green and brown plant on water

ทวิภาวะและแนวทางแก้ไขสภาวะทวิภาวะ

เวลาอ่าน : 3 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน” 

วันอาทิตย์ที่ 4 สิงหาคม 2567

เรื่อง ทวิภาวะและแนวทางแก้ไขสภาวะทวิภาวะ

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนทั่วร่างกาย พร้อมกับความรู้สึกที่ปลดปล่อยความเกาะความยึดในขันธ์ห้าร่างกาย ปล่อยวางกายพร้อมกับความรู้สึกที่ผ่อนคลาย ปล่อยวางโล่ง

จากนั้นจึงกำหนดว่าเราปล่อยวางความคิดความกังวลทั้งหลายออกไป ความห่วงในบุคคล ความห่วงในกิจการหน้าที่ ความห่วงในภาระทั้งหลายเราปล่อยวางออกไปให้หมด เสมือนว่าเรามีแต่เพียงผู้เดียวบนโลกใบนี้ ปล่อยวางทั้งกาย ปล่อยวางทั้งจิต เหลือแต่เพียงความสงบนิ่ง หยุด

เมื่อจิตของเราสงบนิ่งหยุดแล้ว จับลมหายใจเบาๆสบายๆ จินตภาพเห็นลมหายใจเหมือนกับแพรวไหมพลิ้วผ่านเข้าออกในกาย ลมหายใจยิ่งละเอียดอ่อน ต่อเนื่อง ราบรื่น อารมณ์จิตยิ่งเข้าถึงอารมณ์ที่เบาสบาย อารมณ์จิตที่จิตที่เป็นสุขอันเป็นเป้าหมายสำคัญของการปฏิบัติการฝึกในอานาปานสติ ลมหายใจสบาย อารมณ์จิตสบาย จดจ่อทรงอยู่กับอารมณ์จิตที่เบาสบายนี้ไว้ อารมณ์ที่เบาที่สบายทำให้เราเข้าถึงสภาวะจิตที่เป็นสุข ความสุขของความสงบ ความสุขของสมาธิ จิตพิจารณาว่าในขณะที่เราเข้าถึงความสงบความสุขของสมาธิ จิตเราก็พลอยสงบสงัดจากความคิดการปรุงแต่ง สงบสงัดจากนิวรณ์ทั้งห้าประการ สงบสงัดจากความโลภโกรธหลง 

กำหนดรู้ในความสงบในความเบาในความสบาย ใจสบายๆ ผ่องใส 

จากนั้นกำหนดจิตในความนิ่งความหยุด นิ่ง หยุด จุดที่นิ่งที่หยุด กำหนดน้อมนึกจินตภาพเป็นดวงแก้วใสสว่าง เป็นหนึ่งเดียวกับจิตของเรา จิตเป็นเอกัคคตารมณ์ จิตเป็นดวงแก้วสว่างใส ดวงแก้วคือจิตที่สว่างใสค่อยๆปรับสภาวะเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง มีความระยิบระยับ มีความแพรวพราว มีรัศมี มีเส้นแสงสว่างกระจายออก จิตเอิบอิ่มผ่องใสในสภาวะที่จิตเป็นเพชรประกายพรึกนั้น 

จากนั้นกำหนดจิตรำลึกนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า กำหนดน้อมนึกอธิษฐานขอให้ภาพองค์พระ  ภาพพระพุทธองค์ปรากฏขึ้นในจิตของเรา องค์พระท่านปรากฏสภาวะเป็นเพชรประกายพรึกทั้งองค์สว่าง หน้าตักประมาณหนึ่งศอก ความเป็นเพชรระยิบระยับ สว่าง ชัดเจน ทรงอารมณ์ทรงภาพพระไว้ ตั้งใจว่าจิตเราถึงไตรสรณคมน์ จิตเราถึงพระพุทธเจ้า ภาพพระพุทธนิมิตที่ปรากฏ มีกระแสพุทธานุภาพ มีกระแสพุทธบารมี มีกระแสพระพุทธเมตตาของพระพุทธองค์ ประดุจดังพระพุทธองค์ทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ กำหนดน้อมนึกให้องค์พระติดตราตรึงใจในจิตของเรา ทรงอารมณ์ทรงสภาวะทรงภาพพระไว้ 

จากนั้นน้อมจิตต่อไปว่าเราทั้งหลายเข้าถึงคุณความดีนับตั้งแต่ประถมเบื้องต้น คือสิ่งที่เรียกว่า”ทาน”

ทานนั้นเราได้กระทำบำเพ็ญ 

ศีลเราได้รักษา จิตปราศจากการเป็นผู้เบียดเบียนผู้อื่น เราเป็นผู้ที่ปราศจากเวรภัยทั้งหลาย ศีลของเราบริสุทธิ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยกำลังของพรหมวิหารสี่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ภาวนาของเราทรงอารมณ์ในฌานนับตั้งแต่อานาปานสติจนกระทั่งเข้าถึงฌานในกสิณ ฌานในกรรมฐาน 40 กอง จิตที่ทรงในภาพพระ คือ พุทธานุภาพ จิตเราก็ทรงอยู่ในกรรมฐานที่เรียกว่า “พุทธานุสติกรรมฐาน” ดังนั้นจิตของเราเข้าถึงสภาวะแห่งภาวนา กุศลแห่งการภาวนา เราถึงพร้อมซึ่งทาน ศีล ภาวนา

วิปัสสนาญาณเราเริ่มตั้งแต่ต้น คือ สติรู้กายและตัดกาย ก็คือการตัดขันธ์ห้าเป็นวิปัสสนาญาณ ตัดปลิโพธความกังวลคือสิ่งที่ทำให้เกิดภาระความหนักความกังวลของจิต เราตัดเราเพิกออกไปตั้งแต่ต้น ตัวนี้อันที่จริงก็ถือว่าเป็นวิปัสสนาญาณ  ดังนั้นเมื่อเราวาง วางกาย วางจิต ทรงกำลังของสมาธิรวบรวมกำลังใจว่าทานศีลภาวนาเราถึงพร้อมแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้หมู่คณะของเราก็ได้ร่วมกันถวายมหาสังฆทานที่บ้านสายลมต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปัจจุบันอันนี้เอาเฉพาะที่นับที่ผ่านมาก็เคยถวายกันมาหลายครั้งหลายปีตั้งแต่เก่าก่อน ยุคก่อนที่ไม่ได้นับไม่ได้รวบรวมก็มีอีกมาก แต่นับตั้งแต่เริ่มรวบรวมเป็นกิจลักษณะ ถวายต่อเนื่องทุกเดือนต่อเนื่อง ตอนนี้ก็รวบรวมถวายได้จนครบปัจจัยทะลุหนึ่งล้านบาทเกินหนึ่งล้านบาทไปพอสมควร

