เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันอาทิตย์ 19 มกราคม 2568
เรื่อง ธรรมะวิจัยยะ อุเบกขารมณ์ หยุดจิต หยุดปรุงเเต่งอกุศลจิต
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม สติรู้ในผัสสะทั่วทั้งร่างกาย เมื่อกำหนดรู้แล้ว เราก็กำหนดผ่อนคลายร่างกายทุกส่วน กล้ามเนื้อทั่วร่างกายผ่อนคลาย ปลดปล่อยความรู้สึก ปลดปล่อยพลังกำลัง ปลดปล่อยผัสสะทั้งหลาย ในความระลึกรู้เกี่ยวโยงกับร่างกายทั้งหมดออกไป ผ่อนคลายพร้อมกับปล่อยวางร่างกาย วางกาย ตัดว่าขันธ์ห้า ด้วยความรู้สึก ด้วยผัสสะ แยกกาย แยกจิต วางกายว่าขันธ์ห้า วางภาระของความเป็นร่างกายออกไปให้หมด
จากนั้นมากำหนดในการปล่อยวางภาระของใจ ปล่อยวางความกังวลทั้งหลาย ความวิตกหมกมุ่นทั้งหลาย ความห่วงในบุคคล ความห่วงใยวัตถุสิ่งของ ความห่วงในหน้าที่การงานทั้งหลาย ปล่อยวางออกไปจากใจให้หมด เมื่อปล่อยวางทุกอย่างได้แล้ว จิตเราเบาลง สงบลง หลายคนที่ฝึก ที่ปฏิบัติ พิจารณาติดตามมาถึงจุดนี้ จิตก็สงบเข้าสู่ฌาน หลายคนที่มีความคล่องตัว มีความเข้าใจ แค่ผ่อนคลายปล่อยวางร่างกาย จิตก็รวมลงเข้าสู่ฌาน 4 ได้ มีสภาวะในการแยกกาย แยกจิต แยกออกจากกันได้ในระดับที่สูง
ตอนนี้เราปล่อยวางร่างกาย ปล่อยวางภาระของใจ เพื่อให้จิตของเราสงบพร้อมเข้าสู่การฝึกการปฏิบัติการเจริญสมาธิ ทั้งในส่วนของสมถะและวิปัสสนา ในส่วนของสมถะเราเริ่มต้นจากอานาปานสติ กำหนดจินตภาพนึกเห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหม พลิ้วผ่านเข้าออกในกาย ลมหายใจรายละเอียดเบาสงบ ลมหายใจยิ่งละเอียด ยิ่งสว่าง ยิ่งมีความแพรวพราวระยิบระยับ
กำหนดรู้ตามไปว่า อารมณ์ใจเรายิ่งสงบ ยิ่งเบาลง จิตรวมตัวลง ยิ่งลมหายใจละเอียดลงมากเท่าไหร่ สงบระงับลงมากเท่าไหร่ นั่นหมายความว่าจิตเราเข้าสู่สมาธิในระดับฌานที่สูงขึ้นเพียงนั้น ลมหายใจยิ่งละเอียด ยิ่งเบาสบาย ยิ่งสงบ จิตก็ยิ่งสงบเข้าสู่สมาธิที่ลึกขึ้น ละเอียดขึ้นไปตามลำดับ ลมหายใจสัมพันธ์กับอารมณ์จิต อารมณ์ใจ ลมหายใจยิ่งละเอียดเบา จิตยิ่งรวมตัวเข้าถึงความสงบของจิต จนจิตเราเข้าสู่ความนิ่ง ความสงบ หยุดการปรุงแต่ง เข้าถึงอุเบกขารมณ์เข้าถึงเอกัคคตารมณ์ จิตรวมเป็นหนึ่ง นิ่งหยุด หยุดจิต หยุดการปรุงแต่ง เมื่อจิตนิ่งหยุด เข้าสู่เอกัคคตารมณ์ เราก็ฝึกประคองทรงอารมณ์ความนิ่ง ความหยุด ไว้สักครู่หนึ่ง เพื่อฝึกให้จิตมีความทรงตัวในเอกัคคตารมณ์ นิ่งหยุดสงบ นิ่งหยุดสงบ
จากนั้นเดินจิตต่อขึ้นสู่สมรรถนะที่สูงขึ้น คือสมาธิจากกสิณ อันเป็นบาทฐานของการได้อภิญญาจิต กำหนดจากอารมณ์จิตที่นิ่งหยุดนั้น กำหนดว่าจุดที่นิ่งที่หยุด เป็นจุด จากจุดเอกัคคตารมณ์ ขยายขึ้น จากจุดขยายเป็นวง จากวงขยายปรากฏสภาวะเป็น 3 มิติ กลายเป็นลูกแก้ว จากลูกแก้วปรากฏความใสความสว่าง ขยายขึ้น จิตเชื่อมโยงสัมพันธ์กับภาพนิมิตของกสิณ จิตคือกสิณ กสิณคือจิต
ภาพนิมิตยิ่งสว่าง ยิ่งใสมากเท่าไหร่ จิตเรายิ่งสว่าง ยิ่งใส ยิ่งมีกำลัง ยิ่งมีความเป็นทิพย์มากขึ้นเพียงนั้น กำหนดน้อมนึกให้เห็นจิตเราสว่างขึ้น ใสขึ้น จากดวงแก้วใสกลายเป็นเพชรประกายพรึกระยิบระยับ ความรู้สึกในการทรงอารมณ์ของกสิณ คือความรู้สึกว่าจิตยิ่งสว่าง มีความระยิบระยับแพรวพราวมากเท่าไหร่ เส้นแสงรัศมีของจิตขยายขอบเขตออกไปได้ไกลมากเท่าไหร่ เรายิ่งรู้สึกมีความสุข มีความอิ่มใจ จิตยิ่งสวยงามแพรวพราวเป็นเพชร จิตเรายิ่งมีความสุขความรู้สึกของความสุข ความรู้สึกว่าจิตเปล่งประกายแสงสว่าง จิตเข้าถึงความเป็นทิพย์ จิตมีกำลังแห่งความเป็นทิพย์ความเป็นทิพย์ก็คือ จิตอันมีอภิญญา ยิ่งเป็นสุข ยิ่งสว่าง ยิ่งใส ยิ่งบริสุทธิ์ ยิ่งเกิดกำลังของจิตอภิญญา ความสว่างความใส ความสว่างเกิดขึ้นจากกำลังของสมาธิ ความใส ความสะอาด ความบริสุทธิ์เกิดขึ้นจากสภาวะที่จิตเราสงบระงับจากกิเลส สงบระงับจากนิวรณ์ 5 ยิ่งบริสุทธิ์มากเท่าไหร่ จิตยิ่งมีกำลัง พลังของอภิญญาจิตนั้น ปรากฏขึ้นด้วยกำลังของตบะแห่งฌานสมาบัติ สมาธิและความบริสุทธิ์ความสะอาดจากกิเลส จิตเจตนาอันเป็นกุศล ไม่ได้ใช้กำลังของฤทธิ์อภิญญาไปในใช้ในเรื่องที่เป็นอกุศล เป็นเรื่องของความโลภ โกรธ หลง เบียดเบียน เอาไปใช้ทำร้ายบุคคลอื่น
ดังนั้นเราปรับอารมณ์จิตของเรา ให้เป็นลักษณะของจิต คนอื่นแสงสว่างของจิต ไฟจากกำลังของกสิณไฟ กำลังของอภิญญาจิตเอาไปใช้ได้ทั้ง 2 ด้าน ก็คือทางด้านที่สร้างสรรค์และทำลายล้าง เอาไปใช้ทางด้านกุศลและอกุศล อกุศลก็เป็นมิจฉาทิฐิ ยิ่งใช้กำลังของจิตจากฌานสมาบัติ คือจิตมีความตั้งมั่นจะเอาไปใช้ในการเบียดเบียนผู้อื่น ความตั้งมั่นในการเบียดเบียนผู้อื่นก็มีสูงกว่าคนที่เขาไม่ได้ฌาน ดังนั้นวิบากกรรม อกุศลกรรม อันเกิดขึ้นจากการที่ใช้อภิญญาจิต ที่เป็นศาสตร์ด้านมืดบ้าง เป็นคุณไสยบ้าง เป็นอวิชาบ้าง ตรงนี้ก็สร้างกรรมกับผู้ที่ทำ คือตนเองนี่แหละ เป็นผู้ได้รับกรรมมากกว่าผลกรรมแรงกว่าคนที่ไม่ได้ฌาน
