green and brown plant on water

น้อมถวายพระราชกุศลแด่พระเจ้าอยู่หัว

เวลาอ่าน : 3 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน” 

วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม 2567

เรื่อง น้อมถวายพระราชกุศลแด่พระเจ้าอยู่หัว

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม รู้ทั่วทั้งกายพร้อมกับกำหนดผ่อนคลาย ปล่อยวางกล้ามเนื้อทั่วร่างกายของเรารู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์จิตทำความรู้สึกตัดวางขันธ์ห้าร่างกาย ตัดผัสสะความสนใจ เพื่อเข้าถึงสภาวะที่จิตแยกจากร่างกายขันธ์ห้า ผ่อนคลายปล่อยวางกาย 

กำหนดปล่อยวางจิต วางความห่วงความกังวลภาระทั้งหลายของจิต ความคิดความพะวงถึงบุคคลอื่น วางภาระของใจลงไปให้หมด ตั้งจิตตั้งกำลังใจว่าเรากำลังปฏิบัติธรรม ทำความดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้เป็นวาระที่ครบรอบ 6 รอบ 72 พรรษาขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปล่อยวางกายและจิต กำหนดรู้ในศีลห้าว่าในขณะที่เราปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิเจริญพระกรรมฐาน เรากำลังทรงสภาวะมีศีลห้าที่บริสุทธิ์สะอาด จิตของเราสะอาดจากนิวรณ์ห้าประการ

จากนั้นกำหนดจับลมหายใจของเรา จินตภาพเห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหมพลิ้วผ่านเข้าออกในกาย สติกำหนดรู้ในลมตลอดสายตลอดทั้งกองลมนั้น ลมหายใจยิ่งเบายิ่งละเอียด จิตของเรายิ่งสงบ อยู่กับลมหายใจสบาย อยู่กับอารมณ์จิตที่เบาสบายเช่นกัน ลมปราณสัมพันธ์จิตใจ ยิ่งลมละเอียดยิ่งลมหายใจสบาย อารมณ์จิตยิ่งเบา ยิ่งสบาย ยิ่งสงบ ยิ่งเป็นฌานที่สูงขึ้นตามลำดับ สงบ ละเอียด ผ่องใส 

ลมปราณที่สัมพันธ์จิตใจนั้น หมายความมีนัยยะในการปฏิบัติ เมื่อเราคุมลมหายใจให้ละเอียดให้สงบ ปราศจากสภาวะที่มีอารมณ์ของการหายใจที่มันมีความหนัก เช่น การถอนหายใจแรงๆ ถ้าเราคุมลมหายใจได้เมื่อไร เราก็คุมอารมณ์ของเราได้ ไม่ให้อารมณ์ของเรานั้นเป็นอารมณ์ที่มีความหงุดหงิด อารมณ์หนัก อารมณ์เครียด อารมณ์กังวล ลมหายใจยิ่งละเอียดเบา ความรู้สึกใจเรายิ่งปล่อยวางไปพร้อมกับลมหายใจที่หายใจออกละเอียดเบา 

เมื่อลมหายใจของเราสงบแล้ว ลมหายใจละเอียดลงแล้ว เราก็กำหนดเดินจิตจากสมาธิในอานาปานสติ กำหนดหยุดจิต สงบ นิ่งหยุด ในตัวหยุดตัวนิ่งที่ลมหายใจหยุด เรากำหนดจินตภาพให้เห็นเป็นดวงแก้วสว่าง จากสมาธิที่หยุด หยุดของลมหายใจนั้น เป็นฌานสี่ในอานาปานสติ เข้าถึงเอกัคคตารมณ์ เข้าถึงอุเบกขารมณ์ จุดที่หยุด เรากำหนดเดินจิตต่อเข้าสู่กสิณจิต จุดที่หยุดกลายเป็นดวงแก้วสว่างขยายขึ้นสว่างขึ้นใสขึ้น พอเข้าถึงกสิณ กสิณนั้นก็มีเคล็ดวิชชาของการปฏิบัติเช่นกัน อานาปานสติลมปราณสัมพันธ์จิตใจ ลมหายใจสัมพันธ์กับสมาธิ ส่วนกสิณนั้น ภาพนิมิตสัมพันธ์จิตใจ ยิ่งสว่างยิ่งใส อารมณ์จิตยิ่งเป็นสุข ยิ่งสว่างยิ่งใส ยิ่งความใสมีรัศมีมีแสงสว่างมีความแพรวพราวเป็นปฏิภาคนิมิตมากเท่าไร ใจยิ่งรู้สึกถึงความเปี่ยมพลังของจิต ยิ่งรู้สึกถึงความเอิบอิ่มความผ่องใส ยิ่งเข้าถึงความเป็นทิพย์ 

เคล็ดวิชชาสำคัญสูงสุดซึ่งหากเราเข้าสู่สภาวธรรมของการเจริญกสิณ

กสิณนั้นหลักมีง่ายๆที่สุดที่จะลัดเข้าสู่การสำเร็จในกสิณทั้งสิบกอง กสิณนั้นจากภาพกสิณ เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ หรือสีที่เป็นวรรณกสิณสีต่างๆ ความว่างและกสิณแสงสว่าง เริ่มต้นก็เป็นภาพของกสิณต้น ก็คือ ธาตุนั้นๆ วรรณะนั้นๆ พอเข้าสู่อุคหนิมิต ภาพของกสิณทุกกองก็มีสภาวะเสมอกัน ก็คือ กลายเป็นดวงแก้วสว่าง 

จากดวงแก้วสว่างที่เรียกว่า “อุคหนิมิต” ก้าวเข้าสู่สภาวะที่ละเอียดสูงขึ้นก็เรียกว่า “ปฏิภาคนิมิต”  คราวนี้ปฏิภาคนิมิต ก็คือ เห็นภาพนิมิตในจิตหรือกำหนดภาพนิมิตในจิตกลายเป็นเพชรระยิบระยับ มีความแพรวพราวระยิบระยับ 

ส่วนที่ 1 คือเข้าใจว่าการกำหนดภาพเป็นเพชรระยิบระยับพร้อมกับแสงสว่างจากภายในดวงจิตที่เป็นเพชรนั้น มีเส้นแสงแผ่กระจายออกไปรายรอบ 360 องศา เป็นเส้นแสงสว่าง มีรัศมีตามกำลังที่เราทำได้ เช่น มีรัศมีออกไป 1 ศอกบ้าง 1 วาบ้าง 2 วาบ้างหรือมีรัศมีเป็นเส้นแสงคลุมออกไปทั้งห้องบ้าง คราวนี้พอพ้นจากขอบเขตรัศมีของเส้นแสง รัศมีของเส้นแสงที่เลยออกไปก็เป็นสภาวะความเป็นทิพย์เป็นอาณาบริเวณรายรอบ สภาวะเหมือนกับสิ่งที่รายรอบอาณาบริเวณนั้น มันมีความพร่างพราย มีความเหมือนกับกากเพชรโปรยปรายระยิบระยับลงมา อันนี้ก็คืออาณาบริเวณที่พ้นจากรัศมีของจิต ภาพสภาวะที่เราปรากฏทรงสภาวะของภาพ คือ ภาพนิมิตของปฏิภาคนิมิตนั้น คราวนี้มันมีอารมณ์จิตอารมณ์กรรมฐานที่สัมพันธ์กับภาพนิมิต คือ ยิ่งจิตเป็นประกายพรึกแพรวพราวมากเท่าไร จิตเรายิ่งรู้สึกเปี่ยมพลัง ความรู้สึกที่เปี่ยมพลัง มันจะมาสัมพันธ์กับกำลังที่ขับรัศมีเส้นแสงของจิตให้เปล่งประกายเปล่งความชัดเจนเปล่งแสงสว่าง ยิ่งสว่างมากยิ่งเปล่งประกายมาก จิตยิ่งเปี่ยมพลัง จิตยิ่งเปี่ยมความรู้สึกเอิบอิ่มเป็นสุขเต็มที่ตามไปด้วย คราวนี้เมื่อทั้งภาพชัดเจนแจ่มใสทั้งความรู้สึกสภาวะเปี่ยมพลังของจิต สภาวะความเป็นทิพย์แพรวพราว ความรู้สึกว่าจิตของเรานั้นเป็นเพชรระยิบระยับอย่างยิ่งเป็นสุขอย่างยิ่ง ขั้นต่อไปก็คือทรงสภาวะทรงอารมณ์ ทรงภาพทรงนิมิตความเป็นทิพย์ของจิตนั้น พร้อมกับความรู้สึกรู้ตื่น ว่าจิตของเรานี้เข้าถึงจิตเดิมแท้อันเป็นประภัสสร 