ดังนั้นบารมีที่เราทำ ทั้งวิริยะบารมีคือความเพียรความสม่ำเสมอ เราทำด้วยสามัคคีธรรมคือร่วมกัน คนละเล็กคนละน้อยกลายเป็นก้อนใหญ่กลายเป็นบุญใหญ่ พิจารณาในสามัคคีธรรม สามัคคีธรรมนั้นเป็นธรรมที่มีกำลังก่อให้เกิดความเป็นปึกแผ่นความเจริญรุ่งเรือง ถ้าเราทำกันต่างคนต่างทำ บางคนทำหนึ่งร้อยบาท บางคนทำห้าสิบบาท กระจัดกระจายกันไป หรือบางคนมีกำลังทรัพย์น้อย ไม่อาจถวายแม้สังฆทาน  หนึ่งร้อยบาทก็ยังไม่มีกำลังที่จะถวาย ดังนั้นโอกาสที่จะทำก็ไม่มี แต่คราวนี้เราถวายมหาสังฆทานด้วยสามัคคีธรรม บางคนมีร้อยบางคนมีพัน บางคนมีห้าร้อย บางคนยี่สิบบาท บางคนห้าบาทด้วยซ้ำไป คราวนี้พอเมื่อไรรวมกองกันในแต่ละเดือน คนมีห้าบาทก็ร่วมบุญกับกองบุญที่ถวายมหาสังฆทานสิบชุดยี่สิบ ชุดได้ ดังนั้นมันกลายเป็นว่ามีน้อยแต่เกิดผลมาก อันนี้ก็เกิดขึ้นจากความสามัคคี สามัคคีในการทำทาน อันนี้กำลังใจทุกคนก็ตั้งใจว่าเรามาร่วมบุญกับบุญเมตตาสมาธิกองนี้ เราร่วมสักกี่ครั้งก็ตามก็กลายเป็นว่าเราทำบุญจนครบห้าร้อยชุดแล้วตอนนี้  เป็นปัจจัยเป็นล้านบาทแล้วตอนนี้ เราก็เอ่ยได้อย่างภาคภูมิใจว่าเรามีส่วนในกองบุญนี้ด้วย พอกำลังใจมันสูง ให้เราลองมาคิดดูว่า ทานนั้นเมื่อรวมกำลังก็เกิดผลเช่นนี้

สมาธิจิตก็เช่นกัน สมาธิจิตนี้เรียกว่า “อภิจิต” ลองคิดเอาว่าจิตของผู้ที่มีกำลังสมาธิคือทรงฌานสมาบัติมารวมตัวกัน กำลังจิตของท่านที่ทรงกำลังใจตัดกิเลสเข้าเขตความเป็นพระอริยเจ้าหรือเป็นบุคคลที่ปรารถนาพระนิพพานมาร่วมจิตร่วมใจกัน คราวนี้มาร่วมกันทำอะไร ร่วมกันสร้างกุศลความดี อธิษฐานจิตให้ชาติบ้านเมือง คิดว่าจะมีกำลังมากมายมหาศาลเพียงใด คิดเอาง่ายๆว่าหลายคนที่มีความปรารถนาดีต่อส่วนรวมคือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์  แต่บางครั้งบุคคลเหล่านี้เจตนาดีปรารถนาดี แต่ยังเป็นผู้ที่ไม่มีศีลบ้าง เป็นผู้ที่ยังไม่มีกำลังบุญ เช่น ไม่ได้สร้างไม่ได้บำเพ็ญทานสม่ำเสมอหรือสร้างทานที่เป็นบุญใหญ่ที่มีอานิสงส์ที่ทำให้เกิดเป็นกำลังบุญของบุคคลนั้น กำลังบุญจากทานก็ไม่ค่อยมี กำลังจากศีลก็ไม่ได้รักษา กำลังภาวนาไม่ต้องพูดถึง ถึงแม้ว่ามีจิตเจตนารมณ์ปรารถนาดีต่อส่วนรวม แต่กำลังแห่งจิตตานุภาพกำลังบุญนั้นก็ยังน้อย แม้ว่าจะรวมตัวกันมากเป็นจำนวนคนมากก็ยังน้อยกว่าบุคคลที่มีบุญจากทานอันเป็นบุญใหญ่ทั้งหลายทำอย่างสม่ำเสมอ หรือกำลังของบุคคลที่มีศีลมีสัจจะวาจามีกำลังสัจจะวาจาเวลาปรากฏขึ้นก็จะเกิดพลังของอธิษฐานบารมีที่เกิดผลมากกว่าผู้ที่ไม่มีศีลไม่มีสัจจะ 

คราวนี้บุคคลที่มีกำลังจิตตานุภาพจากกำลังพระกรรมฐาน จากฌานสมาบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีกำลังจากอานาปานสติก็กำลังส่วนหนึ่ง พอกำลังจะกสิณนี้มีสูงทวีคูณขึ้นมาอีก เพราะเป็นกำลังของฌานในระดับของอภิญญา อานาปานสติก็มีอภิญญาซึ่งน้อยมาก แต่ว่าพอเป็นกสิณ คือจิตเป็นประกายพรึกได้ก็กลายเป็นกำลังของจิตตานุภาพที่แบบเป็นอภิญญาใหญ่ ยิ่งเป็นกำลังของมโนมยิทธิก็ถือว่าเป็นอภิญญาใหญ่ คราวนี้กำลังของฌานก็ส่วนหนึ่งเพิ่มทวีคูณขึ้นมาอีก คราวนี้กำลังของความบริสุทธิ์ก็คือตัดกิเลส จิตสะอาดจากกิเลส ยิ่งสะอาดคือเข้าเขตความเป็นพระอริยเจ้า ตัดสังโยชน์ได้มากได้สูงเพียงใด บุคคลนั้นก็มีพลังจิตตานุภาพสูงขึ้นไปเท่านั้น ด้วยกำลังของความบริสุทธิ์ของจิตที่ตัดกิเลสไปได้ 

คราวนี้ถ้าคนทั้งหลาย คนในประเทศไทยมีกำลังจิตตานุภาพ มีกำลังบุญจากทาน มีกำลังของศีล มีกำลังของภาวนาสมาบัติ มีกำลังความบริสุทธิ์ของความเป็นพระอริยเจ้า มารวมตัวหรือร่วมจิตร่วมใจอธิษฐานจิตให้ชาติบ้านเมืองเป็นจำนวนมากเท่าไร คราวนี้กำลังบุญกำลังจิตกำลังบุญฤทธิ์มันเพิ่มทวีคูณขึ้น แรงอธิษฐานที่ว่าก็จะเป็นกำลังสำคัญที่นำพาให้เกิดผลสัมฤทธิ์ นำพาให้เกิดประโยชน์สุขต่อชาติบ้านเมืองต่อโลกใบนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นกำลังที่นำพาเข้าสู่ยุคของชาววิไล อันนี้ถึงบอกว่าอันที่จริงมันก็เป็นหน้าที่ตรงของอาจารย์โดยตรง เพียงแต่ว่าการอธิบายการขยายการทำความเข้าใจ ณ จุดนี้มันยังเป็นไปได้น้อย ยังไม่ได้ขยายขอบเขตไปในวงกว้าง

ลองคิดดูพิจารณาดูง่ายๆว่า ถ้าหากทหารทั้งสามเหล่าทัพมีกำลังของบุญ มีกำลังของจิตตานุภาพ มีกำลังของสมาบัติ ทหารส่วนใหญ่ สามเหล่าทัพได้ฌานได้กสิณได้พุทธานุสติ มีกำลังรวมตัวกันมากเท่าไร จะเป็นกำลังสำคัญต่อชาติบ้านเมืองมีความมั่นคงเพิ่มขึ้นเพียงไหน หรือกลุ่มหมู่คณะใดก็ตามที่ยังประโยชน์สร้างประโยชน์ให้กับส่วนรวม อย่างวันนี้ก็ได้เดินทางไปร่วมกับกลุ่มล้างวัดล้างใจ กลุ่มปิดทองถวายตามวัดวาอารามต่างๆ สองกลุ่ม แต่ว่าเป็นวาระเดียวกันที่วัดพุทธชยันตี ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิแถวลาดกระบัง ก็ได้แนะนำสมาธิเมตตาสมาธิ แนะนำเรื่องการทรงอารมณ์จิตในระหว่างที่สร้างกุศล กำหนดจิตถึงพระพุทธเจ้าโดยตรง ตรงนี้ก็เกิดประโยชน์

