green and brown plant on water

น้อมกระแสบุญโปรดสรรพสัตว์เนื่องในวันสารทจีน

เวลาอ่าน : 4 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”

วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม 2567

เรื่อง น้อมกระแสบุญโปรดสรรพสัตว์เนื่องในวันสารทจีน

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม  ผ่อนคลายปล่อยวางร่างกาย กล้ามเนื้อทุกส่วนของเรา จากนั้นพิจารณาปล่อยวางความรู้สึก ความคิด ความห่วง ความกังวลทั้งหลายทางร่างกายของเราก็ดี บุคคลอื่นก็ดี  ภาระหน้าที่ กิจการงานทั้งหลายก็ดี รวมความว่าความกังวล ความห่วงในจิตใจ เราปล่อยวางออกไปจากใจของเรา ณ บัดนี้ ปล่อยวางทั้งกายทั้งจิต ตั้งใจตั้งจิต สำรวมใจของเราเข้าสู่ความสงบ ผ่องใส ปล่อยวาง จดจ่ออยู่กับลมหายใจสบาย ละเอียดอ่อนเหมือนกับแพรวไหมพริ้วผ่านเข้าออกในกาย

ทรงอารมณ์ความสงบ อารมณ์จิตสบาย ลมหายใจปลอดโปร่ง เบาสบาย จิตสงบนิ่ง ผ่องใส

เมื่อเข้าสู่อารมณ์สงบเบาสบาย เป็นอารมณ์แห่งอานาปานสติแล้ว เราก็เริ่มกำหนดรวมจิต นิ่ง หยุด หยุดจิต หยุดความคิด หยุดจิต หยุดการปรุงแต่ง เข้าถึงสภาวะแห่งเอกัคคตารมณ์ นิ่งหยุด สงบ พิจารณาถึงอุเบกขารมณ์ จิตที่ปล่อยวาง ปราศจากการปรุงแต่งทางอายตนะ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส  ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ  เราวางเฉย เราเข้าถึงอุเบกขารมณ์ในตัวนิ่งตัวหยุด 

เรากำหนดจิตต่อมา กำหนด ณ จุดที่จิตของเราหยุด กำหนดจินตภาพเป็นดวงแก้วใสสว่าง  เชื่อมความรู้สึกของนิมิตสัมพันธ์กับอารมณ์จิตเรา  จิต คือ กสิณ – กสิณ คือ จิต ยิ่งดวงแก้วสว่างใสมากเท่าไหร่ อารมณ์ใจเรายิ่งเบิกบานเป็นสุขจากดวงแก้วใสปรากฏขยายขนาดขึ้น ค่อยๆ ปรับเปลี่ยน เกิดความระยิบระยับกลายเป็นเพชรลูก ระยิบระยับแพรวพราว  มีเส้นแสงรัศมี มีกระแสแสงแห่งความเป็นทิพย์ของจิต แผ่สว่างกระจายออก ยิ่งแผ่สว่างกระจายออกมากเท่าไหร่  ใจเรายิ่งเข้าถึงความสุข เข้าถึงความรู้สึกที่เปี่ยมพลังจิต พลังความเป็นทิพย์ของจิต ก่อเกิดสัมพันธ์กับภาพนิมิต อารมณ์ของกรรมฐานสัมพันธ์กับความเป็นทิพย์ ยิ่งภาพนิมิตสว่างใสระยิบระยับมากเท่าไหร่  อารมณ์จิตเรายิ่งรู้สึกจดจ่อตั้งมั่น  ในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าเป็นสุข ความรู้สึกเอิบอิ่ม

ในความนิ่ง จิตที่หยุดอยู่กับดวงแก้ว จิตประภัสสร สว่างประกายพรึก ความรู้สึกเปี่ยมพลัง จิตเกิดการสะสมพลังแห่งจิตตานุภาพ ในขณะที่เราทรงอารมณ์จิตที่เป็นกสิณ เป็นปฏิภาคนิมิตนี้  ทรงอารมณ์ ทรงความรู้สึก ทรงภาพของดวงแก้วที่เป็นประกายพรึกนี้ไว้  จิตอันเป็นประภัสสร ตอนนี้ยังเนื่องดวงแก้วอยู่ภายในกายเรา  สว่าง  รัศมีเส้นแสงของจิตแผ่ทะลุกายเราออกมา และในขณะเดียวกันเราปฏิบัติเชื่อมโยงผูกโยงให้เกิดความก้าวหน้า  ในขณะที่จิตเราเป็นประภัสสรแผ่แสงของรัศมีจิตออก 

เรากำหนดน้อม ว่ากระแสแสงสว่างของรัศมีจิต แผ่แสงสว่างออกไปฉันใด เป็นกระแสแห่งเมตตา เป็นคลื่นแห่งเมตตา เป็นแสงสว่างแห่งเมตตาไม่มีประมาณ ส่องสว่างออกไปพร้อมกับจิตอันเป็นประภัสสร  จิตอันเป็นปฏิภาคนิมิต

ทรงอารมณ์ ความสว่างระยิบระยับแพรวพราวของจิต ทรงอารมณ์ ทั้งในส่วนที่เป็นกระแสแห่งความเมตตานั้น สว่างกระจายออกไป นิ่ง สงบ จิตเอิบอิ่ม สว่าง อิ่มจากความสว่างพร่างพราย ด้วยกำลังของกสิณ จิตเอิบอิ่มเป็นสุขจากกระแสของเมตตาอันไม่มีประมาณ ที่เราแผ่สว่างกระจายออกไป 

จากนั้นกำหนดจิตของเราต่อไป  อธิษฐานจิต รำลึกนึกถึงพระพุทธองค์  กำหนดให้ปรากฏองค์พระ อยู่ภายในดวงแก้วดวงจิต สว่าง พร้อมกับแผ่รัศมี กระแสของความเมตตา สว่างกระจายออกไป

