green and brown plant on water

ประโยชน์ การใช้งาน อานิสงส์และผลลัพธ์ของสมถะ

เวลาอ่าน : 3 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”  

วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน 2567

เรื่อง ประโยชน์ การใช้งาน อานิสงส์และผลลัพธ์ของสมถะ 

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ผ่อนคลายทั่วร่างกายกล้ามเนื้อพร้อมกับความรู้สึกปล่อยวางความเกาะ ความรู้สึกในร่างกายขันธ์ห้าของเรา 

กำหนดจิตปล่อยวางความวิตกกังวล ความห่วงทั้งหลาย ความเกาะยึดทั้งหลาย ที่จิตเราพะวงคิดถึง ในเรื่องของบุคคล กิจการงานหน้าที่ สิ่งต่างๆเราปล่อยวาง 

ทุกครั้งที่เราปฏิบัติธรรม เราวางกำลังใจประดุจว่าเราจะต้องตายลง ณ บัดนี้ ฝึกที่จะปล่อยวางทั้งร่างกายขันธ์ห้า ฝึกที่จะปล่อยวางความห่วงความผูกพันความอาลัยในใจของเราทั้งหมด ยิ่งวางจนเป็นปกติของใจได้มากเท่าไร ความหนักทั้งหลายที่เราแบกไว้ในแต่ละวัน สะสมเป็นหนึ่งปี ห้าปี สิบปี ยี่สิบปีหรือตลอดชีวิต เราก็จะวางได้โดยง่าย วางให้ลง ปลงจากใจของเรา

จากนั้นจึงกำหนดสติรู้ จินตภาพเห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหม พลิ้วผ่านเข้าออกในกาย สติรู้ในลมตลอดทั้งสายทั้งกองลมนั้น ราบรื่นต่อเนื่องลื่นไหล สติรู้ในลม ภาพของกระแสลมที่เป็นเหมือนกับแพรวไหมพลิ้วผ่านเข้าออกในกาย รวมถึงความรู้สึกในอารมณ์ใจของเรา ความรู้สึกที่เบา สงบ คลายตัวจากความวุ่นวายฟุ้งซ่าน ลมหายใจสบาย อารมณ์จิตก็พลอยมีความสบายตามไปด้วย ลมหายใจอานาปานสติสัมพันธ์กับอารมณ์ใจของเรา รู้ลมเพื่อรักษาอารมณ์ ปลอดโปร่ง โล่ง สงบเบา 

อานาปานสติจึงมีผลอานิสงส์ในการระงับความวุ่นวายความฟุ้งซ่านของจิต อยู่ในอารมณ์เบา ละเอียด สบาย 

สติยังอยู่กับภาพของลมหายใจที่พลิ้วผ่านเข้าออก สติยังกำหนดรู้รักษาในอารมณ์ใจของเราที่มีความเบาสบายสงบ ประคองระดับความสงบของจิตให้มีความเสถียรทรงตัว อาการทรงตัวของความสงบแห่งจิต ก็คือความหมายของการทรงอารมณ์พระกรรมฐาน จิตสงบ มีเสถียรภาพ ราบรื่นสม่ำเสมอ ในความสงบ ร่มเย็นและเบา 

จิตสงบจากความวุ่นวาย 

จิตสงบว่างจากกิเลส

จิตเข้าถึงความสุขแห่งความสงบ ดังคำที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า “ความสุขเสมอด้วยความสงบนั้นไม่มี” เราเข้าถึงความสุขของสมาธิ ความสุขจากสภาวะที่ใจของเราได้พักจากความวุ่นวาย ความฟุ้งซ่าน การปรุงแต่ง การกระทบผ่านทางอายตนะ มารวมไว้อยู่กับลมหายใจ อยู่กับความสงบ ค้นพบความสุขสงบของใจ 

เมื่อใจของเราสงบดีแล้ว เราจึงใช้กำลังใจไล่กำลังของสมถกรรมฐานจากเบื้องต้นที่สุด ก็คืออานาปานสติขึ้นไปยังสมถะสมาธิที่ต้องใช้กำลังใจสูงขึ้น มีผลแห่งจิตตานุภาพสูงขึ้น มีกำลังแห่งความเป็นทิพย์สูงขึ้น

กำหนดในลมนั้นเรากำหนดว่าเราหยุดจิต นิ่งหยุด และจุดที่หยุด กำหนดจินตภาพเป็นภาพนิมิต ดวงแก้วสว่างใส จากดวงแก้วสว่างใสปรากฏขึ้นเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง คือ มีสภาวะเป็นเพชรระยิบระยับเจียระไนโดยรอบ 360 องศาพร้อมกับมีเส้นแสงรัศมีพวยพุ่งโดยรอบออกมา เลยพ้นจากเส้นแสงรัศมี ก็ปรากฏสภาวะบรรยากาศโดยรอบ มีความพร่างพรายคล้ายกับกากเพชร ล่องลอยระยิบระยับแพรวพราวอยู่ในชั้นบรรยากาศ อาณาบริเวณทั้งหมดนับตั้งแต่จิตที่เป็นประกายพรึก เส้นแสงรัศมีของจิตจนเลยออกไปเป็นอาณาบริเวณ คือกำลังแห่งความเป็นทิพย์ 

เรากำหนดสภาวะของจิตที่แผ่กระแสแสงสว่างรัศมีออกไป พร้อมกับความรู้สึกของใจว่า ยิ่งจิตเราสว่างแพรวพราว จิตเรายิ่งมีกำลัง จิตเรายิ่งมีความสุข ยิ่งสว่างยิ่งใส จิตเรายิ่งพลอยมีความอิ่มแย้มยิ้มเบิกบาน ยิ่งสว่างยิ่งเปี่ยมพลัง 