ดังนั้นเมื่อเรากำหนดรู้แล้ว เราก็ฟังคำครูบาอาจารย์ คือองค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า อภิญญาจิต อภิญญาใหญ่จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ คนเข้าถึงคุณธรรมความดี ไม่เช่นนั้นการที่จะปล่อยให้อภิญญาใหญ่ปรากฏขึ้น คนยังมีกิเลส คนยังมีความโลภ โกรธ หลง คนยังมีความมานะถือดี คนยังมีความอวดเก่ง แข่งขันชิงดีชิงเด่น สุดท้ายก็เอาพลังอภิญญาจิตไปใช้ทำร้ายเบียดเบียนกัน
ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกันตัวเราเอง จิตของเราเอง เรากำหนดจิตให้เป็นอัตโนมัติ กำหนดจิตให้เป็นธรรมชาติ กำหนดให้ดวงจิตของเราที่สว่างนี้
ข้อที่ 1 ก็คืออาราธนาให้มีองค์พระคลุมอยู่ภายใน กำหนดตามองค์พระปรากฏอยู่ภายในดวงจิตที่เป็นเพชรสว่าง ขอกำลังแห่งพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ สถิตย์รักษา คุ้มครองจิตของเรา อภิญญาใหญ่จะปรากฏขึ้น ก็ขอให้เป็นอภิญญาที่เป็นสัมมาสมาธิ สัมมาอภิญญา เป็นไปเพื่อการเกื้อกูล เป็นไปเพื่อการสงเคราะห์ เป็นไปเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
เมื่อกำหนดขอบารมีพระคลุมในจิตเรา เป็นองค์พระอยู่กลางใจแล้ว เราก็กำหนดต่อไปว่า และรัศมีจิตของเราที่ปรากฏสว่างจะเป็นเส้นแสงก็ดี จะเป็นรัศมีของจิตก็ดี เราตั้งปรับ เป็นจิตเจตนาว่า ขอจงปรากฏเป็นคลื่นกระแสของเมตตา รัศมีจิต แสงสว่างของจิต จงเป็นรัศมีแสงของจิตที่เป็นกระแสเมตตา ความปรารถนาดี ความรัก คลื่นของความเมตตาสว่าง จิตเรายิ่งสว่างเป็นเพชรระยิบระยับ องค์พระภายในยิ่งชัดเจน เราปฏิบัติธรรมอยู่กับร่องกับรอย อยู่ในสัมมาทิฏฐิอยู่ในกระแสแห่งโลกุตรธรรม อยู่ในกระแสเมตตา
กำหนดน้อมจิต ให้จิตของเราเปล่งแสงสว่าง คลื่นรัศมีจิต คลื่นความเป็นทิพย์ คลื่นแห่งเมตตาสว่างออกไปเต็มกำลังกำหนดจิต ตั้งจิตอธิษฐานให้สว่างที่สุด ใสที่สุด ให้ภาพนิมิตให้สภาวะของจิตเราสว่างที่สุด สวยงามเป็นเพชรระยิบระยับสว่างแพรวพราวที่สุด กำหนดทรงอารมณ์นิ่ง ทรงสภาวะจิตที่เป็นประภัสสร ทรงสภาวะจิตที่เปรียบด้วยกระแสเมตตาไม่มีประมาณ จิตสว่างจากจิตที่เป็นปฏิภาคนิมิต ก็คือจิตที่เข้าสู่กสิณเป็นประกายพรึก เป็นปฏิภาคนิมิต คือฌาน 4 พอเราเดินจิตมาถึงจุดนี้ ก็เท่ากับเราทรงอารมณ์ได้เมตตาอัประมาณฌาน คือทรงเมตตาไม่มีประมาณ
กำหนดจิตสงบนิ่งอยู่ กำลังของกรรมฐานที่เราปฏิบัติทรงตัวอยู่ ณ ตอนนี้ก็คือ
- พุทธานุสติจากองค์พระภายใน
- ปรากฏมีแสงสว่างเต็มกำลังก็เป็นอ อาโลกสิน
- คลื่นกระแสแสงสว่างรัศมีจิตเราแผ่ออกไปด้วยกำลังของเมตตาฌาน ก็เป็นการเจริญพรหมวิหาร 4 เจริญเมตตา
กำหนดจิตทรงอารมณ์ไว้ กำหนดรู้ว่าเราทรงอารมณ์พระกรรมฐานควบกองอยู่ กำลังกรรมฐานมีความลึกซึ้ง สงบแน่นเปี่ยมพลัง จิตสว่างผ่องใสเต็มกำลัง ทรงอารมณ์ไว้ ทรงอารมณ์อภิญญาจิตไว้ ประคับประคองอารมณ์ความอิ่ม ความสุข ความปิติ ภาพนิมิตปรากฏชัดเจนอยู่ อารมณ์จิตเบา สงบ คลื่นกระแสแสงสว่างของจิตสว่าง จิตอิ่ม สว่างเป็นสุข ภาพนิมิตเป็นเพชรระยิบระยับชัดเจนสว่างไสว จนรู้สึกว่าห้องที่เราฝึกสมาธิอยู่จะเป็นที่ใดก็ตาม สว่างยิ่งกว่ามีแสงอาทิตย์มาปรากฏอยู่กลางห้อง
กำหนดคลื่น ญาณเครื่องรู้ของจิต ขอบข่ายญาณเครื่องรู้ กำหนดรู้ให้จิตมีความเป็นทิพย์ เห็นเทวดาพรหมที่ท่านมาพิทักษ์รักษาบุคคลที่เจริญพระกรรมฐาน จิตเป็นบุญเป็นกุศล เทวดาท่านก็มารักษาเยอะ ถ้ายิ่งจิตทรงอารมณ์จนสามารถเข้าถึงฌาน กำลังฌานสมาธิที่สูงขึ้น พรหมท่านก็มารักษา พอจิตเจริญพรหมวิหาร 4 ด้วย เมตตาจิตด้วย ทั้งพรหม ทั้งพระโพธิสัตว์ ท่านก็มาเมตตาสงเคราะห์รักษา
ทรงอารมณ์ ทรงความรู้สึก กระแสแสงสว่าง กระแสของเมตตา กระแสของพุทธานุภาพ ผนึกอยู่ในจิตของเรา ทรงฌาน ทรงอารมณ์ไว้ กำหนดรู้ กำหนดพิจารณาว่า จิตเราสามารถประคองอารมณ์กรรมฐาน อารมณ์ฌานสมาบัติให้มีความนิ่งสงบ ราบรื่น ต่อเนื่อง มีความเสถียร ไม่ขึ้นไม่ลง ไม่วูบวาบ นิ่งเสถียร สงบ สว่าง ทอดระยะได้นานเท่าที่เราต้องการ วสีความชำนาญในการทรงฌาน ทรงอารมณ์ เราก็เพิ่มพูนขึ้นตามประสบการณ์ ตามชั่วโมงบินแห่งการปฏิบัติ เราปฏิบัติทุกสัปดาห์สม่ำเสมอ ทรงอารมณ์ได้สม่ำเสมอ จิตก็เข้าถึงความมีเสถียรภาพ ไม่หวั่นไหว ไม่วูบวาบ ไม่วอกแวกไปมาจิตไม่มีการซัดส่าย ราบรื่น เสถียร นิ่งสงบ เอิบอิ่ม เปี่ยมพลัง