จากนั้นกำหนดจิตอธิษฐาน ขอพุทธานุภาพ กำลังแห่งพระพุทธเมตตา ได้มาสถิตย์อยู่ในจิตของข้าพเจ้า  วันนี้เราปฏิบัติธรรม ตรงกับวันวาระเป็นวันสารทจีน  เป็นวันที่มีการสร้างกุศล โปรดบรรดาสรรพสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดวงจิตดวงวิญญาณของผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก  วันนี้เราก็กำหนดจิต  อธิษฐานขอให้กายของเราจงกลายเป็นแก้วใสสว่าง เป็นกายที่เป็นกายพระวิสุทธิเทพสว่าง

สำหรับท่านใดที่เป็น ผู้ที่ทรงกำลังใจของพระโพธิสัตว์  เราก็กำหนดจิตอธิษฐาน ให้กายทิพย์เรา เป็นกายพระโพธิสัตว์อยู่ในดวงแก้วสว่าง เป็นเพชรระยิบระยับ และในกายทิพย์ของเรา ก็มีองค์พระอยู่ภายในอก จากนั้นกำหนดจิต อธิษฐานด้วยกำลังของพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ  ด้วยกำลังแห่งพระโพธิสัตว์ พระมหาโพธิสัตว์ทุกๆ พระองค์  ขอมารวมตัวกัน ณ จิตของข้าพเจ้า

จากนั้นอธิษฐานจิต ยกจิตของเรา ดวงแก้วทั้งหมดนั้น ลอยขึ้นอยู่เหนือโลก กำหนดจิตใจเรามีเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย เราตอนนี้ ทรงอารมณ์จิตอยู่เหนือโลก  จากนั้นแผ่เมตตาสว่างไปยังดวงจิตของสรรพสัตว์  ขอให้เห็นด้วยกำลังของพุทธานุภาพและกำลังของพระโพธิสัตว์  เห็นภาพดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลาย ที่ตกทุกข์ได้ร้อน ที่เสวยวิบากกรรม เห็นเป็นดวงวิญญาณก็ดี เห็นเป็นดวงจิตก็ดี เรากำหนดจิต อาราธนาบารมีพระ กำลังแห่งพระพุทธเมตตา  กำลังเมตตาแห่งพระโพธิสัตว์  แผ่เมตตาจากดวงแก้วจากกายทิพย์ของเรา แผ่สว่างไป ลงมายังโลก ลงมายังสรรพสัตว์  ลงมายังทุกดวงจิต

และในขณะที่เราแผ่เมตตา  ก็ขอให้เรากำหนดรู้เห็นทุกข์  กำหนดว่า ขอให้เกิดปัญญาญาณในวิปัสสนาญาณ จากกำลังแห่งเมตตาไม่มีประมาณ  เห็นทุกข์ จึงเห็นธรรม แต่การที่เราเห็นทุกข์ของสรรพสัตว์  เห็นทุกข์ของดวงจิต เห็นทุกข์จากวิบากกรรมที่ผู้อื่นกำลังเสวยอยู่ ก็ทำให้เราเห็นธรรมได้เช่นกัน ในขณะที่เราเมตตาโปรดสรรพสัตว์  จิตเราก็ขอให้เกิดญาณรู้  กำหนดเห็นความทุกข์โดยที่จิตเราไม่ทุกข์  เห็นธรรมคือความไม่เที่ยงของสังสารวัฏ โดยที่เราไม่จำเป็นที่จะต้องไปประสบพบเจอด้วยตนเอง  ต้องไปเสวย ต้องไปโดนเอง  เห็นทุกข์จึงเห็นธรรม เห็นทุกข์ของบุคคลอื่น  แต่ก่อเกิดธรรมที่จะออกจากสังสารวัฏในจิตเราได้เช่นกัน

สำหรับท่านที่มีกำลังใจพุทธภูมิ ก็พิจารณาว่ายิ่งเห็นทุกข์ภัยของสรรพสัตว์ เราก็มีกำลังใจที่จะโปรดสรรพสัตว์ ยังความดี สร้างมหากุศล  ให้บรรเทาความเร่าร้อน ดับร้อนในดวงจิตของสรรพสัตว์ทั้งหลาย  กำหนดจิตแผ่เมตตาสว่าง ทรงอารมณ์ กายเราเป็นกายพระวิสุทธิเทพอยู่ในดวงแก้วที่เป็นเพชรสว่าง  มีรัศมีอันไม่มีประมาณ  ในอกของกายพระวิสุทธิเทพเรามีองค์พระสว่าง  กำหนดจิตแผ่เมตตาพร้อมกับกำหนดรู้เห็นทุกข์ เห็นภัยในสังสารวัฏ

ทรงอารมณ์เมตตาโปรดสรรพสัตว์  ในวาระแห่งวันสารทจีน และหากญาติทั้งหลาย บุคคล ดวงจิตทั้งหลาย ที่เคยเป็นญาติกับเรา ก็ขอให้ได้รับกระแสแห่งเมตตา กระแสแห่งการเจริญพระกรรมฐาน กระแสแห่งบุญกุศลโดยตรง แผ่เมตตาสว่าง ด้วยจิตอันผ่องใส พิจารณาเห็นความทุกข์ของสรรพสัตว์ กำหนดรู้ด้วยญาณเครื่องรู้ด้วยกำลังแห่งพุทธานุภาพ ว่าดวงจิตของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ต้องทุกข์ ต้องโทษภัย ความยากลำบากประการใด

ในขณะที่เราแผ่เมตตาดับทุกข์ร้อนของสรรพสัตว์  ที่เสวยวิบากกรรมในภพภูมิใดก็ตาม เราน้อมกระแสแห่งสัมมาทิฏฐิไปในกระแสแห่งเมตตา  สรรพสัตว์ทั้งหลายที่เคยเป็นมิจฉาทิฐิ เคยกระทำบาปหยาบช้า เคยมีจิตที่โหดร้ายป่าเถื่อน เคยมีจิตที่มีความโลภ โกรธ หลง ขอกระแสแห่งเมตตากระแสสัมมาทิฏฐิ กระแสแห่งโลกุตรธรรม กระแสแห่งคุณธรรมจริยธรรม จงสอดแทรกซึมซาบไปยังดวงจิตของสรรพสัตว์ทั้งหลาย พร้อมกับกระแสเมตตาจิต เป็นกระแสเมตตาคุณธรรม กระแสแห่งมรรคผล กระแสแห่งความดีงาม ไม่เพียงแต่บรรเทาความเร่าร้อน ความทุกข์ ความหิวโหย ความอดอยากขาดแคลน ในภพความเป็นทิพย์ แต่เป็นกระแสแห่งสัมมาทิฏฐิที่ดลให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย พลิกจิตกลับใจจากบาปเป็นบุญ  จากชั่วเป็นดี  จากไร้สำนึกเป็นมีจิตสำนึก  ขอกระแสแห่งกุศล กระแสแห่งบุญ กระแสแห่งเมตตา เจตนาบริสุทธิ์ของข้าพเจ้าทั้งหลาย จงมีความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์ด้วยเทอญ

