เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันอาทิตย์ที่ 7 สิงหาคม 2565
เรื่อง พิจารณานิทานให้เห็นธรรม
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
ครับสวัสดีนะครับทุกท่าน จับลมหายใจสบายๆ ทรงสมาธิในระหว่างที่รอเพื่อนๆเข้ามานะครับ อยู่กับลมหายใจสบายๆ กำหนดจิตเห็นลมหายใจเป็นประกายพรึก ทรงอารมณ์สมาธิสูงสุด คืออารมณ์ความผ่องใสอารมณ์จิตอันเป็นสุข เห็นดวงจิตของเราสว่างเป็นเพชรประกายพรึก
กำหนดจิตของเราให้ใส อารมณ์ใจของเราเป็นสุข ภาพนิมิตอารมณ์จิตรัศมีแสงสว่างมีความสัมพันธ์กันอย่างยิ่ง กำหนดใจเราให้สว่างผ่องใส กำหนดอยู่กับดวงจิต ปล่อยวางความห่วงความเกาะความสนใจในร่างกายทั้งหมด จิตเข้าถึงความเอิบอิ่มปิติสุข ยิ่งจิตเอิบอิ่มปิติสุขเพียงใดภาพนิมิตดวงจิตยิ่งสว่างผ่องใสเพียงนั้น ภาพดวงจิตยิ่งสว่างผ่องใสเพียงใดก็ให้กำหนดรู้ว่าอาทิสมานกายของเรายิ่งส่องสว่างเพียงนั้น ทรงอารมณ์ใจที่ผ่องใสไว้
เมื่อทรงอารมณ์จิตให้ผ่องใสดีแล้ว กำหนดจิตอธิษฐานต่อไป น้อมรำลึกนึกถึงพุทธบารมีของพระพุทธเจ้า น้อมรำลึกนึกถึงคุณครูบาอาจารย์ มีหลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นที่สุด กำหนดภาพนิมิตของพระพุทธองค์ให้ชัดเจนกระจ่างแก่จิตแก่ใจของเรา สว่างผ่องใสอย่างยิ่ง ทรงอารมณ์ในความนิ่งสงบ
เมื่อทรงอารมณ์ในความสงบผ่องใสแล้ว กำหนดใจวางในอารมณ์แห่งอุเบกขารมณ์ คือความวางเฉย ไม่หวั่นไหวต่อเรื่องราวใดๆ สิ่งที่รู้สิ่งที่มากระทบอารมณ์ใจของเรา กำหนดไว้ในอุเบกขารมณ์ รู้สักแต่ว่ารู้ พิจารณารู้เห็นด้วยอารมณ์จิตที่เป็นอุเบกขารมณ์นี้ จะทำให้ญาณเครื่องรู้ต่างๆของเรามีความถูกต้องตามความเป็นจริง ผนวกกับความสะอาดของจิตจากการเจริญวิปัสสนาญาณ ยิ่งตัดร่างกายมากเท่าไหร่ ตัดความห่วงความเกาะในร่างกายมากเท่าไหร่ ทั้งภาพนิมิตและวิปัสสนาญาณยิ่งก่อให้เกิดความชัดเจนแจ่มใสถูกต้องแม่นยำเพิ่มขึ้นเพียงนั้น ตัด ละ วางร่างกายอยู่กับความนิ่งสงบ วางใจกลางๆเป็นอุเบกขา จิต ญาณ น้อมจิตติดตามรู้ติดตามเห็น น้อมจิตตาม กำหนดภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ชัดเจนแจ่มใส กำหนดน้อมจิต
ก่อนที่จะเข้าสู่การเล่านิทาน ก็ขอให้เรากำหนดรู้ ในเหตุการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ทั้งในเรื่องดีและก็เรื่องร้าย เพื่อให้จิตของเรานั้นรู้ก่อน ไม่หวั่นไหวไปกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น จิตปราศจากความกลัว จิตปราศจากความกังวลทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงปัจจุบัน พระท่านเตือนในเรื่องของการล้าง การชำระล้าง ภัยพิบัติต่างๆ สงครามต่างๆที่ใกล้ตัวเข้ามา ไม่นับรวมถึงโรคภัยไข้เจ็บโรคระบาดต่างๆ ซึ่งโรคระบาดต่างๆที่เกิดขึ้น รวมถึงผลกระทบจากการที่เราไปป้องกันก็มีผลที่ล้างจำนวนประชากรลงไปจากโลกมนุษย์เป็นจำนวนมาก แต่ภัยพิบัติที่กำลังเกิดมีเค้ารางชัดเจนเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากสงครามในเขตในภูมิภาคต่างๆอย่างที่เราได้ทราบกัน ก็ยังมีเรื่องที่เป็นเรื่องภัยพิบัติในลักษณะที่เป็นภัยธรรมชาติเป็นอุบัติภัย อย่างเช่นเมื่อวานก็เพิ่งเตือน ก็ปรากฏเหตุเกิดขึ้นในวันนี้ซ้ำอีก ทั้งในประเทศไทยเองก็ตามแล้วก็ในต่างประเทศ ซึ่งอันที่จริงแล้วในเรื่องของการกวาดล้างหรือสิ่งต่างๆที่จะเกิดขึ้นนี้พระท่านเตือนมาเป็นเวลา 2 เดือนล่วงหน้า แต่เหตุการณ์ก็ยังไม่ชัดเจน จนกระทั่ง ณ เวลาปัจจุบันนี้ก็เริ่มเกิดเหตุที่มันชัดเจนขึ้นอย่างที่เราได้ทราบกันดีอยู่
หากเรากำหนดจิตพิจารณาดูเหมือนอย่างที่ครูบาอาจารย์คือหลวงพี่เล็กวัดท่าขนุนท่านเมตตาเตือน ท่านก็บอกว่าเจ้าหน้าที่ซึ่งอันที่จริงก็คือนายนิริยบาลที่ถือธงเขียวธงแดง กำหนดเขตกำหนดจุดกำหนดบุคคลที่จะพึงถูกล้าง ท่านก็เตือนไว้ ตอนนี้ก็ให้เราน้อมจิตพิจารณาตาม ขอบารมีพระพุทธเจ้าทรงสงเคราะห์ ขอยกจิตของเรา สิ่งที่จะเตือนนี้ไม่ใช่เพียงเตือนแต่จะให้เราทุกคนที่ฝึกในห้องเมตตาสมาธิกรรมฐานได้ใช้กำลังแห่งสมาธิกำลังแห่งสมาบัติให้เกิดประโยชน์ในการปกป้องป้องกันเราทั้งหลายจากภัยพิบัติทั้งปวง
เริ่มต้นก็ให้เราทุกคนกำหนดจิต ยังกำหนดไว้เนื่องอยู่กับกายเนื้อยังไม่ต้องยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพาน
ในห้องครูฝึกไปแล้วก็ฝึกซ้ำไป สำหรับท่านที่อยู่ในห้องเมตตาภิรมย์กรรมฐานก็ฝึกกำหนดกาย น้อมจิตเห็นจิตเป็นแก้วประกายพรึก กำหนดรำลึกนึกถึงบุญกุศล ทาน ศีล ภาวนา การเจริญพระกรรมฐานที่เราเจริญไว้ดีแล้ว ทานที่เราทำไว้ดีแล้ว บุญชีวิตทานที่เราทำไว้ดีแล้ว จากนั้นกำหนดจิต อาราธนาบารมีคุณพระรัตนตรัย คือคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ คุณครูอุปัชฌาอาจารย์ ท่านผู้มีพระคุณ พ่อแม่ เทพพรหมเทวา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ผู้เป็นสัมมาทิฐิทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้อมจิตรำลึกนึกถึงลุงพุฒ ท่านพระยายมราช รวมถึงนายนิริยบาลทั้งหลาย ขอน้อมกุศลน้อมบุญทั้งหลายบารมีทั้งหลายที่ข้าพเจ้าทุกคนได้บำเพ็ญไว้ดีแล้ว น้อมอุทิศโดยตรงต่อท่าน
จากนั้นน้อมกระแสจากพระนิพพานลงมาลงมายังกลางกระหม่อมจอมขวัญของเราทุกคน จากนั้นตั้งใจว่ากระแสจากพระนิพพานที่เราเคยฝึกเคยเจริญไว้ดีแล้ว น้อมก่อให้เกิดรัศมีเป็นดวงแก้วคลุมคุ้มครองรอบกาย คลุมกายคลุมจิตของเราไว้ทั้งหมด ป้องกันเราจะสรรพภยันอันตรายทั้งปวง ทั้งภัยพิบัติ โรคภัยไข้เจ็บ เชื้อโรครังสีทั้งหลาย กัมมันตภาพรังสีทั้งหลาย อาวุธเคมีทั้งหลาย อาวุธสงครามทั้งหลายตลอดจนคุณไสยดวงจิตดวงวิญญาณ คลื่นกระแสพลังงานลบ