ปฏิภาคนิมิต นั้นจริงๆก็คือ จิตเข้าถึงความเป็นประภัสสรด้วยไปในตัว ปราศจากกิเลสในขณะที่เราทรงอารมณ์กสิณเป็นปฏิภาคนิมิตจิตประภัสสร จิตก็ว่างจากกิเลสด้วยกำลังของฌานสมาบัติด้วยกำลังอำนาจของกสิณ ปราศจากนิวรณ์ปราศจากโลภโกรธหลง จิตก็ทรงอารมณ์อยู่กับภาพนิมิตกสิณนั้นพร้อมกับสภาวะที่จิตเปี่ยมพลังความผ่องใสความเป็นสุข อันนี้ยิ่งฝึกจนเข้าสู่สภาวะความเป็นทิพย์ปรากฏ อภิญญาจิตก็จะเริ่มปรากฏในช่วงที่เราทรงอารมณ์ของกสิณนี้ได้ ยิ่งการทรงสภาวะจิตประภัสสรทรงตัวมากเท่าไร แค่นึกสิ่งที่นึกในสภาวะจิตนี้ก็จะกลายเป็นจริงกลายเป็นความสำเร็จ นึกปรารถนาสิ่งใดก็เกิดเป็นความสำเร็จ นึกคิดขอให้ฝนไม่ตกฝนก็จะไม่ตกตามนั้น อันนี้ก็เป็นกำลังของความเป็นทิพย์ อันนี้ฝึกไปจนเกิดผลเมื่อไร นึกถึงเพื่อนเพื่อนก็โทรมาหาติดต่อมา ฝึกจนกระทั่งเกิดผลเป็นปัจจัตตัง เราก็จะรู้ของเราได้ 

คราวนี้สิ่งสำคัญก็คือเมื่อเกิดผลของอภิญญาจิตนั้น เราต้องจำอารมณ์ว่า ในขณะที่ผลลัพธ์ปรากฏเกิดขึ้นผลของอภิญญาเกิดขึ้น เราทรงอารมณ์อย่างไรแล้วก็พยายามจำอารมณ์นั้นไว้ การจดจำอารมณ์นั้นเรียกว่า “การปักหมุด” คือจดจำอารมณ์ให้ได้ พอทำได้คราวนี้มันก็จะทำซ้ำได้ไม่ใช่ทำได้เพียงครั้งเดียวแล้วก็ไม่เกิดอีกเลย อันนี้ถือว่าเป็นแค่ชิมลาง แต่ถ้าจะให้ทรงเป็นสมาบัติต้องทำจนเกิดผลให้ได้เป็นปกติสม่ำเสมอ อันนี้ก็คือสิ่งที่เป็นแนวทางของการปฏิบัติที่ของจริงเขาปฏิบัติกันแบบนี้ คราวนี้เมื่อทรงอารมณ์ความเป็นประภัสสรของจิต ตอนนี้ก็ให้เราทรงอารมณ์ไว้ ความรู้สึกเปี่ยมพลังจิตเปล่งประกาย จิตสว่างแพรวพราวระยิบระยับเส้นแสงมีขอบเขตรัศมีกว้างไกล เลยพ้นออกไปมีสภาวะความเป็นทิพย์พร่างพราย จิตเอิบอิ่มดื่มดำเป็นสุขอยู่ในฌานสมาบัติในกสิณจิต จิตเป็นประกายเปี่ยมพลัง ทรงความเป็นทิพย์  ทรงภาพทรงสภาวะไว้ อันนี้คือฐานที่เราปฏิบัติด้วยกำลังสมาธิการฝึกฝนความพากเพียรของเรา

คราวนี้พอถึงขั้นที่ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าพระอริยสงฆ์สั่งสอนถ่ายทอดสืบต่อกันมา ท่านก็ให้กำหนดจากจิตของเราก็กำหนดเป็นองค์พระ อันนี้ในทุกวิชชาไม่ว่าจะเป็นกรรมฐานของหลวงพ่อฤาษีพระราชพรหมยาน หรือวิชชาธรรมกายของหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ หรือแม้แต่วิชชากรรมฐานการทรงภาพพระห้าองค์ห้าฐาน เวลาที่เรากำหนดจากดวงแก้วก็เปลี่ยนอาราธนาขอพุทธบารมีของพระพุทธองค์ไว้เป็นภาพพุทธนิมิต คราวนี้จากจิตที่เป็นดวงแก้วใสก็กลายเป็นองค์พระเป็นเพชรสว่าง ฉัพพรรณรังสีแผ่สว่างกระจายออกไปอีก มีความเป็นทิพย์ กำหนดเรามีพระเป็นสรณะอยู่ในจิตเป็นองค์พระภายใน อธิษฐานขอให้เกิดความสำเร็จ นึกคิดสิ่งใดจิตเราทรงภาพพระเป็นเพชร เพชรทั้งองค์สว่างระยิบระยับแผ่ฉัพพรรณรังสีพุทธบารมีของพระพุทธองค์แผ่สว่างกระจ่าง ใจเอิบอิ่มเป็นสุข คราวนี้ก็ให้เราทรงภาพองค์พระไว้ อธิษฐานวสี “ขอให้เห็นภาพองค์พระสว่าง นับแต่นี้ทรงภาพภายในอกก็ดี ทรงภาพพระสามฐานก็ดี ทรงภาพพระห้าพระองค์ก็ดี ขอให้ข้าพเจ้าทรงกำลังของพุทธานุสติทรงภาพพระได้ชัดเจนแจ่มใสมีกำลังแห่งพุทธานุภาพเต็มกำลัง ลืมตาหลับตาทรงภาพพระได้ชัดเจน นึกคิดสิ่งใดสำเร็จสมปรารถนา สามารถที่จะมีครูบาอาจารย์ภายใน ก็คือ มีบารมีของพระพุทธองค์เมตตาสงเคราะห์ถ่ายทอดธรรมโดยตรงในจิตของเราได้” จริงๆจุดนี้คือจุดสำคัญที่สุดของการปฏิบัติธรรม 

