เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันอาทิตย์ 23 มีนาคม 2568
เรื่อง นิพพานวิหารธรรม
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ผ่อนคลายปล่อยวางร่างกายขันธ์ห้า ปลดปล่อยความรู้สึกยึดติด เกาะเกี่ยวที่จิตยึดโยงขันธ์ห้า ร่างกายไว้ให้หมด ผ่อนคลาย ปล่อยวาง แล้วจึงพิจารณาปล่อยวางจิตใจ ปล่อยวางความกังวลทั้งหลาย ภาระความห่วง ทั้งความห่วงที่เกี่ยวข้องกับกิจการงานหน้าที่ ภาระห่วงความกังวลที่เกี่ยวข้องกับบุคคลทั้งหลาย หรือแม้แต่ความกังวลที่คิดพิจารณาไปในอารมณ์ที่กระทบใจถูกกระทบใจไปมา วางภาระทั้งหลายของร่างกายและจิตออกไปเหลือเพียงความสงบเบา จิตนิ่งสงบ เบาสบาย
จากนั้นกำหนดจิต น้อมพิจารณาเดินจิตเข้าสู่ฌานสมาบัติ ในสมถกรรมฐานในอานาปานสติ กำหนดสติรู้ในลมหายใจจินตภาพเป็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหม พลิ้วผ่านเข้า-ออก ในกาย สติกำหนดดู กำหนดรู้ลมหายใจนั้น รู้ลมหายใจตลอดสาย ตลอดทั้งกองลม สติเป็นผู้ติดตามรู้ ลมหายใจละเอียดเบา ก็รู้ว่าลมหายใจละเอียดเบา ลมหายใจสบายนำพาอารมณ์ใจ เวทนาให้มีความเบาสบาย ก็กำหนดรู้อยู่ อารมณ์สบายนำพาเข้าสู่อุปจารสมาธิของจิต ก็กำหนดรู้อยู่อารมณ์สบาย สงบ ผ่องใส
กำหนดรู้ พิจารณาในธรรมจากความสงบที่เข้าถึง น้อมนำคำสอนของพระพุทธองค์ที่ทรงตรัสไว้ว่า
“ความสุขเสมอด้วยความสงบนั้นไม่มี”
จิตสงบย่อมเข้าถึงความสุข ความสุขสงบนั้น เบาจากความวุ่นวายใจ วุ่นวายจิต จดจ่อกำหนดรู้อยู่กับความสงบ ความสบายของใจ กำหนดรู้ว่าอานาปานสตินี้ คือวิหารธรรม ธรรมอันเป็นเครื่องอยู่ เป็นเครื่องพักของใจ เราได้พักจิตใจของเรา ในอานาปานสติ พักความวุ่นวายภายนอกที่ถูกกระทบจากโลก จากโลกธรรม 8 จากกระแสสังคม พักใจอยู่กับอานาปานสติ จนจิตนำพาเข้าสู่ธรรมฉันทะ ยินดีพึงพอใจในความสงบ ยินดีที่จะสละ ละวางปลีกออกจากความวุ่นวายของโลก ความวุ่นวายของจิต สงบ ผ่องใส ใจสบายๆ
เมื่อลมหายใจสบาย สงบ เราก็น้อมนำยกจิตขึ้นสู่ความสงบที่สูงขึ้นไปอีก กำหนดหยุดจิต นิ่งหยุด หยุดความคิด หยุดการปรุงแต่ง หยุดจิต เข้าสู่เอกัคคตารมณ์ จิตอุเบกขาต่อทุกสิ่งที่มากระทบ นิ่งหยุด สงบ เมื่อจิตเข้าถึงฌาน 4 ในอานาปานสติ เข้าถึงองค์ฌาน คือเอกัคคตารมณ์ จิตมีอุเบกขารมณ์ ความวางเฉยต่อสิ่งที่มากระทบทางอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย รวมกระทั่งไปถึงสิ่งที่มากระทบใจ เป็นคลื่น เป็นความรู้สึก เป็นกระแสทำร้าย นิ่งหยุด จนจิตรวมตัวเป็นจิตตานุภาพ นิ่งหยุด ทอดเวลาให้ยาวนาน เป็นการฝึกการทรงฌานสมาบัติ ให้มีความตั้งมั่น นิ่งหยุด
จากนั้นจึงกำหนดจิต เดินจิตเข้าสู่สมาธิในระดับที่สูงขึ้น จากจุดที่หยุด เรากำหนดน้อมนึกให้เป็นภาพ จากจุดค่อยๆกลายเป็นเส้น กลายเป็นวงกลม วงกลมค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น จากวงกลมอันเป็นระนาบ 2 มิติ เรากำหนดให้วงกลม 2 มิติ แปรเปลี่ยนเป็นภาพทรงกลม เป็นดวงแก้วใสทรงกลม มีสภาวะเป็น 3 มิติ ดวงแก้วใสปรากฏขึ้นในจิต กำหนดตั้งไว้ภาพที่ปรากฏขึ้นจากการกำหนดนึกถึง คือการกำหนดในนิมิตของกสิณ