เมื่อทรงอารมณ์ได้ในระดับที่ตั้งมั่นตามที่ต้องการแล้ว ลำดับต่อไป เราก็กำหนดจิตพิจารณา จากการที่เราตัดกายมาอยู่กับจิตเพียงอย่างเดียว ก็มากำหนดอธิษฐานรำลึกถึงพระพุทธเจ้า อาราธนาบารมีพระพุทธองค์ทรงเมตตาสงเคราะห์ ขอยกจิตข้าพเจ้าขึ้นไปบนพระนิพพาน
แต่คราวนี้เรากำหนดนะ เวลาจะลองฝึกช้า ขึ้นแบบช้า พิจารณาดู กำหนดว่าดวงแก้วดวงจิตที่มีองค์พระ ก็คือจิตของเราบางคนปรากฏอยู่เบื้องหน้าบ้าง บางคนกำหนดว่าอยู่ภายในกายบ้าง คราวนี้กำหนดน้อมมาก่อนว่า ขอดวงจิตดวงกสิณที่เราตั้งจงมาปรากฏอยู่ภายในกาย บริเวณศูนย์กลางกายคือบริเวณฐานที่ตั้งของจิตภายในท้อง จากนั้นกำหนดว่าดวงจิตนี้ค่อยๆ เคลื่อน ค่อยๆ เคลื่อนลอยขึ้น ผ่านขึ้นมาจากท้อง ขึ้นมาผ่านอก ขึ้นมาผ่านคอ ขึ้นมาผ่านศีรษะ ขึ้นมาจนอยู่เหนือกระหม่อม คือลอยอยู่เหนือศีรษะ
จากนั้นกำหนดจิตว่า ขอให้กายทิพย์จงออกจากกายเนื้อ จงพุ่งขึ้นไปกลายเป็นเส้นแสงพุ่งขึ้นไป เป็นลำ ขึ้นไปอยู่บนพระนิพพาน พอถึงพระนิพพานแล้วก็กำหนดว่า จากดวงแก้ว ดวงแก้วที่เป็นดวงจิตค่อยๆ ก่อรูป ก่อตัวขึ้นช้าๆ ขยายกลายเป็นกายพระวิสุทธิเทพ จากดวงจิตแปลสภาวะเป็นรูปกาย คืออาทิสมานกายเป็นกายพระวิสุทธิเทพ ค่อยๆเปลี่ยนขยายขึ้นช้าๆ อันนี้อันที่จริงเวลาเราพุ่งขึ้นไปก็เปลี่ยน จริงๆ เวลามันเร็วมาก แต่คราวนี้เราจะให้เห็นชัดๆ ว่าการพุ่งจิตเป็นยังไง สำหรับบางคนที่ยังพุ่งขึ้นไปไม่เป็น หรือบางคนเห็นว่าเป็นดวงจิตกลมอยู่ ถึงเวลาว่ายกจิตขึ้นก็เหมือนกับจิตนี้ถูกดีดขึ้นไปด้วยความเร็วสูง พุ่งขึ้นไป เร็วยิ่งกว่าลัดนิ้วมือเดียว ก็ขึ้นไปอยู่บนพระนิพพาน แต่อันนี้เราขึ้นช้าๆ ให้เห็น แปลสภาวะจากดวงจิตที่เป็นทรงกลม ให้กลายเป็นกายอาทิสมานกาย
จิตนี้ จริงๆ ก็คือแปรเปลี่ยนไปตามรูปของภพ ไปอยู่ภพไหนก็เป็นกายของอาทิสมานกายภพนั้น ไปอยู่ภพที่เป็นอากาศเทวดา ก็กลายเป็นกายของเทวดา กายของพรหม หากเราจิตมีอกุศลกรรมไปอยู่ในเขตที่เป็นอบายภูมิ กายก็เป็นกายของเปรตอสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ไปตามอารมณ์ ไปตามกรรม ไปตามภพ แต่พอจิตเราขึ้นไปบนพระนิพพาน ตัดกิเลสหมด ปล่อยวาง ตัดภพ ไม่สนใจระหว่างทางที่จิตพุ่งมา ผ่านภพของรุกขเทวดา พรหมเทวดา อากาศเทวดา ภพของพรหมโลก 16 ชั้น ภพของอรูปพรหม เราผ่านหมด ไม่สนใจ จิตไม่เอา นั่นก็คือจิตเราไม่เกาะ ไม่แวะ ไม่เวียน ไม่ห่วง จิตมันก็ตัดภพ เพราะจิตเรามุ่งจุดเดียวคือพระนิพพาน เพราะจิตมุ่งจดจ่ออยู่กับพระนิพพาน กายที่ไปปรากฏปรากฏกายเป็นกายพระวิสุทธิเทพ
กายพระวิสุทธิเทพเราก็กำหนดรู้ ตอนนี้ก็ให้เราแต่ละคนกำหนดรู้ ว่าสภาวะเครื่องประดับ เครื่องทรง สภาวะของความเป็นกายพระวิสุทธิเทพเป็นอย่างไร ในขณะที่กำหนด ก็กำหนดตัดกายที่เป็นขันธ์ 5 กายเนื้อของความเป็นมนุษย์ ว่าเราไม่ใช่กายที่เป็นกายเนื้อ กายหยาบขันธ์ 5 เนื้อมนุษย์ที่เน่าเหม็น เราคือกายทิพย์ อาทิสมานกายอันปรากฏขึ้นจากจิตที่บริสุทธิ์ จิตที่สะอาดจากกิเลสทั้งหลาย กำหนดตัดกายไปพร้อมกัน
ในขณะที่เราพิจารณาในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ ตรงจุดนี้ก็พยายามฝึกให้มีความเคยชิน ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็กำหนดตัดกาย กำหนดรู้ในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ พร้อมกับพิจารณาตัดกาย เนื้อกายหยาบขันธ์ 5 ไปพร้อมกัน ทำควบคู่ไปในจังหวะเดียวกัน
พอพิจารณาแล้ว จิตเข้าถึงอารมณ์ของพระนิพพานจริงแล้ว เราก็น้อมจิตกราบพระพุทธเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทุกครั้งที่ขึ้นมาเราก็อธิษฐานจิต ขอบารมีพระพุทธองค์ทรงปรากฏเป็นสมเด็จองค์ปฐม เสด็จเป็นประธานท่ามกลางมหาสมาคมคือทุกท่านอยู่บนพระนิพพาน อยู่กี่พระองค์ เราอาราธนามาเพื่อให้เราได้กราบทุกพระองค์ มีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอรหันต์ทุกๆ พระองค์ ที่ท่านเข้าถึงพระนิพพานแล้ว เราแยกอาทิสมานกายกราบทุกพระองค์ ในขณะที่กราบก็ตั้งใจว่า เรากราบให้ถึง แยกกายทิพย์กราบถึงพระบาททุกพระองค์ ความรู้สึกของเรากราบให้ถึง กราบด้วยความนอบน้อม กราบด้วยความเคารพ
ในขณะที่กราบก็อธิษฐานว่า ขอให้กระแสธรรม มรรคผลที่ท่านทุกพระองค์ เข้าถึงคุณธรรมพิเศษ เข้าถึงมรรคผลนั้นเข้าถึงอภิญญานั้น ก็ขอให้ธรรมทั้งหลาย ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงได้โดยง่ายโดยพันด้วยเช่นกัน ธรรมใดอันเป็นเครื่องสัปปายะกับจิตของข้าพเจ้า ธรรมใดที่เหมาะสมกับปัญญาบารมีของข้าพเจ้า ก็ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึง เข้าใจได้โดยง่าย ปฏิบัติในจุดที่ตรง มุ่งลัดตัดตรงสู่มรรคผลพระนิพพาน