แผ่เมตตา แผ่กระแสสว่าง สงบ ร่มเย็น กระแสเมตตาสลายล้าง ฆ่าทำลายอกุศลความชั่วในดวงจิตดวงใจ  และด้วยผลอานิสงส์นี้ก็ขอให้ความมิจฉาทิฐิ ความชั่ว อกุศล ความเร่าร้อน ความโกรธ ความอาฆาตพยาบาท จงสลายจากดวงจิตข้าพเจ้าด้วยเช่นกัน 

แผ่กระแสสว่าง กำหนดรู้เห็นทุกข์ พิจารณาดูว่าจิตทุกดวงเมื่อมาจุติมาเกิด  ถึงเวลาแล้วก็มีการสร้างทั้งบุญ ทั้งบาป บุญก็เป็นเหตุที่ทำให้เมื่อเกิดมาใหม่ มีความสุข มีความร่ำรวย มียศ มีอำนาจ ตามผลอานิสงส์แห่งบุญที่ทำ   ในขณะเดียวกัน คนที่ยังมีความโลภ โกรธ หลง ถึงเวลาก็ยังไม่พ้นที่จะทำบาปอกุศล เงินก็ดี อำนาจก็ดี การถูกยกย่องสรรเสริญก็ดี  ล้วนแล้วแต่เป็นตัวขยายจิตภายในของบุคคลนั้น 

บุคคลนั้นหากเป็นผู้ที่มีคุณธรรม ศีลธรรมเมตตา เป็นเศรษฐีมีทรัพย์มาก ก็นำทรัพย์นำความมั่งคั่ง มาทำนุบำรุงวัดวาอาราม มาทำบุญสร้างกุศล มาสงเคราะห์บุคคลที่อนาถาลำบากยากจนกว่าตน หากบุคคลที่มีทรัพย์มากนั้น ภายในมีความโลภ ก็นำทรัพย์มาขยายกอบโกยสร้างอาณาจักรของตนให้มันใหญ่โตขึ้น ไปเพิ่มจำนวนทรัพย์ ในขณะเดียวกัน ก็เบียดเบียนผู้อื่น แม้จะละเมิดศีล แม้จะทำผิดก็ทำ

ดังนั้นทรัพย์ทั้งหลาย วัตถุทั้งหลาย เป็นเพียงเครื่องมือในโลก เป็นเพียงสมมุติในโลก เราเกิดมาแล้ว เราจะใช้ทรัพย์ที่เป็นสมมุติให้เราใช้เฉพาะชาตินี้ไปทำอะไร  อำนาจก็เช่นกัน  บุคคลที่มีอำนาจทางจิตใจดี มีเจตนารมณ์เพื่อส่วนรวม ถึงเวลาก็ใช้อำนาจเพื่อความสุขสงบในประเทศชาติบ้านเมือง แต่หากบุคคลที่มีอำนาจมีจิตที่โลภ ก็จะใช้อำนาจนั้นเบียดเบียน รังแก รักษาอำนาจตนไว้พวกพ้องตนไว้เช่นกัน

ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างนั้น ล้วนแล้วแต่สำคัญที่จิตใจของเรา  พ่อแม่ที่ปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมให้กับลูก ถือว่าให้ทรัพย์อันมีค่าอย่างยิ่ง เพราะทรัพย์ที่เป็นสินทรัพย์เงินทอง วัตถุภายนอก  ถึงเวลาหากบุตรหลานในตระกูล ในสกุลของตนนั้นมีความเขลา ก็สามารถที่จะผลาญ ทำลายทรัพย์นั้นให้สิ้นลงไปได้ ทรัพย์ที่สกุลและบิดามารดามอบให้ดีขึ้นอีกระดับ ก็คือมอบสติปัญญาความรู้ให้การศึกษากับบุตร เป็นเครื่องมือที่ติดตัวหาเลี้ยงชีพบุคคลอื่นแย่งชิงไปไม่ได้  สูงขึ้นมาอีกก็คือการปลูกฝังคุณธรรม ศีลธรรม คือคุณงามความดี สัจจะวาจา ให้มีประจำจิต ประจำใจ ให้กับลูกหลาน ให้กับวงศ์สกุล  ให้วงศ์สกุลนั้นเป็นวงศ์สกุลสัมมาทิฏฐิ 

สูงกว่านี้ก็คือ การมอบอริยทรัพย์ให้กับลูกหลาน  ให้เข้าทางให้รู้จักมรรคผลพระนิพพาน ให้รู้จักการเจริญพระกรรมฐานให้มีเป้าหมาย มีพระนิพพานเป็นที่สุด

ดังนั้นทรัพย์ที่แย่งชิงไปไม่ได้ก็มีความรู้ แต่ความรู้นั้น เรียนสูงแต่ไม่มีคุณธรรมเบียดเบียนก็ยังเป็นไปได้  ถ้าจะให้ดีให้ถึงพร้อมก็ต้องมีคุณธรรมศีลธรรมประจำใจ มรดกที่มอบให้ที่เป็นคุณธรรมศีลธรรม  เป็นมรดกที่สืบต่อ สืบทอดจนลูกหลานถึงตายไปแล้วก็ยังมีสุคติภูมิเป็นที่ไป