นิมิตของกสิณนั้น หากเราพิจารณาแต่เพียงว่ามันเป็นภาพของกสิณ ก็ถือว่าเป็นนิมิตภายนอก แต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตาม เราน้อมพิจารณาเชื่อมโยง ให้ภาพนิมิตเป็นหนึ่งเดียวกับจิตของเรา กำลังจิตตานุภาพ กำลังอภิญญาสมาบัติ ที่เกิดขึ้นจากอำนาจของกสิณ ก็จะถูกผนึกเป็นหนึ่งเดียวกับจิตของเรา อันนี้เป็นจุดสำคัญที่คนฝึกกสิณไม่ได้พิจารณาถึง เราน้อมจิตพิจารณาภาพนิมิตที่ปรากฏทรงกลม ที่เป็นแก้วใสสว่าง
กำหนดน้อมนึกว่า ภาพกสิณ ดวงแก้วใสนี้ “จิตคือกสิณ กสิณคือจิต”
จิตเป็นหนึ่งเดียวกับกสิณ จิตตานุภาพอำนาจอภิญญาจิตของกสิณ มีอำนาจปฏิญญาจิตเพียงใด จิตเราเข้าถึงอภิญญาสมาบัติอำนาจของจิต จิตตานุภาพแห่งกสิณฉันนั้น กสิณคือจิต จิตคือกสิณ
จากนั้นจึงกำหนดจิต เดินกำลังของกสิณ จากดวงแก้วใสให้ปรากฏความสว่าง ดวงแก้วใสที่สว่างนั้น สว่างขึ้น ใสขึ้นเชื่อมโยงภาพนิมิตสัมพันธ์จิตใจ ยิ่งดวงแก้วใส ใจยิ่งมีความสุข ใจยิ่งผ่องใสตามกำลังความสว่างความใสของกสิณ จนจิตเรายิ้ม จิตเราเบิกบาน กสิณยิ่งสวยเปล่งปลั่งส่องสว่างเพียงใด ใจเรายิ่งเป็นสุข
จากนั้นกำหนดต่อไปภาพกสิณ จากกสิณแสงสว่าง เป็นแก้วใสสว่างเป็นอุคนิมิต เราเดินจิตขึ้นสู่ปฏิภาคนิมิตแห่งกสิณปฏิภาคนิมิตแห่งกสิณ ก็คือจิตดวงแก้วใส กลายเป็นเพชรเจียระไนระยิบระยับแพรวพราว มีรัศมีส่องสว่างระยิบระยับ จิตที่เป็นเพชรระยิบระยับ ปรากฏเส้นแสงรัศมีแผ่กระจายออกไป เป็นเจ็ดสีรุ้ง เจ็ดสีแผ่สว่าง เส้นแสงรัศมีจิตแผ่สว่างยิ่งขึ้น จิตยิ่งมีกำลัง จิตยิ่งมีความผ่องใส กำหนดทรงสภาวะที่จิตตั้งมั่นเป็นหนึ่งเดียวกับกสิณ จิตเป็นเพชรประกายพรึก สว่าง จิตเข้าถึงจิตเดิมแท้อันเป็นประภัสสร ทรงสภาวะที่จิตเป็นเพชรประกายพรึก จิตเข้าถึงความสุขความอิ่มใจ ความเป็นทิพย์ของจิตปรากฏขึ้น แสงสว่างรัศมีของจิตปรากฏขึ้น ยิ่งสว่าง ยิ่งใส ยิ่งใส ยิ่งระยิบระยับ กลั่นจิตของเราให้ใสขึ้น สว่างขึ้น ระยิบระยับขึ้น มีความสว่างพร่างพรายแพรวพราวมากขึ้น ทรงสภาวะ ทรงอารมณ์ไว้
จากนั้นจึงน้อมจิต เชื่อมโยงกระแส กำหนดน้อมจิตอันเป็นประภัสสรนั้น รัศมีของจิตปรากฏขึ้นตามความผ่องใส ตามความสุข ตามความอิ่มใจ ตามความเป็นทิพย์ของจิต จิตยิ่งมีจิตตานุภาพมากเพียงใด ภาพจิตนิมิตกสิณยิ่งสว่างมากเพียงนั้น จิตยิ่งรู้สึกถึงความเปี่ยมพลัง ความเอิบอิ่ม ความเป็นทิพย์ พลังแห่งทิพยอำนาจยิ่งปรากฏเพิ่มพูนมากขึ้นเพียงนั้น
จากนั้นเรากำหนดน้อมพิจารณาว่า เราเชื่อมโยงรักษาแห่งรัศมีจิต อภิญญาจิตของเราใช้เป็นโลกุตระอภิญญา คลื่นกระแสรัศมีจิตที่แผ่ออกไป แสงสว่างของจิตที่ส่องสว่างออกไปจากจิตของเรา เรากำหนดน้อมให้เป็นกระแสรัศมีแห่งเมตตาอันไม่มีประมาณ จิตอันประภัสสรนั้น กำลังเปล่งประกาย กระแสคลื่นแห่งเมตตาอันไม่มีประมาณ ไปยังสามภพสามภูมิ ทรงอารมณ์ ทรงสภาวะที่จิตประภัสสรส่องสว่างสูงสุด พร้อมกับแผ่กระแสแห่งเมตตา จิตละเอียดปราณีต จิตถึงมีกำลังความเป็นทิพย์อภิญญาเพียงใด ก็อยู่ในสัมมาทิฐิ มีแต่กระแสแห่งความเมตตาอันไม่มีประมาณ เป็นอภิญญาแห่งโลกุตระอภิญญา แผ่เมตตาสว่าง ทรงอารมณ์ ทรงสภาวะ ที่จิตประภัสสร จิตเป็นเพชรประกายพรึก จิตทรงในเมตตาอัปมาณฌาน ถึงพร้อมเป็นหนึ่งในสภาวะจิตที่ประณีตละเอียด เมตตาเปี่ยมพลัง ทรงสภาวะ ทรงอารมณ์เพื่อสร้างวสีในการทรงฌาน ทรงสภาวะจิต ทรงอารมณ์นี้ไว้
เมื่อทรงอารมณ์จนจิตตั้งมั่น ประคับประคองฌานสมาบัติให้ปรากฏเปี่ยมพลัง เปี่ยมความผ่องใส เข้าถึงความละเอียดประณีต จิตควรแก่การที่จะปฏิบัติต่อ เรากำหนดรู้ว่าจิตเราเข้าถึงวิหารธรรม คือเมตตาฌาน พรหมวิหารสี่ เป็นธรรมเครื่องอยู่ของจิต เป็นที่พักของใจจากความวุ่นวาย จากความเร่าร้อน จากการเบียดเบียน โหดร้ายในโลกใบนี้ ทรงอารมณ์ ทรงสภาวะ