สภาวะความเป็นทิพย์ คือ อภิญญาจิตเกิดขึ้นในสภาวะที่จิตมีความสุขมีความผ่องใสที่สุด

ความสัมพันธ์ของการฝึกกสิณ ก็คือ ภาพนิมิตสัมพันธ์กับกำลังจิตตานุภาพและอารมณ์ใจ ยิ่งจิตยิ่งภาพกสิณเราสว่างมากเท่าไร มีความเป็นเพชรแพรวพราวมากเท่าไร  ใจเรายิ่งมีความสุข ใจเรายิ่งมีความรู้สึกเปี่ยมพลัง  จิตมันมีความปีติสุขแย้มยิ้มเบิกบาน แผ่ออกไปพร้อมกับความสว่างรัศมีเส้นแสงของจิต จุดนี้เป็นตัวสำคัญ *กสิณคือจิต จิตคือกสิณ* คนที่ฝึกจนมีความแพรวพราวสว่างชัดเจน จิตเป็นสุขอย่างยิ่ง และกำลังความเป็นทิพย์ บุคคลที่ทรงอารมณ์นั้นไม่มีความลังเลสงสัย ฝึกด้วยแสงสว่าง ความสว่าง และอารมณ์ที่เป็นสุขอย่างยิ่ง ฝึกไปเรื่อยๆ ผลของการปฏิบัติ เอาเฉพาะในส่วนของสมถะ เราก็จะไล่อารมณ์จิต ไล่ขึ้นไป ก่อนที่จะอธิบายผลของการปฏิบัติ ให้เราทรงอารมณ์ *กสิณคือจิต จิตคือกสิณ ทรงอารมณ์ ทรงสภาวะให้จิตของเรามีความแพรวพราวและจิตเป็นสุขที่สุด*

จิตเป็นสุขที่สุด แสงสว่างมีความผ่องใส ทรงอารมณ์ ทรงความรู้สึก ทรงภาพนิมิต ทรงสภาวะไว้ ทรงอารมณ์ของกสิณจนเป็นสุข

เมื่อทรงอารมณ์ของกสิณจนเป็นสุข กำหนดกระแสความสว่างความพร่างพรายนั้น สลายรูปวัตถุทั้งหลาย กำหนดจิตว่าความพร่างพรายนั้น สลายแม้แต่ร่างกายขันธ์ห้า กายเนื้อ บ้านเรือนเคหะสถาน ภูเขา โลก จักรวาล สลายกลายเป็นความว่างไปจนสุดขอบจักรวาล กระแสแสงสว่างจากจิตมีคลื่นความสว่างสลายล้างรูปวัตถุของหยาบ ที่เป็นวัตถุธาตุดินน้ำ ลม ไฟ สลายกลายเป็นความว่าง สลายออกไปจนหมด

จากนั้นกำหนดต่อไป สลายความคิดความจำทั้งหลาย ความทรงจำแม้แต่เรื่องราวในอดีตชาติ เรื่องราวที่เคยกระทบใจ เรื่องราวที่เคยพยาบาทจองเวร เรื่องราวที่เคยผูกพันให้รักให้หลง ในสงสารในสังสารวัฏสลายออกไป สัญญาความจำสลายออกไป สิ่งที่มากระทบทางอายตนะ คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทางกาย หรือแม้แต่สิ่งที่มากระทบยังจิต กำหนดสลายเป็นความว่างไปจนหมด จนเหลือแต่จิตของเราสว่าง เป็นเพชรสว่างอย่างยิ่งยวดอยู่ท่ามกลางความว่างอันไม่มีประมาณ ไม่มีพื้น ไม่มีผนัง ขาว โปร่ง โล่ง สว่างไปหมด 

ทรงอารมณ์ในอรูปสมาบัติพร้อมกับเจริญวิปัสสนา ใช้กฎไตรลักษณ์เข้ามาจับร่วมกับการเจริญอรูปสมาบัติ ว่าวัตถุธาตุทั้งหลายก็ดี โลก จักรวาล บุคคลทั้งหลาย กายของบุคคลทั้งหลาย ในที่สุดก็สลายตัว เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แม้แต่ความทรงจำ แม้แต่สัญญา สัญญาที่เป็นความจำก็มีความจำความเสื่อม การลืมเลือน การสลายตัว เรื่องราวที่จารึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ กาลเวลาผ่านไปสิบปีก็ค่อยๆเลือนรางลง ร้อยปีก็ค่อยๆหาย พันปีคนก็ไม่สามารถจดจำเรื่องราวแม้ว่าเรื่องราวนั้นมันจะสำคัญถูกจารึกเอกอุเพียงใด ทุกสรรพสิ่งสลายไปจนหมด 

กำหนดพิจารณาพร้อมกับเจริญวิปัสสนาญาณ สัญญาที่เคยสัญญิงสัญญาเป็นความรักใคร่ มันก็มีการแปรปรวนเปลี่ยนแปลง จากรักก็อาจจะเปลี่ยนเป็นชัง จากเคยจดจำก็อาจจะเป็นลืมเลือน สลายไปตามกาลเวลา และเหตุการณ์ที่ผ่าน 

ดังนั้นเราไปยึดมั่นถือมั่นก็ล้วนแล้วแต่เป็นทุกข์ สลายออกไปให้หมด ปล่อยวาง ใช้กฎไตรลักษณ์มาจับพร้อมกับสมาบัติแปด  ปล่อยวางเพราะทุกสิ่งไม่เที่ยง เห็นทุกสิ่งเห็นภาพจำที่บันทึกในใจเรา ค่อยๆเลือนสลายเป็นความว่างไปจนหมด ตัดกิเลสด้วยกำลังแห่งอรูปสมาบัติควบกับการพิจารณาในกฎไตรลักษณ์ จนจิตของเราไม่เกาะไม่ยึดไม่ติด

จากนั้นจึงกำหนด ว่าเราใช้กำลังแห่งสมาบัติแปดในการตัดกิเลส เป้าหมายเราไม่ได้ปฏิบัติสมาบัติแปด เพื่อไปจุติยังอรูปพรหม เป้าหมายในการปฏิบัติธรรม แก่นธรรมที่เราปฏิบัติ เราปฏิบัติเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง ปฏิบัติเพื่อความดับไม่เหลือเชื้อ เชื้อคือเชื้อที่ทำให้เกิด เชื้อที่ทำให้ยังเวียนว่ายในสังสารวัฏ เราใช้กำลังของอรูปสมาบัติดับสลายดับล้างให้สิ้นเชื้อแห่งการเกิด