การที่เราปฏิบัติเจริญพระกรรมฐาน คนที่พิจารณาธรรมด้วยกำลังของเราเองกับคนที่มีกระแสธรรมถ่ายทอดโดยตรงจากพระพุทธองค์ ถ่ายทอดโดยตรงจากครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอริยเจ้าเป็นพระอริยะสงฆ์แม้ท่านจะนิพพานนานแล้วก็ตาม การถ่ายทอดธรรมโดยตรงด้วยกำลังของพุทธบารมีพุทธานุภาพหรือสังฆานุภาพ จะเป็นการถ่ายทอดธรรมจากจิตสู่จิต กระแสธรรมที่เราได้รับรู้ปรากฏผุดรู้ขึ้นมาในจิต ถ้าคนที่เข้าถึงสภาวะนี้ เราจะพบว่าธรรมที่ปรากฏขึ้นในจิตนั้น มีความละเอียดลึกซึ้งสุขุมเกินกว่าปัญญาที่เราคิดเองพิจารณาเองเป็นอย่างมาก และธรรมที่ปรากฏขึ้นในจิตนั้นจะตรงกับวาระตรงกับการแก้ไขสิ่งที่ติดขัดหรือกิเลสที่มันปรากฏขึ้นผุดขึ้นในจิตเราขณะนั้น ดังนั้นการที่เรามีครูบาอาจารย์ภายในหรือบางครั้งก็เรียกว่ามีครูบาอาจารย์ที่เป็นกายทิพย์มาสอน บางคนเกิดสภาวะเป็นกำลังของมโนมยิทธิเห็นภาพท่านเช่นพระพุทธองค์ปรากฏและสอนโดยตรง เห็นภาพพระอรหันต์หรือครูบาอาจารย์ปรากฏองค์และมาสอนโดยตรง อันนี้ก็เรียกว่ามีครูบาอาจารย์ที่เป็นกายทิพย์มาสอน นับรวมลงมานับตั้งแต่สมเด็จองค์ปฐมพระพุทธองค์สมเด็จองค์ปัจจุบันลงมาถึงครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์ บางท่านบางคน พระมหาโมคคัลลานะมาสอนบ้าง พระสารีบุตรมาสอนบ้าง หรือบางครั้งครูบาอาจารย์หลวงพ่อฤาษีมาสอนหลวงปู่ปานมาสอน อันนี้แล้วแต่วาสนาบารมีที่มีความเกี่ยวเนื่องเกี่ยวพันกับท่าน แต่ละองค์แต่ละคนจะมีความแตกต่างกัน ส่วนบุคคลนั้นไม่ปรากฏองค์พระหรือเป็นรูปลักษณ์กายทิพย์ของครูบาอาจารย์มาสอนในจิต แต่จิตกำลังพิจารณาทำสิ่งใดก็ปรากฏอาการที่เรียกว่าผุดรู้ ผุดรู้ขึ้นมาในจิตมีเสียงทิพย์ขึ้นมาในจิต อันนี้ก็ถือว่ากระแสธรรมผุดรู้ขึ้นมาในใจ บางคนก็เรียกว่าคุรุภายในบ้าง เรียกว่าธรรมที่ผุดรู้ขึ้นมาจากจิต เรียกว่าธาตุรู้บ้าง อันนี้ก็แล้วแต่ แต่สิ่งสำคัญก็คือ ถ้าธรรมที่ปรากฏผุดรู้ขึ้นมาในจิตนั้นสามารถนำมาใช้ได้จริง คือ แก้ไขสลายดับกิเลสได้ พิจารณาทำให้จิตเราเกิดความก้าวหน้าเจริญในธรรมได้ จะเรียกว่าอย่างไร สภาวะอย่างไรก็ถือว่าเป็นธรรมที่ใช้การได้ แล้วก็ถือว่าเรามีสตินักเนื่องอยู่ในธัมมานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน ธรรมผุดรู้ กิเลสปรากฏขึ้น ธรรมผุดรู้ดับ ธรรมผุดรู้พิจารณา

อันนี้บางครั้งถ้าพูดตามคนที่มีสภาวะความเป็นทิพย์ มีกำลังของอภิญญา มีกำลังของมโนมยิทธิ บางครั้งบางสภาวะเราไม่ได้กำหนดเห็น แต่ท่านมาถ่ายทอดแต่เป็นเสียงผุดรู้ขึ้นมาในจิต แต่บางครั้งถ้าคนหรือบุคคลที่สามมีกำลังมโนมยิทธิสูงก็อาจจะเห็นว่ามีท่านนั้นท่านนั้นมีพระพุทธองค์เมตตามาสอนคนนี้อยู่ แต่คนนี้เขาบังเอิญไม่เห็น แต่เป็นกระแสเสียงที่ผุดรู้ผุดได้ยินขึ้นมาในจิต อันนี้อาจจะไม่สำคัญเท่าเนื้อธรรมที่ปรากฏมาแก้มาดับกิเลส ถ้าเห็นด้วยก็ดี คือ เห็นด้วยว่าองค์ใดท่านมาโปรดมาสงเคราะห์ 

ข้อดีของการที่เราเห็นว่าองค์ใดมาโปรดมาสงเคราะห์ก็คือ 

1. ทำให้เราสำนึกรู้มีความกตัญญูกตเวทิตาต่อครูบาอาจารย์ต่อท่านที่มาสอนมาโปรด 

2. มีความรู้สึกอบอุ่นใจว่าครูบาอาจารย์สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านยังเมตตายังมาสงเคราะห์เราอยู่ ก็คือ เรามีความดีพอที่ท่านจะมาสงเคราะห์ 

ข้อที่ 3 ประโยชน์ของการที่เห็นว่าท่านใดมาสอน ก็คือ ทำให้เรานั้นสลายลดมานะทิฐิ ไม่เช่นนั้นบางทีธรรมผุดรู้ขึ้นมาในจิตเราคิดว่าเราเก่ง กลายเป็นมานะทิฐิ คราวนี้เมื่อเรารู้ว่าประโยชน์ของการที่เห็นว่าท่านใดมาโปรด เราก็สามารถที่เพิ่มเสริมในจิตของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีกำลังมโนมยิทธิ คือ พอธรรมผุดรู้ขึ้นมาในจิตปุ๊บ เรากำหนดจิตขอบารมีพระ ถามว่าเป็นท่านใดที่เมตตามาสอนมาโปรด ขอให้ปรากฏให้เรารู้ว่าเป็นองค์ใด ให้ท่านแสดงขึ้นมา ซึ่งตรงนี้ถ้าเราสังเกตในธรรมะที่พระพุทธองค์ท่านเมตตามาโปรดมาสอนหลวงพ่อพระราชพรหมญาณหลวงพ่อฤาษี ท่านเวลาที่ได้ยินเสียงหรือว่ามีกระแสธรรมเข้ามา ท่านจะกำหนดดูเสมอว่าเป็นองค์ใดเป็นท่านใดมาโปรด ดังนั้นเราก็เดินตามรอยท่าน นอกจากเราอยู่ในช่วงที่กำลังติดพันในการพิจารณาในวิปัสสนาญาณ เราก็อาจจะพิจารณาธรรมต่อเนื่องไป แต่ถ้าจะให้ดีก็คือให้รู้ให้เห็นด้วยว่าท่านใดมาโปรดมาสงเคราะห์

กำลังในการพิจารณาในการเจริญพระกรรมฐานเจริญวิปัสสนาญาณ ถ้าหากกำลังมโนมยิทธิของเรามีปรากฏชัดเจน และเราสามารถยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพานได้ ถ้าอยากปฏิบัติให้ก้าวหน้าเร็วขึ้นไปอีกก็ให้เราตั้งกำลังใจยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพาน กำหนดจิตตอนนี้ก็ให้เราทำเลย คือ ขอบารมีพระเห็นภาพองค์พระสว่างผ่องใสอย่างยิ่ง ขอบารมีท่านสงเคราะห์ยกจิตข้าพเจ้าขึ้นไปบนพระนิพพานปรากฏอาทิสมานกายเป็นกายพระวิสุทธิเทพอยู่บนพระนิพพาน เมื่อเรากำหนดจิตขึ้นไปเป็นกายพระวิสุทธิเทพบนพระนิพพานกราบพระให้เรียบร้อย พอกราบเรียบร้อยแล้วเรากำหนดจิตตัดภพจบชาติ คือ ตัด พิจารณาว่าความเป็นมนุษย์เราไม่ปรารถนา ความเป็นเทวดาเราไม่ปรารถนา ความเป็นพรหมความเป็นอรูปพรหมเราไม่ปรารถนา เราปรารถนาจุดเดียวคือพระนิพพานเป็นที่สุด