ดังนั้นบุคคลทั้งหลาย ถ้าเป็นชาวพุทธเข้าถึงแก่นเข้าถึงจุดสำคัญของการปฏิบัติ เอาแค่เริ่มกราบพระก็กราบถึงพระพุทธเจ้าได้ด้วยความศรัทธาเลื่อมใสด้วยความมั่นคงในจิต เวลาสร้างบุญสร้างกุศล ถึงเวลากายเนื้อถวายอยู่บนโลกมนุษย์ กายทิพย์อธิษฐานกลั่นกองบุญวัตถุทานสังฆทานให้ใสเป็นแก้วเป็นประกายพรึกเป็นของทิพย์ยกถวายพระพุทธองค์บนพระนิพพาน มีความสามารถมีศักยภาพที่ทำงานในภาคทิพย์ได้ ยิ่งมีคนที่สามารถทำจุดนี้ได้มากเท่าไร ยิ่งเพิ่มพูนยิ่งยังประโยชน์ให้กับประเทศชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ได้มากขึ้นเพียงนั้น ดังนั้นถ้าเราเข้าใจช่วยกันขยับขยายให้กว้างไกลขึ้น ประโยชน์ตรงนี้อันที่จริงก็ไม่เฉพาะตัวของผู้ที่ปฏิบัติธรรม แต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม คือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อันนี้ก็ฝากไว้ให้คิด 

สำหรับตรงนี้จุดต่อไปก็ให้เราย้อนกลับมากำหนดในการทรงอารมณ์ทรงภาพพระให้เป็นเพชรประกายพรึก องค์พระสว่างใส ใจของเราเอิบอิ่มยินดีในกุศลที่เราทำแล้ว ยินดีในปัญญาในธรรมที่เรากระจ่างแจ้งชัดเจนเข้าใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่มันเป็นเรื่องของภาคทิพย์ที่มีความละเอียด ที่มันส่งผลกับคนหมู่มาก ต่อประเทศชาติ ต่อส่วนรวม 

กำหนดน้อมจิตทรงภาพพระสว่าง เมื่อองค์พระสว่างใสแล้วก็อธิษฐานจิต ขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอยกอาทิสมานกายของข้าพเจ้าขึ้นไปบนพระนิพพานด้วยเถิด ขอไปปรากฏอยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐมท่ามกลางมหาสมาคม มีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน จากนั้นกำหนดน้อมจิตกราบทุกท่านทุกๆพระองค์ด้วยความเคารพนอบน้อมด้วยความศรัทธาด้วยความเลื่อมใส 

เมื่อกราบองค์พระเรียบร้อยแล้ว เราก็กำหนดจิตอธิษฐานขอจงปรากฏรัตนบัลลังก์ดอกบัวแก้วอยู่เบื้องหน้าพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน อธิษฐานจิตขอกายของเราจงปรากฏเป็นกายพระวิสุทธิเทพบนพระนิพพาน นั่งขัดสมาธิปฏิบัติเจริญวิปัสสนาญาณอยู่บนพระนิพพาน ณ บัดนี้ กำหนดรู้ในกายในความเป็นทิพย์ กำหนดรู้ว่าเราไม่ใช่ขันธ์ห้า กายเนื้อกายหยาบหรือกายของมนุษย์ อันที่จริงเราคือจิตอาทิสมานกายหรือกายทิพย์ที่มาเสวยมาจุติตามกรรมและผลของกรรมด้วยแรงของบุญและบาปในแต่ละภพแต่ละภูมิ ตอนนี้เรายกจิตขึ้นมาอยู่บนพระนิพพานเพื่อปฏิบัติธรรม เพื่อเจริญพระกรรมฐาน กำหนดทรงสภาวะอยู่บนพระนิพพานไว้

จากนั้นพิจารณาธรรมะของพระพุทธองค์ ท่านทรงกล่าวถึงธรรมสองส่วน ที่เรียกว่า “ทวิภาวะ”

ทวิภาวะก็คือสิ่งที่เรียกว่าเป็นสอง สิ่งที่เรียกว่าเป็นสองนั้นก็อาทิเช่น กุศลและอกุศล บุญและบาป สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นธรรมที่เป็นเครื่องตรงกันข้ามกัน ถ้าเราสังเกตดู มนุษย์ โลกมนุษย์เป็นภพกลาง คือ อยู่ตรงกลางระหว่างภพที่เป็นเบื้องบนที่เรียกว่า “สุคติภูมิ” มีความสว่างสบายมีการเสวยสุข และในขณะเดียวกันก็มีภพที่เป็นภพเบื้องล่างที่เรียกว่า “ทุคติภูมิ” เป็นภพภูมิที่ไปเสวยวิบากกรรมจากกำลังของบาปกำลังของอกุศล ดังนั้นถ้าเราเข้าใจในเรื่องของทวิภาวะ คือ สภาวะที่มันเป็นซีกตรงกันข้ามกันได้ เราก็น้อมมาพิจารณา ว่าสิ่งที่เป็นธรรมที่เป็นเครื่องตรงกันข้ามนั้นก็อาทิเช่น ความโกรธ สิ่งที่ตรงกันข้ามกับความโกรธก็คือความเมตตา

ดังนั้นการรู้ว่าสิ่งใดเป็นธรรมที่ตรงกันข้ามกัน เราก็สามารถใช้สิ่งนี้เป็นเครื่องดับเป็นเครื่องแก้ เป็นคลื่นเป็นสิ่งที่มันตรงกันข้ามกันมันก็สามารถสลายหรือหักล้างกันไปได้ ถ้าเราเป็นคนที่มีจริตเป็นคนที่มีอารมณ์เจ้าโทสะ คำว่าเจ้าโทสะหรือโทสะจริตนั้น ให้เราลองน้อมพิจารณาดูในจิตของเราเองว่าเราเป็นไหมใช่ไหม โทสะจริตก็คือเราเป็นคนหงุดหงิดง่าย ขัดเคืองใจง่าย โดนแหย่โดนกระตุ้นเราก็โกรธ เราก็โมโห เราก็ขัดเคืองใจ อันนี้ก็คือเราเป็นคนเจ้าโทสะ หรือคิดเอาง่ายๆว่าเมื่อเราถูกกระทบ คนอื่นก็อาจจะเฉยๆหรือทนได้หรือแค่หงุดหงิดแค่รำคาญ แต่เรากลับมีอารมณ์ที่มันขึ้นพลุ่งพล่าน มีอารมณ์ที่ภาษาปัจจุบันเรียกว่าปี๊ดแตกบ้าง ของขึ้น จนเราหยุดยั้งความโกรธหรือโทสะนั้นไม่ได้ อันนี้มันก็คือสภาวะที่เราไวที่เราชินกับอารมณ์ของความโกรธ บางครั้งคนที่แสดงความโกรธ พระท่านกล่าวว่า โกรธคือโง่โมโหคือบ้า นั่นก็คือบางครั้งเวลาที่โกรธแสดงอาการโกรธเสียงดัง แสดงความรุนแรงออกมา คิดว่ายิ่งเสียงดังยิ่งตะเบ็งเสียง ยิ่งด่าว่าด้วยคำหยาบคาย ยิ่งแสดงอาการความรุนแรงตบโต๊ะทุบโต๊ะ ทำอะไรฮึดฮัดรุนแรง คิดว่ายิ่งแรงคือยิ่งชนะ แต่ความจริงนั้นก็คือแพ้ใจตัวเอง ไม่สามารถที่จะสงบระงับหรือดับความโกรธได้ ความโกรธนั้นธรรมที่มันเป็นเครื่องตรงกันข้ามกันนั้น 

ถ้าเอาส่วนที่เป็นวิธีแก้มันมีวิธีแก้อยู่ 2 แบบ 

แบบแรกคือการข่มใจ คือข่ม คือกด คือระงับใจเราไว้ ข่มอารมณ์ไว้ กัดฟันแน่นนับ 1-10 ข่มใจ อันนี้ก็จะเป็นการระงับแบบที่เรียกว่า”หินทับหญ้า” ก็คือข่มใจระงับไว้ แต่ถ้าระงับไม่ไหวมันระเบิดออกมา มันก็เหมือนกับหม้อต้มไอน้ำที่มันมีแรงดัน ข่มไว้ปิดไว้จนกระทั่งถ้าแรงดันมันเกินเมื่อไร มันระเบิดมาคราวนี้โทสะมันจะหลุดออกมาหมด มันจะยิ่งรุนแรงมากกว่าเดิม ดังนั้นการข่มใจมันเป็นการระงับเพียงแค่ชั่วคราว 