กำหนดจิตพิจารณา ว่าเป้าหมายในการปฏิบัติธรรมของเรามีพระนิพพานเป็นที่สุด ใจเรามีไตรสรณคมน์ คือคุณแห่งพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ เป็นสรณะที่พึ่งที่อาศัยสูงสุด เราจึงกำหนดจิต รำลึกนึกถึงพระพุทธองค์ กำหนดภาพองค์พระที่สว่างใสเป็นประกายพรึก สมเด็จองค์ปฐมปางเปิดโลกสว่าง 

จากนั้นอธิษฐานจิต ขอบารมีสมเด็จองค์ปฐมทรงสงเคราะห์ ขอยกจิตอาทิสมานกายข้าพเจ้าขึ้นไปบนพระนิพพาน อยู่เบื้องหน้ามหาสมาคม คือพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ มีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน

จากนั้นเรากำหนดจิตขอกายพระวิสุทธิเทพของเราค่อยๆน้อมกราบพระพุทธเจ้า กราบทุกท่านทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน ด้วยความนอบน้อม ด้วยความเคารพ น้อมจิตกราบขอขมาพระรัตนตรัย ในสิ่งที่เราประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อ พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ หรือแม้แต่สมมุติสงฆ์ ไม่ว่าจะเจตนา หรือไม่เจตนา รำลึกได้หรือรำลึกไม่ได้ รู้เท่าถึงการณ์ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี ทำในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี ข้าพเจ้าขอกราบขมาลาโทษต่อพระรัตนตรัยด้วยความสำนึกนอบน้อมเคารพ

จากนั้นกำหนดจิตอธิษฐานขอให้กายพระวิสุทธิเทพของเรานั้น ปรากฏในสภาวะนั่งขัดสมาธิอยู่บนดอกบัวแก้วเบื้องหน้าทุกท่านทุกๆพระองค์ 

กำหนดว่าเราเจริญพระกรรมฐานอยู่บนพระนิพพาน

จากนั้นเริ่มพิจารณา การปฏิบัติธรรมนั้นประกอบด้วย 2 ส่วน คือสมถะและวิปัสสนา 

ผลอานิสงส์แห่งการปฏิบัติในสมถะนั้น มีนับตั้งแต่เริ่มไล่จากเริ่มต้นก็คืออานาปานสติ บุคคลที่มีความชำนาญเชี่ยวชาญในอานาปานสติ ถึงเวลา ผลอานิสงส์ก็คือ ทำให้จิตสงบจากความวุ่นวายฟุ้งซ่าน พอเราปฏิบัติไปจนกระทั่งลมมันมีความสงบระงับสบาย ผลที่สืบเนื่องทั้งหมดก็ยังประโยชน์ว่า ทำให้การหายใจของเรานั้น เป็นการหายใจในฌานในสมาธิ พอหายใจในฌานในสมาธิก็กลายเป็นว่า เราใช้ปริมาณของอากาศน้อยกว่าคนปกติ 

ด้วยเหตุนี้อานาปานสติ จึงมีมาตรวัดระดับของฌานโดยใช้จำนวนครั้งปริมาณของลมหายใจเป็นตัววัดฌาน ยิ่งจิตสงบ การทำงานของร่างกายมันก็จะลดลง ยิ่งเข้าฌานสูงมากขึ้น สภาวะร่างกายก็ใกล้เคียงกับการเข้าสู่สภาวะการจำศีล พอเราหายใจน้อยลง เพราะสมองความคิดมันไม่วุ่นวาย มันไม่ใช้พลังงาน จิตมีความสงบ ร่างกายมันก็เกิดการเผาผลาญน้อยกว่าคนที่เขามีความโกรธ มีความวุ่นวาย มีความกระสับกระส่าย 

ดังนั้นผู้ที่ทรงอารมณ์อยู่ในอานาปานสติได้ดี ทรงฌานในอานาปานสติ ผลสืบเนื่องที่ส่งผลกับร่างกาย ก็คือ จะเป็นคนที่ค่อนข้างมีอายุยืนยาว และผลที่มันเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติธรรม นอกเหนือจากการที่มีอายุยืนยาวสุขภาพดี ก็คือผู้ที่หมั่นเจริญในอานาปานสติ จะเป็นผู้ที่รู้วาระการตายของตน เพราะเมื่อไรที่ชำนาญในอานาปานสติ เรารู้ลมหายใจ เรารู้อาการของลมหายใจที่ผิดปกติ มันพลอยทำให้รู้ว่าวาระที่มันใกล้จะถึงความตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งลมหายใจสุดท้าย บางคนเคยผ่านช่วงเวลาการทดลองตายมา บางคนเคยฝึกตาย เคยผ่านการทดสอบผ่านความฝัน หรือบางคนเคยประสบกับเหตุการณ์จะเป็นอุบัติเหตุหรือเรื่องใดก็ตาม ที่เข้าสู่สภาวะที่เฉียดตาย เราจะสังเกตได้ว่าปลายลมหายใจสุดท้ายมันมีลักษณะเฉพาะของมัน มันจะค่อยๆจางลงจนกระทั่งสติรู้ว่าลมมันดับ ลมมันจะหมด ภาษาโบราณเขาถึงเรียกว่า “หมดลม” “สิ้นลม” อันนี้คืออานิสงส์ของอานาปานสติ

คราวนี้ประโยชน์ที่เราใช้ก็คือ ถ้าเมื่อไรเรารู้ว่าเรากำลังจะตาย หรือลมนี้มันเป็นลมสุดท้าย แต่การรู้ลมรู้วาระการตายแล้วส่วนใหญ่ จะเป็นการรู้ในขณะที่เรามีสติ มีสติรู้อยู่ว่าเรากำลังจะตาย แต่สำหรับบางคนก็รู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ว่าวันนั้นวันนี้จะตาย จะตายวันไหน จะตายตอนกลางวันหรือตายตอนกลางคืน ซึ่งครูบาอาจารย์หลายรูปท่านก็เคยแสดงให้เห็น รู้วันตายของตนเองและเมตตาบอกกล่าวลูกศิษย์ สั่งเสีย บอกธุระทุกอย่าง แล้วก็จึงตาย