เมื่อเราน้อมจิตพิจารณาเช่นนี้แล้ว เราก็กำหนดต่อไป กำหนดจิตต่อไป อธิษฐานว่าเรามาปฏิบัติเจริญพระกรรมฐานบนพระนิพพาน ขอให้ปรากฏสภาวะกายพระวิสุทธิเทพของเรา นั่งขัดสมาธิ เจริญพระกรรมฐานอยู่บนรัตนบัลลังก์ดอกบัวแก้ว คือมีดอกบัวแก้วมารองรับเป็นอาสาให้เรานั่ง เรานั่งขัดสมาธิ กำหนดจิตเป็นกายพระวิสุทธิเทพ
จากนั้นเริ่มพิจารณา เริ่มพิจารณาตั้งแต่จุดแรกในการปฏิบัติของตัวเราเอง ตรงจุดนี้ก็จะเป็นการเจริญปัญญาเพื่อให้จิตเรามีปัญญารู้ ว่าการปฏิบัติธรรมในแต่ละจุดมีจุดมุ่งหมายอย่างไร ปรารถนาผลอย่างไร อารมณ์กรรมฐานที่ต้องการคืออะไร เราก็เริ่มตั้งแต่จุดแรก ย้อนทวนไปตั้งแต่ที่เราฝึกเป็นประจำทุกวัน ความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเป็นการฝึกให้จิตเรามีสติรู้ทั่วทั้งร่างกาย ให้รู้ทั่วทั้งร่างกาย รู้เพื่อละ
จำไว้ว่าศัพท์นี้ใช้กับการปฏิบัติในทุกจุด รู้กายเพื่อละกาย ทิ้งกาย พอเราผ่อนคลายเราฝึกที่จะทิ้งร่างกาย เป็นการแยกกายแยกจิต ให้มันเข้าถึงการแยกกายแยกจิตที่เร็วที่สุด คือแยกด้วยผัสสะ คือตัดผัสสะความรู้สึกในกายออกไปให้หมดมาอยู่กับจิต พอเราแยกกายแล้ว เราก็กำหนดต่อว่า การวางภาระของใจ สิ่งที่หมกมุ่น สิ่งที่กังวล วางไปให้หมด เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ที่มันเป็นภาระของใจ มันเป็นเครื่องที่เรียกว่า ปลิโภช เป็นเครื่องที่เรียกว่านิวรณ์ 5 ความกังวลเป็นปลิโภช ความห่วงเป็นปลิโภช ความฟุ้งซ่าน ความง่วงเหงาหาวนอน ความคิด เกาะติดอยู่ในกามราคะ กามคุณ 5 ความคิดยุ่งอยู่กับความแค้น ความพยาบาท ความง่วงเหงาหาวนอน ความฟุ้ง ความวุ่นวายใจ อันนี้เป็นนิวรณ์ 5 เป็นเครื่องขวางไม่ให้จิตเราเข้าถึงสมาธิ
ดังนั้นจริงๆ แค่ 2 ตัวแรกที่เราฝึก ความลึกก็คือทิ้งกาย ตัดกาย เป็นการเจริญวิปัสสนาญาณโดยการตัดโดยผัสสะความรู้สึกเราตัดปลิโพธ ตัดนิวรณ์ได้หมด พอเราวางหมดปุ๊บจริงๆ จิตมันก็เข้าสู่ฌานสมาธิ พอเข้าสู่ฌานสมาธิเราก็กำหนดจับลมหายใจในอานาปานสติ จำไว้ว่าอานาปานสตินั้นมีไว้จุดสำคัญที่สุดคือ เพื่อปรับอารมณ์ ปรับอารมณ์จากวุ่นวาย โมโหฟุ้งซ่าน อารมณ์กลัว อารมณ์ที่มีความเข้มข้น อารมณ์ที่มีความตกใจ เราให้ลมหายใจลึกๆ เพราะหายใจเข้าออกยาวๆ ลึกๆ จิตมันจะสงบลง ดังนั้นเวลาที่คนเขามีเรื่องราวตกอกตกใจ มีสภาวะความเหนื่อยมาก ให้หายใจเข้าช้าลึกยาว ปรับอารมณ์ อารมณ์สงบ อันนี้ก็ทำเพื่อปรับอารมณ์
พอปรับอารมณ์ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อไหร่จิตเข้าลึกถึงอุเบกขา อุเบกขารมย์นี่เป็นสิ่งสำคัญ นั่นแปลว่าจิตรวมเป็นหนึ่ง จิตรวมตัวจะทำสิ่งใด นึกรวมจิตได้ เราก็สามารถที่จะมีพลังจิตเข้มแข็งกว่าคนที่เข้าร่วมจิตไม่ได้ ยิ่งรวมได้มีความตั้งมั่นมากเท่าไหร่ พลังจิตอภิญญาจิต อานุภาพก็มีสูงเพียงนั้น พอรวมได้แล้วเราก็เดินจิตเข้าสู่กสิณ
กสินนั้นเป็นบาทฐานของอภิญญา การเนรมิตสิ่งต่างๆ การนึกและสิ่งที่นึกกลายเป็นจริง ก็เกิดขึ้นจากกำลังของกสิณ ยิ่งจิตผ่องใสมากเท่าไหร่ จิตตั้งมั่นมากเท่าไหร่ จิตสงบได้มากเท่าไหร่ สิ่งที่นึกก็มีพลังของอภิญญาสูงเพียงนั้น
แต่สิ่งสำคัญที่เราเอาสมถะมาใช้ตัดกิเลสก็คือ เมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีสติรู้ว่าลมเราปรุงไป คิดไปในความพยาบาท คิดไป ปรุงไปในสิ่งที่เป็นอกุศล คิดไป ปรุงไปในสิ่งที่เป็นเรื่องร้ายๆ สิ่งที่เป็นเรื่องลบ เราก็มาจับลม สติรู้ก็เลิกคิด เลิกปรุง มันจะปลด มันนิ่ง มาหยุด หยุดการปรุงแต่ง หยุดคิด หยุดอกุศล แค่ตั้งใจหรือเจตนาที่จะหยุดอกุศลจิต ตรงนี้ก็เป็นมหากุศล เมื่อเทียบกับบุคคลที่เขาไม่ได้ฝึกกรรมฐาน
ให้เราลองคิดพิจารณาดู การปล่อยอารมณ์จิตไหลไปกับความโลภ ความโกรธ ความหลง เวลาที่เราปล่อยไหลไป บางที่เราหงุดหงิด คิดร้ายกับคนคนใดคนหนึ่ง พอคิดต่อไป คิดไปเรื่อยๆ ให้ความคิดมันมีความเข้มข้นขึ้น จากคิดว่าคนนั้นเขาทำไม่ดีกับเรา เราเริ่มมีความคิดอยากแก้แค้น อยากเอาคืน หรือปรุงแต่งจนจิตเกิดโทสะรุนแรงขึ้น จากเอาคืน ไม่คิดว่าเอาคืนธรรมดา คิดว่าจะเอาให้ตาย คิดว่าจะฆ่า คิดว่าจะไปโกงเขา คิดว่าจะไปทุบตีเขา คิดว่าจะไปหลอกลวงเขา คราวนี้มันกลายเป็นการละเมิดศีล หรือการละเมิดศีลขั้นสูง หรือแม้แต่กระทั่งกลายเป็นการที่ไปฆ่า ไปทำลายชีวิตของบุคคลอื่นซึ่งมันผิด นอกจากศีลก็เป็นเรื่องของการผิดกฎหมาย ถ้าเราปล่อยมันไหลไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงขั้นนั้น แล้วเราลงมือทำ ชีวิตเราก็อาจจะจบจากคนที่อยู่เป็นคนปกติ คนดี อยู่ข้างนอกสบายๆ เราปล่อยไหลไปจนกระทั่งไปทำความผิด มันก็กลายเป็นว่าเราจะต้องไปรับโทษ ชีวิตมันก็เปลี่ยน แต่การที่เราหยุดได้ทัน หยุดอกุศลได้ทัน ว่านี้มันเป็นเรื่องไม่ดีละ นี่เป็นเรื่องลบ นี่เป็นเรื่องที่เราปรุงไปในสิ่งที่เป็นโทษ เราหยุดจิต จิตเรามีจิตตานุภาพอยู่เหนือคนที่เขาไม่เคยฝึก