สิ่งที่มากกว่าการข่มใจก็คือการดับ การดับโทสะดับด้วยอะไร ดับด้วยเมตตา อันนี้ก็เป็นข้อธรรมที่เรียกว่า “การดับหยาบไปหาละเอียด” อารมณ์หยาบคืออารมณ์โทสะ คนเจ้าโทสะนี้ถือว่าเป็นคนที่มีอารมณ์หยาบมาก แสดงอาการเกรี้ยวกราดออกมานี้ถือว่าเป็นผู้ที่ยังหยาบมาก ยังไม่เคยผ่านการขัดเกลาจิต การที่เราดับหยาบไปหาละเอียด ตัวละเอียดก็คือเมตตา จำไว้ว่าจิต จิตของเราทุกดวงในแต่ละขณะจิตแต่ละวินาทีแต่ละเสี้ยววินาที จำไว้ว่าจิตทุกดวงเสวยอารมณ์ได้เพียงอารมณ์เดียว คือถ้าจิตขณะนั้นรู้สึกว่าสุข มันก็ทรงอารมณ์อยู่กับความสุข ในขณะที่รู้สึกสุขมันก็ไม่มีความทุกข์เข้ามาแทรก แต่เมื่อไรอารมณ์มันเป็นทุกข์ความสุขมันก็ไม่มี เมื่อไรอารมณ์มีเมตตาอารมณ์โกรธมันก็ไม่มี ดังนั้นความฉลาดความเข้าใจการที่เราจะดับหยาบไปหาละเอียด  เราก็ตั้งกำลังใจว่าเราเลิกที่จะเป็นคนเจ้าโทสะ เราเปลี่ยนว่าเราจะเป็นคนที่มีเมตตาจิต

ยิ่งฝึกเมตตาอัปปมัญญา อัปปมัญญาฌานมากเท่าไร แผ่เมตตาอันไม่มีประมาณบ่อยมากเท่าไร เข้าถึงความลึกซึ้งดื่มด่ำในกระแสเมตตาฌานมากเท่าไร เราก็จะรู้ละ ว่าเราปล่อยจิตปล่อยใจให้อยู่กับความเร่าร้อนของอารมณ์โทสะ มันเร่าร้อนมันแผดเผามันทุกข์ มันก่อเกิดยาพิษในขันธ์ห้าร่างกาย ดังนั้นเราก็พยายามเลิก หรือบรรเทาเบาบางจากอาฆาตพยาบาทจองเวร เราก็ให้อโหสิกรรม เราก็เลิกเป็นเจ้ากรรมนายเวรของผู้อื่น พอเราเลิกเป็นเจ้ากรรมนายเวรของผู้อื่นเมื่อไร ตัวพยาบาทมันเบามันตัดหรือมันสิ้นไป กิเลสในตระกูลของโทสะความโกรธมันก็จะสั้นลงมันไม่เหลือตัวใหญ่

จำไว้ว่ากิเลสความโลภโกรธหลงโดยเฉพาะอย่างยิ่งโทสะนี้มีการอธิบายไว้ละเอียดเห็นชัดหน่อย ตระกูลนี้มันก็เริ่มตั้งแต่ปฏิฆะคือมีความหงุดหงิดจึ๊กจั๊ก รำคาญจึ๊กจั๊ก พอปฏิฆะเกิดความเข้มข้นขึ้นก็เกิดความรำคาญเกิดความโกรธ ความโกรธเพิ่มอารมณ์เพิ่มความเข้มข้นไปเรื่อยๆก็แสดงโทสะ โทสะนี่มันจะแสดงออกมาทางใบหน้าสายตากริยาน้ำเสียงคำพูด เมื่อไรโทสะปรากฏ โกรธคือความรู้สึกบางครั้งมันยังอยู่ในใจ แต่บันดาลโทสะเขาถึงใช้คำว่าบันดาลโทสะ บันดาลโทสะคือมันจะเริ่มแสดงออกมาเห็นชัด บางคนโกรธแต่เก็บข่มไว้ แต่โทสะมันจะแสดงอาการ โทสะถ้ามันเข้มข้นมากเข้า มันก็เกิดบางครั้งเกิดการทำร้าย เกิดการทุบตี หรือแม้กระทั่งประหัตประหาร อารมณ์ความคิดตรงนี้มันก็จะเริ่มเกิดขึ้น

หรือบางคนมีความโกรธมันแตกออกมาอีกสายหนึ่ง อาการไม่แสดงออก แต่ภายในมันคิดปรุงอยู่ว่าคนนี้ทำให้เราโกรธ เมื่อทำให้เราโกรธ เราจะเอาคืน พอจะเอาคืน คำว่าจะเอาคืนแล้วก็คืออาฆาต มีจังหวะเมื่อไรเราจะเอาคืนเราจะแก้แค้น คิดแค้นคิดแก้แค้นก็ถือว่ามีความอาฆาต อาฆาตมาดร้าย คำว่า”มาดร้าย”ก็คือคิดว่าจะจ้องทำลายในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง  คราวนี้พอถึงเวลาบางครั้งอารมณ์จิตมันปรุงแต่งต่อ เกิดความพยาบาทจองเวร ความพยาบาทจองเวรนี้ก็คือเริ่มคิด ฉันจะพบเจอ ฉันจะจองเวรเธอทุกชาติไป มีอธิษฐานบารมีมาด้วย การพยาบาทจองเวรนี้ถือว่าเป็นอธิษฐานบารมีแต่เป็นอธิษฐานบารมีที่พาไปยังอบายภูมิที่เป็นไปในอกุศล ถามว่ามันก็เป็นแรงอธิษฐานไหม มันก็เป็น ตามไปเจอตามไปจองเวรตามไปอาฆาตแค้นพยาบาทต่อ 

ดังนั้นพอเราเข้าใจแล้ว เราก็คิดพิจารณาว่าอารมณ์จิตที่เป็นความโกรธมันเป็นโทษไหม พอเห็นว่ามันเป็นโทษ เราก็เลิกคบกับมัน เรามาอยู่กับเมตตาดีกว่า พิจารณาคุณของความเมตตาว่ายังความสงบเย็นให้ปรากฏ เป็นที่รัก มีอานิสงส์ 11 ประการ เป็นที่รักของเทวดาพรหม เป็นที่รักของมนุษย์ เป็นที่รักของสัตว์ทั้งหลาย เป็นที่รักของอมนุษย์คือดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลาย ไม่เป็นอันตรายจากไฟ ไม่เป็นอันตรายจากน้ำ ไม่เป็นอันตรายจากลม คือธาตุทั้งสี่ ภัยพิบัติไม่อาจกระทำอันตรายได้สำหรับคนที่มีเมตตาฌานสูง นอนก็เป็นสุข ตื่นก็เป็นสุข หลับก็เป็นสุข ดีแสนดี สบายแสนสบาย ไปที่ไหนคนรัก ไปที่ไหนเป็น VIP

คราวนี้ผลตรงนี้พอเราพิจารณาแล้ว เราเป็นคนขี้โกรธ เราเป็นคนเจ้าโทสะ ไปที่ไหนก็มีแต่โจทก์ ไปที่ไหนก็มีแต่คู่แค้น จะเดินไปซอยไหนที่นี่เราก็มีโจทก์ ที่จ้องเล่นงานดักตีกบาลเราอยู่ จะไปที่นั่นก็มีโจทก์ ไปที่นั่นก็มีคนที่ขัดเคืองใจกัน สรุปอยู่ที่ไหนก็มีแต่ความเร่าร้อน จะนอนก็คิดแค้นแต่ว่าจะเอาคืนคนที่เราโกรธอย่างไร

