนิพพานจริงๆ พุ่งจิตพรวดเดียวก็ถึงพระนิพพานได้ ดังนั้นถ้าเข้าถึงอย่างแท้จริง พระนิพพานอยู่ใกล้ แต่หากปฏิบัติในเส้นทางที่มันรถเลี้ยวคดเคี้ยว ยุ่งยาก สอนให้มันยาก พระนิพพานก็ย่อมอยู่ไกล เราเมื่อมาปฏิบัติจนเห็นพระนิพพานอยู่ใกล้แล้ว ก็จงอย่าเป็นคนที่เรียกว่าใกล้เกลือกินด่าง เรามีกำลังจิตยกขึ้นสู่พระนิพพานได้เสมอ เราก็จงไปให้บ่อย ให้นาน ให้สม่ำเสมอทุกวันไม่คลาดจากพระนิพพาน 7 เวลา วันละ 7 ครั้ง ก็ยังถือว่าน้อย ค่อยๆปรับเวลาเพิ่มที่เราจะทรงอารมณ์อยู่บนพระนิพพาน เพิ่มขึ้น มากขึ้น พิจารณาในจิตของเราว่า ข้ออ้างต่างๆ อุปสรรคต่างๆ ไม่ใช่ข้ออ้างสำหรับเรา สำหรับเรากำลังใจของเราที่ฝึกกรรมฐานแบบเต็มกำลัง กำลังใจเราเต็มที่จะมาพระนิพพานเสมอ
ตอนนี้ก็ให้เรากำหนดจิตอยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ตรัสถาม ตั้งใจน้อมจิต กราบทูลถามสมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ หลวงพ่อท่านว่า หากลูกขึ้นมาบนพระนิพพานบ่อยๆ ท่านจะยินดีหรือท่านจะรังเกียจ เมื่อลูกขึ้นมาบนพระนิพพาน ท่านดีใจไหม น้อมจิตกราบถาม น้อมจิตเข้าไปกอดแทบเบื้องพระบาท แล้วก็ดูว่า เวลาที่เรากราบทูลว่าเราจะขึ้นมาพระนิพพานให้บ่อยขึ้น ตั้งใจจะทรงอารมณ์ในระหว่างวันมากขึ้น ท่านเมตตาเราขึ้นไหม ท่านลูบศีรษะ ท่านรักเรา ท่านเอ็นดูเรา ท่านยินดีที่จะสงเคราะห์เรามากขึ้นไหม คราวนี้ก็ให้เราเทียบดู กับอารมณ์จิตเดิม เรางอแง เราดื้อ เราหาเหตุ เราไม่ขึ้นยกจิตขึ้นมากราบท่าน อารมณ์จิตที่ท่านรู้สึกกับเรา ท่านรู้สึกยังไงท่านอยากจะโปรด แต่เราก็ไม่มีกำลังใจ จะขี้เกียจบ้างก็ดี มัวแต่จมอยู่กับอารมณ์ที่เศร้าหมองอยู่ก็ดี ยังอยู่กับนิวรณ์อยู่ก็ดี ไอ้ตรงจุดนี้ก็เป็นเรื่อง ที่แต่ละบุคคลจะหักห้ามอารมณ์ใจของเรา และยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานไหม อันนี้ก็ให้เราน้อมพิจารณา ดูทั้งสองอารมณ์ สองสภาวะ แล้วก็ตั้งใจว่า เราจะเปลี่ยนไหม เราจะเร่งรัดการปฏิบัติขึ้นไหม เราจะค่อยๆเพิ่มความเพียรในการปฏิบัติขึ้นไหม แล้วก็บอกตัวเราเองว่าจริงๆมันยากหรือเปล่า พิจารณาผลดี ผลเสีย อันที่จริงทรงฌานไว้ เวลาคุยกับเจ้านาย กลับกลายเป็นว่า เมื่อก่อนหนัก เมื่อก่อนเครียด เมื่อก่อนยาก กลายว่าคราวนี้ทุกอย่างง่ายขึ้น ราบรื่นขึ้น ธรรมะจัดสรรขึ้น คล่องตัวขึ้น กลับยิ่งเป็นเรื่องดีกว่าเดิม การทำงานเบาขึ้นกว่าเดิม