อันนี้ก็คือเมื่อไรที่รู้ความตาย รู้ว่าใกล้ตาย ประโยชน์ก็คือยิ่งต้องเร่งภาวนา ยิ่งยกจิตขึ้นพระนิพพาน ดังนั้นการที่เรารู้ก็ดีกว่าไม่รู้ เหมือนกับอย่างเช่น การที่เกิดภัยพิบัติ คนที่มีปัญญาก็ยิ่งเร่งปฏิบัติธรรม เร่งยกจิตขึ้นพระนิพพาน ถ้าไม่ตายก็อาศัยเมตตาสงเคราะห์เกื้อกูลบุคคลที่ประสบความทุกข์ความลำบาก ส่วนผู้ไม่มีปัญญาก็วุ่นวายอยู่กับความหวาดกลัวความตื่นตระหนก ซึ่งอันที่จริงแล้วมันไม่มีประโยชน์อันใด 

ในยามที่เกิดภัยพิบัติ สติสำคัญที่สุด มีปัญญาพิจารณา มีสติ มีความข่มใจ อานาปานสติก็ช่วยให้เราข่มใจได้ หรือหากเราติดอยู่ในที่คับขันอันตราย ติดอยู่ในสถานที่ที่มันอากาศน้อย เราเข้าฌานได้ ก็ใช้ปริมาณอากาศน้อยกว่าคนที่วุ่นวายกระสับกระส่าย ยิ่งวุ่นวายมากดิ้นรนมาก ยิ่งวิตกกังวลมาก ก็ยิ่งใกล้ความตายง่ายกับอันตรายมากกว่า  ดังนั้นอานาปานสติก็มีประโยชน์หลายอย่าง

คราวนี้ไล่ขึ้นไปจากอาณาปานสติ ก็คือกสิณ กสิณทั้งสิบกอง สุดท้ายเรียนลัด ก็คือรวมกันทั้งสิบกองให้เป็นหนึ่ง 

ทำกสิณให้เป็นหนึ่งเดียวกับจิต ที่เรียกว่า จิตเป็นหนึ่งเดียวกับกสิณ กสิณเป็นหนึ่งเดียวกับจิต เพราะสุดท้ายแล้วนิมิตของกสิณมันก็ไม่ต่างอะไรกับจิตของเรา เราก็รวมกองมาไว้ที่จิตของเรา 

คราวนี้คนที่ทรงอารมณ์ในกสิณจนมีความคล่องตัว คือเป็นเพชรประกายพรึกแพรวพราว พร้อมกับอารมณ์ที่เป็นสุขอย่างยิ่ง เปล่งประกายอย่างยิ่ง เปี่ยมพลังอย่างยิ่ง ทำจนเป็นปกติได้เมื่อไร จิตจะเกิดจิตตานุภาพของอภิญญาจิต จิตกลายเป็นแก้วสารพัดนึก หลายคนผ่านเข้าสู่สภาวะที่ทำจุดนี้ได้ อันนี้ก็เล่ามาหลังไมค์กันหลายคน เพียงแค่นึกในจิต ถึงเวลาเหตุการณ์ต่างๆก็เป็นไปตามที่เรานึกถึง ปรารถนาสิ่งใด อยากกินอะไร ถึงเวลาก็เป็นไปตามที่นึก อันนี้ก็ถือว่าเป็นอภิญญาอ่อนๆ เป็นอภิญญาจิตที่มันทำได้เป็นปกติ แล้วเมื่อไรที่เราทรงสภาวะความเป็นทิพย์ไว้ได้ตลอด มันจะเหมือนกับสภาวะที่เราสามารถที่จะใช้กำลังของอภิญญา กำลังของญาณต่างๆที่เป็นญาณเครื่องรู้ทั้งแปดได้ตลอดเวลา ยิ่งทรงอารมณ์ได้มากเท่าไรยิ่งเหมือนกับเชื่อมต่อเป็นปกติ อันนี้คือกำลังของคนที่เขาฝึกแล้วก็ทำได้ อันนี้ไม่ได้ทำได้แค่คนเดียว มีทำได้หลายคน 

คราวนี้ขึ้นมาจากกสิณก็ขึ้นมาเป็นอรูป

สำหรับอรูปนั้นคนที่ทรงอารมณ์ ทรงสภาวะได้เป็นปกติ ความเกาะยึด การปล่อยวางจะมีมากกว่าคนทั่วไป ยิ่งเราล้างความทรงจำสัญญาออกไปมากเท่าไร มันเหมือนกับเราทำความสะอาด ล้างข้อมูลขยะ พอล้างข้อมูลขยะ ล้างข้อมูลที่มันไม่จำเป็นในจิต ถ้าอุปมาก็เหมือนกับการที่เราล้าง Format Hard Disk ล้าง bad sectors ออกไป ล้างข้อมูลขยะออกไป มันก็ทำให้เกิดพื้นที่ หน่วยความจำเพิ่ม อันนี้ก็เช่นกัน จิตเราล้างชำระออกไป มันก็มีพื้นที่ให้ความรู้อันยิ่งยวดเข้ามาสู่จิตของเราได้ ที่เรียกว่า “ปฏิสัมภิทาญาณ”

สำหรับคนที่เจริญอรูป แล้วใช้กำลังของอรูปตัดกิเลส จะเป็นกองใดกองหนึ่งในสี่กอง ถึงเวลาแม้ทำได้แค่กองเดียว และถึงเวลาแม้ยังไม่ได้ความเป็นพระอริยเจ้า แต่ใช้กำลังของอรูปตัดกิเลส เน้นคำว่าใช้กำลังของอรูปตัดกิเลส ผลของปฏิสัมภิทาญาณ ก็จะได้เป็นปฏิสัมภิทาญาณแบบที่เรียกว่า “โลกียอภิญญา” คือตราบที่เรายังทรงอารมณ์ รักษากำลังฌาน รักษาความดีของสมาธิไม่ให้เสื่อม เครื่องความรู้ต่างๆที่เป็นปฏิสัมภิทาญาณตัวย่อย ที่ยังไม่ใช่ตัวเต็ม มันก็จะผุดปรากฏขึ้นกับบุคคลนั้น อันนี้หมายความถึงบุคคลที่ใช้บ่อยๆ มีความคล่องตัว คนที่เคยทำได้หรือเคยตามฝึกได้หนหนึ่งแต่ไม่เคยทำต่อ หรือไม่ได้ทำเป็นปกติ มันก็ไม่ได้ตามนั้น