พอเราตัดภพแล้ว คราวนี้นอกเหนือจากการที่เราจะพิจารณาในอารมณ์การตัดสังโยชน์ 10 การเสวยวิมุตติสุขบนพระนิพพาน คราวนี้บางครั้งเราไม่รู้จะพิจารณาอะไร เราก็ตั้งจิตอธิษฐานเลย ขอท่านที่มีบุญวาสนาเป็นครูบาอาจารย์ของข้าพเจ้า จะเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่ยุคสมัยพุทธกาลก็ดี เป็นพระอสีติมหาสาวกก็ดีหรือพระพุทธองค์เองก็ดี ขอให้ท่านเมตตามาปรากฏมาสอนพระกรรมฐานที่ตรงกับวาระจิต ตรงตามจริต ตรงตามวาสนาบารมีของข้าพเจ้า แล้วก็กำหนดสักพักหนึ่งท่านเมตตาปรากฏ เราก็ตั้งจิตฟัง เป็นธรรมที่เฉพาะเจาะจงตรงกับจิตของเราโดยตรง อันนี้ก็ให้เราปฏิบัติเลย

ในขณะเดียวกันมีบางบุคคลที่ปรารถนาพุทธภูมิ ถ้าพุทธภูมินี้ส่วนใหญ่คู่ปรับ คำว่าคู่ปรับก็คือท่านที่สามารถสงเคราะห์พุทธภูมิได้ดีที่สุดก็คือพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมเด็จองค์ปฐม ท่านถือว่าเป็นพุทธบิดาของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ เราก็กำหนดจิตถ้าคนใดเป็นพุทธภูมิ เราก็อธิษฐาน ขอท่านทั้งหลาย มีสมเด็จองค์ปฐม มีพระพุทธเจ้าตั้งแต่อดีตกาลจนถึงองค์ปัจจุบันพระโพธิสัตว์ที่มีบารมีสูง ขอเมตตามาสงเคราะห์แนะนำข้าพเจ้าในการสร้างในการบำเพ็ญบารมี การบำเพ็ญบารมีในจุดใดในสิ่งใดที่จะทำให้การโปรดการสงเคราะห์สรรพสัตว์ของข้าพเจ้าเร็วขึ้นตรงจุดขึ้นเกิดผลสูงขึ้น หรือแม้กระทั่งกิจใดที่พระพุทธองค์ทรงโปรดที่จะให้ข้าพเจ้าได้เกื้อกูลสงเคราะห์สรรพสัตว์ ก็ขอให้ท่านเมตตามีพุทธะบัญชามาเป็นงานโดยตรง อย่างตอนนี้งานที่เป็นงานที่ข้างบนเบื้องบนท่านสงเคราะห์ตรงกันกับครูบาอาจารย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ที่รับกระแสพุทธะบัญชามาตรงกันก็คือ ท่านค่อนข้างจะเร่งรัดที่จะให้ถ่ายทอดแนะนำการปฏิบัติเพื่อให้พุทธบริษัทสี่เข้าถึงความเป็นอริยเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งอย่างน้อยที่สุดพื้นฐานคือความเป็นพระโสดาบันให้ได้มากได้เร็วที่สุด

อีกกิจหนึ่งก็เป็นกิจที่ท่านและหลายองค์พยายามที่จะถ่ายทอดให้ผู้ที่สนใจในการปฏิบัติเจริญพระกรรมฐาน ได้อภิญญาสมาบัติ อันนี้เป็นเรื่องที่เป็นการเตรียมการเข้าสู่ยุคชาววิไล เข้าสู่ยุคอภิญญาใหญ่ อันนี้เป็นสิ่งที่ท่านมีพุทธบัญชามา  ในระหว่างนี้ก็ให้เราตามวิสัยจะสาวกภูมิหรือพุทธภูมิ ตั้งจิตจำเพาะเจาะจงอาราธนาบารมีครูบาอาจารย์ ขอมาโปรดมาสงเคราะห์มาสอนจำเพาะเจาะจงโดยตรงกับจิตของเราแต่ละบุคคล ณ กาลบัดนี้เดี๋ยวนี้ด้วยเถิด 

จากนั้นเรียนกำหนดรู้ของเราเอง ประคองว่าเราอยู่บนพระนิพพาน อาราธนาบารมีขอให้ครูบาอาจารย์ที่ท่านมาสงเคราะห์ปรากฏองค์สภาวะกายทิพย์อยู่เบื้องหน้ากายพระวิสุทธิเทพของเรา สอนธรรมให้ธรรมเรา

กำหนดน้อมจิต ขอกระแสธรรมหลั่งไหลลงสู่จิต ประโยชน์ก็คือ เป็นการฝึกฝนให้เราประคองสภาวะกายทิพย์อยู่บนพระนิพพานให้มีความเสถียรให้ทรงตัวอยู่บนพระนิพพานได้นานไปในตัวพร้อมกัน หรือแม้แต่บางคนตอนนี้เป็นครูสมาธิ เราก็น้อมถามวิธีการในการฝึกในการสอนในการสงเคราะห์ ปัญหาอุปสรรคที่พบเจอว่าควรจะทำอย่างไรสอนอย่างไรแนะนำอย่างไร เราก็พิจารณาฟังจากครูบาอาจารย์ที่เป็นกายทิพย์ พิจารณาใคร่ครวญธรรมไปด้วย ว่าสิ่งที่ผุดรู้สิ่งที่ท่านสอนนั้นมีเหตุมีผลไหม พิจารณาไตร่ตรองไปปฏิบัติแล้วเกิดผลจริงไหมตลอดเวลาตามหลักกาลามสูตร ครูบาอาจารย์หลายๆท่านหรือคนที่ปฏิบัติจนเกิดผล หลายคนไม่ว่าจะทำสิ่งใดก็ถามพระตลอดเวลา

อันที่จริงเคล็ดวิชชาสูงสุดของมโนมยิทธิ ก็คือ ถามพระ ขอบารมีพระ จำไว้ ถามพระขอบารมีพระ จะทำอะไรให้ปรากฏผลจะให้เกิดผลเป็นอภิญญาก็ขอบารมีพระ อยากรู้ในธรรมกระแสธรรม ก็ถามพระ อันที่จริงก็สามารถถามได้ตลอด ถามได้ในทุกสิ่ง ถ้าเข้าใจแล้วก็มีความฉลาด เราก็คิดพิจารณาได้ว่าตราบที่เรายังถามพระ ตราบที่เรายังขอบารมีพระ ก็แปลว่าเราทรงอารมณ์อยู่กับพระพุทธองค์อยู่กับพระพุทธเจ้า เรายังมีความนอบน้อม เราไม่ใช้กำลังของเราเอง ดังนั้นยิ่งใช้ยิ่งเชี่ยวชาญยิ่งลึกซึ้งยิ่งละเอียด 