“หยุดเป็นตัวสำเร็จ หยุดการปรุงแต่ง หยุดอกุศลทั้งหลาย หยุดการเกิด”
พอเราหยุดได้ด้วยเอกัคคตารมณ์ ด้วยอุเบกขารมณ์ ชีวิตเราก็ยังสามารถทรงตัวอยู่ในความดี ยิ่งหยุดได้เร็วมากเท่าไหร่ หยุดอกุศลได้เร็วมากเท่าไหร่ ไม่ปล่อยไหลไปไกล ใจของเราก็อยู่ในความดี ไม่ขุ่น ไม่หมด ให้คิดเอาง่ายๆ ว่าในระดับของอกุศลเช่น ในอกุศลสายโทสะ โทสะก็คือปฏิฆะ หงุดหงิดใจ รำคาญใจ รำคาญใจแล้วก็เกิดโทสะ ความโมโหความโมโหเสร็จ ปรุงแต่งลึกลงไป เข้มข้นลงไป ก็เกิดเป็นความแค้น เกิดเป็นคงามแค้นก็เกิดความรู้สึกอาฆาต อาฆาตเสร็จเกิดความพยาบาท เกิดความพยาบาท เกิดการจองเวร การจองเวรก็คือคอยจ้องเอาคืนไปทุกชาติทุกภพ จากเอาแค่ชาติเดียวก็ไกลออกไปอีก
เราก็จะเห็นว่ากุศลนั้น จริงๆ ถ้าเทียบกัน เอาเรื่องของความใสของจิตมาเป็นตัววัด ปฏิฆะมันก็เหมือนกับจิตของเราเคยใส สะอาดบริสุทธิ์ มันก็เริ่มมีความขุ่นมาเล็กน้อย พอเริ่มโกรธมันก็มีความเข้มขึ้น เพราะสภาวะจิตเรามีความอาฆาตแค้นพยาบาท จิตมันดำสนิท แต่คราวนี้เราดูลึกลงไปอีก ในเรื่องของความเป็นทิพย์ ในเรื่องของจิต ในเรื่องของวิญญาณที่แทรกเข้ามา จำไว้ว่าจิตเราอยู่ในอารมณ์ใด จิตอื่นที่เขาอยู่รายรอบข้างเขาก็เข้ามาฉันนั้น เพราะจิตเรามันดิ่งลึกถึงความแค้น ความอาฆาต ความพยาบาทจองเวร คราวนี้ถ้าเราดูด้วยญาณเครื่องรู้ เราก็จะเห็นว่าคราวนี้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ที่เขาไม่ได้ปรารถนาดีกับเรา เขาก็จะมารุมใกล้ๆ จิตของเรา เพราะจิตเราคลื่นเดียวกับเขา บางทีก็มากระซิบบ้าง มาบอก มายุ เป็นเสียงของจิตว่าเอามันเลย เอาคืนไปเลย มันทำแบบนี้ เราก็ยิ่งลึกไปในอกุศลมากขึ้น
ดังนั้นอันที่จริง พอปฏิฆะปุ๊บ พอเราตัดหยุด ไม่เอาแล้ว เป็นกุศลจิตวาง คลื่นกระแสของเจ้ากรรมนายเวรที่เขามีความแค้นเข้มข้นกับเรา คิดร้ายกับเรา หวังจะมาแทรก หวังจะมาชักจูง เขาก็ไม่สามารถเข้ามาได้ แต่ถ้าดิ่งลึกไปถึงระดับหนึ่ง กำลังความผ่องใส ความสว่างของบุญ ของกุศลไม่ได้อยู่เพียงพอที่จะป้องกัน เขาก็จะแทรกเข้ามาได้ อันนี้เห็นตาม ดูตามไปด้วยนะ จะได้เข้าใจมากขึ้น เข้าใจเพื่อจะได้หยุดจิตจากอกุศล จะเป็นความโกรธ ความโลภ ความหลง เราก็วางให้หมด
คราวนี้เราก็รู้แล้วว่าทำไมเราต้องหยุดจิต ทำไมเราต้องหยุดความคิด ทำไมเราต้องหยุดการปรุงแต่ง ทำไมเราต้องหยุดอกุศล หยุดได้เมื่อไหร่ หยุดได้บ่อยเข้า ๆ คราวนี้จิตมันก็กลายเป็นเรื่องง่าย จากเมื่อก่อนมันเหมือนกับอารมณ์ทั้งหลายที่มันไหลไป มันเป็นเหมือนกับก้อนหินขนาดใหญ่ที่มันใหญ่กว่าตัวเรา เวลาที่มันไหล เวลาที่มันกลิ้งมา มันทับเรา เราจะไปหยุดมันทับเรา เราไหลไปตามมัน แต่คราวนี้มันเหมือนกับว่ากำลังเรามากขึ้น ก้อนหินเท่าเดิมแต่กำลังเรามากขึ้นแล้วเหมือนเราสามารถหยุดด้วยมือเดียว เราหยุดด้วยนิ้วเดียว จิตของเรายิ่งมีตบะแรงกล้าในการหยุดในสมถะ ในการเจริญพระกรรมฐาน เราก็หยุดอกุศลได้มากกว่าคนที่เขาไม่ได้ฝึก
พอเราเข้าใจแล้ว ตอนนี้เราก็เริ่มเห็น เริ่มเข้าใจ ว่าบุคคลทั้งหลายที่ไหลไปตามกิเลส เวลาที่พระอริยเจ้า เวลาที่ครูบาอาจารย์ ท่านเห็น ท่านเห็นเป็นเช่นไร อารมณ์มันไหลไปด้วยอาการฉะนี้ อารมณ์จิตที่มาสอด มาแทรก มากระซิบ มาช่วยดึงให้ดิ่ง มันก็มีแบบนี้ อันนี้เป็นเรื่องปกติ
อย่างอันนี้ก็ขอยกกรณีหนึ่งว่า อย่างคนบางคนที่อารมณ์ดิ่งลงสู่ความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจลึกๆ เจ้ากรรมนายเวรก็จะมากระซิบ เขาก็จะมาบอกว่า ไม่มีใครรักเราเลย เราไม่มีค่าให้อารมณ์ดิ่งที่ขั้นสูง ไอ้พวกเจ้ากรรมนายเวรหรือว่าจิตวิญญาณที่เข้าไปลบ ที่เข้ามาแทรก เขาก็จะมาบอกว่าถึงตายไปก็ไม่มีใครคิดถึง อยู่ไปก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้เขาเริ่มชักจูง จะหลอกให้ไปฆ่าตัวตาย ถึงเวลาบางคน ถึงบอกว่าไปยืนอยู่ตามทางรถไฟ จริงๆ ก็ไม่ได้คิดอะไร แต่ถึงเวลาที่จิตวิญญาณต่างๆ ก็มาแทรก เขาก็มากระซิบว่ากระโดดไปเลย หรือบางทีกำลังเขามีมากกว่าจิตของเรา ไอ้คนที่เดินไป กระโดดไปหารถไฟให้ชน จริงๆ เขาก็บอกเขาไม่รู้ เหมือนร่างกายมันเดินไปเอง อันนี้ก็คือกำลังของเจ้ากรรมนายเวรเข้าแทรก เวลาที่กำลังเอาฝ่ายอกุศลมันเข้า พวกนี้เขาก็แทรกได้
