green and brown plant on water

จิตมีพระนิพพานเป็นที่สุด

เวลาอ่าน : 3 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม 2567

เรื่อง จิตมีพระนิพพานเป็นที่สุด

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

กำหนดจิตในสมาธิ ตั้งสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ผ่อนคลายร่างกาย ร่างกายกล้ามเนื้อทุกส่วนปล่อยวางและผ่อนคลาย ในความผ่อนคลายทั่วร่างกายเราปลดปล่อยความเกาะความห่วงความยึดในขันธ์ 5 ออกไปให้หมด เหลือแต่เพียงความสงบเบา

จากนั้นพิจารณาปลดปล่อยความวิตกกังวลภาระหน้าที่การงาน ความห่วงในบุคคลอื่นออกไปจากจิตใจให้หมด วางภาระทางกายและจิต เหลืออยู่แต่เพียงความสงบเบา ความร่มเย็น จินตภาพเห็นลมหายใจของเราเป็นเหมือนกับแพรวไหมพลิ้วผ่านเข้าออก สติติดตามดูติดตามรู้ลมหายใจที่เหมือนกับแพรวไหมนั้น ต่อเนื่อง ราบรื่น แผ่วเบา อ่อนโยน กายจิตสงบ ลมหายใจยิ่งละเอียดเบา อารมณ์จิตเรายิ่งเบายิ่งสบาย จิตสงบ นิ่ง ผ่องใส

จิตของเราสงบร่มเย็น ราบรื่นต่อเนื่องอยู่กับสมาธิ เข้าถึงความสุขแห่งความสงบ จิตได้หยุดได้พักจากความฟุ้งปรุงแต่งทั้งหลาย เรื่องราวความวุ่นวายสับสนทั้งหลาย ทรงอารมณ์ในความสงบ กำหนดรู้ในอานาปานสติ วิหารธรรม ธรรมอันเป็นเครื่องอยู่ของจิต อยู่กับลมหายใจสบาย ละเอียด ผ่องใส อารมณ์จิตเบาสบาย สงบ เย็น ปราศจากความเร่าร้อนทั้งปวง

จากนั้นจึงกำหนดหยุดจิต จุดที่จิตนั้นหยุด กำหนดจินตภาพเป็นดวงแก้วค่อยๆสว่างขึ้น ใสขึ้น ใหญ่ขึ้น อารมณ์จิตยิ่งมีความเบิกบาน กสิณคือจิต จิตคือกสิณ จิตเป็นดวงแก้วกสิณสว่าง จากดวงแก้วสว่างปรากฏสภาวะเป็นเพชประกายพรึก สว่างระยิบระยับแพรวพราว ทรงอารมณ์ความรู้สึกความสัมพันธ์ระหว่างภาพนิมิตของกสิณจิต และอารมณ์จิตอารมณ์พระกรรมฐาน ยิ่งดวงจิตที่เป็นเพชรประกายพรึกสว่างระยิบระยับ มีแสงรัศมีพวยพุ่งออกมาโดยรอบ 360 องศา จิตเรายิ่งเอิบอิ่บเบิกบาน และมีความรู้สึกเปี่ยมพลัง จิตอันเป็นประภัสสร จิตของเราขณะนี้ สะอาดจากนิวรณ์ 5 ประการ สะอาดสงบจากสรรพกิเลสทั้งปวง

ทรงอารมณ์ในสภาวะที่จิตเป็นเพชรประกายพรึกเป็นจิตประภัสสรนี้ ทรงอารมณ์ประคับประคองจิต ให้จิตชินกับอารมณ์พระกรรมฐาน จนกระทั่งจิตที่เป็นประภัสสรนั้นเป็นวสี

เป้าหมายในการปฏิบัติธรรมของเรา ยิ่งเราทรงอารมณ์ให้จิตสะอาดว่างจากกิเลสในแต่ละวันได้ยาวนานมากเท่าไหร่ จิตเราก็ชินกับสภาวะที่ปราศจากกิเลสมากขึ้นเพียงนั้น