ตอนนี้เราเรียนกับครูบาอาจารย์ที่เป็นกายทิพย์ กำหนดจิตถามขึ้นมาในจิตบ้างก็ได้ บางคนที่คำตอบผุดขึ้นมาในจิตช้า เราก็วางอารมณ์ใจสบายๆ อย่าไปรีบอย่าไปเร่ง ถามแล้วสงบ สบาย ยิ้ม แล้วธรรมจะผุดขึ้นมา พอถามพระขอบารมีพระได้คล่องตัวมากเท่าไร  มโนมยิทธิก็ยิ่งมีความคล่องตัวตามไปด้วย เรียกว่าถามปุ๊บรู้ปั๊บถามปุ๊บรู้ปั๊บรู้ตลอดเวลา ติดต่อเชื่อมโยงอยู่กับบนพระนิพพานได้ตลอดเวลา ลืมตาทำได้ หลับตาทำได้ คนบนโลกมนุษย์ถามมาเราตอบโดยกระแสของพระที่ท่านสงเคราะห์ได้ทันทีจนกลายเป็นว่าใช้กำลังมโนมยิทธิโดยไม่ต้องตั้งท่า หรือบางคนมีความรักมีความเคารพในครูบาอาจารย์องค์ใด ก็ขออาราธนาท่านมาปรากฏมาสอนโดยตรงก็ได้ บางคนรักหลวงพ่อฤาษีมากก็ขอให้ท่านมาปรากฏ ขอให้ท่านมาสอนให้ท่านมาสงเคราะห์ หรือบางคนสวดบทพระจักรพรรดิ มีความเคารพหลวงปู่ดู่มาก แต่ไม่ทันองค์ท่าน ก็อธิษฐานขอให้ท่านมาปรากฏแล้วเราก็กราบแทบเท้า มากราบท่านที่ตัก มากอดท่าน มาอาราธนาถามธรรมะ ถามการปฏิบัติ สวดมนต์กับท่านหรือนั่งสวดมนต์ถวายท่าน 

เมื่อสมควรแก่เวลาแล้วก็ขอกำหนดจิต กราบลาทุกท่าน ครูบาอาจารย์ที่ท่านมา บางคนเมื่อสักครู่อาราธนาแล้วก็เห็นแต่องค์ท่าน แต่การสนทนาการคุยกับท่านยังทำไม่ได้ ก็มี บางคนกว่าจะผุดรู้ขึ้นมามีอาการช้าบ้าง บางคนก็ปรากฏมีความชัดเจนคล่องตัวสามารถสนทนาน้อมจิตให้ท่านถ่ายทอดธรรมะให้ บางคนก็ไม่ได้มาองค์เดียว มาองค์นี้แล้วก็เป็นองค์อื่นมีหลายองค์ที่มาสงเคราะห์ อันนี้เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล แต่ถ้าเรามีความขยันมีความเพียรขยันปฏิบัติขยันฝึก จำไว้ว่าในประวัติของหลวงพ่อฤาษีท่านทรงภาพพระอยู่นานอยู่ประมาณ 2 ปี นั่งดูภาพพระยิ้ม ใจก็ยิ้มอิ่มเป็นสุข จนกว่าจะคุยกับพระท่านได้ใช้เวลา 2 ปี ของเราบางคนฝึกได้มาถึงจุดนี้แล้วก็ถือว่ารวดเร็วมาก คนที่ยังไม่ได้ก็นึกเอาว่าหลวงพ่อยัง 2 ปี เราก็ต้องทรงภาพพระขยันทรงภาพพระ ยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพาน ขยันเข้าขยันเข้าในที่สุดเดี๋ยวเราก็สามารถที่จะสนทนากับพระท่านได้

คราวนี้เมื่อกราบลาแล้วก็กำหนดน้อมจิต วันนี้ก็มีเรื่องเล่าแถมอีกเรื่องหนึ่ง เป็นเรื่องของกุศลความดี เรื่องของคนมีบุญ การที่เราจะเป็นคนมีบุญได้ ก็คือ การที่เรารู้จักทำทาน รู้จักรักษาศีล  รู้จักเจริญสมถะพระกรรมฐาน เจริญวิปัสสนาญาณ รู้จักบาปบุญคุณโทษ และก็ถือว่าเราเป็นคนมีบุญ มาปฏิบัติถึงจุดนี้ได้ก็ถือว่าเราเป็นคนมีบุญ มีความเข้าใจในสัมมาทิฐิได้ก็ถือว่าเป็นคนมีบุญ 

คราวนี้ก็จะยกตัวอย่างบุคคลหนึ่ง อันนี้ก็ขออนุญาตพาดพิงแต่เป็นเรื่องที่ดี อันนี้อาจารย์ก็ถามเนื่องจากมีเหตุการณ์ปรากฏขึ้น เหตุการณ์ปรากฏขึ้นสืบเนื่องจากการจัดงานเมตตาสมาธิครั้งที่สี่  ปรากฏว่าท่านเจ้าภาพที่ตั้งจิตปวารณาเป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหารบุคคลทุกคนที่มาในงาน ก็ร่วมบุญมาทั้งหมดเป็นจำนวนปัจจัยทั้งหมดจริงๆรวมก็สี่หมื่นบาท ปวารณาเลี้ยงอาหารแต่คราวนี้หลังเหตุการณ์ที่ปรากฏก็คือ ลาภที่ได้กลับมากลายเป็นว่าถวายทานให้ทาน ปรากฏว่าถูกลอตเตอรี่ทั้งหมด 120 ใบ รับไปประมาณ 2 แสนบาท อันนี้ก็ถือว่าบุญส่งผลค่อนข้างจะทันใจ คนก็สงสัยว่าอ๋อถวายทานเป็นค่าอาหารกลางวันเลี้ยงคนทุกคนที่มาเจริญพระกรรมฐาน ผลได้ทันใจมาก แต่คราวนี้มันมีเรื่องราวภายหลังที่ซ่อนอยู่ในเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดผลเกิดมหาลาภเกิดขึ้น นั่นก็คือเจ้าภาพที่เลี้ยงอาหารบังเอิญนั่งอยู่แถวหน้า แล้วปรากฏว่ารถที่มาส่งอาหารมันเกิดประสบอุบัติเหตุมีการเฉี่ยวชน มาส่งช้า ผลก็คือเจ้าภาพที่เลี้ยงอาหารกลับไม่ได้ทานอาหารกลางวัน เราลองนึกเอา บอกเราอุตส่าห์ทำบุญมาแล้วกลายเป็นว่าเราไม่ได้ทานข้าว แต่คราวนี้สิ่งที่กลายเป็นปรมัตถ์บารมีในทาน นั่นก็คือท่านเจ้าภาพเธอรักษากำลังใจ  อันนี้มาคุยกับอาจารย์หลังไมค์ มาคุยให้ฟังว่าไม่เป็นไร เราเลี้ยงอาหารทุกคนแต่ว่าเราไม่ได้กินก็ไม่เป็นไร ไม่มีอาการขุ่นเคือง ไม่มีอาการเศร้าหมอง กลายเป็นว่าตัด เราไม่ได้กินแต่คนอื่นเขามาปฏิบัติพระกรรมฐานเขาได้กินอิ่มได้กินดี พอกำลังใจเป็นแบบนี้ปุ๊บมันเลยกลายเป็นปรมัตถ์บารมีขั้นที่ 1 ขั้นที่ 2 ต่อมาก็คือทานอาหารที่เลี้ยง เลี้ยงภายหลังจากคนที่เขามาปฏิบัติ คนปฏิบัติเกือบ 200 คนรวมทั้งเจ้าหน้าที่จริงๆ Staff ทุกคนก็ไม่ได้ทานอาหารกลางวัน ต้องมาทานภายหลังจากจบงานคือช่วงบ่าย แต่คราวนี้จำนวนคนเกือบ 200 คน ส่วนใหญ่ที่มาปฏิบัติได้ฌานกันเกือบทุกคนมีแค่เด็กน้อยที่อาจจะยังไม่เข้าใจยังได้ไม่เต็มที่ เจริญเมตตาฌานได้เกือบทุกคน ทรงอารมณ์จิตในกสิณจิตความเป็นทิพย์ได้เกือบทุกคน ยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพานได้เกือบทุกคน แล้วรวมที่สุดหลายคนที่มาปฏิบัติจากไม่เคยตั้งจิตปรารถนาพระนิพพานก็ยกมือตั้งจิตปรารถนาพระนิพพานชาตินี้ ดังนั้นผลของการปฏิบัติ ผู้ที่มาปฏิบัติมีความสะอาดของจิตความบริสุทธิ์ของจิตแถมมีจำนวนมาก พอเลี้ยงอาหารมื้อนั้นไปปรากฏผล บางคนเริ่มตั้งอารมณ์จิตเข้าสู่ความเป็นโสดาปัตติมรรค คือเข้าสู่กระแส ดังนั้นทานนี้จะมีผลสูงอานิสงส์สูง เท่ากับ 