จำไว้ว่าอภิญญาจิตทั้งหลาย คุณสมบัติพิเศษที่เล่ามาทั้งหมด เกิดขึ้นจากการทรงฌาน ก็คือ ทรงอารมณ์ได้เป็นปกติ ใช้งานเป็นปกติ ฝึกสม่ำเสมอเป็นปกติ 

คราวนี้แยกต่อมาอีก จากจริงๆ สมถะ จุดสูงสุดก็คืออรูป แต่คราวนี้มีข้ามไปจุดหนึ่งก็คือ เรื่องของการใช้กำลังของมโนมยิทธิ กำลังขอมโนมยิทธินั้นจริงๆ ถ้าอธิบายก็คือ การใช้กายทิพย์

ข้อแตกต่างระหว่างทิพย์จักษุญาณกับการใช้มโนมยิทธิ ก็คือ ทิพยจักษุญาณ ผู้ที่ได้ผู้ที่ใช้ จิตไม่ได้แยกจากกาย แต่มีความเป็นทิพย์ ไปรู้ไปเห็น คือเหมือนมองส่องไป แต่อาการของมโนมยิทธินั้น ก็คือ ถอดกายทิพย์ คือใช้กายในคือกายทิพย์ ไปอยู่ในสถานที่นั้น หรือย้อนกลับไปอยู่ในเหตุการณ์นั้น ดังนั้นกำลังของการใช้กายทิพย์ก็มากกว่าทิพย์จักษุญาณ 

ในเรื่องของการฝึกใช้มโนมยิทธิให้มีความคล่องตัว สำหรับคนที่เขาทรงอารมณ์ก็คือ พยายามใช้ให้ได้ตลอดเวลา ความคล่องตัวก็คือ นึกถึงพระนิพพานเมื่อไร นึกถึงพระเมื่อไร เราพุ่งจิต เรายกจิตไปปรากฏบนพระนิพพาน หรือไป ณ สถานที่ต่างๆได้ทันที ไม่ต้องตั้งท่า พอใช้งานจริงก็คือไม่ต้องตั้งท่า ในภาคปฏิบัติจริงไม่มีใครสักคนที่จะใช้ทีต้องมาสมาทาน ต้องมาไล่ทั้งหมดใหม่ 

การไล่ตั้งแต่สวดมนต์ สมาทานพระกรรมฐาน อันนั้นคือการฝึกในการขึ้นครู ในการฝึกแบบมีแบบแผน แต่ภาคของการใช้งานจริง ทุกคนทรงอารมณ์นั้นทันที นึกถึงแล้วขึ้นไปกราบ นึกถึงพระรัตนตรัยทันที นึกถึงพระพุทธเจ้าทันที ยกจิตขึ้นพระนิพพานทันที 

ดังนั้นในขณะที่เราใช้กำลังของมโนมยิทธิได้ จำไว้ว่าจิตของเราสะอาดจากความโลภโกรธหลง ยิ่งคนที่ใช้กำลังของมโนมยิทธิเพื่อมรรคผล คือปฏิบัติตรง ใช้ถูกทิศถูกทาง ไม่ได้ไปใช้เพื่อ หนึ่ง พอกมานะ หรือไปใช้ด้วยกิเลสความโลภ ถ้าไปใช้เพื่อพอกมานะ หรือใช้เพื่อสนองกิเลส คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ในที่สุดความเป็นทิพย์อภิญญาจิต กำลังของมโนมยิทธิมันก็จะเฟือหรือเสื่อมไปในที่สุด แต่ถ้าเราใช้กำลังของมโนมยิทธิขึ้นมาเพื่อปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน ใช้กำลังมโนยิทธิเพื่อพิจารณาธรรม ใช้กำลังมโนยิทธิเพื่อพิจารณาดูกรรมและผลของกรรม ตัดกิเลส ถ้าเราใช้ถูกวิธี จะกลายเป็นยิ่งมโนมยิทธิเราถูกต้องมากขึ้น แม่นยำมากขึ้น จนค่อยๆเข้าใกล้ความเป็นโลกุตระอภิญญา

จำไว้ว่าเมื่อไรเราใช้อภิญญาไปในเรื่องของโลกีย ยิ่งใช้ในทางโลกียมากเข้าบ่อยเข้า มากเท่าไร มันก็จะค่อยๆเฝือ ค่อยๆเสื่อม จนกระทั่งหายไปในที่สุด เหมือนเรามีกระบี่อันคมกล้า แต่เราใช้ผิดวิธี ทำลายความคมของกระบี่ แต่หากเราใช้ไปในทางที่เป็นโลกุตระอภิญญา ใช้เพื่อพิจารณาธรรม ใช้เพื่อปลงให้เห็นในบุพกรรมของสรรพสัตว์ ใช้เพื่อยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพาน ใช้เพื่อฟังธรรมโดยตรงต่อพระพุทธเจ้า จากพระโพธิสัตว์ จากครูบาอาจารย์ เราใช้ถูกวิธีก็ยิ่งเข้าใกล้ความเป็นโลกุตระ และกระบี่ก็ยิ่งมีความคมกล้าในวิปัสสนาญาณเพิ่มขึ้น อันนี้คือการที่เราฉลาดใช้สมถะ ประโยชน์การใช้งาน ผลของการที่เราใช้ได้ ถึงเวลาอภิญญาใหญ่มันจะปรากฏ ก็จะปรากฏกับบุคคลที่ใช้กำลังความเป็นทิพย์ ใช้อภิญญาในทางโลกุตระ บุคคลที่ใช้อภิญญาไปในทางโลกีย สุดท้ายก็จะถูกคัดกรอง จนกระทั่งหาย จนกระทั่งหลุดไปจากเส้นทางของธรรมไปจนหมด

จำไว้ว่าอภิญญาใหญ่หรือยุคอภิญญาใหญ่ที่เข้ามา ก็มีการคัดกรองให้กับคนที่คู่ควร สุดท้ายบุคคลผู้เจริญบารมีในความเป็นพระโพธิสัตว์ ยังประโยชน์ต่อสรรพสัตว์ ก็คู่ควรที่จะได้อภิญญาใหญ่ 