ยิ่งไกลยิ่งห่างยิ่งห่างหายจากความโลภโกรธหลง ยิ่งจดจ่อยิ่งเกาะอยู่กับความผ่องใสความสะอาดจากกิเลส อันนี้เป็นกำลังของการใช้สมาธิที่เป็นสมถะมาตัดมาประหัตประหารกิเลส แต่อารมณ์จิตนี้ยังเป็นลักษณะของการข่มจิต ใช้กำลังฌานข่มกิเลสไม่ให้ปรากฏ ย้ายจากความคิดที่หมกมุ่นกับกิเลสโลภโกรธหลง ความกังวล นิวรณ์ 5 ประการ มาอยู่กับความผ่องใสความสบายของจิต

เราพิจารณาใช้เพื่อให้จิตเกิดกำลังฌาน แล้วค่อยเอากำลังฌานนั้นมาตัดกิเลสอีกครั้งหนึ่ง

กำลังฌานเมื่อไหร่ที่เราจิตเป็นประภัสสรเป็นประกายพรึก จิตก็เข้าถึงฌาน 4 ของกสิณ กำลังของฌาน 4 ย่อมมากกว่าอุปจารสมาธิ ขณิกสมาธิ หรือสมาธิที่มันต่ำกว่าน้อยกว่า กำลังใจเราได้ในสมถะ ขั้นสูงสุดในสมถะก็คืออรูปฌาน กำหนดจิตสลายรูป จิตที่เป็นเพชรประกายพรึกสลายออกกลายเป็นความว่าง โลกมนุษย์ ร่างกายขันธ์ 5 ของเรา จักรวาล สลายกลายเป็นความว่างให้หมด

กำหนดจิต ปรากฏความว่าง เวิ้งว้างว่างเปล่า ขาว โล่ง ไม่มีพื้น ไม่มีผนัง ไม่มีเพดาน

กำหนดจิตทรงอารมณ์อยู่กับอรูปสมาบัติ คือความว่างนั้น ว่าง วางเบา ว่างจากความเกาะความยึดทั้งหลาย ว่างเบาอย่างถึงที่สุด

เมื่อทรงอารมณ์ในความว่างจนจิตเกิดกำลังเกิดการทรงตัว เราอธิษฐานจิต ขอกำลังแห่งสมาบัติ 8 กำลังแห่งอรูปสมาบัตินี้ จงมาเป็นบาทฐานพละปัจจัย เป็นกำลังแห่งจิตตานุภาพแห่งจิต ให้ข้าพเจ้าได้ใช้เพื่อการตัดสรรพกิเลสให้เป็นสมุจเฉทปหานด้วยเถิด

จากนั้นจึงกำหนดจิตอธิษฐาน น้อมรำลึกนึกถึงพระพุทธองค์ กำหนดน้อมเห็นภาพองค์พระสว่างเป็นเพชรประกายพรึก องค์พระที่สว่างเป็นเพชรประกายพรึกปรากฏขึ้น อาราธนาบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอยกจิตข้าพเจ้า อาทิสมานกายข้าพเจ้าขึ้นไปบนพระนิพพานด้วยเถิด

เมื่อยกจิตขึ้นไปบนพระนิพพานได้แล้ว เราก็อธิษฐานจิต กำหนดรู้ในความเป็นกายแห่งกายพระวิสุทธิเทพ นั่งอยู่เบื้องหน้ามหาสมาคมอันมีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน ตั้งจิตกราบทุกท่านทุกๆพระองค์ด้วยความนอบน้อมเคารพ