ดังนั้นเมื่อเรารู้เท่าทันในเรื่องของกระแสจิต รู้เท่าทันในเรื่องของอารมณ์จิต เราก็จงพิจารณาว่า โชคดีหนอที่เรามีความเข้าใจ มีปัญญา แล้วเราก็ได้ฝึกสมาธิ อยู่ในจุดที่สามารถที่จะประคับประคองชีวิตเราได้ในระดับหนึ่ง แต่เหนืออื่นใดการที่มีกำลังพุทธานุภาพ กำลังธรรมานุภาพ กำลังครูบาอาจารย์ สังฆานุภาพ มาช่วยคุ้มครอง ก็เป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง
เราก็กำหนดจิตต่อไปว่า เราจะไม่ปล่อยจิตของเราให้ไหล ถ้าโทสะก็อย่าเกินกว่าปฏิฆะ ไม่ให้มีอารมณ์โกรธขึ้น ไม่ให้มีอารมณ์ที่อารมณ์ขึ้น อารมณ์หน้าแดง โมโหมือสั่น อารมณ์แบบนี้ เราลองคิดพิจารณาดูว่า เดี๋ยวนี้เรายังเกิดอารมณ์เช่นนี้อยู่อีกไหม หลังจากการเจริญพระกรรมฐานมาในระดับหนึ่ง ปฏิฆะถามว่ามีไหม มีแน่นอน กว่าจะตัดได้ในระดับ พระอรหันต์ ปฏิฆะนี่มันเป็นเรื่องที่สะกิด ถูกกระตุ้น เอ๊ะ! จึ๊กจั๊ก! นี่ก็ถือว่าเป็นปฏิฆะ ดังนั้นมันปรากฏจากการที่โดนกระทบ กระทบโดยที่สติเราอาจจะยังรู้ไม่ทัน เราก็ตื่นขึ้นมาก่อน พอได้สติเราก็วาง มันก็ไม่ต่อ ไม่ขยายไปเป็นโทสะ ไปเป็นความโกรธที่เข้มขึ้น
พิจารณาต่อไปว่า แล้วกิเลสทางสายโลภะ ความอยากได้อารมณ์จิตเราปรุงจนถึงอยากรลัก อยากขโมยไหม ลงมือทำไหม ไอ้อารมณ์พวกนี้มันก็มีปรากฏ จากที่เราไหลไปตามอารมณ์ของกิเลส ที่กิเลสลาก ตอนแรกก็เห็นแล้วอยากได้ อยากได้ อยากได้แล้วเราวางได้ไหมว่า เราจะอยากได้ ถ้าเราอยากได้เราก็ต้องหามาด้วยความเป็นสัมมาอาชีวะ ทำได้ไหม หรืออยากได้แล้วก็พิจารณาว่าอยากได้เพราะอะไร อยากได้เพราะเป็นสิ่งจำเป็น หรืออยากได้เพราะมันเป็นสิ่งว่าต้องมี ของมันต้องมี อันนี้มันก็เป็นเครื่องกระตุ้นกิเลส ของมันต้องมี มันก็ต้องมีไปทุกอย่าง เราก็พิจารณาดูว่าความอยากได้ใคร่ดีเรามีสูงจนเกินประมาณไปไหม จิตมีสติรู้ว่าพออยากได้แล้ว จิตมันหยุดว่าเป็นความจำเป็นอย่างแท้จริงหรือว่าอยากได้เพราะว่าอยากได้ด้วยอารมณ์ล้วนๆ พิจารณาแล้วก็หยุดมัน
สุดท้ายก็คือ ความหลง ความหลงมันก็หลงหลายอย่าง หลงในกาย หลงในชีวิต หลงในกาย ก็คือหลงว่ากายของเรามันจะไม่ป่วย ไม่ตายมันจะหนุ่มสาวตลอด หลงในชีวิต ก็คือมองว่าชีวิตของเรามันจะต้องเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ตลอดไป ไม่มีการแปรเปลี่ยน หลงในภพ คือหลงว่าภพนี้ ความเป็นมนุษย์นี่มันช่างดีเหลือเกิน ส่วนใหญ่อารมณ์ของการหลงติดในภพต่างๆ มันก็ขึ้นด้วยอารมณ์นี้
จำไว้นะ อย่างจิตที่เป็นหลงเกิดเป็นแมว เป็นหมา ก็มีอารมณ์ที่ปรุงว่าแหมเกิดเป็นแมวนี่มันดีเหลือเกิน มีมนุษย์คอยมา สางขนให้ มีมนุษย์เอาของอร่อยมาให้ มีมนุษย์เป็นทาสแมวอย่างเรา ไอ้การเป็นแมวนี่มันช่างดีเหลือเกิน เมื่อไหร่ที่อารมณ์พอใจ อารมณ์ที่คิดว่ามันช่างดีเหลือเกิน มันเกิดขึ้นลึก คราวนี้ก็เกิดต่อไปเรื่อยๆ เพราะเกิดต่อ พอชาติที่ 3 ชาติที่ 4 ก็เริ่มจำว่าเราเป็นแมวนี่หว่า พอจำว่าเป็นแมวนี่หว่า คราวนี้ชาติต่อไป เราก็ต้องเป็นแมวต่อ เพราะเราก็จำว่าเราคือแมว ดังนั้นการเกิดซ้ำ ที่บอกว่าเกิดเป็นสัตว์เกิดเป็นหมา 500 ชาติ มันก็ไม่ได้ 500 ชาติ มันก็เกิดจนกระทั่งจิตถึงจุดที่เปลี่ยน เช่นบังเอิญไปเกิดเป็นแมววัด พอเกิดเป็นแมววัดปรากฏว่าเห็นพระท่านดีกับเราเหลือเกิน พระท่านมีเมตตาการเป็นคนที่ห่มผ้าเหลืองที่ดีจัง คราวนี้ก็เริ่มมีจิตที่พึงพอใจกับมนุษย์ ก็เริ่มหลุดไปจากการที่อยู่กับพระก็มาเกิดเป็นมนุษย์ ค่อยๆ ขึ้นมา อันนี้ก็เป็นเรื่องปกติ
จำไว้ว่า ใครที่ชอบบ่นรำพึงรำพัน แหมเป็นหมาที่ช่างดีเหลือเกิน เป็นแนวนี้ช่างดีเหลือเกิน เกิดเป็นนั่นช่างสบายเหลือเกิน
อันนี้แหละเรียกว่า การติดภพ เริ่มหลงไปในภพ ถ้าอารมณ์ของพระพุทธเจ้า ท่านก็จะมองว่าในสังสารวัฏ ในโลก ในความเป็นทิพย์ทั้งหลายมี ความสวย มีความสุข แต่ก็ไม่มีสิ่งใดที่มันเที่ยง สิ่งต่างๆ เป็นมายาทั้งหมด ภพภูมิทั้งหลายก็ไม่เที่ยง โลกก็ไม่เที่ยงสวรรค์ ก็ไม่เที่ยงพรหมก็ไม่เที่ยง ทุกภพภูมิไม่เที่ยง อยู่ในกฎไตรลักษณ์ทั้งหมด ถ้าจะเอาธรรมที่เที่ยง ก็คือ พระนิพพานเป็นที่สุด
ดังนั้นเมื่อไหร่ก็ตามที่เราหลง เราก็พิจารณาว่าภพนี้มันก็ดีนะ แต่ที่ดีที่สุดก็คือพระนิพพาน ไม่ต้องเกิด ไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องกระทบ ไม่ต้องมาเจอกับความแปรปรวน ไม่ต้องมาเจอกับโลกใบที่ 2 ไม่ต้องมาเจอกับการเบียดเบียนกัน อันนี้เราก็คิดพิจารณา พอพิจารณาได้หมดแล้ว ก็จงนำไปใช้กรรมฐาน การหยุดจิต หยุดการปรุงแต่ง หยุดอารมณ์ฝ่ายอกุศล มาอยู่กับกุศล ทรงอารมณ์ไว้พิจารณา แล้วเราก็ทรงอารมณ์ในอารมณ์พระนิพพาน