บุคคลที่ปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน ปรารถนาพระนิพพาน และมีหน้าที่ที่จะช่วยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ก็มีเหตุอันคู่ควรที่จะได้อภิญญาใหญ่ 

ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างมันมีเหตุมีผลในตัวเอง เหตุทำให้เกิดผล ดังนั้นปรารถนาผล ก็ต้องทำเหตุให้คู่ควรกับผลที่เราปรารถนา ถึงเวลาเราปฏิบัติใช้กำลังจิตตานุภาพแห่งสมถะ ให้เป็นไปเพื่อมรรคผลพระนิพพาน ผลคืออภิญญาเขาก็จะมาของเขาเอง คนที่เคยได้ในบางส่วนแล้ว ก็จะรู้ด้วยตนเองเป็นปัจจัตตัง แล้วก็เมื่อไรที่เราเจอกับประสบการณ์ทางจิตแบบนี้ เราก็จะยิ่งรู้สึกได้ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้านี้เป็นของอัศจรรย์ยิ่ง เราทำจนถึงทำจนได้เราก็จะกระจ่างแจ้งประจักษ์กับตัวเราเอง บางเรื่องบางสิ่งเราไปคุยกับคนที่เขาห่างไกลจากพระพุทธศาสนา ดีไม่ดีเขาก็ปรามาสเรา มันก็จะมีแต่คนที่เข้าถึงสภาวะเฉกเช่นเดียวกันถึงจะเข้าใจ ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องปกติในหมู่ธรรมที่เขาเตือนกันว่า บางประสบการณ์บางเรื่องก็เล่าได้เฉพาะผู้ที่ปฏิบัติด้วยกัน ผู้ที่อยู่ในวิสัยเดียวกัน ผู้ที่ปฏิบัติถึง สามารถยืนยันกันได้ ไม่ต้องไปพูดไม่ต้องไปเล่ากับคนที่เขายังไม่ได้ ยังไม่ถึง ยังห่าง หรือคนละวิสัย อย่างคนที่เขาเป็นสุกขวิปัสสโกล้วนๆ เราไปเล่าเรื่องอภิญญาเขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเพราะอะไร แต่ถ้าสำหรับบุคคลที่เขาอยู่ในวิสัยตั้งแต่วิชชา 3 อภิญญา 6 ปฏิสัมภิทาญาณ หรือพุทธภูมิ เล่าเรื่องอะไรแบบนี้ อธิบายว่าทำไมเพราะอะไร ทุกคนก็มีความเข้าใจได้โดยง่าย เป็นเรื่องที่ไม่ได้ยาก ดังนั้นเมื่อเราเข้าใจประโยชน์ของสมถะ การใช้งาน ผลอานิสงส์ ผลลัพธ์ที่ได้ เราก็พยายามที่จะตั้งใจ ฝึกฝน ฝึกจนเกิดเป็นวสีในสมถะทั้งหลาย มีความคล่องตัวได้ทั้งหมดได้ยิ่งดี 

แต่ถ้าถามอาจารย์ว่าจุดไหนสำคัญที่สุด จุดที่สำคัญที่สุด มุ่งลัดตัดตรงที่สุด ถ้าเราปรารถนาพระนิพพาน เอาแค่จิตของเรา ฝึกที่จะมั่นใจยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพาน โดยที่เราไม่ลังเลสงสัย จนกระทั่งกรรมฐานของเราทรงตัว ไปกราบพระพุทธองค์ได้เป็นปกติ อันนี้จริงๆแล้วถือว่าเป็นการปฏิบัติธรรมที่ตรงจุดที่สุด ก็ในเมื่อเราจะไปพระนิพพาน เราก็ฝึกยกจิตไปพระนิพพานอย่างที่คล่องตัวแล้วก็ไม่มีความลังเลสงสัย มันก็แค่นั้น สุดท้ายรวมๆก็คือ ยกจิตขึ้นพระนิพพาน จิตมั่นคงอยู่กับพระนิพพาน จิตแนบอยู่กับพระนิพพาน สุดท้ายคำครูบาอาจารย์ที่สอนท่านก็สอนว่า ยิ่งใกล้ความเป็นพระโสดาบัน จิตยิ่งรู้สึกแนบอยู่กับพระนิพพาน ยิ่งรักพระนิพพาน ดังนั้นใครที่มีอารมณ์จิตมั่นคงในพระนิพพาน แนบอยู่กับพระนิพพาน รู้สึกว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระนิพพาน ไม่อยากไปภพอื่นภูมิอื่น นั่นก็คือจิตเราเริ่มใกล้ความเป็นพระโสดาบัน คือมีความแนบอยู่กับพระนิพพานเป็นที่สุด จนกระทั่งไม่ถอยกลับอีกต่อไป

คำว่าพระโสดาบันก็แปลว่าผู้ไม่ถอยกลับ

สำหรับวันนี้เราก็ปฏิบัติธรรมจนสมควรกับเวลา ในช่วงนี้ก็เป็นยุคที่เกิดภัยพิบัติ เป็นช่วงที่คัดกรองชำระล้างเพื่อเข้าสู่ยุคชาววิไล ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นเหล่านี้ อันที่จริงขอบอกว่ามันถูกบรรเทาเบาบางลงมามาก เรียกว่ามากมหาศาล จากเกณฑ์เก่าก่อนที่เรียกว่ามันจะเกิดภัยพิบัติรุนแรงมากกว่านี้อย่างยิ่ง อันนี้ถือว่าเบา แต่ขณะที่เบาเราเห็นน้ำท่วมที่ทางภาคเหนือเรา แต่ทั่วโลกหลายๆประเทศก็โดนหนักยิ่งกว่าเรา อันนี้ก็เป็นเรื่องของการคัดกรองจากภัยพิบัติ จากกรรม จากวาระกรรม กรรมมวลรวมของมนุษยชาติ บุญมวลรวมของมนุษยชาติ มันก็มีความแตกต่างกัน ถ้าเราเข้าใจตรงนี้ เราพยายามอธิษฐานจิตในยามที่เราสร้างบุญกุศล บุญกุศลมันก็เกิดเป็นบุญมวลรวม บุญมวลรวมมันก็ช่วยบรรเทาเบาบางลดภัยพิบัติ และอันที่จริงการที่เรามีจิตเมตตาธรรมปฏิปทาสาธารณประโยชน์ คือมีจิตช่วยเหลือเกื้อกูลโลก เกื้อกูลผู้ที่เดือดร้อน หรือเราใช้พลังความเป็นทิพย์ของจิตซึ่งเรียกว่างานของโลกทิพย์ งานภาคทิพย์ เราแผ่เมตตา เราน้อมจิตน้อมกุศลมาช่วยคุ้มครองโลก แผ่เมตตาอันไม่มีประมาณไปใน 3 ภพภูมิ ถึงเวลาเทวดาพรหมท่านมีญาณเครื่องรู้เป็นทิพย์ ท่านก็เมตตารู้ว่ามนุษย์คนนี้ทำสิ่งใด ทำประโยชน์สิ่งใด ถึงเวลาท่านก็ปกปักรักษาคุ้มครอง หรือบรรดาดวงจิตดวงวิญญาณโอปปาติกะสัมภเวสีที่เขาเดือดร้อนที่เขาลำบาก เราแผ่เมตตาเป็นปกติ เกื้อกูลสงเคราะห์ปรับภพภูมิเป็นปกติ ถึงเวลาเขาก็เมตตาเขาก็ช่วยเหลือในยามที่เราคับขันถ้าเขาอยู่ใกล้อยู่ในวิสัยที่ช่วยเหลือได้เขาก็ช่วยตามกำลังของเขา