1. ถวายปัจจัยเป็นจำนวนที่สูงซึ่งต้องใช้กำลังใจ 

2. ถึงแม้ตัวอดแต่จิตมีความยินดีที่ผู้อื่นเขาได้ทานเขามาปฏิบัติธรรมแล้วก็ได้ทานอิ่มมีความสุข 

3.ทานที่ถวายไม่ได้ให้เป็นอาหารกลางวันเป็นทานที่ให้กับคนที่ไม่มีศีล แต่เป็นคนที่ปฏิบัติและเข้าถึงสภาวธรรม ในขณะที่ทานเชื่อว่าหลายคนก็ยังทรงอารมณ์ คือยังมีอาการที่ค้างจากอารมณ์พระกรรมฐานอยู่ ดังนั้นก็ทานไปด้วยอารมณ์ที่มีความสงบมีความเบามีความผ่องใสของจิต เท่ากับผลอานิสงส์มันเกิดหลายชั้น ดังนั้นทานนี้จึงเกิดผลอานิสงส์ ซึ่งตรงนี้จริงๆอาจารย์ก็ถามพระท่าน ทำไมเขาถวายทานแล้วเขาได้ลาภใหญ่ทันทีทันใจ ท่านก็แจงมาให้ฟังดังที่กล่าวมาอธิบายต่อ ดังนั้นก็ขอโมทนาสาธุกับท่านเจ้าภาพอาหารด้วย แถมที่สุดวันนี้ท่านเจ้าภาพก็ประกาศออกมาว่า อาจารย์คะครั้งต่อไปขอจองเป็นเจ้าภาพต่อเลย วันนี้ก็ขอโมทนาในกำลังใจด้วย ก็ขอให้รวยขอให้คล่องตัวยิ่งๆขึ้นไป อันนี้ก็กลายเป็นคนที่ปฏิบัติจนมีกำลังใจเข้มแข็งมีบุญ อันนี้ก็เตรียมพร้อมที่จะกลายเป็นมหาอุบาสกมหาอุบาสิกาไป อันนี้ก็เล่าให้เป็นกำลังใจกับคนอื่นต่อ

คราวนี้เรายังทรงอารมณ์อยู่บนพระนิพพาน เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่เราปฏิบัติธรรมเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เราก็ตั้งจิตรวมใจทรงสภาวะกายของพระวิสุทธิเทพอยู่บนพระนิพพาน ประนมมืออธิษฐานรวมบุญน้อมอาราธนาบารมีของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระธรรมและพระอริยสงฆ์ เทพพรหมเทวา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ขอรวมเป็นกระแสบุญจากพระนิพพาน เป็นแสงสว่างลงมาโดยตรงยังองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอให้บุญส่งผลให้พุทธานุภาพให้กำลังแห่งพระบรมเดชานุภาพปรากฏสว่างกระจายออกไปทั่วโลก ขอกำลังกระแสจากพระนิพพานกระแสบุญหลั่งไหลลงมา น้อมส่งผลยังพระสยามเทวาธิราช พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระหลักเมือง ให้มีกำลัง มีเดช มีฤทธิ์ มีเทพฤทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์ มีบุญฤทธิ์เต็มกำลัง น้อมถวายลงมายังเทวดาผู้รักษาพระเศวตฉัตร เทวดาผู้รักษาพระที่นั่งพระบรมมหาราชวัง พระตำหนัก รวมถึงพระที่นั่ง รถพระที่นั่ง เรือพระที่นั่ง ขอให้เทวดาทั้งหลายปรากฏแห่งบุญฤทธิ์เทพฤทธิ์เต็มกำลัง มีกำลังปกปักรักษาคุ้มครองพระองค์ท่านรวมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ รวมทั่วถึงบุคคลที่ทำงานสนองพระบรมราชโองการ บุคคลที่ทำคุณประโยชน์ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไม่ว่าจะรับราชการ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดา

น้อมกระแสจากพระนิพพานกำลังแห่งพุทธานุภาพลงมายังวัดวาอารามทั้งหลาย เกิดความศักดิ์สิทธิ์ พระพุทธรูปทุกพระองค์ พระธาตุ พระเจดีย์ พระบรมธาตุ พระบรมสารีริกธาตุทุกๆพระองค์ พระธาตุ พระอัฐิธาตุ พระอรหันตธาตุทุกพระองค์ เกิดกำลังแห่งกระแสบุญจากพระนิพพาน เกิดความศักดิ์สิทธิ์ เกิดความอัศจรรย์ ขอกระแสธรรมจากพระนิพพาน กระแสโลกุตรธรรม น้อมรวมลงมาจากพระนิพพาน ลงมายังดวงจิตของพุทธบริษัทสี่ทุกคน ขอให้มีความก้าวหน้าในธรรมเจริญในธรรม บารมีธรรมทั้งหลายเจริญขึ้นยิ่งขึ้นก้าวหน้าขึ้น ใกล้มรรคผลนิพพานมากขึ้น

สำหรับบุคคลที่ยังเป๋อยู่ในมิจฉาทิฐิก็ขอให้พลิกจิตกลับฟื้นคืนสู่ความสัมมาทิฐิ บุคคลใดที่ปฏิบัติธรรมแล้วยังอ้อมยังไกลไปก็ขอให้มุ่งลัดตัดตรงสู่มรรคผลพระนิพพาน น้อมกระแสลงมา อาราธนาลงมา ขอให้เกิดความเจริญรุ่งเรือง ขอให้เข้าสู่ยุคชาววิไลโดยเร็ว ขอให้คนปฏิบัติแล้วเกิดผลแห่งการปฏิบัติธรรม ยิ่งก้าวหน้าในธรรม ยิ่งเข้าถึงมรรคผลโดยเร็ว