ส่วนสุดท้าย คืออริยสัจที่มอบให้ ถึงเวลามีพระนิพพานเป็นที่สุด จบกิจ สิ้นสังสารวัฏ ไม่ต้องเกิดอีกต่อไป อันนี้ถือว่าเป็นทรัพย์ใหญ่ 

ในขณะที่เราพิจารณาดู  เราก็กำหนดแผ่เมตตา แผ่กระแส แผ่ธรรมทาน ไปยังดวงจิตทั้งหลาย ที่เราแผ่เมตตาให้เขาสงบเย็นขึ้น พลิกจิต สุดท้ายแล้วสิ่งที่มีค่าที่สุด ก็คือธรรมะ ธรรมะของพระพุทธเจ้าดับความทุกข์ ดับความเร่าร้อน ดับการเกิดในสังสารวัฏ เมื่อไหร่ก็ตาม  ที่ดวงจิตของมนุษย์ทั้งหลายที่อยู่บนโลก  มีคุณธรรม ศีลธรรมมากพอ การเบียดเบียน การเอารัดเอาเปรียบ ลดน้อยลง ความทุกข์บนโลกก็ลดลง ยิ่งคนมีเมตตาเพิ่มขึ้น มากขึ้นเท่าไหร่ การสงเคราะห์เกื้อกูล ช่วยเหลือกันในยามยาก ในยามลำบากก็มากขึ้นเพียงนั้น  ความทุกข์มันก็บรรเทาลง

ดังนั้นสุดท้ายแล้ว โลกมันจะดี มันจะเจริญ มันจะเจริญได้จริง ก็ต่อเมื่อว่าดวงจิตของบุคคลธรรมดาอยู่บนโลกส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีอำนาจ ผู้ที่มีเป็นใหญ่ ผู้ที่มีอำนาจปกครอง มีคุณธรรมศีลธรรม ดังนั้นคำสอนต่างๆ เหล่านี้ เรื่องคุณธรรมจริยธรรม ของผู้ปกครอง จึงเป็นสิ่งที่คนโบราณเขาถ่ายทอดมาโดยตลอด

ถ้าเมื่อผู้เป็นใหญ่ มามีอำนาจไม่มีคุณธรรมศีลธรรม เมื่อนั้นก็ใช้อำนาจในการเบียดเบียน ทำลาย ทำร้าย ก่อให้เกิดความเสียหาย เพราะมุ่งหวังกับประโยชน์ของตน เราน้อมจิตแผ่เมตตาให้กระแสแห่งสัมมาทิฏฐิ สว่างในโลก ตั้งจิตอธิษฐาน

พระราชดำรัสของในหลวงรัชกาลที่ 9 เคยตรัสไว้ ว่าเราไม่ได้ฆ่าคนชั่ว แต่เราฆ่าความชั่วในจิตใจของผู้คน

ค่าความชั่วได้ ก็โดยกฎของการแทนที่ เมื่อจิตชั่ว ก็เพราะความชั่วมันครองใจ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่กุศลความดีครองใจ เราก็จะไม่คิดชั่ว ทำชั่ว ถ้ามีเมตตาเราก็จะไม่อยากเบียดเบียนผู้อื่น ถ้ามีเมตตาเราก็ไม่อยากจะละเมิดศีล ถ้ามีเมตตาเราก็อยากที่จะเกื้อกูลสงเคราะห์ช่วยเหลือ คนที่เขาตกทุกข์ได้ยาก

ดังนั้นมหาเมตตาในจิต เรากำหนดแผ่ สว่าง กระจายออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระแสที่พลิกจิต กระแสแห่งสัมมาทิฏฐิแทนที่สลายดวงจิตที่เป็นมิจฉาทิฐิ สัมมาแทนที่มิจฉา เมตตาแทนที่การเบียดเบียน แผ่เมตตา แผ่กระแส กำหนดน้อมขอกำลังพุทธานุภาพ ให้มีกำลังสลายล้างจิตใจที่หยาบช้า ของบรรดาดวงจิตของสรรพสัตว์ที่เสวยวิบากกรรม ขอฉุกคิดปรับจิตปรับใจ พลิกใจขึ้นสู่สัมมาทิฏฐิ เมื่อขึ้นมาเกิดมาจุติแล้ว ก็กลับใจเริ่มต้นที่จะสร้างบุญกุศลให้มากขึ้น ยิ่งขึ้น ด้วยความไม่ประมาท  ขนขวายแสวงหาครูบาอาจารย์ผู้เป็นสัมมาทิฏฐิ  หาหนทางเดินเข้าสู่เส้นทางแห่งธรรม  แผ่เมตตาสว่างกระจาย

วาระแห่งวันสารทจีน วันที่ประตูนรกเปิดขึ้น วันที่สรรพสัตว์ได้บรรเทาความทุกข์  กระแสจิตของเราแผ่เมตตาสว่างกำลังกรรมฐานของเรายังประโยชน์ต่อโลก ต่อสรรพสัตว์

เมื่อเราได้เจริญเมตตาแล้ว เราก็พิจารณาความทุกข์ของสรรพสัตว์ มีมากมาย บางดวงจิตยังต้องเสวยวิบากกรรมอยู่อีกหลายหมื่น หลายแสน หลายล้านชาติ ถ้าเรายังเวียนว่ายตายเกิด เราก็มีโอกาสที่จะร่วงหล่นไปอยู่ในฐานะเช่นเดียวกับดวงจิตทั้งหลาย ที่เราได้โปรด ได้ช่วย

ดังนั้นเราจึงเห็นธรรม เห็นคุณของพระนิพพาน ในการยกจิตตนออกจากสังสารวัฏนี้ ตั้งจิตอาราธนาบารมีของพระพุทธเจ้าทรงสงเคราะห์ ขอยกจิตข้าพเจ้าขึ้นไปบนพระนิพพานด้วยเทอญ

ตั้งจิตยกขึ้นไป เห็นกายของเราเป็นกายพระวิสุทธิเทพ เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ วันนี้ก็มีพิเศษ บูรพมหากษัตริย์ท่านมาปรากฏพร้อมกันทุกพระองค์ เราก็น้อมจิตกราบทุกท่านทุกๆ พระองค์