ดังนั้นอันที่จริงแล้วอานิสงส์ของการเจริญภาวนา เจริญสมาธิ ถ้าเรารู้จักปฏิบัติให้เกิดผลสูง ผลของการปฏิบัติก็กลายมาเป็นเกราะแก้วคุ้มครองตัวเราจากภัยพิบัติทั้งปวง ดังจะเห็นว่าหลายๆคนในกลุ่มที่มาปฏิบัติธรรมด้วยกัน อยู่ในพื้นที่ที่เกิดภัยพิบัติ แต่ก็ปลอดภัยแคล้วคลาดจากภัยพิบัติ อันนี้จริงๆก็เกิดขึ้นจากบุญ จากกุศล จากเทวดานุภาพ จากเทวดาพรหมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านสงเคราะห์ ดังนั้นก็ขอให้เรายิ่งเกิดภัยพิบัติ ก็จงยิ่งเร่งความเพียร เร่งปฏิบัติ เอาจุดที่เกิดภัยพิบัติเปลี่ยนวิกฤตให้มาเป็นโอกาส ให้มาเป็นความขยัน และถึงเวลาในที่สุดก็อย่างที่อาจารย์ได้กล่าวไว้ กลายเป็นว่าพอเราเร่งปฏิบัติเข้า บางทีบางจังหวะ อันที่จริงอาจจะถึงคราวจะต้องประสบ แต่กลายเป็นว่าบุญที่เราปฏิบัติ ที่เราเจริญพระกรรมฐาน ที่เราเกื้อกูลสงเคราะห์โลก โลก จักรวาล เทวดา พรหม ก็เมตตากลับมาสงเคราะห์เรา เราเลยแคล้วคลาดปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวง

ดังนั้นเราก็ตั้งจิตเจริญกุศลแผ่เมตตาจากบนพระนิพพานเชื่อมกระแสกับทุกท่านทุกดวงจิตบนพระนิพพาน

แผ่เมตตาลงมานับตั้งแต่อรูปพรหมทั้งสี่ชั้น พรหมโลกทั้งสิบหกชั้น สวรรค์ทั้งหกชั้น รุกขเทวดาภูมิเทวดาทั่วอนันตจักรวาล

แผ่เมตตาลงไปยังมนุษย์และสัตว์ที่มีกายเนื้อทั่วโลกทั่วจักรวาลทุกดวงดาว

แผ่เมตตาให้กับโอปปาติกะสัมภเวสีเมืองบังบดลับแลชาวมิติทับซ้อน

แผ่เมตตาลงไปยังโอปปาติกะสัมภเวสีเปรตอสุรกายลงไปจนถึงสัตว์นรกทุกขุม 

กระแสบุญกุศลกระแสจากพระนิพพานน้อมรวมลงถึงทุกดวงจิต

จากนั้นน้อมกระแสจากพระนิพพานลงมายังโลก ขอกระแสบุญกุศลอันไม่มีประมาณ คุ้มครองรักษาบรรเทาเบาบางภัยพิบัติทั้งปวง เขตใดมีผู้ประพฤติธรรม ทรงธรรม ทรงกุศลความดี มีความเป็นพระอริยเจ้า ก็ขอให้แคล้วคลาดปลอดภัย ขอโลกนี้จงประสบความสันติสุขร่มเย็น ขอให้โลกนี้ก้าวขึ้นเข้าสู่ยุคชาววิไล

แผ่เมตตาลงลึกจนเห็นโลกเป็นสีทองสว่าง

แผ่เมตตาลงไปจนถึงใจกลางโลกสว่าง จิตเจตนาเป็นกุศลขอจงเป็นบุญที่สะท้อนย้อนกลับมาเป็นเกราะแก้วคุ้มครองเราทุกคนที่เจริญเมตตาสมาธิ ให้รอดพ้นปลอดภัยจากภัยพิบัติภยันอันตรายทั้งปวง ปลอดภัยจากธาตุดิน ปลอดภัยจากธาตุน้ำ ปลอดภัยจากธาตุลม ปลอดภัยจากธาตุไฟ ปลอดภัยจากอมนุษย์ทั้งหลาย ปลอดภัยจากเทพบุตรมารทั้งหลายปลอดภัยจากกระแสมิจฉาทิฐิทั้งหลาย จิตตั้งมั่นอยู่กับโลกุตรธรรมอยู่กับมรรคผลพระนิพพาน ไม่หวั่นไหวไปกับความวุ่นวายทั้งปวง

กำหนดเห็นโลกสว่าง เห็นจักรวาลเปิดสามแดนโลกธาตุสว่าง ใจเราเอิบอิ่ม กายพระวิสุทธิเทพของเราสว่างใสอย่างยิ่งทรงอารมณ์อยู่บนพระนิพพานเห็นกายพระวิทธิสุเทพเราแผ่สว่าง แผ่รัศมีสว่าง