กำหนดจิตให้เห็นแสงสว่างเชื่อมโยงจากพระนิพพานลงมายังโลกมนุษย์ กำหนดจิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งใครไปทำบุญวัดใด เป็นอุปัฏฐากดูแลสงเคราะห์วัดใดก็ขอให้วัดนั้นสว่าง ใครทำโครงการล้างวัดล้างใจก็อธิษฐานเชื่อมกระแสลงมา ล้างวัดทำความสะอาดวัด ในขณะเดียวกันก็น้อมกระแสจากพระนิพพานลงมาล้างกระแสมิจฉาทิฐิ ลงมาล้างกระแสหากวัดวาอารามนั้นยังมีสิ่งใดที่ยังไม่ตรงต่อมรรคผล ก็ขอน้อมอาราธนากำลังบารมีพุทธานุภาพลงมาล้างกระแสให้เป็นกระแสสัมมา กระแสสว่าง กระแสแห่งกุศล กระแสแห่งบุญ อธิษฐานย้อนหลังก็ได้นะครับ ทุกที่ที่เราเคยไป ทุกที่ที่เราเคยไปสร้างบารมี ทุกที่ที่เราเคยกราบไหว้ สุดท้ายล้างกระแสด้วยสภาวะแห่งความเป็นทิพย์ ล้างด้วยกระแสแห่งพุทธานุภาพไปพร้อมๆกัน ล้างกระแสแห่งมิจฉาทิฐิ ล้างกระแสแห่งความโลภโมโทสัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลที่ขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งที่ส่งผลต่อบุคคลโดยรวมของชาติ ขอล้างกระแสแห่งการคอรัปชั่น กระแสแห่งความแตกแยก กระแสที่ทำลายล้างประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

ขอกำลังพุทธานุภาพอาราธนาลงมาเต็มกำลังในวาระวันนี้อันเป็นมหามงคล ล้างให้หมด สลายให้หมด กระแสมารกระแสมิจฉาทิฐิกระแสแห่งอกุศลทั้งปวงในจุดที่ส่งผลต่อชาติบ้านเมือง ขอจงล้างจงสลายด้วยกำลังแห่งพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ เทวดาพรหมรวมไปถึงกำลังของบูรพมหากษัตราธิราชเจ้าในอดีตที่บำเพ็ญบารมีลงมา บารมีแห่งพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ขอให้ตำแหน่งหน้าที่ที่ส่งผลกับประชาชนโดยรวม จงเป็นบารมีแห่งพระโพธิสัตว์เจ้า จงมามีกำลังมาอยู่ในจุดที่ช่วยทำนุบำรุงให้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มีความเจริญก้าวหน้า ขอกำลังแห่งพระโพธิสัตว์จงปรากฏ สมดังในอดีตเจตนารมณ์ในสมัยรัชกาลที่ 6 ท่านทำดุสิตธานี ตั้งใจว่าผู้ที่มาเป็นรัฐบาล มามีอำนาจ มาปกครองบ้านเมือง ต้องเป็นพระโพธิสัตว์ จึงตั้งชื่อว่า”ดุสิตธานี” เมื่อพระโพธิสัตว์บริหารบ้านเมืองย่อมปรารถนาให้ประชาชนให้สรรพสัตว์มีความสุขให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ เมื่อไรที่ผู้เป็นใหญ่ผู้ที่เป็นคณะไม่ว่าจะเป็นคณะรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ข้าราชการ มีกำลังใจของพระโพธิสัตว์ เมื่อนั้นก็จะเข้าใจและรับสนองพระบรมราชโองการขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ตรง จิตจำนงก็จะมีแต่ความตั้งใจว่าอยากให้ประชาชนมีความสุขบ้านเมืองมีความเจริญ แต่ทางที่มันตรงกันข้ามก็คือ เปรต ปอบ บุคคลที่เป็นมิจฉาทิฐิ มีความโลภเต็มกำลัง เป็นคนที่ทุรยศขายชาติให้กับต่างชาติขึ้นมาเป็นใหญ่ขึ้นมาปกครองบ้านเมืองก็จ้องแต่จะหาช่องทางที่จะกอบโกยกำไรเข้าสู่ตัว หาช่องทางที่จะเอารัดเอาเปรียบประชาชนหลอกลวงประชาชน เสวยอำนาจ 

ดังนั้นเราตั้งจิตเจตนาด้วยความเป็นทิพย์ ขอบารมีพระพุทธองค์สลายล้าง กำลังบุญนั้นขับล้างดับล้างมิจฉาทิฐิ มารทั้งหลายจงสลายตัวสิ้นกำลังไปด้วยกำลังแห่งบุญกำลังแห่งพุทธานุภาพ ขอให้นับแต่นี้ ตำแหน่งหน้าที่ที่ส่งผลต่อประชาชนส่วนใหญ่ จงเป็นบารมีแห่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย หน้าที่การงานข้าราชการที่ผู้ใหญ่ ขอจงเป็นบารมีพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย หรือแม้แต่ข้าราชการที่ดูแลบริหารในระดับท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต อบจ ผู้ว่า ก็เป็นพระโพธิสัตว์เป็นพุทธภูมิ มุ่งหวังแต่ประโยชน์สุขโดยรวมของประชาชนที่ดูแลในพื้นที่ตรง

น้อมจิตอธิษฐานขอจงเปิดเป็นบารมีเป็นเขตของยุคชาววิไลอันมีพระอริยเจ้ามีพระโพธิสัตว์มาช่วยกันดูแลชาติบ้านเมือง ขอจงเกิดยุคแห่งดุสิตธานี ผู้ดูแลบ้านเมืองเป็นพระโพธิสัตว์เจ้าด้วยเถิด นับตั้งแต่วาระดิถี 72 พรรษาขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัววันนี้ด้วยเถิด ขอพระบารมีจงเปิดปรากฏ ขอพระบรมเดชานุภาพสลายล้างขับอวิชชาขับมารทั้งหลาย ขอให้พระโพธิสัตว์ทั้งหลายมามีกำลังอยู่ในจุดอยู่ในตำแหน่งอยู่ในหน้าที่ที่ยังประโยชน์สูงสุดต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ด้วยเถิด

กำหนดน้อมกระแสจากพระนิพพานลงมาเห็นบ้านเมืองสว่าง กำลังบุญเทวดาสัมมาทิฐิ มีกำลังมีบุญฤทธิ์อิทธิฤทธิ์เต็มกำลัง ขอเทวดาพรหมผู้เป็นสัมมาทิฐิโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสยามเทวาธิราชมีอำนาจ มีบุญฤทธิ์ มีอาญาสิทธิ์ ไม่ผ่อนปรนต่อบุคคลที่คิดร้ายต่อ 3 สถาบันด้วยเถิด 

กำหนดจิตโดยเฉพาะอย่างยิ่งเห็นพระบรมมหาราชวังสว่าง ศาลหลักเมืองสว่าง พระที่นั่งอัมพรสถานสว่าง ปรากฏอิทธิฤทธิ์แห่งพระนารายณ์ทรงฤทธิ์ ขอครุฑจงปรากฏ พญาครุฑทั้งหลายจงมีอิทธิฤทธิ์เป็นพาหนะแห่งพระนารายณ์ที่อวตารลงมา กำหนดน้อมจิตเห็นด้วยความเป็นทิพย์ แล้วช่วยกันเจริญพระกรรมฐาน อาราธนากระแส อาราธนาพุทธานุภาพ กำลังบุญฤทธิ์ลงมาให้กับชาติบ้านเมือง จนเห็นพระบรมมหาราชวังสว่าง จิตกำหนดน้อมเห็นพระแก้วมรกตสว่างกลายเป็นเพชร รัศมีที่แผ่ออกจากพระแก้วมรกตสว่างระเบิดกระจายออกไป สว่างเจิดจ้าอย่างยิ่ง