จากนั้นตั้งจิตทบทวนอารมณ์ ในอารมณ์ของการตัดสังโยชน์ทั้ง 10 ความยึดมั่นถือมั่นในกาย ความหลงในกาย ความหลงในความไม่เที่ยง พิจารณาตัดวิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย ความลังเลสงสัยในการปฏิบัติ ความลังเลสงสัยในมรรคผลพระนิพพาน เราตัดออกไปให้หมด

พิจารณาต่อไปว่าศีล 5 ของเราบริสุทธิ์ เพื่อปิดอบายภูมิ เพื่อปิดการเกิดในภพของทุคติภูมิทั้งปวงอัน ได้แก่สัตว์เดรัจฉาน เปรตอสุรกาย โอปปาติกะสัมภเวสีและสัตว์นรก พิจารณาตัดความพยาบาทจองเวร พิจารณาตัดความหลงในเบญจกามคุณ 5 พิจารณาตัดความติดในฌาน ในความเป็นพรหม ในความว่าง ในความเป็นอรูปพรหม ตัดความสับสนวุ่นวาย ความลังเลสงสัยซัดส่าย พิจารณาตัดมานะทิฐิ ความถือตัวถือตน พิจารณาตัดอวิชา คือความเขลาที่ทำให้เราหลงอยู่กับสังสารวัฏ

กำหนดตั้งจิต ทรงอารมณ์พระนิพพาน แล้วจึงอธิษฐาน ขอกำลังแห่งการปฏิบัติธรรม ที่เราปฏิบัติ และเมตตาโปรดสรรพสัตว์นั้น ขอเป็นปฏิบัติบูชา บูชาคุณทุกท่านทุกๆ พระองค์ ณ ที่นี้ ขอกำลังแห่งบูรพมหากษัตริยาธิราชที่ท่านเมตตาปรากฏในฐานะของพระสยามเทวาธิราช ที่ท่านยังห่วง ยังดูแลแผ่นดินไทย อาณาจักรสยามประเทศนี้อยู่  ขอกระแสบุญกุศล น้อมถวายถึงทุกท่านทุกๆ พระองค์ ด้วยเทอญ

เมื่อน้อมจิตแผ่เมตตาแล้ว น้อมถวายกุศลจากปฏิบัติบูชาที่เราถวายทุกพระองค์แล้ว เราก็กำหนดจิตพิจารณาทำต่อไปนะ สำหรับเราหลายคนที่ยังอยู่ในฐานะฆราวาส บางคนก็มีลูกบ้าง บางคนก็มีหลาน คนที่มีลูกมีหลานถ้าเป็นไปได้ ตอนนี้สิ่งที่เล่าก็อาจจะช้าไปนิดนึง บางคนก็มีลูกไปแล้ว บางคนก็มีหลานไปแล้ว แต่บางคนก็ได้ทำตามที่อาจารย์จะกล่าวต่อไป คนโบราณแต่เดิมก่อนที่จะมีลูก ท่านจะอธิษฐานขอลูกจากเทวดา จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นดวงจิตที่มาจุติ มาปฏิสนธิในครรภ์ ก็เป็นดวงจิตของเทวดาบ้าง พรหมบ้างตามที่อธิษฐาน แต่ในยุคปัจจุบันคนเราลืมเลือนประเพณีเหล่านี้

ดังนั้นหลายคนกลายเป็นว่า พ่อแม่ก็ดี แต่กลายเป็นลูกหลานกลับไม่ใช่ เพราะดวงจิต ดวงวิญญาณที่เขาเข้ามาเกิดบางครั้งก็ไม่ได้มาจากภพที่ดี ขึ้นมาจากข้างล่างบ้าง ดังนั้นมันก็เป็นเรื่องแปลก ที่คนมันเสื่อมจากศีลธรรมคุณธรรมไป ถ้าเราสังเกตดู คนที่เข้ามาจากภพที่ดีจริงๆ เขาจะไม่แตะต้อง เขาจะไม่เอาสิ่งที่ไม่ดี คือมีกุศลคุมตัวคุมจิตเข้ามาตั้งแต่ต้น อย่างตัวอาจารย์เอง อาจารย์ก็สังเกตเป็นคนที่ไม่ดื่มเหล้า ตั้งแต่เด็กมีเพียงแค่ลองชิม เพราะความอยากรู้ของเด็กเพราะชิมเข้าไปครั้งเดียวก็เลิก ตัดสินใจเด็ดขาดว่าตลอดชีวิตเราจะไม่ดื่มเหล้า ไม่ดื่มสุรา มันก็เป็นไปโดยธรรมะในใจของเราเอง อันนี้เพราะจริงๆ เรามาจากภพ ที่เป็นภพข้างบน เราไม่ได้ขึ้นมาจากข้างล่าง ดวงจิตที่เขาขึ้นมาจากข้างล่างเขาก็จะเพลิดเพลินกับอบายมุข ซึ่งอาจจะไม่ได้กล่าวถึงเฉพาะสุรา แต่ตกเป็นทาสของความโกรธ เป็นทาสของความโลภ การเบียดเบียน การละเมิดศีล การไม่สำนึกรู้ในคุณธรรมศีลธรรม การปรามาสพระรัตนตรัย สิ่งต่างๆ เหล่านี้จริงๆ ก็มีเหตุผลที่มาก็คือ เพราะจิตทั้งหลายเหล่านั้น เขาขึ้นมาจากข้างล่าง มันไม่ได้ตัดสินว่าอยู่ในตระกูลสูง เป็นคนร่ำรวยเป็นคนมั่งมี เป็นคนมีการศึกษา แต่เป็นเพราะว่าจิตเดิมนั้นมาจากที่ใดก็แสดงไปตาม