จากนั้นน้อมจิตกราบพระพุทธเจ้า กราบทุกท่านบนพระนิพพาน กราบครูบาอาจารย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลวงพ่อพระราชพรหมญาณ เนื่องในวาระการครบรอบวันมรณภาพ น้อมจิตกราบด้วยความเคารพ คุณความดีธรรมะที่ท่านถ่ายทอดสอนจนเราได้เข้าถึงธรรมอันประเสริฐ ธรรมอันเป็นมรรคผลพระนิพพาน ธรรมอันเป็นทางลัดในการปฏิบัติ จนเกิดความก้าวหน้าในอภิญญาจิต ในอภิญญาสมาบัติ เราในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ ในฐานะที่เป็นลูก ในฐานะที่เป็นลูกหลาน ขอรักษาปฏิปทาสาธารณประโยชน์ ทั้งปฏิปทาที่เป็นของหยาบ คือเป็นวัตถุทาน การเกื้อกูลเอื้อเฟื้อสงเคราะห์หรือสิ่งที่เป็นปฏิปทาสาธารณประโยชน์ในงานภาคทิพย์ ยังประโยชน์ต่อมวลสรรพสัตว์ ก็ขอให้หลวงพ่อเมตตารับรู้รับทราบ โมทนาสาธุกับกุศลทั้งหลายของข้าพเจ้าทุกคนด้วยเทอญ

จากนั้นกำหนดจิต อธิษฐานกราบลาแล้วพุ่งจิตเรากลับมาบนโลกมนุษย์ แสงสว่างน้อมกระแสจากพระนิพพานลงมาชำระล้างฟอกธาตุขันธ์ ผม ขน เล็บ ฟัน หนังเป็นแก้วใสสว่าง โครงกระดูกกลายเป็นแก้วใสสว่าง เส้นเอ็น หลอดเลือดกลายเป็นแก้วใสสว่าง อาการสามสิบสอง กล้ามเนื้อทุกส่วนทั่วร่างกาย เส้นประสาททั้งหลาย กลายเป็นแก้วใสสว่าง

กระแสพระนิพพานฟอกธาตุขันธ์ชำระล้างโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง ออกจากร่างกายขันธ์ห้าของข้าพเจ้าทุกคนจนหมด

กระแสจากพระนิพพานน้อมลงมาคลุมบ้าน เคหสถาน กิจการ บริษัทห้างร้านขอให้รอดพ้นปลอดภัยจากภัยพิบัติทั้งปวง มีกระแสบุญคุ้มครองรักษาอัศจรรย์

น้อมจิตอธิษฐาน ขอบุญกุศลจงยังประโยชน์เกิดความสุขความเจริญความสำเร็จ บุญจงส่งผลทัน ใจบุญใหญ่จงส่งผลก่อน

จากนั้นโมทนาสาธุกับเพื่อนที่ปฏิบัติธรรมด้วยกัน กัลยาณมิตรที่เจริญพระกรรมฐานด้วยกัน ให้มีผลอานิสงส์ในบุญเช่นเดียวกัน

จากนั้นตั้งจิต ขอบุญทั้งหลายจงเป็นเกราะแก้วคุ้มครองข้าพเจ้าให้ปลอดภัยทุกคน ขอให้เกิดความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม ญาณทั้งหลายจงกระจ่างแจ้งกับใจ จิตที่ผ่องใสจงกลายเป็นแก้วสารพัดนึก อภิญญาจิต

สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน สำหรับอาทิตย์หน้าก็จะเป็นสัปดาห์ที่เราถวายมหาสังฆทานอีกครั้งหนึ่ง เดี๋ยวก็จะประกาศในห้องไลน์แล้วก็ใน Facebook 

แล้วก็อีกเรื่องก็คือเรื่องการเขียนแผ่นทองอธิษฐานดวงจิตพระนิพพาน ถ้าเป็นไปได้ เจ้าตัวควรเขียนด้วยตัวเอง อธิษฐานด้วยตัวเอง เพราะเป็นเรื่องของการอธิษฐานแบบเฉพาะเจาะจง การจะไปพระนิพพานนั้นเป็นเรื่องที่บุคคลนั้นต้องเป็นผู้ที่ตั้งใจไปเอง ดังนั้นอาจจะเป็นบุญที่เราเขียนแทนกันไม่ได้ เอาเฉพาะตัวเรา เอาเฉพาะจิตเรา ถึงเวลาจะไปพระนิพพานไม่ต้องห่วงคนอื่น ถ้าเมื่อไรที่ห่วงคนอื่นก็ไปพระนิพพานไม่ได้ เพราะเมื่อไรที่ห่วงคนอื่นนั้น มันกลายเป็นว่าจิตเราก็ไม่ไปพระนิพพานเพราะยังห่วงเขา ถ้าเขาไม่ไปก็เขาก็ดึงเราอยู่ อันนี้เป็นข้อสำคัญ ถ้าห่วงจริงปรารถนาพุทธภูมิไปเลย กลายเป็นหัวลากดึงไปทั้งขบวนซึ่งหนักกว่าโหดกว่าเยอะ ดังนั้นจริงๆเป็นสาวกภูมิไปพระนิพพานได้ตัวเบาๆไม่ต้องห่วงใคร ปล่อยวางต้องทำใจ ถ้าเขามีปัญญามีดวงตาเห็นธรรมเขาก็จะไปของเขาแต่ถ้าเขายังไม่ได้ดวงตาเห็นธรรมยังไม่เห็นคุณของพระนิพพานเราเขียนให้เท่าไหร่เขาก็ไม่ไปดังนั้นตรงนี้ขอให้เราอนุญาตเขียนเฉพาะจิตของเราคือตัวเราชื่อเรา แล้วก็ถ้าเป็นไปได้ก็รวบรวมทยอยส่งมา

ตอนนี้ก็ทยอยนับอยู่ได้หลายหมื่นพัน

พบกันใหม่สัปดาห์หน้า สำหรับวันนี้สวัสดี

ขอให้ทุกคนมีความสุขความเจริญ ก้าวหน้าในธรรม ปลอดภัยจากภัยพิบัติกันทุกคน

ถอดความและเรียบเรียงโดย : คุณ Be Vilawan

You cannot copy content of this page