ดังนั้นหลับเป็นสุขไหม หลับมันก็ไม่เป็นสุข ตื่นหรือจะไปที่ไหนก็มีแต่โจทก์ แถมเจ้ากรรมนายเวรเราเยอะเข้าเยอะเข้ามากเข้า คราวนี้ถึงเวลาเจ้ากรรมนายเวรมันไม่ใช่จำเพาะแต่คนที่เป็นนักเลงที่เขาจ้องตีกบาล มันกลายเป็นว่าเราไปที่ไหนถิ่นไหนมันมีเทวดา หรือบางครั้งมันมีจิตวิญญาณที่เขาอยู่ในถิ่นนั้น ที่นั้น เจ้าที่ที่นั้นเขาเคยเป็นเจ้ากรรมนายเวรเราด้วย เขาก็จ้องจะเอาเราเหมือนกัน คราวนี้เราไปที่ไหนก็มีแต่คนมาบีบคอบ้าง คนมาเอาคืนบ้าง คนมาเอาแค้นบ้าง สุดท้ายอยู่ที่ไหนร่มเย็นเป็นสุขไหม มันก็ไม่ร่มเย็นเป็นสุข พอดีเราฟังที่พิจารณามาทั้งหมดแบบนี้ เราเริ่มเห็นโทษของความโกรธ ของโทสะ ของการพยาบาทจองเวรหรือยัง พอคิดได้พิจารณาได้เราก็จะเริ่มยิ่งเห็นคุณของเมตตา เห็นคุณของละเอียด เราจะเข้าถึงเมตตาฌาน โดยที่จิตของเรามันสามารถที่จะทำความเข้าใจและปล่อยวางโกรธได้ง่ายขึ้น เพราะเราเห็นโทษของความโกรธมากหรือลึกกว่าคนทั่วไป

คนอื่นเขามองว่าโกรธมันโมโห มันทำให้เสียอารมณ์แต่ว่าเขาไม่ได้คิดถึงผลที่มันต่อเนื่องกับภพต่าง ๆ ภูมิต่าง ๆ หรือชาติภพต่าง ๆ ผลกรรมต่าง ๆ นี่ยังไม่นับถึงเวลาที่เราแก้แค้นจองเวรเขา พอเราไปทำร้ายเขาผลมันก็กลายเป็นการละเมิดศีล ถึงเวลาเราก็ต้องไปรับกรรมผลของกรรมจากการที่เราโกรธและเอาคืนเขาอีก พอจองเวรมันก็สลับกัน ทำต่อกัน กูทำมึง มึงทำกู สลับกันไปสลับกันมาไม่มีที่สิ้นสุด คำว่าไม่มีที่สิ้นสุดนั้น ให้ทำความเข้าใจได้เลยว่า มันก็ทำให้เกิดชาติภพ ต้องมาเกิดใช้กรรม เกิดฆ่ากัน เกิดแก้แค้นกัน เกิดใช้กรรมกันต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด ดังนั้นชาติภพมันก็ยิ่งยาวนาน พิจารณาแล้วเรายิ่งต้องเมตตา เมตตาแล้วก็ดับไป การดับโทสะ ดับวิบาก

วิธีดับวิบากตัดกรรมจริง ๆ คนบอกว่าตัดกรรมไม่ได้ แต่อันที่จริงการตัดกรรมก็คือการตัดด้วยอโหสิกรรม คือตัวเราดับที่เราเบาที่สุด ดับที่ตัวเราว่าเราหยุด เราหยุดกรรม เราหยุดเวร เราหยุดการจองล้างจองผลาญ เราหยุดเราดับพยาบาทให้หมด ดับการเป็นเจ้ากรรมนายเวรของผู้อื่นของจิตดวงอื่นทั้งหมด พอเราดับตรงนี้ปุ๊บชาติภพเราก็สั้น เพราะเราเลิกละ คนอื่นเขายังจองเวรเราเลิกจองเวร เขาไปเกิดก็ปล่อยเขา ให้เขาเก้อไปเขายังไปเกิดรอ เราเลิกเกิด เราไปนิพพาน การไปนิพพานก็เป็นการตัดกรรม คิดเอาง่าย ๆ ว่า ตั้งแต่เป็นพระโสดาบันนี้ก็ปิดอบายภูมิ ก็คือตัดกรรมที่เราจะต้องไปเสวยวิบากกรรมในนรกภูมิในอบายภูมิ อันที่จริงก็คือเป็นพระโสดาบันก็เลิกเกิดต่ำลงไปจากการเป็นมนุษย์ สัตว์เดรัจฉานก็ไม่เกิดแล้ว เปรตอสุรกายสัตว์นรกยิ่งไม่ต้องพูดถึง โอปปาติกะสัมภเวสีก็ไม่ไปจุติไม่หลง จริง ๆ โอปปาติกะสัมภเวสีที่หลงภพนี่เพราะส่วนใหญ่เป็นจิตที่ยังหลงติดกับกายยังหลงว่าไม่ตายประการที่หนึ่ง 

สอง คือ หลงคิดว่าตายแล้วสูญ คิดว่าตายแล้วสูญตายแล้วเกิดมาชาติหนึ่งตายแล้วจบกันตายแล้วสูญ แต่ปรากฏว่าพอตายจริงมันไม่ตายแล้วสูญ ตายแล้วซวย คำว่าตายแล้วซวย ก็คือตายล่ะ มันมีภพชาติ แล้วเราจะไปที่ไหน พอไม่รู้จะไปที่ไหน เคว้งคว้าง มันก็เลยกลายเป็นโอปปาติกะสัมภเวสีปะปนอยู่กับภพ 

ส่วนประเภทสุดท้ายก็คือดวงจิตที่ตายก่อนกาล ก่อนวาระ ตายก่อนอายุขัยด้วยอุบัติเหตุบ้าง ด้วยโรคภัยไข้เจ็บที่เป็นโรคระบาดที่เรียกว่าห่าทั้งหลายลง คือเรียกว่าตายโหงหรือตายห่า ตายโหงก็คือตายด้วยอุบัติเหตุ ตายห่าก็คือตายด้วยโรคระบาด แต่อายุขัยยังไม่หมดยังไม่ถึงเวลาที่ไปเสวยบุญหรือไปเสวยวิบาก ก็เลยยังกลายเป็นโอปปาติกะสัมภเวสีอยู่ อันนี้ก็คืออธิบายเรื่องชาติภพให้เราทำความเข้าใจกัน

การตัดกรรมตัดวิบากสิ่งที่เราทำได้เราทำได้ด้วยตัวเองไม่ต้องให้คนอื่นมาตัดกรรม 1 จิตเราก็ต้องตัดความเป็นเจ้ากรรมนายเวรคืออโหสิกรรมตัดด้วยอโหสิกรรมไม่อยากเจอใครยิ่งต้องรีบอโหสิกรรม ไม่ใช่รีบคิดแก้แค้นเอาคืนอาฆาต ยิ่งตัดด้วยอโหสิกรรม แผ่เมตตาซ้ำให้เขาไป ทำได้มากเท่าไร วิบากกรรมมันก็บรรเทาเบาจากชีวิตเรามากเท่านั้น 

ดับหยาบไปหาละเอียดอันนี้คือเรื่องของโทสะ เรามาปฏิบัติธรรมแล้วโทสะที่เราสำแดงออกมามันต้องไม่ปรากฏ มันต้องไม่มี มันต้องไม่กำเริบขึ้น นั่นก็คือกิเลสที่มันเป็นตัวใหญ่ตัวเข้มข้นตัวหยาบ มันไม่กำเริบขึ้นมาในจิตของเราอีกต่อไป ให้เราพิจารณาดูว่าตั้งแต่ปฏิบัติธรรมมาจนถึงบัดนี้ อารมณ์โทสะที่เราชี้หน้าด่าคนด้วยคำพูดหยาบคายเสียงดัง ดวงตาถมึงทึงตาแดงมันปรากฏครั้งสุดท้ายเมื่อไร มันมีขึ้นไหม ถ้าไม่มีเราก็สำรวมระวังแต่ก็อย่าประมาทว่ามันจะไม่กำเริบขึ้น มันอาจจะยังไม่ถูกกระตุ้นตรงจุด เพียงแต่ตอนนี้มันบรรเทาลงมันเบาลงมากก็ให้เรากำหนดรู้ของเรา อันนี้ก็คือโทสะ ดับโทสะได้เท่าไรความเร่าร้อนของจิตก็น้อยลงมากขึ้นเพียงนั้น