กำหนดจิตอธิษฐาน เห็นดวงแก้วใสสว่างครอบ เป็นเกาะแก้วเป็นกำแพงแก้วชั้นที่ 1 คลุม
กำหนดจิตอธิษฐานก่อให้เกิดดวงแก้วซ้อนแน่นขึ้นอีก กำแพงแก้วชั้นที่ 2
กำหนดจิตด้วยกำลังพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ กำแพงแก้วชั้นที่ 3 ผนึกแน่น
ยิ่งชั้นมากเท่าไหร่ กระแสรัศมีของดวงแก้วที่ป้องกันมากเท่าไหร่ ยิ่งมีความมั่นคงเพียงนั้น
อธิษฐานก่อให้เกิดกำแพงแก้วดวงแก้วครอบคลุมคุ้มครองกาย วาจา ใจ จิตของเราชั้นที่ 4
กำหนดอธิษฐานขอบารมีพระลงมา เกิดกำแพงแก้วห้อมล้อมครอบทั่วอนัตตาขันธ์ 5 ร่างกายของเราชั้นที่ 5
กำหนดอาราธนาบารมีพระ ก่อให้เกิดเป็นดวงแก้วกำแพงแก้วชั้นที่ 6
อธิษฐานจิตก่อให้เกิดดวงแก้วครอบคลุมคุ้มครอง กำแพงแก้วอันเกิดจากบุญ ดวงแก้วครอบคลุมกาย วาจา ใจ กำแพงแก้วทับซ้อนแน่นหนา 7 ชั้น
อุบัติภัยภยันอันตรายทั้งหลาย ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลาย อาวุธเคมีทั้งหลายไม่อาจที่จะกระทำกล้ำกลายเราได้ เมื่อกายของเราอยู่ในกำแพงแก้ว 7 ชั้น แล้ว อธิษฐานจิตแผ่เมตตาถึงทุกท่านทุกรูปทุกนามออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผ่เมตตาออกไปยังเจ้าหน้าที่ผู้ถือธงเขียวธงแดง ผู้ปักธงนำดวงวิญญาณทำหน้าที่ล้าง แผ่เมตตาให้ท่านรู้ว่าเราเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรม เราอยู่ในศีล เราอยู่ในธรรม เราอยู่ในกุศล เราอยู่ในความดี เราอยู่เพื่อทำหน้าที่ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองจนครบห้าพันปี ให้ท่านรู้ให้ท่านรับทราบไม่นำพาไม่นำเราไปผิดตัว
กำหนดจิตแผ่เมตตาสว่างออกไปให้เรารอดพ้นปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวง กำหนดจิตต่อไปว่า ถึงเวลา หากมีเหตุการณ์สถานการณ์คับขันขึ้นมา เราอาจอธิษฐานจิต อาราธนาบารมีพระช่วยคลุมคุ้มครองบุคคลในครอบครัวของเรา ครอบคลุมคุ้มครองบ้านของเราเคหะสถานที่อยู่อาศัยในขณะนั้นของเรา โดยที่ บุคคลที่เราให้กำหนดจิต 1 คือให้เขาน้อมจิตตาม 2 คือถ้าเขาทำไม่ได้ก็อย่างน้อยที่สุดภาวนาพุท-โธ หรือสวดมนต์บทใดบทหนึ่งเอาไว้ นึกถึงพระ นึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองไว้ อันนี้ก็เพื่อป้องกันภยันอันตรายทั้งหลาย และในขณะเดียวกันในช่วงเวลาดังกล่าวที่เริ่มเข้าเขตของการกวาดล้างครั้งใหญ่ ก็ให้ระมัดระวังอย่าไปในที่อโคจร สถานที่ที่เป็นที่รวมของผู้ที่ไปทำบาปทำผิดศีล แม้ว่าศีลข้อ 5 คือการดื่มสุราก็มีตัวอย่างให้เห็น ดังนั้นให้เราทรงอารมณ์ใจเราไว้อยู่ในศีลในธรรมเป็นหลัก อันนี้ก็เป็นเรื่องที่เราต้องป้องกันตัว
ในเขตประเทศอื่นๆในกลุ่มกัลยาณมิตรของเราที่อยู่ในประเทศต่างๆ ในต่างประเทศเอง ภัยจะรุนแรงกว่าในประเทศไทยมากพอสมควร ตั้งแต่ทุกขภิกขภัย ความอดอยากขาดแคลนทางด้านอาหาร ความขาดแคลนทางด้านพลังงาน รวมไปถึงยารักษาโรคต่างๆ แต่กำลังของพุทธคุณท่านก็ยังสามารถคุ้มครองให้เราแคล้วคลาดปลอดภัย เอาตัวรอดกันมาได้ แต่สำหรับในประเทศไทยเองนั้นก็ถือว่าเมื่อเทียบกับต่างประเทศก็ถือว่าเบาบางอย่างยิ่ง
ดังนั้นไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามขอให้เราทุกคนไม่ประมาท ทรงสมาธิทรงอารมณ์จิตอยู่ในศีลในธรรมไว้ และในขณะเดียวกัน สิ่งที่มันเกิดขึ้นนั้น ขอบารมีพระ บารมีของสมเด็จองค์ปฐม บารมีของพระพุทธเจ้า บารมีของหลวงพ่อให้เรารู้ ให้เราทราบในอนาคตังสญาณต่อไป เหตุที่เกิดภัยพิบัติต่างๆ การล้างต่างๆที่มันเกิดขึ้นมันเป็นไปตามวัฏฏะของโลกที่เมื่อไหร่มนุษย์กระทำกรรมชั่วมาก เบียดเบียนกันมาก มีความเร่าร้อนในการประหัตประหารกัน มีความโลภโมโทสันมากเกินไป ภัยพิบัติก็บังเกิดขึ้น บุคคลที่ไม่อยู่ในศีลในธรรม ไม่อยู่ในความดี บุคคลที่ประหัตประหาร ดังคำที่พระท่านกล่าวไว้ว่า”ยักษ์นอกศาสนา” ก็จะประหัตประหารฆ่ากันตายเกินกว่าครึ่งหนึ่ง ในขณะเดียวกันบุคคลที่ปฏิบัติธรรมก็จะมีความเจริญก้าวหน้าขึ้น อารมณ์จิตเร่งรัดรวมตัวกันมากขึ้น ดังนั้นเมื่อหลังจากการกวาดล้างหรือสิ่งต่างๆมันเริ่มขยับขับเคลื่อนเกิดขึ้น ภายหลังนับจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านั้น ก็จะกลับปรากฏว่าผู้คนเข้าสู่ความสนใจการปฏิบัติการเจริญในสมาธิ พระพุทธศาสนากลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่ง
อันที่จริงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น มันถูกลดถูกบรรเทาเบาบางความรุนแรงลงไปจากเกณฑ์เก่าที่พึงเกิดขึ้นลงไปมากแล้ว ด้วยอาศัยที่สาธุชนกัลยาณมิตรทุกสาย ร่วมใจกันปฏิบัติสร้างบุญสร้างกุศลเป็นจำนวนมาก แต่กำลังแห่งบุญก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้ภัยพิบัติหรือภัยต่างๆที่จะเกิดขึ้นมันลดลงไปมากกว่านี้ได้ ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น ก็จะเริ่มเข้าสู่คำทำนายของหลวงพ่อที่เคยกล่าวไว้ว่าเมื่อสงครามเกิดขึ้น ประเทศไทยจะเกิดความร่ำรวยมั่งคั่งรวยขึ้นอย่างมาก ทั้งในด้านของอาหาร แหล่งอาหารที่ในขณะที่ทั่วโลกอดอยากขาดแคลนแต่เราก็ยังมีความอุดมสมบูรณ์อยู่ รวมไปถึงระบบการเงินต่างๆที่มันจะเกิดขึ้น ทรัพย์ต่างๆที่มันจะผุดขึ้นเกิดขึ้นในยุคต่อไป