จากนั้นกำหนดจิต น้อมรำลึกถึงคุณพระรัตนตรัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งน้อมนึกถึง องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ น้อมนึกถึงพระพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐม ทรงเครื่องบรมมหาจักรพรรดิ ส่องสว่างชัดเจน จิตทรงอารมณ์ในภาพ ในสภาวะ องค์พระเป็นหนึ่งเดียว ปรากฏอยู่ภายในจิต คือดวงแก้วที่เป็นเพชรประกายพรึกนั้น จิตเข้าถึงพุทธ พุทธ น้อมกระแสพุทธานุภาพสุดจิตสุดใจของเรา จนรู้สึกสัมผัสได้ถึงกระแสเย็นๆ ที่หัวใจของเรา กระแสสงบเย็นกระแสแห่งพุทธานุภาพ ใจของเรามีกระแสเย็นสงบ เมื่อสัมผัสได้ใจเรายิ่งเอิบอิ่ม เป็นสุขใจ เรายิ่งมีความศรัทธามั่นคงในพระรัตนตรัย
เมื่อจิตเข้าถึงพระ พุทธานุภาพย่อมสมผล พุทธบารมีย่อมคุ้มครองรักษา กำหนดภาพองค์พระในดวงจิตที่เป็นเพชรประกายพรึกนั้น สว่างเจิดจ้า เจิดจรัสเต็มกำลัง
จากนั้นกำหนดจิตต่อไป ขออาราธนาบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอยกจิตข้าพเจ้าขึ้นไปบนพระนิพพาน เห็นสภาวะจิตของเราพุ่งขึ้นไปเป็นแสงสว่าง ขึ้นไปปรากฏอยู่บนพระนิพพาน มีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน อยู่ท่ามกลางมหาสมาคม คือพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆ พระองค์ บนพระนิพพาน กายทิพย์ กายพระวิสุทธิเทพปรากฏความสว่าง ผ่องใส น้อมจิตกราบสมเด็จองค์ปฐม พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ด้วยความนอบน้อม ด้วยความเคารพ
พิจารณา ว่าจิตเรามีความยินดีในมรรคผลพระนิพพาน มีความเคารพในพระรัตนตรัย จิตเรามีปัญญาวิปัสสนาญาณพิจารณาดูว่าทุกสิ่งทุกอย่างแห่งการเป็นมนุษย์ เป็นเพียงสิ่งสมมุติ เป็นเพียงเปลือก กายเนื้อขันธ์ห้าเป็นเหมือนบ้านเช่าที่เรามาอาศัยอยู่เพียงชั่วคราว เราไม่เคยได้เป็นเจ้าของสิ่งใดในโลก แต่จิตไปยึดมั่นถือมั่น ครอบครองด้วยอวิชา ตัณหาหาอุปทาน ให้เราคิดว่าเป็นตัวเราของเรา คิดว่าเป็นทรัพย์สินของเรา ยิ่งกอบโกย ยิ่งยึดมั่นถือมั่น ยิ่งยึดมั่นถือมั่นยิ่งหลง ยิ่งกอบโกยจากโลกใบนี้ แก่งแย่ง แย่งชิง เบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบ
พิจารณาให้เห็นว่าแท้ที่จริงก็ลงมาจุติเป็นมนุษย์ของเรา เราลงมาเพื่ออะไร เพื่อมากอบโกยความสุข หรือลงมาเพื่อสร้างบารมี ลงมาเพื่อสร้างสรรค์โลกใบนี้ให้ดีขึ้น ลงมาเพื่อแสวงหาโมกขธรรม วิมุตติธรรม ธรรมอันเป็นเครื่องหลุดพ้นของจิต กำหนดจิตพิจารณาธรรมะให้กระจ่างแจ้ง จากกายพระวิสุทธิเทพบนพระนิพพาน พิจารณาในสภาวะที่อารมณ์จิตเราพ้นจากกระแสของโลก กระแสของสังสารวัฏ กระแสของกิเลสตัณหาอุปทานทั้งปวง จิตเมื่อพิจารณาในสภาวะที่เหนือโลก พ้นโลก ปัญญาการพิจารณารู้แจ้ง การยอมรับตามความเป็นจริงก็ชัดเจนกระจ่างแจ้ง มากกว่าการที่เรายังอยู่ในสภาวะแห่งกระแสโลก กระแสกรรม กระแสแห่งความโลภ โกรธ หลง ทั้งหลาย