จำไว้ว่าดับหยาบไปหาละเอียด ความโลภก็ดี ความโกรธก็ดี ความหลงก็ดี ตัวใหญ่ตัวหยาบเราเบาบางลงให้ได้ ความโลภชนิดที่เกิดการแย่งชิงคดโกง ความโลภชนิดที่ยอมขายชาติ เกิดผลเสียต่อชาติหลายแสนอยากได้หมื่นเดียว ซึ่งไม่รู้จะได้ไหม ยอมอยากได้แต่ประเทศชาติเสียหายเราก็ยังจะเอายังจะทำ อันนี้ก็ถือว่ายังอยาก หมื่นหนึ่งถามว่าจริงๆอยากได้ไหมหมื่นหนึ่งอยากได้แต่ถ้าพ้นมันเกิดผลกับประเทศชาติส่วนรวมอันที่จริงมันกลายเป็นกรรมใหญ่มากกว่าเกิดผลต่อคนคนเดียวนะ พอนึกออกไหมพิจารณาดูประเทศชาติเป็นหนี้ ห้าแสนล้านต้องมาใช้กันทั้งประเทศทั้งชาติเราได้หมื่นหนึ่งแต่ทั้งชาติเสียหายเศรษฐกิจอาจจะล่มสลายผลเสียมากกว่า

ผลที่เราได้ผลที่มันเกิดขึ้นมันน้อยกว่า อันนี้ก็พิจารณาหรือความโลภที่กระทั่งทำให้เราโลภจนกระทั่งฉ้อโกงคนอื่น ไปฆ่าไปปล้นไปประหัตประหารเพราะอยากได้ วางแผนที่จะเอาเปรียบ วางแผนที่จะโกงล่อลวงหลอกลวง ทำคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงเงิน เงินที่ได้มามันก็กลายเป็นเงินร้อน จำไว้เงินที่มันร้อนมันก็รักษาอยู่ได้ไม่นาน ไม่นานมันก็มีวิบากกรรมทำให้เงินถึงแม้ว่าจะมีจำนวนมากมันก็หายไปได้ แต่เงินที่สะอาด เงินที่บริสุทธิ์ เงินที่เกิดขึ้นจากกำลังของทานบารมีที่เราทำและมาส่งผลทำให้ความขยันหมั่นเพียรจากสัมมาอาชีวะที่เราทำมันเกิดผล อันนี้มันจะเกิดเป็นทรัพย์ที่มันยั่งยืน เป็นทรัพย์ที่บริสุทธิ์ ยิ่งทรัพย์ที่เราได้มาเราทำบุญสร้างกุศลไปด้วย มันยิ่งเกิดงอกเงยความรุ่งเรืองตามไปด้วย

ดังนั้นเราพิจารณาว่าทรัพย์ทั้งหลายเราได้มาด้วยจิตอันบริสุทธิ์ ได้มาด้วยกำลังของทานบารมี ขออย่าให้ทรัพย์หรือการประกอบสัมมาอาชีวะของข้าพเจ้าเป็นไปด้วยกำลังหรือผ่านกำลังของความโลภโมโทสัน ตรงนี้ก็ขอให้เราตั้งกำลังใจไว้ให้ดี อันนี้มันก็จะบรรเทาโดยเฉพาะอย่างยิ่งเราอย่าได้ไปคิดว่าการที่เรามาปฏิบัติธรรมแล้วเราจะรวยไม่ได้ จริงๆสามารถรวยได้แต่ต้องรวยจากสัมมาอาชีวะ รวยจากการที่เราไม่ได้ไปคดโกงคนอื่น รวยแล้วเราทำนุบํารุง เรารวยแล้วเราเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับคนที่เขาลำบากยากไร้กว่า

อันนี้ก็ถือว่าเราเป็นคนรวยทั้งด้านจิตใจอย่างแท้จริง รวยจนสามารถแบ่งปันได้ รวยจนสามารถให้ได้ ดังนั้นทางที่มันตรงกันข้ามกับความโลภนั้นก็คือทานบารมี ทานที่ตรงกันข้ามกับความโลภอีกข้อก็คือจาคะ จาคะนี้จะสูงเริ่มเป็นวิปัสสนาญาณ คือการสละออก การให้นั้น บางครั้งเราให้เพื่อสงเคราะห์ให้เพื่อเกื้อกูลหรือแม้แต่ให้เพื่อเป็นบุญ ให้เพื่อเป็นการสร้างเสบียงบุญ แต่จาคะคือจิตสละออก ตัดความโลภ ตัดความตระหนี่ เป็นอารมณ์ของวิปัสสนาญาณ เราให้เพื่อละความโลภ ถ้าตั้งกำลังใจแบบนี้ จิตก็ยิ่งตัดความโลภได้มากขึ้นกว่าเดิม 

ส่วนข้อสุดท้ายก็คือความหลง ความหลงจุดสำคัญมีจุดเดียว หลงในวัฏสงสาร หลงในความเพลิดเพลิน หลงในชีวิต หลงในอายุ จุดสำคัญที่สุดก็คือหลงในภพภูมิ ดังนั้นสิ่งที่มันตรงข้ามกับการหลงอยู่ในภพภูมิก็คือการตั้งจิตตรงอยู่กับพระนิพพาน อันที่จริงการดับอวิชชาตัวเดียวนี้ก็คือเมื่อไรที่จิตเห็นคุณของพระนิพพานจนไม่เสียดายที่จะมาเกิด ไม่เสียดายความสุขความเพลิดเพลินในสังสารวัฏ นั่นก็คือเราตัดอวิชชา ความหลงมันก็คืออวิชชา ความหลงอวิชชาก็คือสังโยชน์ข้อสุดท้ายของสังโยชน์สิบ อันที่จริงสังโยชน์สิบตัดสุดท้ายตัวเดียวคือเลิกโง่ ตั้งจิตอยู่กับพระนิพพานจุดเดียว ตรงนี้มันก็ตัดรวบรัดเร็วที่สุด ตัดภพจบชาติ ตัดอวิชชา ตัดภพจบภูมิ ตั้งจิตพระนิพพานจุดเดียว อันที่จริงตรงนี้ก็ตัดรวบสังโยชน์ทั้งสิบ เพราะสังโยชน์คือเครื่องร้อยรัด ร้อยรัดจิตของเราอยู่กับภพแต่ละภพ ไล่ตั้งแต่หยาบขึ้นไปจนถึงละเอียด

ดังนั้นเราก็ดับหยาบไปหาละเอียด กิเลสโลภโกรธหลงตัวใหญ่ๆเราบรรเทาเบาบางแล้ว คราวนี้เราก็ค่อยๆมาเกลา เกลาจิตให้มันประณีตขึ้น เมตตามากขึ้น ผ่องใสมากขึ้น จิตแนบอยู่กับพระนิพพานมากขึ้นบ่อยขึ้น จิตนอบน้อมต่อพระรัตนตรัยมากขึ้น ละเอียดขึ้น ดังนั้นถ้าสังเกตดูคนที่เข้าเขตความเป็นพระอริเจ้าสูงมากเท่าไร จะมีความละเอียดพิจารณาธรรมละเอียดสำรวมระวังประณีตมากขึ้นกว่าคนที่เป็นปุถุชน ดังนั้นเราตั้งใจว่าเราจะละเอียดในธรรม ละเอียดในการถวายทาน ละเอียดในการรักษาศีล ละเอียดในการเจริญพระกรรมฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอารมณ์พระกรรมฐานยิ่งเข้าใจลึกซึ้งโดยละเอียด ความเชื่อมโยงสัมพันธ์ผูกพันอารมณ์จิตเช่นนี้ทำไมต้องทำ ทำไมต้องนอบน้อมต่อพระพุทธองค์ ทำไมกระแสเมตตาต้องเย็นละเอียดแผ่สว่างผ่องใส เราเข้าใจได้มากเท่าไร เราก็จะยิ่งรุดหน้าในการปฏิบัติธรรมสูงขึ้นก้าวหน้าขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