ดังนั้นก็ให้เราทุกคนพิจารณานะ กำลังใจของเรา ขอบารมีพระ กอดพระบาทพระพุทธองค์ ขอบารมีท่านเมตตาสงเคราะห์ ให้กำลังใจเราสูงขึ้น ทุกๆคน ทุกๆดวงจิต ให้ใจเรามีความยินดีในธรรม ที่เรียกว่าธรรมฉันทะ ยินดีในพระนิพพาน ธรรมฉันทะตัวที่สำคัญที่สุดก็คือ มีความพึงพอใจ มีความรักในพระนิพพานอย่างยิ่ง เพิ่มพูนจุดนี้จุดเดียว ยังไงก็ถึงมรรคผลนิพพาน ธรรมะฉันทะตัวสำคัญที่สุดคือ ความรัก ความมั่นคงในพระนิพพาน กำหนดจนกระทั่ง จิตของเราแต่ละคน กระจ่างแจ้ง ทรงอารมณ์ของเราบนพระนิพพานไว้ เรื่องทุกอย่าง ภาระทุกอย่าง หมดสิ้นจากใจ ภพทั้งหลาย การเกิด การพลัดพราก ชาติภพทั้งหลายสิ้น เหลือแต่จิตอันเป็นอิสระ ปราศจากแรงยึดเหนี่ยว แรงดึงดูดของสังสารวัฏ กรรมวิบากทั้งหลาย จะเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่ว ก็ไม่ส่งผลกับเราอีกต่อไป มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พรหมสมบัติ ก็ไม่อาจดึงดูดใจ ดึงดูดจิตของเราให้ลงไปเกิดได้ต่อไป จิตเรารัก จิตเราตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพาน อยู่กับพระพุทธองค์เพียงจุดเดียว จะเกิดไปทุกข์อีกทำไม จะเกิดไปพบกับความวุ่นวายหนออีกทำไม จิตเกิดนิพพิทาญาณ คือความเบื่อหน่ายคลายกำหนัดยินดีในการเกิดแห่งภพทั้งปวง จิตจดจ่อตั้งมั่น อยู่กับพระนิพพานเพียงจุดเดียว ทรงอารมณ์ความผ่องใสไว้ กำหนดอธิษฐานจิต เห็นอาทิสมานกาย กายพระวิสุทธิเทพสว่างผ่องใส เป็นเพชรประกายพรึก ใจของเราเอิบอิ่ม อาทิสมานกายของเรายิ่งสว่างขึ้น กำหนดในสภาวะแห่งความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ รู้สึกได้ถึงความใส ความสว่าง รัศมีกายที่เป็นคลื่นพลังงานแผ่ออก เครื่องทรง เครื่องประดับ นับตั้งแต่ยอดมงกุฎ มงกุฎที่เป็นเพชรระยิบระยับใสอย่างยิ่ง ใบหน้าของกายพระวิสุทธิเทพที่ใสละเอียด สว่าง อุณาโลมที่เป็นเพชรอยู่บริเวณกลางหน้าผาก ตาที่สาม เครื่องประดับ อินธนูบนไหล่ สร้อยสังวาลย์ ทับทรวงที่ประดับอยู่ แหวนพระธำมรงค์ที่เป็นเพชรสว่างทั้ง 10 นิ้ว กำไรธารพระกรที่อยู่บนข้อมือทั้งสอง รู้สึกลูบสัมผัส ถึงเสื้อที่เป็นเพชรสว่างแนบกาย เป็นเนื้อเดียวกับผิวกายอยู่ เข็มขัดที่มีปั้นเหน่ง เป็นอัญมณีประดับเป็นแก้ว เป็นเพชรสว่างอยู่ สนับเพลา กางเกงที่ยาวมาเสมอเข่า มีปีกอยู่ที่ปลายขากางเกง ฉลองพระบาทที่เป็นฉลองพระบาทปลายงอนเป็นแก้ว เป็นเพชรสว่าง วางอยู่บนแท่นเหลี่ยมไม้ 12 หรือบางคนที่เป็นพุทธภูมิ มีบารมีพุทธภูมิเก่าก็มีดอกบัวเป็นเพชรรองอยู่แทบเบื้องพระบาทเหนือแท่นเหลี่ยมไม้ 