พิจารณาว่าการหลงไปในสงสาร คือหลงไปในสังสารวัฏ หลงไปติดอยู่กับการเกิด หลงไปติดกับการเวียนว่ายตายเกิดการหลงในภพต่างๆ นั้น เป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่ง หลงไปแล้วกว่าจะมาพบเจอพระพุทธเจ้า มาพบเจอพระพุทธศาสนาอีก เป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญอย่างยิ่ง
“อันนี้เป็นเหตุหนึ่งที่ในพระพุทธศาสนาจึงสอนว่า การบำเพ็ญทาน ถ้าจะให้ดีเป็นกุศลก็ควรจะบำเพ็ญทานในเขตพระพุทธศาสนา เหตุผลไม่ใช่เป็นความเห็นแก่ตัวของพระพุทธศาสนา แต่เป็นความเมตตาของพระพุทธศาสนาที่ว่า ถ้าเราเคยร่วมบุญร่วมกุศลทำทานมาในเขตพระพุทธศาสนา จุดนี้จะเป็นกำลังบุญที่เป็นเชื้อ เป็นเหมือนเชือกที่ผูกให้จิตเราไม่ลอยหลุด ไม่หลงหลุดไปจากเขตพระพุทธศาสนา หากแม้นลอยหลุดไปในบางพบต่างชาติบ้าง แต่ในที่สุดก็กลับมาได้”
อันนี้เป็นเรื่องสำคัญ ที่บางคนก็ฟังแต่ว่าไม่ทราบเหตุผล พอเราทราบเหตุผล เราจะได้มีความเข้าใจ สำหรับการที่เราจะไปสอนลูกสอนหลาน สอนคนรู้จัก แต่สำหรับตัวเราถ้าเราปฏิบัติมาถึงจุดที่ปรารถนาพระนิพพานแล้ว ตรงจุดนี้ก็ถือว่าที่ต้องใช้กำลังใจสูงกว่า จิตเกาะว่าจะต้องอยู่ในเขตพระพุทธศาสนาก็คือ เราต้องตั้งกำลังใจว่าจิตเราต้องเกาะกับพระนิพพาน ไม่มีเป๋ ไปในภพอื่นภูมิใด ไม่มีเป๋ไปกับเรื่องอื่น จิตต้องมีความตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพานมากกว่าคนทั่วไป
สำหรับวันนี้ เราทรงอารมณ์ เราเจริญพระกรรมฐาน จิตเรามีความเข้าใจในการปฏิบัติ เอาไปใช้ในขณะที่เราอยู่นอกสมาธิได้มากขึ้น ใช้ในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น เราก็น้อมจิตนะ ว่ากำลังบุญ กำลังการที่เราเจริญพระกรรมฐาน มีความก้าวหน้า มีความเข้าใจในธรรมสูงขึ้น ประณีตขึ้น เราขอน้อมจิตเป็นกุศลแห่งการปฏิบัติเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา
แล้วก็ขอน้อมอาราธนากระแสแห่งพระนิพพาน แผ่เมตตาลงไปยังภพภูมิทั้ง 3 ภพภูมิ แผ่กระแสเมตตาลงไปยังภพของอรูปพรหมทั้ง 4 พรหมโลกทั้ง 16 ชั้น อากาศเทวดาทั้ง 6 ชั้น ภพของรุกขเทวดา ภูมิเทวดา ทั่วอนันตจักรวาล แผ่เมตตาให้กับบรรดาสรรพสัตว์และมนุษย์ที่มีขันธ์ 5 กายเนื้อกายหยาบ ทั่วอนันตาจักรวาล แผ่เมตตากระแสจากพระนิพพานลงไปยังภพของโอปปาติกะสัมภเวสี ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลาย ภพภูมิเมืองบังบดลับแล มิติที่ทับซ้อนทั้งหลายทั่วจักรวาล แผ่เมตตาไปยังภพของเปรตอสุรกายทั้งหลาย แผ่เมตตาลงไปยังภพของสัตว์นรกทุกขุม ลึกลงไปถึงที่สุดคือโลกันตมหานรก ขอน้อมกระแสพุทธานุภาพ กำกับกระแสเมตตาที่ข้าพเจ้าแผ่ไปไม่มีประมาณนี้ด้วยเทอญ กระแสบุญจงปรากฏ เมตตาจงสว่างทั่วสามภพภูมิ
จากนั้นอธิษฐานจิต น้อมกระแสจากพระนิพพานลงมายังโลกใบนี้ ขอความสุขสงบสันติร่มเย็นจงปรากฏ ความอุดมสมบูรณ์จงปรากฏ ภัยพิบัติโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายจงคลายตัว จงบรรเทาไป ความขัดแย้ง สงครามศาสนาทั้งหลายจงคลายตัวไป น้อมกระแสจากพระนิพพานลงมายังประเทศไทย ขอจงมีความเจริญ บุคคลที่เป็นคนผู้มีคุณธรรม ศีลธรรม มีจิตใจจำนงเป็นรัฐบุรุษ จงเข้ามาปกครองประเทศชาติบ้านเมือง ให้มีความรุ่งเรืองร่มเย็นสันติสุข
ขอน้อมกระแสจากพระนิพพาน ลงมายังเขตพระพุทธศาสนา วัดวาอาราม สถานปฏิบัติธรรม พระพุทธรูป พระธาตุ พระบรมธาตุ พระมหาธาตุ พระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันตธาตุ พระอัฐิธาตุ จงเกิดมีกำลังแห่งพุทธานุภาพ ความศักดิ์สิทธิ์ ขอกระแสแห่งสัมมาทิฏฐิ จงชำระล้างกระแสแห่งมิจฉา มิจฉาสมาธิจงสลายตัวไป มิจฉาวิชาทั้งหลายจงสลายตัวไป อวิชาทั้งหลายจงดับสูญไป ด้วยกำลังแห่งพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ อันไม่มีประมาณ
จากนั้นน้อมกระแสจากพระนิพพาน กำลังบุญฤทธิ์ทั้งหลาย ลงมาเป็นเกราะแก้ว คุ้มครองพิทักษ์รักษา สถาบันพระมหากษัตริย์ องค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ บุคคลที่มีจิตใจอันบริสุทธิ์ในการทำนุบำรุงประเทศชาติบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรือง ขอกระจายบุญจงส่งถึงเทวดาผู้รักษาเศวตฉัตร ผู้รักษาราชบัลลังก์ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระหลักเมือง พระกาฬไชยศรี เทวดาอารักษ์ทั้งหลายทุกเขตคาม พระสยามเทวาธิราช พระคลังมหาสมบัติ ขอจงเกิดบุญฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ เทพฤทธิ์ เกิดกำลังอันมหาศาล อันเกิดขึ้นจากบุญกุศล ทาน ศีล ภาวนา ของสาธุชนทั่วแผ่นดิน