ยิ่งหากเราปฏิบัติพระกรรมฐานกันได้มากเท่าไหร่ เข้าสู่ยุคชาววิไลได้เร็ว ซึ่งเมื่อขับเคลื่อนเข้าสู่ยุคชาววิไล คำว่าชาววิไลนั้นก็คือการที่คนทั้งหลายในโลกนั้นมีใจสูงไม่ใช่ความเจริญทางด้านวัตถุ แต่เป็นความเจริญทางด้านจิตใจ จิตเข้าถึงความเมตตา จิตเข้าถึงกำลังฌานสมาบัติ กำลังแห่งอภิญญาต่างๆ ค่อยๆเริ่มปรากฏขึ้น อย่างในปัจจุบันก็เริ่มปรากฏขึ้นในหลายๆบุคคล เพียงแต่เป็นจุดเริ่มต้นสู่อภิญญาใหญ่ที่เป็นอิทธิวิธี คือการแสดงฤทธิ์อย่างเต็มรูปแบบ
เมื่อยุคของชาววิไลปรากฏขึ้น ชั่วกาลเวลาไม่นานในยุคเรา เราจะทันสู่ยุคที่เรียกว่ายุคของไทยมหารัฐ ดินแดนสุวรรณภูมิคือดินแดนโดยรอบที่นับถือพระพุทธศาสนาก็จะกลับมารวมกันเป็นดินแดนสุวรรณภูมิ จึงเรียกว่ายุคของไทยมหารัฐ
ดังนั้นเราทั้งหลายจักเริ่มเข้าสู่ยุคความเจริญ ความเริ่มต้นที่กล่าวถึงได้เกิดมาสักระยะหนึ่ง แต่ก็จะเริ่มเข้าสู่สภาวะที่มันเต็มรูปแบบในกาลต่อไปภายภาคหน้าในเวลาใกล้ไม่นานนักถ้าหากเรายังมีชีวิตอยู่ ไม่ตายในเหตุ เราก็ยังทันที่จะอยู่ในยุคที่เกิดเข้าสู่ยุคชาววิไลนั้น
เมื่อเราได้ฟังเรื่องราวในอนาคตที่มันเกิดขึ้น ก็ให้เราน้อมพิจารณาซักซ้อม ถามดวงจิตของเราว่า จิตของเรามีความประหวั่นพรั่นพรึงในภัยที่เกิดขึ้นในโลกไหม พิจารณาดูว่าจิตเรามีความหวั่นไหวไหม พิจารณาดูว่าถ้าหากเราไม่รอดจากเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เราไปพระนิพพานเลยเราไปไหม การที่ให้ซักซ้อมพิจารณาเช่นนี้เพื่อที่ว่าใจของเรา ลองพิจารณาดูเรื่องราวต่างๆ ภัยของภัยพิบัติต่างๆที่มันเกิดขึ้น มันเกิดขึ้น แต่ภัยที่มันร้ายแรงกว่าคือภัยแห่งสังสารวัฏตราบที่เรายังมีการเวียนว่ายตายเกิด เกิดไปชาติโน้นชาตินี้หรือในอดีตชาติ เราก็พบเจอกับศึกสงคราม เราก็พบเจอกับภัยธรรมชาติ เราก็พบเจอกับโรคภัยไข้เจ็บโรคระบาดชาติแล้วชาติเล่า สุดท้ายท้ายที่สุดการพ้นการรอดจากภัยพิบัติทั้งปวงก็คือ จงรอดจากภัยแห่งสังสารวัฏ ก็คือการเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
เมื่อพิจารณากำหนดรู้แล้ว ก็ตั้งใจไว้ว่าถ้าหากเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นมีผลรุนแรงมีผลกับเรา หากเราไม่รอดเราก็ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่เราจะตัดไปพระนิพพาน พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ไม่ต้องไปห่วงไปใยบุคคลอื่นอีกต่อไป ถ้าตายแล้วทำอะไรไปไม่ได้เราก็ไปพระนิพพานเพียงจุดเดียว แต่หากเรารอดจากภัยทั้งหลายเข้าสู่ยุคที่จะก่อร่างสร้างเมืองขึ้นสู่ความเจริญรุ่งเรืองของยุคชาววิไล ยุคไทยมหารัฐ เราก็ตั้งใจว่า เราจะเป็นกำลังสำคัญ ในการทำให้ยุคนี้ เกิดความเจริญรุ่งเรืองขึ้น เป็นเหตุให้ผู้คนเข้าถึงธรรม เป็นเหตุให้ผู้คนเข้าถึงมรรคผลพระนิพพานขึ้น ยุคแห่งความเจริญในพระพุทธศาสนานี้จะเกิดขึ้นยาวนานต่อเนื่องเป็นเวลาประมาณพันปี จากนั้นพระพุทธศาสนาจึงเข้าถึงความเสื่อมลงจนเข้าถึงยุคพันปีที่ห้าที่ศาสนาจบหมดสิ้นยุคพระพุทธศาสนา แต่ยุคทองในพันปียุคแห่งสัมมาทิฐิพันปีนี้ ประชาชนบนโลกไม่ว่าจะเป็นประเทศ เป็นศาสนาใดๆ ก็เริ่มหันมานับถือพระพุทธศาสนา ดังที่เราได้เห็นในสัญญาณต่างๆ ว่าชาวต่างประเทศมาสนใจพระพุทธศาสนามากขึ้น เมื่อเรารู้ไปในอนาคตแล้วเราก็ย้อนกลับไปในอดีต เราหลายๆคนในหมู่คณะของเรา ลูกหลานของหลวงพ่อ รวมไปถึงการที่เราเกิดมาในดินแดนสุวรรณภูมิแห่งนี้ มันมีเรื่องราวมีดวงจิตที่ท่านสืบสานลงมาทำหน้าที่เพื่อทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองครบ 5,000 ปี
ดังที่เราเคยทราบประวัติของหลวงพ่อว่าท่านเคยเกิดมาเสวยพระชาติเป็นพระราม พระสวามีของพระแม่จามเทวีตั้งแต่ในยุคอดีตในแผ่นดินหริภุญชัย ยุคที่ท่านเป็นพระเจ้าพรหมมหาราช ยุคที่ท่านเป็นขุนหลวงพะงั่ว ยุคที่ท่านเป็นสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ยุคที่ท่านเป็นพระยาโกษาเหล็กในสมัยแผ่นดินพระนารายณ์ ตราบจนมาเกิดเป็นรัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี ในสมัยอยุธยาท่านก็เกิดเป็นขุนแผนในแผ่นดินของพระพันวษาจนกระทั่งหลังจากรัชกาลที่ 1 ที่ท่านลงมาเกิดท่านก็มาเกิดเป็นเจ้าพระยาบดินทรเดชาสิงหเสนี แล้วก็มาเกิดต่อเป็นรัชกาลที่ 5 สมเด็จพระจุลจอมเกล้า จนกระทั่ง ท่านลาพุทธภูมิเด็ดขาดและก็มาเข้าถึงความเป็นพระชาติที่ท่านเป็นพระราชพรหมยาน ตัดเข้าสู่อรหัตผลในชาติปัจจุบัน ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายที่ท่านสืบต่อสืบเนื่องเพื่อรักษาชาติ รักษาแผ่นดิน รักษาพระพุทธศาสนา การเกิดนั้น อันที่จริงแล้ว จิตที่อธิษฐาน มีความตั้งมั่นในสิ่งใด ดวงจิตที่ตั้งมั่นในคำอธิษฐาน ก็ก่อให้เกิดบารมีหน้าที่ที่ท่านทรงกระทำในแต่ละภพแต่ละชาติ
วันนี้ก็จะเล่าเรื่อง แต่เป็นเรื่องของดวงจิตดวงวิญญาณท่านอื่น ที่สืบสานสืบสาวในการมาทำนุบำรุงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ดวงจิตท่านนี้เป็นพรหมท่านหนึ่ง