พิจารณาจากบนพระนิพพาน พิจารณาให้เห็นธรรม เห็นเนื้อแท้ แก่นแท้แห่งสังสารวัฏ เห็นความลุ่มหลง เห็นมายากาศที่หลอกลวง ที่ทำให้สรรพสัตว์ทั้งหลายยังต้องหลงยึดติดอยู่ในสังสารวัฏนี้ พิจารณาเห็นโทษแห่งการกอบโกยเบียดเบียน ถึงแม้ว่ามีสินทรัพย์สมบัติมากขึ้นเพิ่มขึ้นในโลก แต่กรรม วิบาก สิ่งที่ได้ชดใช้ในสัมปรายภพในชาติต่อๆ ไปกรรมที่ส่งผลต่อเนื่อง จากการเบียดเบียนกอบโกย เอารัดเอาเปรียบ ทำลายล้าง กรรมนั้น เนิ่นนานนัก ทอดยาวนัก นำพาจิตร่วงหล่นลงสู่อบายภูมิ ต้องเสวยวิบากกรรมอีกยาวนานมากมาย
เราพิจารณาเหตุปัญญาในธรรม เห็นโทษในสังสารวัฏ เห็นโทษแห่งการละเมิดศีล เห็นโทษแห่งการเบียดเบียน เห็นโทษแห่งความหลง ความยึดมั่นถือมั่นในกิเลสตัณหาอุปทานทั้งปวง กำหนดจิตพิจารณาให้เกิดปัญญา เห็นคุณแห่งพระนิพพาน เข้าใจในพระมหาปณิธานขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ล้วนแล้วแต่มีพันธกิจสำคัญในการรรื้อขน มวลหมู่เวไนยสัตว์ทั้งหลายออกจากสังสารวัฏนี้ นำพาจิตเข้าสู่พระนิพพาน อันนี้ สิ่งนี้คือหน้าที่ที่พระพุทธองค์ท่านทรงเหนื่อยยาก บำเพ็ญบารมีทั้ง 30 ทัศ เพื่อน้อมนำโมกขธรรมทั้งหลาย มาโปรดมวลหมู่เวไนยสัตว์ทั้งปวง
เรากำหนดพิจารณา เป็นบุคคลที่ว่าง่าย สอนง่าย เป็นบัวที่พร้อมจะเบิกบานในธรรม พิจารณาจนจิตกระจ่างแจ้ง ยินดีในพระนิพพาน ยินดีที่จะออกจากสังสารวัฏ เห็นโทษภัยในวัฏสงสาร ความเร้าร้อย การประหัตประหาร การเบียดเบียนกัน ความทุกข์ยาก การเอารัดเอาเปรียบ เห็นโลกที่เสื่อมโทรม เสื่อมทรามจากคุณธรรมศีลธรรม เห็นโลกที่ถูกเพิกถอนคุณธรรมศีลธรรม เลิกสอน ด้อยค่า พิจารณาให้ว่ากระแสแห่งสังคมที่ปรากฏขึ้น ยิ่งนำพาโลกนี้ไปสู่ความเสื่อม เสื่อมศีลธรรมมากเท่าไหร่ คนละเมิดศีลมากเท่าไหร่ คนยิ่งคดโกงกัน เอารัดเอาเปรียบกันมากเท่านั้น คนยิ่งไร้ความเมตตาปราณีต่อกันเท่านั้น
พิจารณาเห็นทุกข์บนโลก การคดโกงเบียดเบียน คนแก่คนชรา การประหัตประหาร การว่าร้าย ใส่ร้ายคนดี คนที่ทำคุณประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อประเทศชาติ ความเห็นผิด มิจฉาทิฐิ เห็นความชั่วว่าเป็นความดี เห็นคนชั่วว่าเป็นคนดี เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นนรกว่าเป็นสวรรค์ เห็นอบายภูมิ เห็นเครื่องมอมเมาว่าเป็นความสุข โลกที่เดินไปในกระแสเช่นนี้มีแต่ความชิปหาย มีแต่ความเสื่อม
กำหนดจิตว่าโลกมีกระแสเช่นใด กระแสแห่งความเสื่อม กระแสมิจฉาทิฏฐิกระแสแห่งอวิชชาจะมีความไหนล่ะเชี่ยวกรากเพียงใด แต่จิตของเราผู้ฝึก ผู้ปฏิบัติมาดีแล้ว มีภูมิคุ้มกัน เป็นจิตที่อยู่เหนือกระแสโลก จิตเข้าสู่กระแสธรรม เข้าสู่กระแสแห่งโลกุตระ พ้นโลกเหนือโลก ไม่อาจถูกกระแสโลก กระแสแห่งอกุศล พัดพาจิตของเราให้ไหลตาม คล้อยตามเคลื่อนต่ำไปตามอกุศลจิตทั้งหลายเหล่านั้นได้
ยกจิตเราขึ้น กำหนดน้อม กำหนดรู้ ขณะนี้เราอยู่ในสภาวะแห่งกายพระวิสุทธิเทพ อารมณ์จิตเราชั่วขณะนี้เป็นอารมณ์จิตที่อยู่ในอรหันตผล อารมณ์จิตตัดละวาง ความโลภ โกรธ หลง ความยินดี ความอยาก ความพึงพอใจในภพแห่งสังสารวัฏ ไม่ยินดีในความเป็นมนุษย์ เห็นทุกข์แห่งการเบียดเบียน ความทุกข์ของการเป็นมนุษย์ ไม่ยินดีกับความเพลิดเพลินในสวรรค์สมบัติ ทิพยสมบัติทั้งปวง ไม่ยินดีในพรหมสมบัติ ไม่ยินดีในอรูปพรหมสมบัติ ความสงบยาวนานทั้งปวงเหล่านั้น เพราะยังมีวาระที่หมดบุญ ต้องร่วงหล่นไปเวียนว่ายตายเกิดต่อไปอีก และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภพอันเป็นทุคติ ได้แก่ ภพแห่งสัตว์เดรัจฉาน เปรตอสุรกายและสัตว์นรกในอบายภูมิทุกขุม จิตเรายิ่งไม่ยินดีและมีหิริโอตตัปปะ ความกลัวบาป กลัวกรรม เกรงกรรม เกรงกรรม ด้วยปัญญาที่เข้าใจเหตุต้นผลกรรมที่ปรากฏสืบต่อสัมมาทิฏฐิเชื่อในกฎของกรรมของเราเต็มเปี่ยม