12 อีกชั้นหนึ่ง กำหนดรู้สึกถึงความเป็นกายพระวิสุทธิเทพสว่างเต็มกำลัง ความรู้สึกถึงการสวมใส่แหวน รัศมีกายที่สว่าง ชฎาที่สวมอยู่ ความเป็นกายพระวิสุทธิเทพชัดเจนอยู่ กำหนดว่าเราอยู่บนพระนิพพาน กำหนดว่าเมื่อไหร่ที่เราตายจากความเป็นมนุษย์ เราพุ่งจิตเข้าถึงพระนิพพาน ทิ้งภพภูมิทั้งหลาย อารมณ์ตัดเข้าสู่อรหัตผล ปรากฏความเป็นกายแห่งพระวิสุทธิเทพอยู่บนพระนิพพานนี้ หมดความทุกข์ หมดความโศก หมดเชื้อแห่งการเกิด จบกิจทั้งปวง กำหนดในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ จนจิตจารึกจดจำมั่นคง รู้สึกชัดแจ้ง กระจ่างกับจิตของเราอย่างแท้จริง กายพระวิสุทธิเทพสว่างแผ่รัศมี อยู่ในวิมานบนพระนิพพาน จิตเสวยอารมณ์วิมุต อารมณ์ความเป็นสุขอยู่บนพระนิพพาน ตั้งจิตบริกรรม นิพพานัง ปรมังสุขัง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
กำหนดจิตทรงอารมณ์รัศมีกายสว่าง เข้าถึงความสุข ความอิ่มใจ ความเบิกบาน ความผ่องใส ความผ่องใสสูงสุดคือความผ่องใสในวิมุติจิต จิตอันดับ สิ้นเชื้อไม่เหลือเศษแห่งการเวียนว่ายตายเกิด จิตอันผ่องใสประภัสสรในอารมณ์พระนิพพาน เข้าถึงจิตแห่งอรหัตผล สว่าง ใส บริสุทธิ์ ละเอียด จากนั้นน้อมจิตของเรา อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ มีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน ขอน้อมกระแสจากพระนิพพานลงมาสู่สังสารวัฏ เป็นกระแสเมตตาอันไม่มีประมาณจากพระนิพพาน
- ขอสรรพสัตว์จงเข้าถึงบุญกุศล ความดี ความสุข ความเจริญ
- ขอสรรพสัตว์ทั้งหลาย จงเข้าถึงกระแสแห่งมรรคผลพระนิพพาน
- ขอกระแสบุญแห่งพระนิพพาน จงชำระล้างจิตทั้งหลาย จากมิจฉาทิฐิ เข้าสู่สัมมาทิฐิ
- ขอกระแสบุญจากพระนิพพาน จงสลายล้างวิบากอกุศลทั้งปวง ให้เบาๆบรรเทาลง จากทุกดวงจิต
- ขอวิบากความทุกข์ทั้งหลายที่อยู่ในวิสัยอันคลี่คลาย เบาบางผ่อนปรน กระแสแห่งพระนิพพาน ก็จงช่วยสลายบรรเทาเบาบาง ผู้ที่ทุกข์ ก็ขอให้พ้นทุกข์ ผู้ที่สุข ก็ขอให้สุขยิ่งขึ้นไป
- แผ่เมตตา น้อมกระแสจากพระนิพพาน ลงไปยังอรูปพรหมทั้ง 4 ชั้น
- แผ่กระแสรัศมี กระแสแห่งพระนิพพาน ลงไปยังพรหมโลกทั้ง 16 ชั้น
- แผ่รัศมีกระแสจากพระนิพพานลงไปยังสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น
- แผ่ลงไปยังรุกขเทวดาทั่วโลก ทั่วจักรวาล ภุมมเทวดา พระภูมิเจ้าที่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทั่วโลกทั่วจักรวาล