ให้เราน้อมจิตขอบารมีพระ ฟังไว้เป็นนิทาน อย่าไปคิดเอาจริงเอาจัง หรือไปสำคัญว่าเป็นบุคคลใด กำหนดพิจารณา ดวงจิตของบุคคลท่านนี้ มีนามอยู่บนพรหมโลก ชื่อว่า “สรรเพชรพรหมมินทร์” ในยุคสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงเสด็จมาในดินแดนล้านนา จารึกอธิษฐานฝากแผ่นดินของสุวรรณภูมิ แผ่นดินของอาณาจักรดินแดนแห่งนี้ไว้ ให้จารึกพระพุทธศาสนาให้มีความเจริญรุ่งเรืองตราบ 5,000 ปี ในพระชาตินั้นท่านก็เล็งญาณมองเห็นในแรงคำอธิษฐานของพระพุทธเจ้า รวมไปถึงพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ดังเราจะได้เห็นว่าในดินแดนภาคเหนือล้านนา ครูบาทั้งหลายสายครูบาคือสายพระโพธิสัตว์ ท่านจะมาจุติสืบสายกันเป็นจำนวนมาก เนื่องจากบารมีของพระโพธิสัตว์นั้นเป็นกำลังที่ช่วยหนุนพยุงพระพุทธศาสนา หรือแม้แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์ในทุกราชวงศ์ ในทุกอาณาจักร ในดินแดนสุวรรณภูมิ ล้วนแล้วแต่เจริญปฏิปทาของพระโพธิสัตว์เจ้าของพุทธภูมิวิสัย เมื่อไหร่ที่เสวยครองราชย์ ขึ้นสู่ความเป็นกษัตริย์ เมื่อนั้นท่านก็บำเพ็ญบารมีเป็นพุทธภูมิทั้งนั้น จะเป็นอาณาจักรใดก็ตาม
สำหรับท่านสรรเพชรพรหมมินทร์ท่านก็ลงมาเกิดในดินแดนของล้านนา ดินแดนทางภาคเหนือ เนื่องจากพระพุทธองค์ทรงเสด็จมาอธิษฐานไว้ที่พระธาตุดอยตุง ในชาติหนึ่งท่านก็เกิดมาบำเพ็ญพรตฤาษีเป็นลูกศิษย์ของท่านฤาษีวาสุเทพ ซึ่งอันที่จริงก็ให้เราน้อมจิตอธิษฐานขอไปดู ท่านฤาษีวาสุเทพนั้นคือที่มาของชื่อดอยสุเทพ ท่านเป็นนักพรตฤาษีซึ่งทรงอภิญญาจิต มีอายุหลายร้อยปี เป็นพระอาจารย์ของพระแม่จามเทวี รวมถึงมีบารมีที่สั่งสอนเหล่าลูกศิษย์หลายท่านหลายองค์ รวมถึงกษัตริย์หลายๆแคว้นในยุคสมัยโบราณ ปัจจุบันกระแสของท่านฤาษีวาสุเทพนั้นก็ยังอยู่ในอาณาบริเวณในอาณาเขตของดอยสุเทพนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณปัจจุบันที่เป็นวัดผาลาดสกิทาคามี เป็นจุดมีถ้ำที่ฤาษีมีถ้ำฤาษีปรากฏอยู่ตราบจนปัจจุบัน อันนี้ก็เป็นชาติหนึ่งที่ท่านได้เคยเรียนศึกษาวิทยาคม อภิญญาสมาบัติสมาธิจากท่านฤาษีวาสุเทพ
ต่อมาท่านก็มาจุติต่อ ไปจุติในยุคต่อมาก็คือยุคของกรุงสุโขทัย จุติเป็นพระยาลิไท
ในยุคสมัยของพระยาลิไทนั้น ตัวท่านเป็นลูกศิษย์ของพระอรหันต์หลายพระองค์ กรุงสุโขทัยมีความเจริญรุ่งเรืองในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง กรรมฐานในยุคสุโขทัยมีความเจริญอย่างยิ่ง พระเถระสำคัญในยุคสมัยของท่าน มีชื่อว่า ”พระสุมนเถระ” ซึ่งต่อมาในยุคสมัยที่คาบเกี่ยวในยุคแห่งอาณาจักรที่คาบเกี่ยวกันในดินแดนล้านนา ก็เป็นยุคสมัยของพระเจ้ากือนา พระเจ้ากือนาได้มาตรัสขอพระเถระ เพื่อน้อมนำธรรมคำสั่งสอนเผยแพร่พระธรรม เผยแพร่กรรมฐาน เผยแพร่การปฏิบัติไปยังแผ่นดินล้านนาซึ่งเป็นต้นตำรับของกรรมฐานล้านนา ท้ายที่สุดก็มานิมนต์พระสุมนเถระไปที่ ดินแดนล้านนา ตัวพระสุมนณะเถระนั้นเคยธุดงค์เดินทางไปทั่วอาณาบริเวณอาณาเขต ทั้งดินแดนพุกามพม่าก็ดี ดินแดนล้านนาก็ดี ดินแดนล้านช้าง ดินแดนสุโขทัย
เมื่อพระยาลิไทได้พระราชทานน้อมถวายส่งพระเถระเป็นการส่งต่อสายธารของธรรมไปที่ล้านนา พระสุมนเถระก็ได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุที่ได้จากเมืองพม่าน้อมถวายพระเจ้ากือนา พระเจ้ากือนาก็มีจิตเกิดพระราชศรัทธาปรารถนาที่จะสร้างพระธาตุจึงเกิดเป็นตำนานเรื่องของพระธาตุดอยสุเทพ ดังที่เราสามารถไปศึกษาต่อได้
เส้นทางขึ้นดอยสุเทพ เส้นทางโบราณก็ขึ้นจากบริเวณถนนหลังม.ด้านหลัง ขึ้นผ่านไปยังวัดผาลาดสกิทาคามีจนกระทั่งถึงดอยสุเทพ แต่เรื่องราวต่างๆนั้นมันมีเพิ่มเติมเสริมขึ้นมา ในเรื่องของพระยาลิไทนั้น ปฏิปทาของท่าน มีความศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง คัมภีร์สำคัญที่ท่านทรงรจนาคือแต่งขึ้น ให้เราน้อมจิตดูตาม ด้วยอดีตังสญาณ คัมภีร์สําคัญก็คือไตรภูมิพระร่วง คำว่าไตรภูมิพระร่วงนั่นก็คือ ท่านบรรยายถึงภพภูมิต่างๆ บรรยายถึงนรกสวรรค์ในภพต่างๆโดยละเอียด
รวมไปถึงเล่าเรื่องที่พระมาลัย ซึ่งอันที่จริงก็เป็นพระที่ทรงกำลังอภิญญาสมาบัติ ทรงกำลังมโนมยิทธิ ยกกายไปในภพภูมิต่างๆและก็เล่าถวาย ตัวพระยาลิไทไทยก็มีจิตศรัทธา รจนาตามที่พระเถระได้เมตตาเล่าในภพภูมิต่างๆ จนเกิดเป็นไตรภูมิพระร่วงอันเป็นหนังสือสำคัญที่มีอิทธิพลต่อความเป็นสัมมาทิฏฐิ ที่มีความสำคัญต่อพระพุทธศาสนา ความเข้าใจในเรื่องภพภูมิต่างๆ 3 ไตรภูมิ 1 พระนิพพาน ประชาชนทั้งหลายทั่วทุกอาณาจักรก็ได้รับอิทธิพลจากไตรภูมิพระร่วง คำอธิษฐานว่า”ขอให้พบเมืองแก้ว คลาดแคล้วจากบ่วงมาร เข้าถึงซึ่งพระนิพพานในที่สุด” ก็มีที่มาจากไตรภูมิพระร่วงนี้เอง อันนี้ก็เป็นปฏิปทาสำคัญที่ท่านได้ถวายไว้ในเขตพระพุทธศาสนา แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นเกร็ดเป็นเรื่องราวสำคัญ เป็นจริยาบารมีของพระยาลิไทก็คือ ตัวท่านเองมีอุปนิสัยปรารถนาที่จะให้แผ่นดินทั้งหลายปราศจากศึกสงคราม ท่านก็ใช้กุศโลบายในเรื่องการเชื่อมกันด้วยพระพุทธศาสนา
การเชื่อมกันด้วยพระพุทธศาสนาเป็นอย่างไร เมื่อพระองค์ท่านพระราชทานอัญเชิญพระสุมนเถระไปที่ดินแดนล้านนา ดินแดนล้านนาและดินแดนสุโขทัยก็กลายเป็นมิตรสนิทกันด้วยธรรม ปราศจากศึกสงคราม เพราะเป็นกัลยาณมิตรกันเสียแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องมาแข่งดี ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมารบราฆ่าฟันกันอีก ประชาชนทั้งหลาย อาณาประชาราษฎร์ก็อยู่เย็นเป็นสุข