ดังนั้นขึ้นชื่อว่า ภพที่เป็นทุคติภูมิและสุคติภูมิภพทั้งหลายเหล่านั้น ตราบที่ยังเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ เราไม่มีความยินดีทั้งสิ้น จิตตัดภพจบชาติ พิจารณาตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพานเพียงจุดเดียว กำหนดจิตทรงสภาวะจิตตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพานเป็นอารมณ์ พิจารณาตัดภพจบชาติ พิจารณาจิตยินดีในพระนิพพาน สุดท้ายการปฏิบัติขัดเกลา ขัดเกลาของจิต วิหารธรรมขั้นสูงที่สุดก็คือ มีพระนิพพานเป็นวิหารธรรม มีพระนิพพานเป็นเครื่องอยู่ของจิต
กำหนดให้อาทิสมานกายเรามาปรากฏทิ้งไว้ ตั้งมั่นไว้อยู่บนพระนิพพานเป็นปกติ กระทบ มีความทุกข์ มีเวทนาจากความเจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบาย เราก็แยกกาย แยกจิต แยกอาทิสมานกายขึ้นมาบนพระนิพพาน เราดับทุกข์เวทนาทางกายด้วยการแยกรูป แยกนาม แยกกาย แยกจิต ให้ได้ผลดีที่สุดก็คือ แยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพาน พิจารณาดูว่าในขณะที่เราป่วยไข้ไม่สบาย ในขณะที่เราจะผ่าตัด เข้าห้องผ่าตัด เราก็ตัดตัดกาย ทิ้งกาย แยกกาย แยกจิต ขึ้นมาอยู่บนพระนิพพาน ถึงเวลาถ้าความเจ็บไข้ได้ป่วยไม่สบาย เราต้องตาย เราต้องเสียชีวิต แต่จิตที่เราแยกยกขึ้นมาบนพระนิพพาน ก็ถือว่าเป็นจิตสุดท้ายก่อนตาย กล้ามเนื้อตายแต่จิตวิมุติเข้าสู่อรหันตผลในอารมณ์จิตสุดท้าย กายทิพย์เราอยู่บนพระนิพพานอยู่แล้ว เราก็เข้าถึงอรหันตผล เข้าถึงพระนิพพาน
ดังนั้นยิ่งฝึกให้อารมณ์แห่งพระนิพพานเป็นวิหารธรรม แล้วทำยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานนานมากเท่าไหร่ในแต่ละวัน บ่อยครั้งมากเท่าไหร่ในแต่ละวัน มีความชำนาญเชี่ยวชาญจนปราศจากความลังเลสงสัย จนจิตแนบอยู่กับพระนิพพานพึงพอใจอยู่กับพระนิพพาน รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวอยู่กับพระนิพพานมากเท่าไหร่ เมื่อนั้นจิตของเราก็ยิ่งมีความแนบอยู่กับพระนิพพาน มีความมั่นคงมั่นใจได้ว่า ตายเมื่อไหร่ชาตินี้เราสามารถเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้แน่นอน
กำหนดพิจารณาด้วยปัญญา เข้าใจเหตุผล กุศโลบายทั้งหลาย อุบายธรรมในการปฏิบัติ ให้จิตเรากระจ่างแจ้ง เข้าใจจนเกิดความยินดี ธรรมฉันทะ ความเพียรในการปฏิบัติ การปฏิบัติธรรมเรา เข้าใจก็จะนำพาไปสู่การปฏิบัติที่ง่ายที่สุด เร็วที่สุด มุ่งรัดตรงที่สุด ปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน เราก็จงยกจิตขึ้นมาไว้บนพระธาตุ เรียบง่ายเพียงเท่านั้น
จากนั้นกำหนดทรงอารมณ์ ทรงสภาวะในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ เครื่องทรง เครื่องประดับ ความใส ความสว่าง จิตอันสิ้นอาสวะกิเลส จิตอันปราศจากมลทินเครื่องร้อยรัดแห่งสังโยชน์ทั้งสิบ จิตอันตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพานเป็นที่สุด กายพระวิสุทธิเทพปรากฏความสว่าง อารมณ์ความสว่างใส จิตเสวยวิมุตติสุข ความสุขจากสภาวะที่สิ้นอาสวะกิเลสอย่างสิ้นเชิง สิ้นภาระ สิ้นวิบากกรรม