สำหรับวันนี้การปฏิบัติของเราก็สมควรกับเวลา กำหนดจิตตั้งจิตอธิษฐานในฐานะที่เรามาปฏิบัติเจริญพระกรรมฐานทรงอารมณ์เจริญวิปัสสนาญาณขั้นสูงคือยกจิตขึ้นมาบนพระนิพพานได้ เราตอนนี้ทั้ง 79 คนก็ตั้งใจอธิษฐาน อาราธนากระแสจากพระนิพพานแผ่เมตตาลงมายังภพภูมิทั้งหลายในสังสารวัฏ ไล่ลงมาตั้งแต่อรูปพรหมทั้ง 4 พรหมโลกทั้ง 16 ชั้น สวรรค์ อากาศเทวดาทั้ง 6 รุกขเทวดาภูมิเทวดาทั่วจักรวาล มนุษย์และสัตว์ที่มีขันธ์ห้ากายหยาบทั่วอนันตจักรวาลทุกดวงดาว แผ่เมตตาลงมายังโอปปาติกะสัมภเวสี ดวงจิตที่หลงอยู่ในภพภูมิที่ทับซ้อน แผ่เมตตาต่อไปยังเปรตอสูรกายทั้งปวง แผ่เมตตาต่อไปยังนรกภูมิทุกขุม น้อมกระแสจากพระนิพพานเป็นแสงสว่างแห่งบุญกุศลยังดวงจิตของสรรพสัตว์ ขอเชื้อขอกระแสแห่งมรรคผลพระนิพพานจงเป็นโพธิจิตฝังลงในดวงจิตทุกดวงจากกระแสที่ข้าพเจ้าอาราธนาแผ่ลงมาด้วยกำลังแห่งพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ

จากนั้นกำหนดจิตอธิษฐานขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขออาราธนากระแสจากพระนิพพาน กระแสบุญกุศลอันไม่มีประมาณของพระพุทธเจ้า บารมีของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจก พระอรหันต์ ขอน้อมรวมลงมายังประเทศไทยยังโลกใบนี้ ขอกระแสพุทธานุภาพลงมายังวัดวาอารามสถานปฏิบัติธรรมทุกแห่ง ขอน้อมกระแสพุทธานุภาพอันไม่มีประมาณลงมาอย่างพระพุทธรูปทุกองค์ พระประธานทุกองค์ พระบูชาทุกองค์ ขออาราธนากระแสพุทธานุภาพลงมายังพระบรมธาตุเจดีย์ พระเจดีย์พระมหาเจดีย์ พระบรมสารีริกธาตุ พระบรมธาตุ พระอัฐิธาตุ พระอรหันตธาตุทุกพระองค์ ที่ปรากฏอยู่ทั้งในโลก พรหมโลก เมืองบาดาล ขอจงมีความศักดิ์สิทธิ์ปรากฏพระธาตุปาฏิหาริย์อัศจรรย์ ขอน้อมกระแสจากพระนิพพานลงมาคุ้มครอง เป็นกระแสโลกุตระลงมายังดวงจิตของพุทธบริษัทสี่ไม่ว่าท่านทั้งหลายจะอยู่ในสภาวะเพศใดก็ตาม จะเป็นพระภิกษุสงฆ์ก็ดี อุบาสกอุบาสิกาก็ดี ขอกระแสมรรคผลพระนิพพานเชื่อมตรงกับจิตของท่านทุกดวงที่ตั้งใจปฏิบัติ ขอให้ตรงอยู่ในมรรคผลนิพพานทุกดวงจิตด้วยเทอญ 

จากนั้นน้อมกระแสจากพระนิพพานรวมลงมาเป็นบุญฤทธิ์ ขอน้อมถวายบูชาบูรพมหากษัตราธิราชเจ้าทุกราชวงศ์ทุกๆพระองค์ น้อมถวายบูชาพระสยามเทวาธิราช น้อมถวายลงมายังเทวดาผู้พิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนา เทพพรหมเทวาผู้พิทักษ์รักษาพระมหาเศวตฉัตร เทพยดาทั้งหลายที่ปกปักรักษาทำนุบำรุงพระชนมวารองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมวงศานุวงศ์และผู้ที่ทรงคุณงามความดียังประโยชน์ต่อประเทศชาติต่อส่วนรวม รวมถึงขอกระแสจากพระนิพพานน้อมรวมลงมายังเหล่าพระโพธิสัตว์ทั้งหลายที่บำเพ็ญบารมีบนโลกมนุษย์ ไม่ว่าท่านจะรู้ตัวก็ดีไม่รู้ตัวก็ดี ขอมีกำลังแห่งพุทธานุภาพคุ้มครองรักษาท่าน 

จากนั้นอธิษฐานจิตต่อไปว่าขอกระแสแห่งพระนิพพานจงน้อมลงมาสู่แผ่นดินสุวรรณภูมินี้เต็มกำลัง ขอจงยอยกขึ้นสู่ยุคแห่งชาววิไล ขอบรรดาผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายผู้มีจิตอันเป็นกุศลทั้งหลายรวมตัวรวมจิตรวมใจกันเป็นหนึ่งมีสามัคคีธรรม ขอชาวธรรมทั้งหลายจงปรากฏความสามัคคีธรรมขึ้น กำลังแห่งบุญที่ข้าพเจ้าทั้งหลายได้บำเพ็ญได้สร้างได้บำเพ็ญได้ถวายมหาสังฆทานโดยสามัคคีธรรมฉันใด หล่อสร้างพระพุทธรูปด้วยสามัคคีธรรมฉันใด ขอกำลังจิตบุญอันเกิดขึ้นสำเร็จแล้ว จงอธิษฐานให้เกิดผลสัมฤทธิ์ อธิษฐานให้เกิดสามัคคีธรรมต่อพสกนิกรปวงชนชาวไทยทั้งปวง ขอพุทธบริษัทสี่ทั้งหลายจงรวมตัวเป็นหนึ่ง ขอประชาชนชาวไทยทั้งหลายจงสามัคคีเป็นหนึ่งด้วยกำลังแห่งพระบารมีขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในหลวงรัชกาลที่๑๐ ที่คอยปกเกล้าเป็นศูนย์รวมจิตใจเพื่อนำพาด้วยพระบารมีของพระองค์ ให้ชาติให้บ้านเมืองก้าวเข้าสู่ยุคชาววิไลสำเร็จโดยพลันด้วยเทอญ 

จากนั้นกำหนดให้เห็นแสงสว่างกระแสจากพระนิพพานส่องลงมาในแผ่นดินส่องลงมาที่พระบรมมหาราชวงศ์ ส่องลงมายังวังอัมพรที่พระองค์ท่านเสด็จประทับอยู่ กระแสแสงสว่างส่องลงมายังวัดวาอารามที่เราอุปัฏฐากอุปถัมภ์ดูแลไปทำบุญ กำหนดน้อมให้เห็นพระพุทธรูปวัตถุมงคลที่บ้านเรือนเราสว่างเป็นแก้วใส พระธาตุที่เราบูชาเป็นเพชรสว่าง ขอจงเกิดพระธาตุปาฏิหาริย์ สำหรับพระธาตุพระบรมสารีริกธาตุที่ข้าพเจ้าได้บูชาและสักการะ ขอจงเกิดปาฏิหาริย์จากการปฏิบัติบูชาเป็นพระธาตุปาฏิหาริย์เกิดขึ้นด้วยเถิด 