นอกจากนี้ในการเชื่อมกับแผ่นดินล้านนา ก็มีเรื่องราวที่ท่านเป็นเกร็ดเป็นเคล็ด ซึ่งอาจจะระบุในประวัติศาสตร์หรือไม่ก็ตาม ก็ให้เราสังเกตดู ตัวท่านนั้นได้ส่งช่าง รวมทั้งท่านได้มีโอกาสเสด็จมาในแผ่นดินล้านนาในการร่วมหล่อร่วมสร้างพระพุทธรูปองค์สำคัญที่ชื่อว่า ”พระเจ้าเก้าตื้อ” ซึ่งประดิษฐานอยู่ที่เวียงสวนวัดสวนดอก อันว่าพระเจ้าเก้าตื้อนั้น หลายคนบอกว่ามีพุทธลักษณะคล้ายหรือเหมือนกับพระพุทธรูปสุโขทัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระพักตร์นั้นเหมือนกับพระพุทธชินราช ซึ่งก็เป็นเรื่องเดียวกันอีกเช่นกันที่พญาลิไทนั้น ในยุคนั้นก็เป็นยุคที่คาบเกี่ยวกับอาณาจักรอยุธยาที่เพิ่งเริ่มขึ้นปรากฏขึ้นมาหลังจากพระเจ้าอู่ทองและเข้าสู่ยุคของขุนหลวงพระงั่ว ตัวพระยาลิไทก็เชื่อมสัมพันธ์กันกับขุนหลวงพะงั่วคืออาณาจักรอยุธยา คือปรารถนาที่จะให้ชนชาวไทยในดินแดนสุวรรณภูมินี้เป็นปึกแผ่น อยู่สนิทกันด้วยธรรม ท่านก็มีการร่วมกับขุนหลวงพะงั่วในการสร้างพระพุทธชินราช โดยเดินทางมากึ่งกลางมาพบกันที่จังหวัดพิษณุโลก สร้างพระพุทธชินราชร่วมกัน เป็นบารมีที่สร้างเพื่อสานสัมพันธ์ของแต่ละอาณาจักรเข้าด้วยกันไว้ด้วยธรรม อันนี้ก็เป็นปฏิปทาของท่าน เชื่อมแผ่นดินไว้ด้วยธรรม ซึ่งในอนาคตกาล เหตุนี้ก็จะเป็นเหตุในการปรากฏในการรวมตัวของแผ่นดินทั้งหลายที่นับถือพระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิอีกครั้งหนึ่ง
อันนี้เล่าถึงพญาลิไทไปแล้ว ในชาติต่อๆไปที่ปรากฏขึ้น ท่านก็มาจุติเป็นเจ้าสามพระยาแห่งกรุงศรีอยุธยา ในยุคกรุงศรีอยุธยาในช่วงต้น เจ้าสามพระยานี้ในสมัยนั้นมีพี่น้องอยู่ 3 คน เจ้าอ้าย เจ้ายี่ มีความปรารถนาแย่งชิงราชสมบัติกัน ประหัตประหารฆ่ากันจนตาย พอประหัตประหารฆ่ากันจนตายก็กลายเป็นว่าพระราชสมบัติมาตกอยู่กับน้องคนที่ 3 ก็คือเจ้าสามพระยา เจ้าสาม เจ้าสามพระยานี้ต่อมาท่านก็มีชื่อเรียกโดยย่อว่าพระพันวษา ด้วยความสลดพระทัยว่าพี่น้องต้องประหัตประหารกัน ตัวท่านก็นำทรัพย์สินสมบัติมาสร้างวัด สร้างวัดราชบูรณะ สร้างพระพุทธรูป สร้างวัดพระศรีสรรเพชญ์ และขนานพระนามพระพุทธรูปนั้นว่า ”พระศรีสรรเพชรดาญาณ” เพื่อเป็นที่ระลึก เป็นการบำเพ็ญอุทิศส่วนกุศลให้กับพี่ทั้งสองของท่าน
อันนี้ก็เป็นเรื่องพระชาติต่อไป ในชาตินั้นอาณาประชาราษฎร์ก็อยู่กัน อยู่เย็นเป็นสุข การสร้างวัดวาอารามในยุคสมัยอยุธยาก็มีความเฟื่องฟูอย่างยิ่ง มีทั้งวัดที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้าง แล้วก็วัดที่ราษฎร์ทรงสร้าง ราษฎรก็คือประชาชนสร้าง ประเพณีที่ข้าราชการขุนนางผู้ใหญ่มีทรัพย์สร้างวัดสร้างวาก็เริ่มต้นมา กรุงศรีอยุธยาก็มีความสุขสืบเนื่อง
ต่อมาดวงจิตของท่านก็ไปจุติต่อในดินแดนอาณาจักรที่มีชื่อว่า อาณาจักรล้านช้าง
เสวยชาติเป็นกษัตริย์ชื่อว่า “พระไชยเชษฐาธิราช” อันพระไชยเชษฐาธิราชนี้ ก็มีจริยาที่ไม่ปรารถนาซึ่งสงครามเช่นกัน ในยุคนั้น อาณาจักรล้านช้างศรีสัตนาคนหุต มีเมืองหลวงแรกอยู่ที่หลวงพระบาง ยุคนั้นเป็นยุคคาบเกี่ยวกับอยุธยาก็คือยุคของพระมหาจักรพรรดิ ในช่วงนั้นบุเรงนองกษัตริย์พม่า มีบารมีมีแสนยานุภาพทางทหารมากมายเป็นอย่างยิ่ง ล้านช้างนั้นถือว่าเป็นข้าศึกของพม่าของบุเรงนอง แต่ตัวบุเรงนองเองนั้นก็ไม่สามารถยึดล้านช้างได้
ก็มีเกร็ดมีเรื่องเล่าที่เป็นตำนานบอกว่า ตัวพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชนั้นเมื่อครั้งมีศึกบุเรงนองบุกมารบด้วย ตัวท่านนั้นไม่ปรารถนาสงคราม ท่านก็อธิษฐานด้วยบุญของท่านว่าขอให้ท่านหายตัวปรากฏไม่เป็นอันตรายเข้าสู่ค่ายของศัตรู ท่านก็กำหนดจิตเข้าสู่ค่ายของบุเรงนอง จากนั้นเมื่อถึงพลับพลาที่ประทับในเวลากลางคืน เห็นบุเรงนองนอนอยู่ในแท่นที่ประทับ ท่านเห็นที่หัวนอนมีหมากพลู น้ำท่า เครื่องเสวยวางอยู่ที่หัวนอน ท่านก็ใช้นิ้วป้ายปูนแดงที่กินกับหมาก ป้ายคาดคอบุเรงนองไว้ จากนั้นก็กลับไป เดินกลับไปโดยที่กำบังไม่มีใครเห็นตัว ถึงเวลายามเช้าบุเรงนองตื่นขึ้น เห็นที่พระสอของตนมีปูนแดงป้ายอยู่ ก็เริ่มรู้ว่ามีนักเลงดีดอดเข้ามาแล้ว ก็จึงตัดสินใจว่าถอยทัพ ตัวอาณาจักรล้านช้างก็อยู่รอดปลอดภัย
ในช่วงระยะเวลานั้นเป็นช่วงที่พระแก้วมรกตอยู่ในอาณัติของอาณาจักรล้านช้างก็คือเขตประเทศลาว ล้านช้างก็คือลาว ยุคนั้น เมืองหลวงแรกอยู่ที่หลวงพระบาง หลังจากการตีขนาบการรุกเข้ามาของบุเรงนอง พระไชยเชษฐาธิราชจึงย้ายเมืองหลวงไปที่เวียงจันทน์ รวมทั้งอันเชิญพระแก้วมรกตไปที่เวียงจันทร์ด้วย ในขณะเดียวกันท่านก็ทรงจริยาแบบเดิมในแต่ละชาติที่ท่านเคยทำมา โดยที่ท่านเจริญสัมพันธไมตรีกับพระมหาจักรพรรดิ เชื่อมสัมพันธ์กันด้วยธรรมอีก ร่วมกัน สร้างพระธาตุศรีสองรักที่จังหวัดเลย ซึ่งเป็นกึ่งกลางของเขตแดนของ 2 อาณาจักร ทั้งสองพระองค์ทรงเสด็จมาสร้างพระบรมสารีริกธาตุด้วยกัน โดยมีเกร็ดมีตำนานว่าให้ทหารทั้งสองฝ่ายห้ามใส่ชุดสีแดง เพราะชุดสีแดงนั้นเป็นชุดของทหารชุดของการรบ ดังนั้นปัจจุบันตำนานของพระธาตุศรีสองรักก็คือห้ามใส่เสื้อแดงไปสักการะบูชา ผู้ที่ร่วมสร้างร่วมกันก็คือ พระไชยเชษฐาและพระมหาจักรพรรดิ ดังนั้นอาณาจักรล้านช้างและอาณาจักรกรุงศรีอยุธยาก็ปราศจากศึกสงครามต่อกันนับตั้งแต่บัดนั้นมา ตัวพระไชยเชษฐาก็ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาในเขตแดนทั้งในฝั่งลาวแล้วก็ฝั่งที่ข้ามมาในฝั่งที่เป็นภาคอีสานตอนเหนือตอนบนตราบจนถึงสกลนคร ถึงนครพนมในหลายๆจุด อันนี้ก็เป็นพระชาติของท่าน
ต่อมาท่านก็มาเสวยพระชาติต่อ ย้อนกลับเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันกลับมาเกิดเป็นลูกของรัชกาลที่ 1 มีชื่อว่าฉิม เกิดตั้งแต่ในยุคที่กรุงศรีอยุธยาตอนปลาย กรุงศรียังไม่แตก ในช่วงที่รัชกาลที่ 1 ออกรบสู้กับพม่า ท่านยังเล็กอยู่มากก็อยู่กับแม่ที่อัมพวา อัมพวาสมุทรสงคราม