เมื่อกราบพระแล้วเราก็กำหนดจิตพิจารณาความเป็นกายพระวิสุธิเทพ พิจารณาว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เราตายไปจากร่างกายขันธ์ 5 อันตภาพนี้ เราขอตั้งจิตไว้จุดเดียวคือพระนิพพาน ขอมีพระนิพพานเป็นที่สุด และในขณะเดียวกัน อารมณ์จิตที่เราพิจารณาว่าทำไมจิตเราจึงยินดีในพระนิพพาน ให้เราน้อมจิตในสภาวะแห่งกายพระวิสุทธิเทพ พิจารณาว่า เหตุใดเราจึงปรารถนาพระนิพพานชาตินี้ เราเห็นทุกข์ เห็นโลก พิจารณาเช่นไรเราจึงปรารถนาพระนิพพานชาตินี้ ให้เราน้อมจิตเจริญวิปัสสนาญาณในแต่ละบุคคล พิจารณาด้วยจิตของตน เหตุใดเราจึงปรารถนาพระนิพพาน ให้คำตอบกับจิตของเราเองให้ได้ แต่ละคนอาจจะมีจุดที่เห็นธรรม พิจารณาและเป็นจุดเปลี่ยนจุดหักเหที่ทำให้เราก้าวเข้าสู่กระแสแห่งโลกุตระที่ต่างกัน แต่ไปยังที่ที่เดียวกันคือพระนิพพาน ทุกข์ใดที่ทำให้เราเห็นภัยในวัฏสงสาร ทุกข์ใดเรื่องราวใดประเด็นใดที่ทำให้เราปรารถนาพระนิพพานชาตินี้

เมื่อพิจารณาแล้วก็ให้เราน้อมจิต กราบทูลสมเด็จองค์ปฐมพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ว่า ข้าพเจ้าเห็นธรรมแล้ว และ ณ ขณะจิตนี้ จิตข้าพเจ้ายกไว้ซึ่งบนพระนิพพาน

ขอพระพุทธองค์เมตตามีพุทธานุญาต ขอให้ชาตินี้ข้าพเจ้าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานโดยถาวรได้ด้วยเถิด หากแม้นข้าพเจ้าประมาทพลาดพลั้ง ลืมอารมณ์พระนิพพานก็ดี ไม่ได้ตั้งจิตไว้ก็ดี ในขณะจิตสุดท้ายก่อนตาย ขอพระองค์ทรงมีเมตตาเสด็จมาโปรดมารับข้าพเจ้าให้ในที่สุดสุดท้าย ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงได้ซึ่งพระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด

จากนั้นเราก็พิจารณาต่อไป อธิษฐานจิตจากบนพระนิพพาน จากสภาวะของกายพระวิสุทธิเทพมองลงมายังโลกเบื้องล่าง ลงมาดูว่าในขณะนี้โลกมันมีความเร่าร้อน มีความทุกข์ ในโลกในบางเขต มีศึกสงคราม มีแผ่นดินไหว มีภูเขาไฟระเบิด มีการรบราฆ่าฟันกัน ในประเทศไทยเองก็มีน้ำท่วมขนาดหนัก ไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือ ไม่ว่าจะเป็นภาคใต้