กำหนดทรงอารมณ์ความผ่องใสของอาทิสมานกายไว้ ทรงสภาวะความผ่องใส รู้สึกถึงความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ ตั้งจิตอธิษฐานอยู่ในวิมานของตนบนพระนิพพาน ทั้งกายทิพย์ ทั้งวิมานสว่างเจิดจ้าอยู่บนพระนิพพาน อารมณ์จิตฝึกทรงอารมณ์ บริกรรม
นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
ทรงอารมณ์ ทรงสภาวะแห่งพระนิพพาน อุปมานุสติกรรมฐานไว้
จากนั้นกำหนดน้อมอาราธนาบารมีของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ บนพระนิพพาน ขออาราธนากระแสแห่งพระนิพพาน เป็นกระแสสว่าง พร้อมกับกระแสแห่งเมตตาไม่มีประมาณ แผ่เมตตา แผ่กระแสแห่งพระนิพพาน ความสงบ ความเมตตา ความดับเย็น กระแสกุศล มหากุศลทั้งหลาย แผ่เมตตาลงไปยังภพของอรูปพรหมทั้ง 4 พรหมโลกทั้ง 16 ชั้น สวรรค์ทั้ง 6 ชั้น รุกขเทวดา ภุมเทวดาทั้งหลาย ทั่วอนันตจักรวาล มนุษย์และสัตว์ที่มีขันธ์ห้า กายเนื้อทั่วอนันตจักรวาล บรรดาโอปปาติกะสัมภเวสีทั้งหลาย ชาวเมืองบังบดลับแลทั้งหลาย มิติที่ทับซ้อนทั้งหลาย แผ่กระแสไปอย่างภพของเปรตอสุรกายทั้งหลาย สัตว์นรกทุกขุม จนถึงขุมที่ลึกที่สุดคือโลกันตมหานรก แผ่เมตตา แผ่กระแสพระนิพพาน เมตตาจิตจนจิตเราไม่มีประมาณ ไม่มีอคติ ไม่มีที่รัก ไม่มักที่ชัง เป็นอุเบกขาแห่งเมตตาแผ่กระแสสว่าง กายพระวิสุทธิเทพยิ่งสว่าง
จากนั้นอาราธนากระแสแห่งพระนิพพาน กระแสบุญศักดิ์สิทธิ์จากพระนิพพาน เป็นลำแสงลงมาคุ้มครองโลกใบนี้ ให้เกิดความสุขสงบสันติร่มเย็น ขอกระแสขอบุญกุศลจงส่งผลดลบันดาลให้จิตใจผู้คนทั้งหลาย หันมาเห็นคุณค่าแห่งคุณธรรมศีลธรรม ขอบุญกุศลคุ้มครองพระโพธิสัตว์ พระมหาโพธิสัตว์ บุคคลทั้งหลายที่มีจิตบริสุทธิ์ ปรารถนาดีต่อโลกต่อผู้คน สร้างบารมีสงเคราะห์ช่วยเหลือโลก ช่วยเหลือผู้คน ขอให้ทุกสิ่งที่ท่านทำเพื่อโลก เพื่อมนุษยชาติ เพื่อสัตว์ทั้งหลาย เพื่อสันติทั้งหลาย เพื่อความสงบสุขดีงาม ความอุดมสมบูรณ์ ความผาสุก ขอกระแสบุญจงส่งผลถึงท่าน ส่งผลถึงเทวดาพรหมที่พิทักษ์รักษาคุ้มครองท่าน ขอกิจทั้งหลายที่ท่านทำจงสำเร็จต่อโลก ต่อมนุษย์ ต่อสรรพสัตว์
จากนั้นน้อมกระแสจากพระนิพพานลงมายังเขตของพระพุทธศาสนา ขอจงชำระล้างกระแสแห่งมิจฉาทิฏฐิ อลัชชี บุคคลทั้งหลายที่คิดว่าร้าย ทำลายความบริสุทธิ์ขอพระพุทธศาสนา ขอจงแพ้ภัยตนเองไป น้อมกระแสจากพระนิพพาน กระแสแห่งโลกุตระธรรมเจ้า กระแสแห่งมรรคผลพระนิพพาน น้อมรวมลงสู่จิตของพุทธบริษัทสี่ บุคคลที่เฝือ ที่หลง ที่เข้าใจผิด เข้าใจคลาดเคลื่อนในหลัก ในธรรม ในการปฏิบัติ
ขอกระแสแห่งสัมมาทิฏฐิ แห่งมรรคผลพระนิพพาน กระแสพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ กำลังแห่งพระอริยเจ้า พระอริยสงฆ์ ขอจงน้อมดลจิตดลใจให้สัปบุรุษทั้งหลาย พุทธบริษัทสี่ จงมีปัญญากลับมาเข้าใจในร่องในรอย ในธรรมะ ในหนทางแห่งสัมมาทิฏฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติด้วยเทอญ
ขอกระแสพุทธานุภาพ น้อมรวมลงยังพระพุทธรูปทุกๆ พระองค์ พระเจดีย์ พระมหาเจดีย์ พระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุ พระอรหันตธาตุ พระอัฐิธาตุ วัตถุมงคล พระเครื่อง ผ้ายันต์ ตะกรุด ขอจงล้างกระแสมิจฉาทิฏฐิ อวิชาคุณไสยจงสลายตัวไป ของทุกชิ้นในโลก ในแผ่นดิน จงสลายล้างอวิชาทั้งปวง มีแต่กำลังแห่งพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ มีแต่กระแสความศักดิ์สิทธิ์อันบริสุทธิ์ เมตตามหานิยม ขอจงมีแต่กระแสเมตตา ขอจงมีแต่กระแสแห่งมหาลาโภ ลาภอันเป็นสุจริต ลาภ ลาโภ ทรัพย์ปรากฏขึ้นจากความถูกต้องตามทำนองคลองธรรม