- แผ่เมตตาลงไปยังภพกลาง ภพของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นดาวโลก หรือดาวดวงใด ทุกดวงดาวทั่วจักรวาล สรรพสัตว์ที่เป็นมนุษย์ สรรพสัตว์ที่เป็นสัตว์เดรัจฉาน สรรพสัตว์ที่เป็นกายเนื้อทั้งหลาย ขอจงได้รับกระแสแห่งบุญกุศล
- แผ่เมตตาลงไปยังดวงจิต โอปปาติกะ สัมภเวสีทั้งหลาย ขอจงได้รับบุญกุศล ดวงจิต ดวงวิญญาณที่ตกค้างอยู่ในโลกมนุษย์ อยู่ในภพภูมิ อยู่ในสังสารวัฏ เปรตอสุรกายทั้งหลาย หรือแม้แต่ท่านทั้งหลายในภพภูมิแห่งบาดาลนาคนคร ชาวเมืองลับแล ชาวเมืองบังบด มิติที่ทับซ้อนทั้งหลาย จงได้รับกระแสแห่งบุญ
- แผ่เมตตาต่อไปยังภพของเปรต อสุรกาย
- แผ่เมตตาต่อไปยังบรรดาสัตว์นรกทั้งหลาย
- แผ่เมตตาครบถ้วนทั้ง 3 ภพภูมิ
ขอบุญจากพระนิพพาน กระแสพระนิพพานจงสว่าง ถึงทุกดวงจิต ทุกดวงวิญญาณ บุญจงส่งผลสว่าง
กำหนดจิตน้อมใจเราต่อไป
- ขอกระแสบุญจากพระนิพพาน กระแสกำลังแห่งพุทธานุภาพ จงหลั่งไหลลงมายังวัดวาอารามทุกแห่ง สถานปฏิบัติธรรมทั้งหลาย พระพุทธรูป พระธาตุ พระบรมธาตุ พระมหาเจดีย์ พระบรมสารีริกธาตุ พระเครื่องวัตถุมงคลทั้งหลาย ความศักดิ์สิทธิ์ กำลังพุทธานุภาพจงปรากฏ ลูกแก้วทั้งหลาย วัตถุมงคลทั้งหลาย สายสิญจน์ทุกเส้น ผ้ายันต์ทุกผืน รอยสักทุกเส้นลาย ขอจงปรากฏความศักดิ์สิทธิ์ กำลังพุทธานุภาพ กำลังแห่งครูบาอาจารย์ กำลังแห่งพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ความศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงปรากฏ เพื่อปกปักรักษาพุทธบริษัท 4 ให้รอดพ้นปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวง
- ขอกระแสจากพระนิพพาน จงหลั่งไหลลงสู่ดวงจิต ของพุทธบริษัทผู้ปฏิบัติธรรม กระแสธรรมอันมุ่งตรงสู่มรรคผล พระนิพพาน จงน้อมนำลงสู่จิตทุกดวง ให้ปฏิบัติแล้วเกิดผล เกิดญาณ เกิดฌาน เกิดมรรค เกิดผล เข้าถึงธรรมได้โดยง่ายโดยพลัน
- ขอกระแสจากพระนิพพานหลั่งไหลลงมา ให้สรรพสัตว์ สัตว์โลกทั้งหลายยินดีในการให้ทาน ยินดีในการเป็นผู้ปราศจากเวรภัย ยินดีในการเป็นผู้ไม่เบียดเบียนกัน ยินดีในการให้อภัยอโหสิกรรมต่อกัน ยินดีในการรักษาศีล ยินดีในการปฏิบัติภาวนา ยินดีในการเจริญปัญญาพิจารณาวิปัสสนาญาณ ยินดีในพระนิพพานกันทุกดวงจิตด้วยเถิด