เรากำหนดจิตพิจารณาให้เห็นความไม่เที่ยง ความแปรปรวนของมนุษย์ของโลก พิจารณาว่าโลกนี้มันไม่ใช่ว่ามีแต่ความสุขสงบสันติอยู่ตลอดเวลา หรืออยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์ ในยามที่โลกมันมีภัยพิบัติ มีความทุกข์ มีศึกสงคราม มีการประหัตประหาร มีการล้างจำนวนประชากร ก็มีผู้ที่เสียชีวิต มีผู้ที่ล้มตาย มีผู้ที่พลัดพรากจากคนรัก มีความเสียหายในทรัพย์สินเงินทองในบ้านเรือนเคหสถาน มีความโกรธแค้นเกลียดชังจากศึกสงคราม พิจารณาให้เห็นความทุกข์ความเร่าร้อนเหล่านั้น พิจารณาว่าตราบที่ยังมีการเกิด เราก็ยังมีโอกาสที่จะต้องมาประสบพบเจอเรื่องราวเหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้ เราหลายคนที่ปฏิบัติที่เจริญพระกรรมฐาน มีความโชคดี หลายคนอยู่ในพื้นที่ที่เป็นพื้นที่ประสบภัย แต่บ้านเรือนของเราหลายๆคนนั้นไม่พบเจอภัยพิบัติ ไม่ถูกภัยพิบัติ รอดจากภัยพิบัติไปได้ สิ่งต่างๆเหล่านี้ก็เพราะว่าบุญยังคุ้มครองเราอยู่ ดังนั้นพระพุทธองค์ท่านจึงทรงตรัสไว้เสมอว่า ตราบที่ยังมีชีวิตอยู่นั้น เราจะหยุดสร้างบุญสร้างกุศลไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ว่าเราจะตายเมื่อไหร่ เราไม่รู้ว่าวาระที่เป็นอกุศลกรรมวิบากกรรมจะเข้ามาสู่ชีวิตเราเมื่อไหร่ ดังนั้นการที่เราสร้างบุญสร้างกุศลไว้สม่ำเสมอเป็นนิจศีลเป็นปกติ จำไว้ว่าจะมากจะน้อย จำนวนมูลค่าไม่สำคัญเท่ากำลังใจกำลังสมาธิจิตในขณะที่เราถวาย ในขณะที่เราทำบุญกิริยาวัตถุทาน

ดังนั้นเราปฏิบัติมาถึงขั้นจิต เราฝึกมาถึงขั้นกายทิพย์ การที่เราได้มโนมยิทธินั้น ถือว่าเราได้กายทิพย์ เราใช้กายทิพย์ไปยังภพใดภูมิใดก็ได้ เราใช้กายทิพย์ในการกำหนดรู้ในญาณทัศนะทั้ง 8 อาทิเช่น ปัจจุปปันนังสญาณ  อตีตังสญาณ อนาคตังสญาณ  บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ เจโตปริยญาณ เป็นต้น

เมื่อญาณเครื่องรู้เรามีอยู่ กายทิพย์เราใช้ทำงานไปด้วยกายทิพย์ได้ เราก็พึงฉลาดที่จะใช้กำลังของกายทิพย์นั้น เพราะเมื่อไหร่ที่เราใช้กำลังของกายทิพย์ แปลว่าเราใช้กำลังของอภิญญา 6 ขึ้นไปจนถึงปฏิสัมภิทาญาณ กำลังจิตสูงกว่าก็มีกำลังจิตตานุภาพมีอำนาจในการตัดกิเลสสูงกว่า ยิ่งเราใช้กำลังจิตตานุภาพมากเท่าไหร่ ก็อุปมาเหมือนกับนักรบที่ขยันหมั่นฝึกฝนกระบวนท่าการฝึกซ้อม ยิ่งซ้อมมากเท่าไหร่ ยิ่งใช้มากเท่าไหร่ ยิ่งมีความแข็งแกร่ง ยิ่งมีความคล่องตัว จิตเราก็เช่นกัน ใช้กำลังของอภิญญา ใช้กายทิพย์อาทิสมานกายยกขึ้นไปบนพระนิพพาน ยกขึ้นไปจนรู้สึกว่าไม่ใช่ภาระ ไม่ใช่เรื่องหนัก ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป

ใครที่ปฏิบัติจนถึงจุดนี้แล้วก็ให้กำหนดรู้ว่ากำลังของเราทรงตัว แต่คราวนี้สิ่งที่เป็นอภิญญาสมาบัติรวมไปถึงพลังจิตพลังสมาธิทุกอย่าง อันที่จริงแล้วก็อุปมาเหมือนกับดาบสองคม ถ้าเราใช้ในทางที่ผิด ก็เกิดอันตรายต่อบุคคลอื่น เกิดอันตรายต่อผู้ใช้เอง กำลังของมโนมยิทธิก็ดี กำลังของอภิญญาจิตก็ดี ถ้าเราใช้เพื่อการตัดกิเลส ตรงจุดนี้ก็ถือว่าตรงตามวัตถุประสงค์ที่หลวงพ่อท่านสอน ตรงตามที่พระพุทธองค์ท่านทรงมีพระพุทธบัญชามีพระพุทธประสงค์ 