จากนั้นกำหนดจิตอธิษฐานว่านับแต่นี้ ขอให้ทรัพย์แผ่นดินจงผุดขึ้น ทรัพย์แผ่นดิน ทรัพย์โบราณ ทรัพย์ตั้งแต่อาณาจักรโบราณทั้งหลาย ขอเทวดาผู้พิทักษ์รักษาทรัพย์จงเมตตาให้ทรัพย์ทั้งหลายผุดขึ้น มีสาธุชนคนดีที่เจริญปฏิบัติเจริญพระกรรมฐานมากมายเพิ่มพูนขึ้นในแผ่นดิน มีบุญใหญ่มากมายจากการสร้างพระพุทธรูป มีบุญจากการบูรณะวัดวาอารามทั้งหลายมากมาย มีบุคคลที่ตั้งจิตนิพพานชาตินี้มากมาย ขอให้ทรัพย์ที่อยู่ใต้แผ่นดินนั้นเทวดาผู้รักษาขอเมตตาจงนำขึ้นมาปรากฏในยุคแห่งชาววิไลด้วยกำลังบุญของทุกรูปทุกนาม 

เมื่อเรากำหนดแล้วก็ตั้งจิตว่าการปฏิบัติการเจริญพระกรรมฐานนี้ ข้าพเจ้าปฏิบัติเพื่อมรรคผลพระนิพพานชาตินี้ เพื่อพระโพธิญาณ และกำลังใจของข้าพเจ้าไม่ได้เป็นไปเฉพาะตนแต่เป็นไปเพื่อยังประโยชน์ในปฏิปทาสาธารณประโยชน์ คือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ด้วยกำลังใจนี้ขอความสวัสดีมงคลจงปรากฏกับข้าพเจ้าผู้ปฏิบัติทุกคน ขอเทวดาพรหมโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสยามเทวาธิราชจดจำข้าพเจ้าทั้งหลายไว้ เทพพรหมเทวาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขอเมตตาสงเคราะห์จดจำข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอให้การกระทำในบุญในกุศลในการสร้างบารมีของข้าพเจ้านับแต่นี้จงมีแต่ความคล่องตัวศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์ ไปที่ใดก็สะดวกราบรื่นง่ายดาย ทำสิ่งใดเพื่อประโยชน์ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ก็สะดวกราบรื่นง่ายดายทุกประการด้วยเถิด ขอเทวดาพรหมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไล่ขึ้นไปจนถึงพระนิพพานทุกท่านทุกพระองค์ เมตตาสงเคราะห์ข้าพเจ้าทั้งหลายเต็มกำลังด้วยเถิด

จากนั้นใช้กายทิพย์อาทิสมานกายกราบลาทุกท่านทุกๆพระองค์ ใช้อาทิสมานกายน้อมจิตไปกราบในหลวงรัชกาลที่ 10 พระบรมราชินีนาถ น้อมไปกราบกายทิพย์  ไปกราบแทบเบื้องพระบาท ได้ไหม กราบได้ไหม ท่านยิ้มให้ไหม กราบพระถึงกายทิพย์ท่าน ว่าขอให้กระแสแห่งการเจริญพระกรรมฐานนี้มีความเป็นทิพย์ หลั่งไหลถวายเป็นกำลังพระราชหฤทัย หลั่งไหลลงสู่ดวงพระราชหฤทัยของในหลวงและพระราชินีให้มีกำลังใจที่จะนำพาพสกนิกรเข้าสู่ความเจริญรุ่งเรืองเข้าสู่ยุคชาววิไลได้โดยอัศจรรย์ด้วยเถิด ขอให้เกิดความชุ่มฉ่ำพระราชหฤทัย ความปีติยินดี ขอให้พระองค์ทรงมีรอยยิ้ม มีความเอิบอิ่มและรับรู้ว่ายังมีพสกนิกรอีกจำนวนมากถวายกำลังใจถวายกำลังพระราชหฤทัยให้พระองค์ท่าน ถวายน้อมถวายพระราชกุศลน้อมถวายพระองค์ท่าน กระแสบุญถึงท่านแล้ว พระองค์ท่านสว่างขึ้น ท่านยิ่งมีพระบารมีมากขึ้นเพียงใด กระแสแห่งพระบรมเดชานุภาพก็คุ้มครองรักษาให้ประชาชนทั้งประเทศอยู่เย็นเป็นสุข 

เมื่อถวายแล้วกราบแล้ว คราวนี้ก็กำหนดจิต พุ่งจิตจากพระนิพพานกลับลงมายังกายเนื้อเป็นแสงสว่าง บุญความเอิบอิ่มใจ กระแสบุญจากพระนิพพาน ขอจงส่งผลกับชีวิตของข้าพเจ้านับแต่นี้ให้มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง มีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง กระแสแห่งพระนิพพาน กระแสธรรมฟอกกายเนื้อขันธ์ห้า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ใสเป็นแก้วสว่าง โครงกระดูกใสเป็นแก้วสว่าง  หลอดเลือดเส้นเอ็นใสเป็นแก้วสว่าง อาการสามสิบสองอวัยวะภายในทุกส่วนธาตุทั้งสี่กลายเป็นเพชรกลายเป็นแก้วสว่าง ขอสายบุญสายทรัพย์สายสมบัติของแต่ละบุคคลจงหลั่งไหลลงมาเป็นมนุษย์สมบัติอันจับต้องได้มีความคล่องตัว ทรัพย์บารมีของแต่ละบุคคลขอจงปรากฏจงผุดขึ้น ใช้บำรุงตน ใช้บำรุงครอบครัว ใช้สร้างบารมี  ใช้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาสืบต่อไป

จากนั้นกำหนดจิต โมทนาสาธุกับกัลยาณมิตรที่ปฏิบัติธรรมด้วยกันรวมทั้งที่มาฟังในภายหลัง โมทนาสาธุ จากนั้นกำหนดจิต หายใจเข้าช้าๆ พุท ออกโธ ช้า ลึก ยาว ครั้งที่ 2 ธัมโม ครั้งที่ 3 สังโฆ จากนั้นน้อมจิต ค่อยๆถอนจิตช้าๆจากสมาธิด้วยจิตอันเป็นสุข ด้วยจิตอันอิ่มเอม ว่ากุศลที่เราทำ ยังผลสำเร็จ น้อมถวายตรงถึงองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว เราทำหน้าที่ของเราอย่างดีที่สุด ถวายงานรับใช้ด้วยความเป็นทิพย์ ถวายด้วยความเป็นทิพย์ ทำงานภาคทิพย์อันที่จริงหาคนที่จะทำยาก คนเขาทำทางภาคกายเนื้อ แต่เราทำทางภาคกายทิพย์ ถือว่าเป็นบุญ

สำหรับวันนี้ก็ขออนุโมทนาบุญกับทุกคน โดยเฉพาะหลายคนก็ตั้งใจโดยตรงว่าตั้งใจปฏิบัติเป็นพระราชกุศล แล้วก็ในสัปดาห์หน้าวันอาทิตย์ก็จะเป็นวันที่เราจะถวายมหาสังฆทานที่บ้านสายลม ใครที่สะดวกก็ไปถวายด้วยกันในวันที่ 4 แล้วก็ช่วงบ่ายหลังจากนั้นอาจารย์ก็จะไปสอน จะไปนำสมาธิให้กับโครงการล้างวัดล้างใจที่วัดเดี๋ยวประกาศชื่ออีกทีนะครับที่จังหวัดสมุทรปราการต่อ

สำหรับวันนี้ก็ขอให้เราทุกคนถ้าคนไหนตั้งจิตเขียนแผ่นทองอธิษฐานพระนิพพานพระเจ้าองค์แสนก็พยายามเขียนต่อไปอย่าลืมเขียนกัน อนุโมทนาบุญกับทุกคน พบกันใหม่สัปดาห์หน้า

สำหรับวันนี้สวัสดี

ถอดความและเรียบเรียงโดย คุณ Vilawan

คุณไม่สามารถคัดลอกเนื้อหานี้ได้