ดังนั้นตอนนี้ถ้าเรามีความเป็นทิพย์ หรือมีญาณทัศนะ เราก็จะพบได้ว่ามนุษย์บนโลกปัจจุบัน ความเสื่อมจากคุณธรรมศีลธรรมนั้น ปัจจัยสำคัญตัวหนึ่งก็คือ เพราะดวงจิตที่ขึ้นมาเกิดนั้น ขึ้นมาเกิดจากภพข้างล่าง เป็นส่วนมาก เป็นส่วนใหญ่ กลายเป็นว่าเทวดา พรหม ที่ท่านจะลงมาเกิด มาจุติ กลับมีเวลา มีสถานที่ มีภพ ถูกชิงไปซะก่อน แต่คราวนี้มันมีเรื่องราวที่จะเป็นเรื่องของการเข้าสู่ยุคชาววิไล ถ้าจะเข้าสู่ยุคชาววิไลแล้วปรากฏว่า มนุษย์ที่อยู่บนโลกล้วนแล้วแต่เป็นดวงจิตที่ขึ้นมาจากข้างล่างเป็นส่วนใหญ่ ดวงจิตจากนรกพรั่งพรูขึ้นมาแย่งเกิดกันใหญ่ มันจะเข้าสู่ยุคชาววิไลได้อย่างไร

ดังนั้น อันที่จริงก็คือ บุคคลที่อยู่ในธรรม ก็พึงจะอธิษฐานขอดวงจิตดีๆ ที่ท่านลงมาเกิด เทวดา พรหม ที่ท่านมีหน้าที่ตั้งใจลงมาเกิดก็มีมาก จะมีลูกมีหลาน ก็อย่าลืมที่จะขอลูกจากเทวดา พรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอลูกจากท่านปู่ ท่านย่า พระอินทร์ ขอลูกจากท่านท้าวสหัมบดีพรหม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ขอตามภพไหนก็ได้ เทวดา พรหม มาจุติตามภพที่ไปขอ ขอกับศาลเจ้า ศาลไม้แถวบ้านก็ได้ ลูกเป็นรุกขเทวดาบ้าง ภูมิเทวดาบ้าง ขอลูกจากพระอินทร์ท่านปู่ ท่านย่า ก็ได้ดวงจิตมาจากชั้นดาวดึงส์ ขอจากท่านท้าวสหัมบดีพรหม ก็เป็นดวงจิตที่มาจากพรหม อันนี้ก็แล้วแต่ ว่าเราจะขอจากที่ใด ขอจากพระศรีอาริยเมตไตรย ก็จะได้รูปที่เป็นดวงจิตของพระโพธิสัตว์ลงมาจุติ อันนี้จริงๆ ก็เป็นเคล็ด เป็นเรื่องของโลกทิพย์

ดังนั้นคนที่ได้กรรมฐาน คนที่ได้ญาณ คนที่มีกำลังของกายทิพย์ คือใช้กำลังของมโนมยิทธิได้นะ ถือว่าได้เปรียบกว่าบุคคลอื่นอีกมาก แล้วคราวนี้บางคนบอกว่า ขอไม่ทันเขามาเกิดแล้วทำยังไง บางคนลูกหลานมีความประพฤติที่เกเร ที่ทำให้เราต้องเป็นห่วง ทางนึงถ้าเจ้าตัวมาปฏิบัติกรรมฐานไม่ได้ หรือไม่ยอมมา หรือไม่ถึงวาระ

อันที่จริงก็มีประสบการณ์เรื่องจริง อันนี้มาจาก มาจากที่มีคนเล่าให้ฟังในงานเมตตาสมาธิครั้งที่ 4 คนที่เล่าให้ฟังก็คืออาจารย์เข้าห้องน้ำตอนเลิกงาน คุยกับแม่บ้านที่ทำความสะอาด ถามแม่บ้านที่ทำความสะอาดว่า ได้ฟังด้วยไหม ได้ปฏิบัติด้วยไหมเขาก็บอกว่าตั้งใจปฏิบัติด้วยเต็มที่ แล้วเขาก็เล่าเพิ่มก็มาอีกว่า เขาก็แผ่เมตตาไป ตามวิธีการที่ฝึก ที่เราปฏิบัติจากในงาน แล้วก็แผ่ให้กับลูกชายของเขา ปรากฏผลว่าลูกชายเขา จากเมื่อก่อนดื่มสุราอย่างหนัก ติดการพนันอย่างหนักกลายเป็นเลิกทั้งหมด เป็นเลิกเหล้า เลิกการพนัน กลับเนื้อกลับตัวได้ นี่คือใช้เวลาภายในเวลาไม่กี่เดือน

ดังนั้นอันที่จริง กระแสที่เราแผ่เมตตาไม่มีประมาณ แผ่ให้กับคนที่เรารัก ลูกหลานที่เราอยากให้กลับจิตกลับใจ แผ่เมตตาขอบารมีพระคลุม คือตัวเราเนี่ยเราฝึกของเราเองเราเห็นภาพ อาราธนาพระคลุม คลุมบนศีรษะได้ คลุมอยู่ในสมอง ทรงภาพพระสามฐานได้  แล้วทำของเราเองได้ ในขณะเดียวกันเราก็อธิษฐานขอบารมีพระคลุม แต่คราวนี้คลุมทั้งคลุมที่มี ค-ลุ-ม คือคลุม ครอบคลุม และก็คุม  คือคุมจิตไม่ต้องมีล.ลิง คุมจิตให้มีสัมมาทิฏฐิ คุมจิตขอให้อยู่ในกุศล คือแผ่เมตตาให้จิตเขา ให้จิตเขาค่อยๆ สงบเย็นขึ้น ให้จิตเขามีคุณธรรมศีลธรรมขึ้น แล้วก็ขอบารมีพระ นึกภาพองค์พระอยู่บนศีรษะคุมเขา อันนี้เราทำด้วยกุศลและเจตนา เราทำปรารถนาให้เขาอยู่ในกุศลธรรม เจตนาให้เขามีความยับยั้งชั่งใจ หยุดอกุศลจิต หยุดความคิดที่จะละเมิดศีล ดังนั้นตรงนี้ก็ถือว่าเป็นกระแสเมตตาที่เราโปรด ที่เราสงเคราะห์