แต่ถ้าเมื่อไหร่เราไปใช้ดูเรื่องที่มันไร้สาระ ดูเรื่องที่เป็นความโลภโกรธหลง ดูเรื่องที่ทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่นยึดติดในสังสารวัฏ มันก็เป็นไปเพื่อผูกเราไว้มัดกับสังสารวัฏแน่นหนา เช่นเราไปดูแล้วพบว่าเราเคยเป็นคู่กับคนนี้ พอสัญญาเก่ามันหวนรำลึกได้ เราก็อยากพบเจออยากเป็นคู่เขาอีกทุกชาติภพ อันนี้ก็เท่ากับได้ตราสังข์มันมัดแน่นตัวเราจิตเราไว้กับสังสารวัฏไว้กับบุคคลนี้  กว่าจะหลุดจากความเกาะความหลงความยึดมั่นถือมั่นนี้ กว่าจะมีปัญญาถอดถอนใจที่เกาะที่รักที่หลง มันก็อาจจะอีกหลายชาติภพ อาจจะผ่านไปเป็นกาลเวลาที่พระพุทธเจ้าตรัสไปแล้วอีกหลายพระองค์ก็เป็นได้

ดังนั้นยิ่งใช้ความรู้สึกของมโนมยิทธิอภิญญาจิตไปเกาะไปยึดกับใครมาก มันยิ่งแรงกว่าการที่เราไม่มีเราไม่รู้ ดังนั้นถึงบอกว่ามันเป็นดาบสองคม

คราวนี้ก็ให้เราแต่ละบุคคลลองพิจารณา เราเองเคยใช้กำลังของอภิญญาจิต กำลังมโนยิทธิ กำลังของญาณทั้งหลาย เอาไปใช้ในทางที่ก่อให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น ก่อให้เกิดวิบากไหม เราพิจารณาด้วยความซื่อสัตย์ด้วยความจริงใจต่อตัวเราเอง กำหนดพิจารณาของเรา เพื่อที่จะจัดทรงกำลังใจของตนให้ใช้กำลังของมโนมยิทธิ กำลังขอเป็นอภิญญาในทางที่เพื่อละ เพื่อปล่อยวาง เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม เพื่อให้ตรงต่อมรรคผลพระนิพพานและปฏิปทาสาธารณประโยชน์ อันนี้เป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าใช้อภิญญาผิด มันยังเป็นทางที่ลงนรก แต่ถ้าใช้ถูกก็ทำให้เป็นทางลัดไปพระนิพพาน เราพิจารณาจัดทรงของเราเองว่าเราจะเลิกใช้ในทางที่ผิดไหม ซื่อสัตย์ต่อตนเอง ซื่อสัตย์ต่อจิตของเรา รู้เพื่อละ หรือรู้เพื่อหลง

ได้กรรมฐานเพื่อตัดภพจบชาติ หรือได้กรรมฐานสมาธิญาณเครื่องรู้แล้ว ยิ่งต่อภพต่อชาติต่อวิบากกรรม

กำหนดพิจารณาด้วยจิตของเรา ขอให้การเจริญพระกรรมฐานของข้าพเจ้า มุ่งตรงต่อมรรคผลพระนิพพาน ขอให้กระแสจิตของข้าพเจ้าอยู่ในกระแสแห่งโลกุตรภูมิ ขอให้กาย วาจา ใจ ข้าพเจ้าอยู่ในสายพระเนตรของพระพุทธองค์