ตราบจนกระทั่งเมื่อท่านเติบโตขึ้น เป็นเจ้าฟ้ามงกุฎ ตัวเจ้าฟ้าที่ปรากฏขึ้นในช่วงนั้นเป็นช่วงที่กรุงศรีอยุธยานั้นหลังจากที่แตกลง พระพุทธศาสนาเกิดความเสื่อมโทรมลง เมื่อเข้าสู่ยุคกรุงธนบุรี พระเจ้าตากท่านทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาไว้ในระดับหนึ่ง พอถึงรัชกาลที่ 1 ท่านก็ฟื้นฟูพระพุทธศาสนาสืบต่อ ในช่วงนั้นได้ปรากฏครูบาอาจารย์สำคัญที่มีอายุตั้งแต่กรุงศรีอยุธยานั่นก็คือ “พระสังฆราชสุก ไก่เถื่อน” ท่านหนีสงครามไปธุดงค์ไปจนถึงเขตจังหวัดสุโขทัย ธุดงค์เข้าไปในป่า ก็ปรากฏว่ามีนิมิตเห็นพระภิกษุรูปร่างสูงใหญ่มอบคัมภีร์โบราณให้ คัมภีร์โบราณนั้นก็คือคัมภีร์ที่พระภิกษุได้บอกกับพระสังฆราชสุกต่อมาในการข้างหน้าว่า คัมภีร์นี้เป็นคัมภีร์พระกรรมฐานเก่าแก่สืบเนื่องมาตั้งแต่อาณาจักรสุโขทัยและกรุงศรีสัชนาลัย ต่อไปท่านจะได้ใช้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ซึ่งพระภิกษุที่รูปร่างสูงใหญ่ที่มามอบคำภีร์ให้นั้น ถ้าหากเราน้อมจิตดูตาม เรื่องนี้เป็นนิทานเราก็จงดูว่าท่านนี้คือใคร คัมภีร์นี้ท้ายที่สุดก็คัมภีร์ที่สืบเนื่องมานับตั้งแต่ยุคโบร่ำโบราณ ก็คือยุคของพญาลิไทที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองอย่างยิ่ง สืบต่อส่งต่อไปยังล้านนา ส่งต่อไปยังกรุงศรีอยุธยา และส่งต่อตราบมาจนถึงกรุงเทพมหานคร
ตัวพระสังฆราชสุก ไก่เถื่อนนี้ ถึงเวลาท่านก็ศึกษาในคัมภีร์นี้นั่นแตกฉาน ถึงเวลาท่านได้รับนิมนต์ให้เข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ เปิดสำนักพระกรรมฐานที่วัดพลับ รัชกาลที่ 2 ในสมัยที่ยังเป็นเจ้าฟ้าก็อุปสมบทเป็นพระภิกษุในสำนักของพระสังฆราชสุก ไก่เถื่อนนี้ มีท่านเป็นอาจารย์ตั้งแต่ยุคนั้น รวมไปถึงเมื่อยุคเวลาช่วงเวลาต่อไป เมื่อท่านเสวยราชสมบัติขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ 1 มีการสังคายนาพระไตรปิฎก ในสมัยรัชกาลที่ 2 รัชกาลที่ 2 ทรงอัญเชิญพระสังฆราชสุก ไก่เถื่อน ให้เมตตา กระทำชำระสังคายนาพระกรรมฐาน จัดระบบระเบียบการเจริญพระกรรมฐานให้เป็นแบบแผน จนปรากฏเป็นกรรมฐานมัชฌิมา และกรรมฐานมัชฌิมานี้สืบต่อจนเกิดผลของการปฏิบัติครูบาอาจารย์สำคัญหลายองค์
อันนี้กล่าวถึงในตำนานในประวัติของวัดพลับของประวัติของหลวงปู่สุก พระสังฆราชสุก ไก่เถื่อนเองก็ได้กล่าวไว้ว่า ครูบาอาจารย์หลายๆองค์ได้มาศึกษาในสำนักนี้ แม้แต่สมเด็จพุฒาจารย์โตก็เคยผ่านสำนักของพระสังฆราชสุก ไก่เถื่อน ซึ่งในยุคนั้นท่านทรงมีพระชนมายุยาวนานตราบมาจนถึงช่วงรัชกาลที่ 3 ถึงรัชกาลที่ 4 จนกระทั่งพระกรรมฐานเจริญก้าวหน้าสืบต่อมา อันนี้ก็เป็นเรื่องราวของสมัยรัชกาลที่ 2 ในยุคนั้นพระพุทธศาสนา การละคร ศิลปวัฒนธรรม การฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมก็มีความเจริญรุ่งเรือง มีการฟื้นฟูต่างๆให้กลับมา เพื่อให้กรุงเทพฯกลับมาเจริญรุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่ง
เมื่อผ่านกาลในพระชาตินั้น ท่านก็มาจุติมาเกิดเป็นรัชกาลที่ 6 ในรัชกาลที่ 6 นี้หลายคนหรือคำทำนายที่กล่าวถึง ได้กล่าวถึงรัชกาลที่ 6 ในเรื่องของราชโจทย์ แต่ที่จริงแล้วรัชกาลที่ 6 ท่านทรงเจริญพระกรรมฐาน ทรงปฏิบัติธรรม ทรงมีพระราชกุศโลบายต่างๆในการรักษาประเทศ
ในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อเรือปืนของฝรั่งเศสเข้ามาในแม่น้ำเจ้าพระยา ขู่จะยิงขู่จะเอาพระนคร จนกระทั่งเราต้องเสียดินแดนให้กับฝรั่งเศส เรียกว่าเกินกว่าครึ่งหนึ่งของประเทศอาณาเขตดินแดนของเราในขณะนั้น ดินแดนประเทศลาวทั้งหมด ดินแดนแหลมมลายูทั้งหมด อันที่จริงข้ามไปบางเขตมาเลเซียทั้งหมด ดินแดนพม่าบางส่วน ดินแดนลาว เขมร ตราบจนจรดประชิดประเทศเวียดนาม ดินแดนเหล่านี้เป็นของไทยทั้งหมด จนมาเสียดินแดนให้กับฝรั่งเศส จนรัชกาลที่ 5 ท่านทรงเสียพระทัยตรอมพระทัยอย่างยิ่ง และอันที่จริงนั้น ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสก็ไม่ได้คิดว่าจะหยุดยั้งเพียงเท่านั้น รอที่จะเอาคืน รอที่จะเอาต่อในรัชกาลต่อไป
พอถึงรัชกาลที่ 6 ท่าน ท่านจึงมีพระราชกุศโลบายที่แตกต่างกันออกไป อย่าลืมว่าเรารอดจากการล่าอาณานิคมเสียดินแดนไปครั้งหนึ่งแล้ว รัชกาลที่ 5 จึงเจริญกุศโลบายในการเป็นมิตรการเสด็จไปเยือนที่รัสเซีย เยือนพระเจ้าซาร์เป็นการถ่วงดุลอำนาจ แต่เวลาไม่ช้าไม่นานหลังจากนั้นพระเจ้าซาร์ถูกกบฎบอลเชวิกโค่นล้ม เราไม่มีใครที่จะช่วยคานอำนาจ ต้องยืนให้ได้เป็นเอกราชด้วยตัวเราเอง ท่านจึงตั้งกองเสือป่า กองลูกเสือ กุศโลบายของท่านก็เคยฝึกกองเสือป่า คือกองกำลังพลเรือนให้มีความเข้มแข็งเป็นพิเศษ ถึงเวลาท่านก็กำหนดรวมพล ซ้อมพลเสือป่า โดยเชิญทูตทั้งหลายเข้ามาชมการฝึกซ้อม ในยุคสมัยนั้นท่านเฟ้นหานักมวย เฟ้นหาผู้ที่มีวิทยายุทธ มีระบุบันทึกไว้ว่าในการซ้อมเสือป่านั้น มีนักมวยคนหนึ่งสามารถกระโดดตีลังกาข้ามหัว มีแม่ไม้ชั้นเชิงที่พิสดารมากกว่าคนทั่วไป กองกำลังของเสือป่าก็มีอาวุธครบมือ ตรงจุดนี้ก็เป็นจุดที่ทำให้ทูตทั้งหลายส่งข่าวไปยังประเทศของตน ก็ยังมีความระมัดระวัง มีความเกรง ต่อจากนั้นพระองค์ท่านก็ทรงรวบรวมปัจจัยจากการรับบริจาคของพระราชวงศ์ ของพระพุทธชนนี เงินคลังหลวงในการต่อเรือรบที่มีชื่อเรียกว่า “เรือรบหลวงพระร่วง” เรือรบหลวงพระร่วงนี้ได้มาจากการบริจาคเงินและพระองค์ก็เรี่ยรายเงินโดยการแสดงละครการกุศล เพื่อรวบรวมเงินมาสร้างเรือรบหลวง