ดังนั้นถ้าใครมีลูกหลาน หรือคนใกล้ตัว หรือเพื่อนที่เขามีปัญหาความเกเร ความทุกข์ยาก ความลำบาก การละเมิดศีล ถ้าอยู่ในวิสัยที่เราสงเคราะห์ได้ เราก็แผ่เมตตาขอบารมีพระคุม หรือแม้กระทั่งการที่เรา หากอยู่ในวิสัยที่เราสงเคราะห์ด้านสุขภาพได้ ก็ขอกระแสจากพระนิพพาน กระแสของธาตุธรรมลงมา ถ้าคนใดที่เขามีบุญกุศลเนื่องอยู่กับเรา เราก็โปรด เราก็ช่วยเขาได้ แต่ถ้าเขามีวิบาก และอยู่ในขอบเขตที่เกินอำนาจกฎของกรรม ที่เราไม่อาจช่วยเหลือสงเคราะห์ได้ ถึงเวลามันก็แค่สงเคราะห์ไม่ได้

ดังนั้นจุดนี้ก็แล้วแต่ ที่แต่ละบุคคลจะพิจารณา ก่อนจะใช้  ก่อนจะช่วย ก่อนจะสงเคราะห์ แม้แต่เป็นลูกเราเอง ก็ควรจะต้องขออนุญาตก่อน ถามพระท่านก่อนว่าท่านอนุญาตไหม  แต่ถึงเวลาท่านอนุญาตแล้วเราทำด้วยจิตบริสุทธิ์ ทำด้วยจิตที่ไม่ครางแครงสงสัย ว่าจะเกิดผล ไม่เกิดผล ถึงเวลาก็จะเกิดผลเป็นที่อัศจรรย์อย่างแน่นอน วันนี้ก็ถือว่าเป็นกรรมฐานที่เราเจริญในวันสารท เพื่อมุ่งสงเคราะห์เกื้อกูลโปรดสรรพสัตว์ เป็นวาระพิเศษ ตรงกับวาระของวันสารท 

แล้ววันนี้ก็เป็นวันสำคัญของบ้านเมือง ที่เราต้องช่วยกันอีกเหมือนเดิม น้อมจิตแผ่เมตตา น้อมกระแสอาราธนาบุญอาราธนาบารมีของพระพุทธองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ลงมาจากพระนิพพาน เป็นแสงสว่างคลุมโลก ขอกระแสสัมมาทิฏฐิ สลายล้างกระแสแห่งมิจฉาทิฏฐิ ขอกระแสธรรมจงสลายกระแสแห่งอธรรม อวิชาทั้งปวง ขอกำลังพุทธานุภาพจงสถิตอยู่ ทั่ววัดวาอาราม สถานปฏิบัติธรรม พระพุทธรูป พระบรมสารีริกธาตุทุกๆ พระองค์ ขอเกิดความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์ ขอกระแสจากพระนิพพาน กระแสบุญทั้งหลายจงแผ่ลงมา คุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ พระเศวตฉัตร พระบรมมหาราชวัง พระที่นั่ง รวมถึงองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมราชินี พระพันปี พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ รวมไปถึงบุคคลทั้งหลายที่มีอำนาจในบ้านเมือง ที่มีจิตจงรักภักดี จิตปรารถนาดีอย่างจริงใจต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ขอมีกำลังบุญเทพพรหมเทวดา คุ้มครองเป็นพิเศษ ขอบุญจงเปิดขึ้น จงปรากฏขึ้นเต็มกำลัง ขอกระแสแห่งพระนิพพาน ส่องสว่างในดวงจิตของบุคคลทั้งหลาย ที่เป็นดวงจิตจากสุคติภูมิและมีหน้าที่  ไม่ว่าจะเป็นอากาศเทวดา รุกขเทวดา ภูมิเทวดา พรหมทั้งหลาย ที่ลงมาจุติ ขอให้รู้ตื่นในธรรม รู้ตื่นในหน้าที่  ที่ตั้งจิตอธิษฐานก่อนลงมาเกิด  ขอจงรู้ตื่นปรากฏ ตื่นขึ้นสู่ยุคชาววิไล ตื่นขึ้นสู่ยุคชาววิไล ตื่นขึ้นสู่หน้าที่ สู่ยุคชาววิไล

กำหนดน้อมให้กระแสจากพระนิพพาน ลงมาสว่าง โลก ประเทศชาติ เกิดความสงบสุขร่มเย็น เราก็พลอยมีความสุข มีความสบาย ปราศจากการเบียดเบียน ปราศจากความเร่าร้อน

เมื่อน้อมจิตแผ่เมตตาแล้ว อาราธนากระแสลงมาเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ บ้านเมืองแล้ว สมควรแก่เวลาแล้ว  ก็ตั้งจิตกราบพระพุทธเจ้า กราบพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกๆ พระองค์ บูรพมหากษัตริย์ เทพพรหมเทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ น้อมกราบลาด้วยความเคารพ

จากนั้นจึงกำหนดจิตเป็นแสงสว่าง พุ่งลงมา กลับมายังกายเนื้อ น้อมกระแสแห่งพระนิพพาน ลงมาชำระล้างฟอกธาตุขันธ์ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ใส สว่างเป็นแก้ว โครงกระดูกทั่วร่างใสเป็นแก้วสว่าง เส้นเอ็น หลอดเลือดใสสะอาด ชำระล้างทะลุทะลวงความสกปรกในหลอดเลือด เส้นเอ็นยืดหยุ่นเป็นแก้วสว่าง แข็งแรง อาการ 32 อวัยวะภายในทั่วร่างกายมีกระแสธาตุธรรม ชำระล้าง สว่าง กระแสจากพระนิพพาน ทะลุทะลวงชำระล้าง เส้นลมปราณทั่วร่างของเราให้มีกำลังร่างกายธาตุขันธ์ใสสะอาดบริสุทธิ์

จากนั้นน้อมจิต ขอบารมี ขอบุญทั้งหลาย ทาน ศีล ภาวนา ที่เราบำเพ็ญ กำลังของเทวดาพรหมทั้งหลาย ขอเมตตาเปิดสายบุญ สายทรัพย์ สายสมบัติ สายบารมีของเรา ขอเงินทอง สายทรัพย์พรั่งพรู สวรรค์สมบัติ พรหมสมบัติ จงหลั่งไหลมาเป็นมนุษย์สมบัติ สินทรัพย์อันเป็นรูปธรรม จับต้องได้ ให้เราใช้สร้างบุญ สร้างบารมี สร้างความดีต่อไป อย่างอัศจรรย์