ขอท้าวมหาราชทั้ง 4 จงมีกำลัง ขอแม่พระธรณี แม่พระคงคา พระเพลิง พระพาย พ่อธาตุ แม่ธาตุทั้ง 4 จงมีกำลังอันบริสุทธิ์ ขอเทวดาทั้งหลายที่เป็นใหญ่ อันได้แก่ท้าวมหาราชทั้ง 4 พระอินทร์ ท่านอินทกะทั้งหลาย ไล่ขึ้นไปจนถึงท่านท้าวสหัมบดีพรหม ขอจงปรากฏกำลังแห่งบุญฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ เทพฤทธิ์ กำลังบุญกุศลที่มนุษย์ทั้งหลายได้สร้างและบำเพ็ญ ขอจงถึงทุกท่าน ทุกๆ พระองค์ และขอให้ท่านทั้งหลาย เมตตาตาคุ้มครอง พิทักษ์รักษาบ้านเมือง ขอให้คนดีขึ้นสู่โลก ขึ้นสู่แผ่นดินทุกแผ่นดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินแดนสุวรรณภูมิ ขอจงมีความมั่นคงเจริญรุ่งเรืองในพระพุทธศาสนา ดั่งสมัยพุทธกาล มากด้วยพระโพธิสัตว์ มากด้วยพระอริยเจ้า มากด้วยพระสุปฏิปันโนด้วยเทอญ
จากนั้นเรากำหนดจิต กราบลาทุกท่าน ทุกๆ พระองค์ ด้วยความนอบน้อม กราบลาพระพุทธองค์ กราบลาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย กราบลาครูบาอาจารย์ กราบลาหลวงพ่อ ขอท่านพระองค์คุ้มครองรักษาเราเต็มกำลัง ขอให้จิตเราเกิดมาสติหยุดยับยั้งชั่งใจ สิ่งที่เป็นอกุศลได้ทันท่วงทีในทุกครั้ง จิตไม่ไหลลงสู่ต่ำ ไม่ไหลลงสู่กำลังของอกุศลทั้งหลาย มีกำลังของบุญกุศล กำลังของกุศลจิต ช่วยยับยั้งช่วยประคับประคอง ช่วยคุ้มครองรักษา จิตจงอยู่ในกุศลตลอดเวลา สติอันเป็นสัมมาสติจงมีอยู่ตลอดเวลา อภิญญาที่ปรากฏที่ เจริญในจิตของเรา ก็ขอจงเป็นสัมมาอภิญญา ใช้ตัดกิเลส ใช้เกื้อกูลสงเคราะห์ ใช้เพื่อประโยชน์ ของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ใช้เพื่อปฏิปทาสาธารณประโยชน์ เมื่อจิตเราอยู่ในร่องในรอย อยู่ในทางของสัมมา ก็ขอให้ครูบาอาจารย์เมตตา มีพุทธานุญาตให้เราสามารถใช้กำลังอภิญญาใหญ่ได้ตามความเหมาะสมด้วยเทอญ
จากนั้นกำหนดจิต ใจผ่องใสสว่าง กราบลาแล้วก็พุ่งจิตกลับมาเป็นแสงสว่างเป็นลำแสงลงมา ลงมาสู่กายเนื้อ กายเนื้อพลอยสว่างขึ้น สถานที่ที่เราฝึกเจริญพระกรรมฐานก็ดึงกระแส น้อมกระแสจากพระนิพพานลงมาคลุม เป็นกำลังพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ คุ้มครอง เป็นลำ เป็นเปลวแสงสว่าง กระแสธรรมชำระล้างฟอกธาตุขันธ์ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง กลายเป็นแก้ว ใสสว่าง โครงกระดูกทั่วร่าง กระแสธรรมฟอกธาตุขันธ์ กลายเป็นแก้วใสสว่าง หลอดเลือด เส้นเอ็น ทั่วร่าง กระแสธรรมฟอกธาตุขันธ์กลายเป็นแก้วใสสว่าง เซลล์ทุกเซลล์ กล้ามเนื้อทุกส่วน ธาตุธรรมฟอกชำระล้างธาตุขันธ์กลายเป็นแก้วใส อาการทั้ง 32 อวัยวะภายในทั่วร่างกาย สะอาดกลายเป็นแก้วใส
ขอบุญกุศลที่เราเจริญไว้ ทิพยสมบัติทั้งหลาย จงหลั่งไหลลงมาเป็นมนุษย์สมบัติในชาติภพนี้ ให้ข้าพเจ้าได้สร้างบำเพ็ญบารมี ได้ดูแลตัวตน ได้ดูแลธาตุกายขันธ์ 5 ได้ดูแลอุปฐาก อุปถัมภ์ ยอยกพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรือง ขอสายบุญ สายทรัพย์ สายสมบัติ จงหลั่งไหลลงมา
จากนั้น ตั้งจิตอธิษฐาน โมทนาสาธุกับเพื่อนกัลยาณมิตรในห้องเมตตาสมาธิ ที่ปฏิบัติเจริญพระกรรมฐานร่วมกันทั้ง 81 ท่าน บุญจงปรากฏผล บุญจงปรากฏ บุญจงถึงท่าน จิตของทุกคนขอเข้าถึงกุศลความดี มีพระนิพพานเป็นที่สุด
จากนั้น หายใจเข้าช้าๆ 3 ครั้ง หายใจเข้าพุทธ ออกโท ครั้งที่ 2 ธัมโม ครั้งที่ 3 สังโฆ
จากนั้นน้อมจิต ถอนจิตช้าๆ จากสมาธิ กายจิตแย้มยิ้ม ผ่องใส รัศมีแห่งบุญฉายออกทางใบหน้า ใบหน้าผ่องใส มีออร่า สว่าง ความเป็นผู้มีบุญจากภายในจงปรากฏ ออกมาสู่ภายนอกเป็นคลื่นของเมตตา เป็นกระแสของเมตตาเป็นกระแสของผู้มีบุญ จงสว่างผ่องใส
สำหรับวันนี้ ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน แจ้งข่าวในเรื่องของการรวบรวมแผ่นทอง ในการจัดสร้างพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพาน ก็ขอให้รวบรวมจัดส่ง ตอนนี้ก็ได้ครบแสนแผ่นแล้ว แต่ก็อยู่ในช่วงรวบรวมต่อ เนื่องจากคาดว่ายังมีผู้ที่ยังส่งกลับมาไม่ครบอีกจำนวนหนึ่งนะครับ ก็ส่งกลับคืนมาได้แล้ว เมื่อไหร่ก็ตามที่มีการประชาสัมพันธ์ในการจัดสร้างก็ฝากทุกคนช่วย
ข้อที่ 1 คือถ้าพบ มีโอกาสได้กราบครูบาอาจารย์ท่านใด ก็ขอเมตตาท่านเมตตาจารอธิษฐาน ให้เป็นบุญ เป็นกุศล ยิ่งครูบาอาจารย์ ที่ท่านเป็นพระสุปฏิปันโน ได้เป็นพระโพธิสัตว์ได้ยิ่งดี
แล้วก็อีกเรื่องนึงก็คือถึงเวลาเมื่อไหร่ที่ประกาศ ก็ช่วยกันประชาสัมพันธ์หน่อย
วันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน ให้ทุกคนยิ่งมีความเจริญในธรรม มีสติถึงพร้อม มีฌานสมาบัติที่เป็นสัมมาสมาธิ มีจิตที่ตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพานเป็นที่สุด พบกันใหม่สัปดาห์หน้า สำหรับสัปดาห์นี้ สวัสดี
ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย : คุณสิริญาณี แลบัว