ในยุคสมัยรัชกาลที่ 6 นี้กองทัพไทยมีเรือดำน้ำ มีการต่อเครื่องบิน ซึ่งอันที่จริงเราทำไว้เตรียมไว้เพื่อป้องกันตนเองจากการล่าอาณานิคม ในช่วงสมัยของพระองค์นั้น เป็นช่วงที่เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 ในช่วงแรก ข้าราชบริพารทั้งหมดรวมทั้งพระองค์ท่าน ในใจของคนไทยทั้งหลายมีความแค้นมีความทรงจำที่อังกฤษและฝรั่งเศสคือฝ่ายสัมพันธมิตรนั้นเคยเอาดินแดนของเราไป แต่การที่เอาดินแดนของเราไปนั้น หากเกิดสงครามแล้วเราจะต้องเข้าฝ่ายไหน ทุกคนก็ตั้งใจว่าเราจะเข้าข้างเยอรมัน แต่พระองค์ก็ทรงสงวนทีท่า พิจารณาดูเหตุการณ์ พิจารณาดูสถานการณ์การรบติดตามสถานการณ์การรบโดยละเอียด จนกระทั่งเริ่มเข้าสู่ช่วงที่สุกงอม ดูท่าแล้วเยอรมันไม่อาจชนะสงครามได้แน่ เราจึงตัดสินใจ จากการที่สถานทูตต่างๆ เร่งรัดให้เราเข้าร่วมประเทศไทยเราเข้าร่วมในสงคราม พระองค์ท่านจึงตัดสินใจว่าเราจำเป็นจะต้องเข้าร่วมกับทางพันธมิตรก็คืออังกฤษและฝรั่งเศส เพราะยังไงเยอรมันแพ้สงครามแน่ ถ้าเราเข้าร่วมกับเยอรมันเราก็จะตกเป็นฝ่ายแพ้สงครามไปด้วย
แต่คราวนี้กุศโลบายที่เราจะเข้าร่วม เราพิจารณาดูว่าไทยนี้ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียจริงๆกับสงครามใดๆทั้งสิ้น ฝรั่งลากเราไปรบ ฝรั่งลากเราเข้าสู่สงครามหาพวกหาพันธมิตร ดังนั้นเราจะไปตายเพื่อฝรั่งมันก็เปล่าประโยชน์ กองกำลังที่เราส่งไปเราจึงขอส่งไปเป็นพลขับ กองกำลังขับรถยนต์ ส่งกำลังบำรุง ไม่ได้ส่งพลรบไป ส่งไปในช่วงปลายสงคราม ท้ายที่สุดเราเข้าร่วมรบโดยที่เราเสียเลือดเนื้อมีเสียชีวิตเพียงหลัก 10 คน แต่เราได้ชัยชนะสงคราม ได้ดินแดนบางส่วนกลับคืนมา แม้ว่าเป็นส่วนน้อย แต่เราได้แผ่นดินไทยกลับคืนมา ชนะโดยไม่ต้องรบ ได้ดินแดนกลับมาโดยที่เรียกว่าเสียเลือดเนื้อน้อยมาก แต่ยังติดเศษกรรม คือติดเศษกรรม ติดโรคระบาดไข้หวัดสเปนมาจากยุโรป มาระบาดในแผ่นดินไทย ซึ่งก็ตรงกับครบรอบ 100 ปีของการระบาดครั้งใหญ่ของโควิดนี้ รอบที่ผ่านมาก็คือเมื่อรอบร้อยปีที่แล้ว มีผู้เสียชีวิตในพระนครก็เป็นจำนวนมากอยู่ อันนี้ก็เป็นเรื่องเกล็ดของท่าน
แต่คราวนี้สิ่งหนึ่งที่เป็นเรื่องเกร็ดเป็นเรื่องที่น่าสังเกต ตัวรัชกาลที่ 6 นั้นท่านโปรดในการร้องในการละคร การแต่งบทกลอน แต่งบทปลุกใจทั้งหลายจริง ในขณะเดียวกันเวลาที่แต่งหรือมีบทประพันธ์อะไรท่านก็จะใช้คำว่าศรีอยุธยา ใช้คำว่าพระร่วงหรือแม้แต่เรือหลวงก็ใช้คำว่าพระร่วง แม้กระทั่งพระราชวังที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น ก็ชื่อว่าวังพญาไท แต่อันที่จริงท่านละไว้ ว่าอันที่จริงแล้วคำว่าวังพญาไท ถนนพญาไทนั้นมาจากพระยาลิไท ตัวท่านระลึกชาติได้ เพราะเหตุผลว่าดวงจิตของท่านอธิษฐานมาในการบำเพ็ญบารมีพุทธภูมิ ขอให้อดีตชาติของทุกชาติท่านสามารถระลึกได้ขอให้วิชาทั้งหลายอภิญญาสมาบัติทั้งหลายฟื้นคืนกลับมาได้ ดังนั้นอันที่จริงพระองค์ท่านรู้พระองค์ในความเป็นพุทธภูมิก็ดี รู้พระองค์ในการเสวยพระชาติมาในกาลก่อนก็ดี เมื่อถึงเวลาที่ท่านทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาโดยเฉพาะในเขตของจังหวัดนครปฐม ท่านก็ทรงสร้างพระร่วงโรจนฤทธิ์ไว้ เป็นธรรมเนียมของอารมณ์จิตอารมณ์เดิมบารมีเก่าที่ท่านเคยสร้างไว้ตั้งแต่สมัยอยุธยา
ดังนั้นอันที่จริงแล้วกรรมฐานทั้งหลายการเจริญพระกรรมฐานทั้งหลายในทุกเขตทุกอาณาจักรก็ล้วนแล้วแต่สืบสานมาตั้งแต่ยุคสมัยของกรุงสุโขทัย ยุคแห่งความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา รุ่งอรุณแห่งความสุข คำว่า “สุโขทัย” แปลว่า “รุ่งอรุณแห่งความสุข” ให้เราย้อนรำลึกพิจารณาย้อนไปในอดีตกาล อันที่จริงแล้วกรุงสุโขทัยไม่ได้เสื่อม ในทางโลกนั้นความกระตือรือร้นในการขยายพระราชอำนาจต่างๆของอาณาจักรสุโขทัยนั้นไม่ได้มีแบบอยุธยา อยุธยาเป็นเมืองท่าการค้าที่มีความรุ่งเรืองมั่งคั่ง แต่สุโขทัยนั้นเมื่อผ่านช่วงของพระยาลิไทไปแล้ว ผู้คนในอาณาจักรก็ล้วนแต่ฝักใฝ่มุ่งในธรรม คนไปนิพพานกันหมด ปฏิบัติธรรมไปนิพพานกันหมด จนกระทั่งกำลังบทบาทหรือความเจริญในทางวัตถุในทางโลกค่อยๆโทรมค่อยๆโรยราไป โลกก็เป็นเช่นนี้ ให้เราพิจารณาดู สิ่งต่างๆที่ปรากฏขึ้น มีเหตุมีปัจจัย ทุกสิ่งไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ทุกที่ที่เราได้ไป มีเหตุมีปัจจัยเกิดจากกระแสบุญเก่ากระแสบารมีเก่า แต่ทุกสิ่งที่เราได้รู้เห็นนั้น ก็ล้วนแต่เป็นอดีตไปแล้ว การที่เราไปรู้เห็นเรื่องราวนิทานต่างๆ ก็เพื่อให้เราได้รู้ว่า การสืบสานสืบต่อมรดก คือสืบต่อพระพุทธศาสนา คือการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้อยู่ยั้งยั่งยืนตราบห้าพันปีนั้น มีการสืบทอดส่งต่อ ส่งต่อพระกรรมฐาน
ในยุคปัจจุบันนี้ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง อภิญญาสมาบัติค่อยๆเสื่อมทรามลง พระพุทธศาสนาเหลือเพียงแค่ปรัชญา เหลือเพียงแค่แนวทางแห่งสุขวิปัสสโก หลวงพ่อพระราชพรหมญาณทรงเมตตาอย่างยิ่ง บำเพ็ญบารมีมาเพื่อที่จะฟื้นฟูมโนมยิทธิ ฟื้นฟูมรรคผล ฟื้นฟูวิสัยแห่งการปฏิบัติ คือสุขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโตให้ฟื้นคืนกลับมา แล้วพระองค์ท่านก็สั่งทำสำเร็จ จากที่สมเด็จองค์ปฐมไม่เคยเป็นที่รู้จักของใคร ปัจจุบันพุทธศาสนิกชนทั้งหลายก็รู้จักสมเด็จองค์ปฐมกันหมด