เมื่อพิจารณาเมื่ออธิษฐานแล้ว เราก็กำหนดจิตต่อไป  พิจารณาว่าสิ่งที่เรารักที่สุด ห่วงที่สุด เกาะที่สุด ในชาติภพของการเป็นมนุษย์ ในชาติภพนี้ คือ บุคคลใด สิ่งใด เรื่องราวใด น้อมจิตเจริญวิปัสสนาญาณ เพื่อละเพื่อวางสิ่งที่เราเกาะที่สุด ห่วงที่สุด ยึดติดที่สุด หวงแหนที่สุดเหล่านั้น พิจารณาเพื่อปล่อยวางสิ่งที่เราเกาะที่สุด จิตเราเฉย นิ่ง ปล่อยวาง

เมื่อปล่อยวางแล้ว ละแล้ว คลายจากจิตของเราแล้ว เราก็กำหนดพิจารณาในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ พิจารณาในอารมณ์พระนิพพานอีกครั้งหนึ่ง  กำหนดจิตเสวยวิมุตติสุขในอารมณ์แห่งพระนิพพาน ประดุจดังเมื่อยามที่เราตายจากขันธ์ 5 อัตภาพนี้แล้วและเราเข้าถึงพระนิพพาน เราไม่ต้องเกิดอีกต่อไป กรรมทั้งหลายวิบากทั้งหลายไม่อาจส่งผลกับเราได้อีกต่อไป ความเกาะ ความยึด ความเศร้าหมองทั้งหลาย พันธะความห่วงทั้งหลายไม่อาจมีเยื่อใยต่อจิตของเราได้อีกต่อไป พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง จากการวาง จากการละ จากจิตที่เป็นอิสระ จากวิบาก จากชาติภพ จากภาระทั้งปวง เสวยอารมณ์วิมุตติสุขในอารมณ์พระนิพพาน “นิพพานัง ปรมัง สุขัง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง นิพพานัง ปรมังสุญญัง พระนิพพาน เป็นความว่างจากความห่วงความอาลัยและสรรพกิเลสตลอดจนนิวรณ์ 5 ประการทั้งหลายอย่างยิ่ง”

กำหนดกายพระวิสุทธิเทพสว่างเจิดจ้าเต็มกำลัง พร้อมกับทรงอารมณ์ นิพพานัง ปรมัง สุขัง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง กำหนดจิตทำความรู้สึก ว่ากายพระวิสุทธิเทพคือตัวเราขณะนี้ อยู่ในวิมานของตัวเองบนพระนิพพาน ทั้งกายพระวิสุทธิเทพและวิมานสว่างรุ่งโรจน์ บุญทั้งหลาย ทานทั้งหลาย ศีลทั้งหลาย สมาธิทั้งหลายเป็นไปเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด บุญทั้งหลายรวมตัวกันบนพระนิพพาน สว่างเจิดจ้าเป็นประกายพรึก กายพระวิสุทธิเทพเป็นประกายพรึก ฉัพพรรณรังสีรัศมีกายสว่างรุ่งโรจน์อย่างยิ่ง ทรงอารมณ์บนพระนิพพานให้จิตแนบ ให้จิตยินดี ให้จิตมีพระนิพพานเป็นที่สุด

จากนั้นจึงกำหนดจิต แผ่เมตตาลงมาจากพระนิพพาน อธิษฐานจิต อาราธนากระแสบุญศักดิ์สิทธิ์จากพระนิพพานอันประกอบไปด้วยบุญทั้งหลายที่พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ได้บำเพ็ญไว้ดีแล้ว ขอน้อมอธิษฐานอาราธนาพระพุทธเมตตาแผ่ลงมาจากพระนิพพาน ขอกระแสเมตตาอันไม่มีประมาณ แผ่ลงไปยังบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายนับตั้งแต่อรูปพรหมทั้ง 4 ชั้น ขอจงสว่างเป็นสุข