น้อมกระแสจากพระนิพพานลงมาคลุมบ้าน คลุมที่ทำงาน คลุมสถานที่ที่เราอาศัยอยู่ ที่เราเดินทาง ยานพาหนะ ขอให้ปลอดภัย ขอให้อยู่แล้วเจริญร่ำรวย รุ่งเรืองในทุกด้านทุกสิ่ง มีเทวดาพรหมคอยพิทักษ์รักษา

จากนั้นหายใจเข้าช้าๆ ลึกๆ 3 ครั้ง  พุทโธ ธัมโม สังโฆ

น้อมจิตนึกถึง มีคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ รักษา

น้อมจิตโมทนาสาธุกับกัลยาณมิตร ที่ปฏิบัติธรรมด้วยกัน เจริญพระกรรมฐานด้วยกัน เป็นกำลังบุญ เป็นอภิจติ กำลังบุญที่ช่วยส่วนรวม ก็ถือว่าเป็นปฏิปทาสาธารณประโยชน์

สำหรับวันนี้ ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน  วันที่ 15 กันยายน 2567 ก็จะมีการปฏิบัติธรรมเมตตาสมาธิครั้งที่ 5 ที่จุฬาลงกรณ์ สมาคมศิษย์เก่าจุฬาลงกรณ์ ยังพอมีที่เหลืออยู่อีกไม่มาก ยังสามารถลงทะเบียนได้ทันนะครับ อันนี้ก็ฝากไว้ ดูในเพจ ดูในกลุ่ม Facebook ดูในกลุ่มไลน์ได้

ส่วนอีกเรื่องก็คือ เรื่องเขียนแผ่นทองอธิษฐานพระนิพพาน ขอให้ช่วยกันเขียนโดยตั้งจิต ตั้งใจ ตั้งสมาธิดีๆ แล้วก็เข้าใจเจตนาให้ตรงก่อนว่า เราอธิษฐานเพื่อพระนิพพาน เราไม่ต้องไปเขียนเผื่อคนอื่น คือบางคนก็เขียนมาว่าขอให้พ่อแม่ตัวเองขึ้นสวรรค์ ซึ่งจริงๆ อันนี้เราเรื่องไปนิพพานนะ ถ้าสำหรับขึ้นสวรรค์ เราไปอธิษฐานจิต ตอนถวายมหาสังฆทาน อันนั้นเป็นทานที่เกิดผลอานิสงส์โดยตรงกับทิพยสมบัติ

อันนี้เรื่องนิพพานสมบัติ เราต้องเข้าใจเจตนาไม่ตรง จะได้ตรงกับวัตถุประสงค์ของผู้ที่ท่านเมตตาบริจาคแผ่นทอง พิมพ์คำอธิษฐานมาอย่างดี ให้เราได้เขียน ซึ่งท่านก็ได้เสียสละคนเดียว ตอนนี้เป็นปัจจัยหลายแสนบาทแล้ว ก็อยากจะให้ช่วยกัน เห็นใจท่านด้วย ท่านบ่นมาว่าเขียนไปเรื่องอื่น ที่มันไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของการจัดสร้าง ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นของที่เฟ้น ถือว่าเป็นของที่บริสุทธิ์ อุปมาเหมือนเราจะสร้างพระทองคำ พอเราจะสร้างพระทองคำบริสุทธิ์ มีคนเขาเอาแผ่นทองเหลืองมาใส่ เราก็จำเป็นที่จะต้องของดเว้นไว้ เพราะเราจะสร้างพระทองคำบริสุทธิ์ อันนี้เราจะสร้างพระที่เป็นพระที่ทรงเจตนารมณ์ในอารมณ์พระนิพพาน ดังนั้นแผ่นที่อธิษฐานขอไปสวรรค์ เราก้ต้องขออนุญาตผ่าน ขอให้เข้าใจนะว่าเราสร้างพระทองคำกัน อันนี้ก็น่าจะพูดครั้งเดียว น่าจะเข้าใจ อันนี้ก็ฝากไว้ด้วย

คนไหนขึ้นยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพานบ่อย ก็ช่วยกันเขียนทุกครั้งที่ขึ้น วันหนึ่งจะหลายแผ่นก็ได้ ขอให้ตั้งใจด้วยจิตบริสุทธิ์ ซึ่งผลอานิสงส์เรายิ่งตั้งใจด้วยจิตบริสุทธิ์ ยกจิตขึ้นพระนิพพานบ่อย เขียนบ่อยมากเท่าไหร่ ตัวเราเองนี่แหละจะเป็นคนที่ได้ในอนิสงค์สก่อนเพื่อน คือจิตแนบบนพระนิพพาน จิตคล่องตัวอยู่กับพระนิพพาน พอเราจารึกจิตไว้ที่จุดนั้นแล้ว ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ดังนั้นยิ่งเราขยันเขียนมากเท่าไหร่ โอกาสที่เราจะคลาดจากพระนิพพาน แทบจะไม่มี และสิ่งที่พระท่านได้บอกไว้ในญาณสมาธิกับหลายๆ คนก็คือ การจัดสร้างพระองค์นี้สำเร็จ จะเป็นปัจจัยเป็นกำลังใหญ่ ที่เป็นเหตุแห่งผลบุญสำคัญที่ทำให้นำพาเข้าสู่ยุคชาววิไลด้วย เพราะจำนวนผู้ที่มีความมั่นคง เจตนารมณ์ผู้มีบุญ มีจิตเจตจำนงร่วมกันเป็นจำนวนมาก ก็เกิดบุญปรากฏ โมทนาจากเทวดาพรหมที่ท่านรับรู้ รับทราบอยู่

สำหรับวันนี้ก็ฝากไว้แต่เพียงเท่านี้ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีครับ

ถอดเสียงและเรียบเรียง โดย : คุณสิริญาณี แลบัว

You cannot copy content of this page