จากนั้นตั้งจิตอธิษฐาน ขอกระแสบุญศักดิ์สิทธิ์ เป็นกระแสความสว่าง กระแสบุญลงมาคุ้มครองรักษา เพิ่มกำลังแห่งเทพฤทธิ์ พรหมฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ ให้กับพระสยามเทวาธิราช เทพพรหมเทวดา ที่พิทักษ์รักษาคุ้มครองพระมหาเศวตฉัตร พระราชบัลลังก์ พระชนม์วานแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมราชินี พระพันปีหลวง พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ เทวดาตรงที่พิทักษ์รักษาพระบรมมหาราชวัง พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระหลักเมือง พระกาฬไชยศรี เทพพรหมเทวาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ทำนุบำรุงรักษาดวงพระวิญญาณแห่งบูรพมหากษัตราธิราชเจ้าทุกๆ พระองค์ ดวงวิญญาณแห่งบรรพบุรุษผู้พิทักษ์รักษาประเทศชาติ ดวงวิญญาณแห่งทหารหาญ ตำรวจตระเวนชายแดนที่ซื่อสัตย์มั่นคง รักษาชาติ รักษาแผ่นดิน ขอกระแสบุญจงน้อมถึงทุกท่าน ทุกคน ทุกดวงจิตด้วยเทอญ
ขอกำลังบุญแห่งพระกรรมฐาน เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา กำลังบุญแห่งพระกรรมฐาน เป็นกำลังน้อมรวมลงเป็นกําลังแผ่นดิน กำลังแห่งชาติ กำลังแห่งพระศาสนา กำลังน้อมพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ กำลังกรรมฐานจิตบริสุทธิ์เข้าถึงปฏิปทาแห่งสาธารณประโยชน์ทั้งโลก ทางชาติบ้านเมือง ขอจิตอันบริสุทธิ์ของข้าพเจ้าเจตนารมณ์ใช้กำลังอันเป็นผลแห่งพระกรรมฐานตรงตามสาธารณประโยชน์นี้ ยิ่งส่งผลให้กำลังอภิญญาสมาบัติ จิตตานุภาพ กำลังแห่งพระกรรมฐานบารมีทั้งหลายของข้าพเจ้า ก่อเกิดเพิ่มพูนเป็นตบะเดชะ พลปัจจัย เป็นกำลังใหญ่ให้กับส่วนรวมประเทศชาติสืบต่อไป และเป็นกำลังอันยังประโยชน์ต่อตน คือนำพาจิตตนให้พ้นจากวัฏสงสาร คือเข้าพระนิพพานได้โดยง่ายโดยพลัน หรือน้อมนำจิตในการบำเพ็ญบารมีทั้ง 30 ทัศ เพื่อพระโพธิญาณได้โดยง่าย ขอบุญทั้งหลายจงสำเร็จประโยชน์ ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน ได้เมตตาเป็นพยานแห่งการบำเพ็ญปฏิบัติ ขัดเกลาจิต สร้างตบะเดชะ อภิญญาสมาบัติ เจริญจิตตภาวนา สมถะ วิปัสสนากรรมฐานด้วยเทอญ
จากนั้นน้อมจิต น้อมกระแสกราบลาทุกท่านทุกๆ พระองค์บนพระนิพพาน เมื่อกราบแล้วก็พุ่งจิต กลับลงมายังกายเนื้อบนโลกมนุษย์ พร้อมกับน้อมกระแสแห่งพระนิพพาน เป็นลำแสงสว่างคลุมกาย คลุมบ้าน คลุมเคหสถาน ที่อยู่ที่อาศัยธุรกิจการงานทั้งหลาย เป็นลำแสงสว่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกายเนื้อ น้อมจิตเป็นกระแสสว่าง ฟอกธาตุขันธ์ ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ กายเนื้อเราสะอาดใสเป็นแก้ว ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง สะอาดใสเป็นแก้ว โครงกระดูกทั่วร่างกายสะอาดใสเป็นแก้วเป็นเพชร หลอดเลือด เส้นเอ็น สะอาดใสเป็นแก้ว เซลล์ทุกเซลล์ทั่วร่างกาย อาการทั้ง 32 อวัยวะภายในสะอาดใสเป็นแก้ว ขับไอพิษไอโรค โรคภัยไข้เจ็บ เซลล์ที่ผิดปกติ เซลล์ที่เป็นมะเร็ง เซลล์ที่เป็นเนื้องอก ธาตุธรรมเผาทำลายธาตุอันเป็นโรคทั้งหลาย ธาตุธรรมชำระล้างสลายโรคภัยไข้เจ็บ ให้สิ้นไปด้วยตบะเดชะ กำลังแห่งพระกรรมฐาน ธาตุธรรมสร้างธาตุทิพย์ สร้างเซลล์ใหม่ ธาตุใหม่ที่สมบูรณ์แข็งแรง มีกำลังมีความสะอาดบริสุทธิ์ กระแสธรรมเป็นเกราะแก้วคุ้มครองภยันตรายจากวิบาก จากอกุศล จากภัยทั้งปวง