สมัยก่อน 3-40 ปีก่อนคนเราคิดว่ามีพระพุทธเจ้าเพียงพระองค์เดียว แต่ปัจจุบันเรารู้แล้วว่าพระพุทธเจ้านั้นทรงปรากฏขึ้นแล้วมากมายยิ่งกว่าเม็ดทรายในท้องมหาสมุทร และก็จะยังปรากฏหน่อเนื้อพุทธภูมิสืบต่อต่อเนื่องไปอีกมากมายมหาศาล ในยุคสมัยของเราก็ต้องช่วยกันสืบต่อทะนุบำรุงพระพุทธศาสนา ปฏิบัติธรรมให้เต็มกำลังของเรา ส่งต่อสอนลูกสอนหลานให้รู้คุณค่ากำลังใจแห่งบรรพบุรุษที่ช่วยกันรักษาบ้านเมืองให้สงบร่มเย็นเป็นสุข ใช้กำลังของอภิญญาสมาบัติเราให้ผ่านพ้นภัยพิบัติเหตุการณ์ต่างๆไปให้ได้
เรื่องราวต่างๆเราก็ฟังเอาสนุก พิจารณาให้เห็นเป็นธรรม ว่านัยยะต่างๆที่ปรากฏนั้นมันมีเค้าลาง สิ่งใดที่ควรเชื่อเราก็เชื่อ สิ่งใดที่เห็นว่าไม่ควรเชื่อเราก็ไม่เชื่อ พิจารณาโดยหลักกาลามสูตรของเราไป แต่ทุกสิ่งที่เราต้องทำ สิ่งที่จำเป็น คือตัวเราเองต้องรู้ตัวเรา รู้ว่าเราลงมาเกิดทำไม ลงมาเกิดเพราะอะไร ชาตินี้เราจะไปไหน ทำไมเราถึงมาเกิด เราแต่ละคนมาเกิดจากภพที่ต่างกัน บางคนมาจากพญานาค บางคนมาจากภพของเทวดา บางคนมาจากภพของพรหม เราก็ล้วนแล้วแต่มีความตั้งใจที่จะปฏิบัติเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง เราก็จงตั้งใจของเราไว้ว่าบารมีที่เกิดขึ้น คุณความดีทั้งหลายที่เกิดขึ้น เราน้อมขอกราบดวงพระวิญญาณของบรรพบุรุษทุกท่านทุกพระองค์ องค์พระมหากษัตริย์ในทุกพระราชวงศ์ทุกพระองค์ที่ท่านทำนุบำรุงสืบต่อพระพุทธศาสนามา ครูบาอาจารย์ พระอริยสงฆ์ทุกพระองค์ หลายท่านที่เราเคยประสบพบประสบเจอมาในอดีต ในอดีตกาลอดีตชาติ ท่านก็ไปพระนิพพานกันหลายองค์แล้ว ตัวเรานั้นต้องน้อมรำลึกถึงพระคุณท่าน ถ้าท่านเอาตัวรอดเฉพาะตน ปฏิบัติแล้วนิพพานไป ไม่ส่งต่อไม่สอนไม่ถ่ายทอด ตัวเราไม่อาจจะมีวันที่จะปฏิบัติจนเข้าถึงมรรคผลได้เลย แต่เพราะการสืบต่อ การถ่ายทอด ลงมาเกิด ลงมาสืบต่อ ลงมาส่งต่อ ลงมาอนุรักษ์ ลงมาสืบสาน ด้วยเหตุนี้พระธรรมจึงถึงเรา การปฏิบัติเพื่อมรรคผลพระนิพพานจึงถึงเรา
ดังนั้นให้เราน้อมจิตด้วยความนอบน้อมถึงทุกท่านทุกพระองค์ ดวงจิตดวงพระวิญญาณ ดวงกระแสของครูบาอาจารย์ทุกพระองค์ ตั้งจิตอธิษฐานขอให้ดวงพระวิญญาณของทุกท่าน พระอรหันต์ทุกท่าน ในอาณาจักรนับตั้งแต่อาณาจักรหริภุญชัย พระอรหันต์นับตั้งแต่อาณาจักรดินแดนล้านนาโบราณ อาณาจักรล้านช้าง อาณาจักรสุโขทัย พระอรหันต์ในยุคแห่งกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรีตราบจนถึงพระอรหันต์นับตั้งแต่ยุคราชวงศ์จักรีนี้เป็นต้นมา ขอให้ทุกท่านจงปรากฏ เราน้อมจิตกราบด้วยความเคารพ ขอให้พระเถระมหาเถระโบราณครูอาจารย์ทั้งหลาย ประสิทธิ์ประสาทสรรพวิชา กระแสแห่งมรรคผลพระนิพพานจงฟื้นตื่นขึ้นในดินแดนสุวรรณภูมิแห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง กรรมฐานโบราณ กรรมฐานเก่า กรรมฐานล้านนา กรรมฐานกรุงศรีสัชนาลัย กรรมฐานมัชฌิมาแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ขอจงฟื้นคืนกลับมา วิชาที่สูญหายจงฟื้นคืนกลับมา
น้อมจิตน้อมใจรับกระแสแห่งพระอรหันต์เจ้า พระเถระโบราณกาล กำหนดจิตน้อม
เมื่อน้อมกราบแล้วก็ตั้งใจยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพาน กราบพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอรหันต์ทุกพระองค์บนพระนิพพานอีกครั้ง ทรงอารมณ์พระนิพพานว่าโลกนี้มีความผันแปรแปรเปลี่ยนกาลทั้งหลายล่วงผ่านมาเป็นเวลาพันปีร้อยปี กระแสกุศล กระแสแห่งมรรคผลพระนิพพานก็ยังคงอยู่ ตราบใดที่มีผู้ปฏิบัติ ตราบนั้นก็ยังมีผู้เข้าถึงมรรคผลพระนิพพานเสมอ กำหนดน้อมจิตกราบลาทุกท่านทุกพระองค์ แล้วก็ตั้งจิตอธิษฐานว่าขอให้กำลังใจ กำลังแห่งการปฏิบัติของข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอจงส่งผลให้เกิดกำลังพุทธานุภาพคุ้มครองให้ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ยังประโยชน์ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เข้าสู่ยุคชาววิไล เข้าสู่ยุคไทยมหารัฐ ได้เห็นความเจริญ ได้เป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในการทำนุบำรุงสร้างความเจริญสู่ยุคอาณาจักรแห่งสัมมาทิฐิพันปีในกาลต่อไปด้วยเถิด
น้อมใจของเราให้สว่างผ่องใส จากนั้นหายใจเข้าลึกๆช้าๆ
หายใจเข้าพุท หายใจออก โธ หายใจเข้าธัม หายใจออก โม หายใจเข้าสัง หายใจออกโฆ
พุทโธ ธัมโม สังโฆ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ
พุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา ขอให้จิตอันมั่นคงในปณิธานอันตั้งมั่น จิตใจที่ดีงามจงคงอยู่ตลอดไป
สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน ให้เราทุกคนตั้งจิตโมทนาสาธุกับเพื่อนที่ปฏิบัติธรรม
สำหรับวันนี้ก็ให้เราตั้งใจนะช่วงนี้ก็พยายามระมัดระวัง อาราธนาบารมีพระ หลีกเลี่ยงการไปในที่อโคจร หมั่นสร้างบุญสร้างกุศล ต่ออายุ ต่อบุญ ต่อบารมีไว้เสมอ อย่าประมาทในการทั้งปวง แล้วก็พบกันใหม่ในสัปดาห์หน้าในวันอาทิตย์หน้า
สำหรับวันนี้สวัสดี คนไหนที่ฟื้นตื่นรู้ในวาระในหน้าที่ของเราก็สามารถที่จะโพสต์ความเห็นมาในห้องไลน์ได้ เราแต่ละคนก็เกิดมาหลายชาติ พบเจอกันมาหลายชาติ ไม่ใช่เหตุบังเอิญ
สำหรับวันนี้สวัสดีครับ
ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย คุณ Be Vilawan