จากนั้นกำหนดจิตให้จิตใสที่สุด กายทิพย์กายพระวิสุทธิเทพบนพระนิพพานสว่างที่สุด  ขอบุญจงรวมตัว บารมีทั้งหลายจงมารวมตัว จิตข้าพเจ้าขอจงรวมบารมีให้ข้าพเจ้าสามารถปฏิบัติจนเข้าถึงพระนิพพานชาตินี้ สำหรับท่านที่เป็นพระโพธิสัตว์เป็นพุทธภูมิก็ขอให้บารมีที่ข้าพเจ้ารวบรวมสะสมในการลงมาจุติยังภพชาตินี้ ขอจงเป็นบารมีใหญ่ เป็นบารมีเอก บารมีที่สร้างสะสมขอจงรวมตัวกัน อภิญญาสมาบัติกรรมฐานเก่าขอให้ข้าพเจ้าสามารถจดจำได้ในทุกชาติภพ สามารถต่อทวนวิชาทั้งหลายบารมีทั้งหลาย ขอจงปรากฏความรู้ตื่นขึ้นทันทีที่ข้าพเจ้ารู้ความ ขอกรรมฐานทั้งหลายจงกลับคืนมา บารมีเก่าทั้งหลายจงกลับมา ความดีทั้งหลายกุศลทั้งหลายจงกลับมา 

จากนั้นกำหนดจิตกราบลาพระพุทธองค์ กราบด้วยความเคารพนอบน้อม จิตผ่องใส อธิษฐานจิตเป็นกระแสแสงพุ่งจิตกลับมาที่โลกมนุษย์ น้อมอาราธนากระแสจากพระนิพพานกระแสธรรมจากการปฏิบัติเป็นแสงสว่างจากพระนิพพานลงมาฟอกธาตุขันธ์ ผมขนเล็บฟันหนังกลายเป็นแก้วใสสะอาด โครงกระดูกใสเป็นแก้วเป็นเพชรสว่าง หลอดเลือดเส้นเอ็นขอให้หลอดเลือดทั่วร่างกายทุกส่วนใสสะอาด ธาตุธรรมสลายชำระล้างหลอดเลือดทั่วกายขันธ์ห้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลอดเลือดไปเลี้ยงหัวใจ ไปเลี้ยงสมอง หลอดเลือดใหญ่ สลายล้างสารพิษทั้งหลายออกไป ไร้การอุดตัน ไร้การเกิดสโตก ไร้การเกิดอาการวูบ สลายล้างชำระล้างหลอดเลือดใสสะอาด ธาตุธรรมชำระล้างหลอดเลือด เส้นเอ็น กลายเป็นแก้วใสสะอาด อาการทั้ง 32 อวัยวะภายในทั่วร่างกายกลายเป็นแก้ว ธาตุธรรมฟอกสลายเซลล์ที่ผิดปกติ โรคภัยไข้เจ็บในแต่ละส่วนของอวัยวะขอจงถูกธาตุธรรมฟอกสลายล้าง ขาวใสสะอาดบริสุทธิ์ ทำงานสมดุลเป็นปกติ กายทั้งกายที่เป็นกายหยาบกลายเป็นแก้วใสสะอาด มองทะลุเห็นอวัยวะภายในทั้งหมด กำหนดให้กายเรากลายเป็นแก้ว ธาตุธรรมจิตกำลังพุทธานุภาพผนึกชำระล้างฟอกกายของเรากลายเป็นแก้วปัดผลึก เซลล์ทุกเซลล์ทั่วร่างกายของเราให้กลายเป็นแก้วใสสว่าง หมดโรคภัยไข้เจ็บทั้งหลายสลายตัวไปจนหมด 

จากนั้นอธิษฐานจิต ขอกำลังบุญจงเปิดสายทรัพย์สายสมบัติ ขอจงมาเป็นมนุษย์สมบัติจับต้องได้ มหาสังฆทานที่กระทำจนเต็มบารมีเต็มแล้ว ขอจงเปิดสายทรัพย์สายสมบัติให้ข้าพเจ้าสามารถนำมาใช้ทำนุบำรุงดูแลตน ดูแลครอบครัว ทำนุบำรุงส่วนรวมชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เกื้อกูลสงเคราะห์บุคคลทั้งหลาย ขอเทวดาพรหมได้โมทนาในกุศลที่ข้าพเจ้าได้กระทำบำเพ็ญ ขอจงเมตตาอนุญาตสงเคราะห์ให้ข้าพเจ้ามีความคล่องตัวในทุกด้าน แม้ยามเกิดทุพภิกขภัยข้าวยากหมากแพงแต่ก็ขอให้ข้าพเจ้าทั้งหลายมีกำลังแห่งบุญ มีกำลังแห่งพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ กำลังของเทวดานุภาพช่วยเหลือเกื้อกูลสงเคราะห์ให้เกิดความคล่องตัว ไม่มีความอดอยาก ไม่มีความยากลำบาก มีแต่ความคล่องตัว มีแต่ความสะดวกในทุกกิจการงานในทุกสิ่ง ความคล่องตัวด้านกำลังทรัพย์ กำลังสติปัญญา กำลังบุญ กำลังบารมี ขอจงคล่องตัวทุกด้านด้วยเถิด

จากนั้นก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน ให้เราโมทนาบุญซึ่งกันและกันทั้ง 80 คนที่ตั้งใจมาฝึกสมาธิแล้วมาฟังภายหลังก็ขอโมทนาบุญ หากใครสามารถดับโทสะตัดการเป็นเจ้ากรรมนายเวรให้มหาอภัยทานอโหสิกรรมต่อกันได้ บาปกรรมเวรกรรมพลังงานของกรรมความโกรธแค้นมันสลายตัวลงไปจากโลกจากประเทศชาติจากแผ่นดิน มีแต่กำลังของบุญมารวมตัวมากเข้า ในที่สุดบุญก็พายกแผ่นดิน ยกประเทศ ยกยุคขึ้นสู่ยุคชาววิไลได้ในที่สุด

ดังนั้นเรารีบชิงตัดชิงอโหสิกรรมเพื่อตัดพลังงานที่มันเป็นความโกรธแค้นอาฆาตพยาบาทให้มันเบาให้มันบางลง นี้ก็จะเกิดประโยชน์กับทุกคนรวมทั้งตัวเราเองด้วย แล้วก็ขอให้เราช่วยกันเขียนแผ่นทองอธิษฐานนิพพาน ยิ่งเขียนมากเท่าไรช่วยกันมากเท่าไร ตัวผู้เขียนเองก็ได้ผลของการตั้งจิตมั่นอยู่กับพระนิพพาน ในขณะเดียวกันก็ทำให้งานใหญ่ที่เป็นการสร้างพระเจ้าองค์แสนจิตพระนิพพานสำเร็จได้รวดเร็วขึ้นตามไปด้วย อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ช่วยกันทำ แล้วก็ถ้าเป็นไปได้จริงๆก็อยากให้เราร่วมใจกันถวายมหาสังฆทานจะมากจะน้อยก็ร่วมกันแต่ว่าสำคัญที่ความสม่ำเสมอ คือทำทุกเดือนจะมากจะน้อยก็ทำ อันนี้มันก็ทำให้ทานบารมีของเรามันกลายเป็นกุศลที่สร้างเป็นนิจศีล ดังนั้นผลมันก็มีความต่อเนื่องยั่งยืนมากกว่า อันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน

สำหรับวันนี้ก็ให้ทุกคนมีความสุข ความเจริญ ความร่มเย็นเป็นสุข บารมีจงเปิดจงเต็มทุกคน พบกันใหม่สัปดาห์หน้าสำหรับวันนี้สวัสดีครับ

เรียบเรียงและถอดความโดย คุณ Ladda

You cannot copy content of this page