เทวดาพรหมที่พิทักษ์รักษาคุ้มครองในขณะที่เราเจริญพระกรรมฐาน ขอให้ท่านมีส่วนร่วมและขอให้ท่านเมตตาปกปักรักษาคุ้มครองเราตลอดทั้งยามหลับและยามตื่น ตลอดจนเช้า ตลอดจนกลางวัน ตราบจนถึงเย็นค่ำค่ำคืน ทั้งกลางวันกลางคืน ก็ขอมีเทวดาพรหมผู้เป็นสัมมาทิฏฐิ ผู้มีอิทธิฤทธิ์ มีบุญฤทธิ์เทพฤทธิ์ ปกปักรักษาคุ้มครองรักษาเราสม่ำเสมอ
น้อมจิตอธิษฐาน กายสว่าง จิตสว่าง ขอบุญจงปรากฏ ตามพรหลวงพ่อรวยชาตินี้ นิพพานชาตินี้ เปิดสายบุญ สายทรัพย์ สายสมบัติ สายบารมี ให้เราได้เป็นมหาเศรษฐี ทำนุบำรุงชาติศาสนาและสถาบันพระมหากษัตริย์สืบต่อไป ให้เราช่วยเป็นกำลังนำพาโลกเข้าสู่ยุคชาววิไลสืบต่อไป กาย จิต ผ่องใสเป็นสุข
จากนั้นน้อมจิตโมทนาสาธุกับเพื่อนกัลยาณมิตรทุกคน ที่ได้ปฏิบัติเจริญพระกรรมฐานพร้อมกันทั้ง 62 ท่าน รวมถึงท่านทั้งหลายที่มาฟังในภายหลังในสื่อต่างๆ ให้ได้บุญได้กุศลทุกอย่า งพร้อมสมบูรณ์ มีความเจริญในธรรม มีความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม
จากนั้นหายใจเข้าช้าๆ ลึกๆ 3 ครั้ง พุทโธ ธัมโม สังโฆ
แล้วจึงถอนจิตช้าๆ จากสมาธิ ด้วยจิตอันเป็นสุข ผ่องใส จิตมีความชื่นบานแย้มบาน
สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน สรุปวันนี้เราก็จะมีเรื่องให้แจ้งให้ทราบเพิ่มเติม สำหรับการจัดสร้างพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพาน ทางคณะผู้จัดสร้างก็ได้เดินทางไปวางมัดจำในการสร้างพระเรียบร้อยแล้ว เป็นจำนวน 300,000 บาท แล้วก็ในวันพรุ่งนี้ วันจันทร์อาจารย์ก็จะเริ่มประกาศแบบเป็นทางการใน Facebook เรื่องขอเชิญชวนในการร่วมบุญในการจัดสร้างเพราะว่ายังต้องใช้ปัจจัยอีกจำนวนพอสมควร ก็ขอความร่วมมือ ความอนุเคราะห์เมตตาจากพวกเราทุกคน ถ้าเป็นไปได้ก็ช่วยกัน ใครมีกำลัง มีความสามารถเป็นต้นบุญได้ก็จะดีมาก ถ้ารวบรวมเข้ามาจากญาติธรรม จากคนรู้จัก จากมิตรสหาย จากบริษัท รวมให้ได้ก้อนใหญ่ก้อนเดียว แล้วโอนเข้ามาครั้งเดียว เพื่อจะได้ยอดของการโอนจะได้มากเกินไป เพราะว่าก็เกรงใจเจ้าของบัญชี ซึ่งถ้า Traffic การโอนมากเกินไป ก็จะถูกตรวจสอบจากสรรพากรก็กลายเป็นภาระเปล่าๆ หรือใครที่มีจริตชอบโอนเงินบ่อยๆ ทุกวันครั้งละ 1 สตางค์บ้าง 1 บาทบ้าง อันที่จริงเรื่องนี้ หลวงพี่เล็กวัดท่าขนุนท่านก็เคยบอกหลายครั้งว่า กลายเป็นสร้างความยุ่งยาก สร้างความเดือดร้อนให้กับกองบุญต่างๆ ให้ลองเปลี่ยนวิธีการดู เช่นถ้าจะทำน้อยบ่อยๆ ทุกวันเราก็ไปหาบาตรหรือกระปุกออมสินมาหยอดเงินไปวันละบาท ถึงเวลาที่อันสมควรเดือนนึงหรือ 3 เดือน เราก็นำเงินนั้นออกมาแล้วโอนครั้งหนึ่ง อันนี้เราก็ได้ทำตามกำลังถึงน้อย สะสมมันก็มากขึ้น แล้วก็ไม่เป็นการที่จะสร้างความเดือดร้อนให้กับกองบุญมากเกินไป
อันนี้ก็ฝากด้วยนะครับ แล้วก็ใครที่พอจะมีความสามารถ ที่จะนำแผ่นทองให้ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระสุปฏิปันโนได้เมตตาจารเขียนจารึกอธิษฐานจิตได้ ก็ขอให้ช่วยกัน สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน ขอให้มีความเจริญรุ่งเรืองพบกันใหม่สัปดาห์หน้า
สำหรับนี้สวัสดีครับ
ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย : คุณสิริญาณี แลบัว