น้อมกำหนดจิต ซึมซับสัมผัสรู้สึกถึงกระแสจากพระนิพพาน ที่หลั่งไหลลงสู่โลก ปรับสภาวะเพื่อให้โลกนี้ พร้อมเข้าสู่ยุคแห่งชาววิไล น้อมจิตเราให้สว่างผ่องใสไว้ จิตเราเป็นกุศล ขอกระแสแห่งพระนิพพาน ส่องตรงลงมายังกายเนื้อของเราทุกคน กระแสธาตุธรรม กระแสพระนิพพาน กระแสความบริสุทธิ์แห่งจิต กระแสกำลังพุทธคุณ ชำระล้างฟอกธาตุขันธ์ ปรากฏธรรมโอสถ เยียวยารักษากายเนื้อของเราทุกคน จากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง กำลังบุญ กำลังกุศล กำลังแห่งการเจริญพระกรรมฐาน เปิดสายบุญ สายทรัพย์ สายสมบัติ สายบารมีของเราทุกคนให้ปรากฏ กระแสบุญส่งผลทันใจ กระแสกุศลส่งผลทันใจ ความสุขกาย สบายใจ จงหลั่งไหลลงมาสู่ชีวิตของเรา ความคล่องตัว ความสำเร็จ ความเจริญรุ่งเรือง จงหลั่งไหลลงมาสู่ชีวิตของเราทุกคน ความเป็นมหาอุบาสก ความเป็นมหาอุบาสิกาแก้ว ในพระพุทธศาสนา จงปรากฏขึ้น ทรัพย์ทั้งหลาย มหาโภคทรัพย์ทั้งหลาย อันเกิดขึ้นจากบุญฤทธิ์ เกิดขึ้นจากทานมหาทานที่เราได้ กระทำบำเพ็ญในทุกชาติภพ จงผุดขึ้น ปรากฏขึ้น เป็นสายสมบัติ เป็นขุมทรัพย์ ให้เราได้ทำนุบำรุงชีวิต ทำนุบำรุงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ดูแลเยียวยาโลกใบนี้ ให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ ความสุข ความเจริญ ใจของเราผ่องใส กระแสบุญ จงปรากฏ
จากนั้นให้เราตั้งจิตอธิษฐาน เป็นกำลังในการอธิษฐานหลังบุญกรรมฐาน บารมีทุกอย่างเปิดสำเร็จ เมื่ออธิษฐานแล้วจึงน้อมจิต กราบลาพระพุทธเจ้าและทุกท่าน ทุกพระองค์บนพระนิพพาน จากนั้นจึงพุ่งอาทิสมานกาย กลับมาที่กายเนื้อ กำหนดจิตว่าเมื่อกลับมาที่กายเนื้อ กำหนดให้เห็นพระ 3 ฐาน พระพุทธรูปเป็นพุทธนิมิตร อยู่เหนือศีรษะ ภายในศีรษะ และภายในกายของเราสว่าง จากนั้นหายใจเข้าลึกๆ หายใจเข้าพุท ออกโธ ครั้งที่ 2 ธัมโม ครั้งที่ 3 สังโฆ กำหนดจิต ค่อยๆถอนจิตช้าๆ ลืมตาขึ้นจากสมาธิ กำหนดใจว่าเราโมทนาสาธุกับกัลยาณมิตรทุกคนที่ปฏิบัติธรรมด้วยกัน โมทนาบุญกับทุกคนที่มาปฏิบัติตามในภายหลัง บุญสานความสามัคคีในหมู่คณะ ในพุทธบริษัท 4 ทุกสายการปฏิบัติ จงรวมจิตรวมใจให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย จงเป็นกัลยาณมิตรต่อกัน มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนากับทุกคนด้วย ขอให้มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง อานิสงส์แห่งการที่ร่วมกันถวายมหาสังฆทานในวันนี้ 18 ชุดก็ขอจงส่งผลอัศจรรย์ มหาโภคทรัพย์ ขุมทรัพย์ทั้งหลาย ความโชคดีทั้งหลาย จงหลั่งไหลเข้ามา มีแต่ความคล่องตัว มีแต่ความผ่องใสกันทุกคน สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า
ถอดความและเรียบเรียงโดย : คุณวรรณภา