พรหมโลกทั้ง 16 ชั้น มีท่านท้าวสหัมบดีพรหมทรงเป็นประธาน พรหมทั้งหลาย ขอจงมีกระแสแห่งเมตตาอันไม่มีประมาณ พรหมทั้งหลายขอจงเจริญมุทิตาจิตกับการเจริญพระกรรมฐานของข้าพเจ้าทั้งหลาย จนเกิดพรหมสมบัติต่ออายุแห่งความเป็นพรหมของท่านทั้งหลาย

แผ่เมตตาสว่างยังเหล่าพรหมทั้ง 16 ชั้น

แผ่กระแสจากพระนิพพาน  แผ่กระแสเมตตาลงมายังอากาศเทวดาทั้ง 6 ชั้น มีพระอินทร์เป็นประธาน รวมไปถึงท้าวมหาราชทั้ง 4 ท่านอินทกะทั้งหลาย แผ่เมตตาสว่าง

จากนั้นแผ่กระแสเมตตาจากพระนิพพานลงมายังบรรดารุกขเทวดา ภุมมเทวดาทั้งหลายทั่วทั้งอนัตจักรวาล ทุกดวงดาวทุกเขตคาม ทุกมิติ

แผ่เมตตาต่อไปยังมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายที่มีขันธ์ 5 กายเนื้อทุกดวงดาวนับตั้งแต่โลกมนุษย์ตลอดไปจนถึงทุกดวงดาวที่มีกายเนื้อกายหยาบทั่วอนันตจักรวาล

แผ่เมตตาต่อไปยังบรรดาโอปปาติกะสัมภเวสีที่ทับซ้อนอยู่กับมิติของโลกมนุษย์ ทับซ้อนอยู่ในดวงดาวต่างๆ ตลอดรวมไปจนถึงดวงจิตทั้งหลายที่อยู่ในเมืองบังบดลับแลทั้งปวงทุกเขต

แผ่เมตตาต่อไปยังบรรดาเปรตอสุรกาย แผ่เมตตาต่อไปยังบรรดาสัตว์นรกในทุกขุม ขอท่านพญายมราช นายนิรยบาลทั้งหลาย ได้เมตตามาเป็นประธานมาเป็นพยานในการเจริญเมตตา แผ่เมตตาของข้าพเจ้าถึงบรรดาสรรพสัตว์ทั้งปวงด้วยเทอญ

จากนั้นกำหนดจิตต่อไป แผ่เมตตาเปิดสามแดนโลกธาตุ 3 ภพภูมิสว่างไสวด้วยกระแสแห่งบุญจากพระนิพพาน ทุกภพภูมิสว่างด้วยกระแสเมตตากระแสบุญกุศล บุญจากพระนิพพานสว่างเปิดสามแดนโลกธาตุ

ทรงอารมณ์อยู่บนพระนิพพานในสภาวะแห่งกายพระวิสุทธิเทพ กายของเราสว่างเป็นเพชรระยิบระยับ ตั้งจิตอธิษฐานขอให้การปฏิบัติของเราเป็นการปฏิบัติบูชา บูชาคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ทุกท่านทุกรูปทุกนาม พ่อแม่ครูบาอาจารย์ นับตั้งแต่ชาติปัจจุบันไปถึงอดีตชาติ ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย ทั้งในชาติปัจจุบันและที่ผ่านมาแล้วนับตั้งแต่อดีต ขอบุญนี้จงสำเร็จประโยชน์โดยตรงต่อทุกท่านทุกรูปทุกนาม ตั้งจิตอุทิศให้กับบรรดาญาติพี่น้องทั้งหลาย ปิยะชนทั้งหลาย เพื่อนทั้งหลาย รวมไปถึงเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ขอบุญจงส่งถึง อุทิศถึง ขอบุญจงปรากฏความสงบเย็นในดวงจิตของท่านทั้งหลาย ขอแสงสว่างแห่งรัศมีกายจงปรากฏต่อท่านทั้งหลาย ขอทิพยสมบัติจงปรากฏขึ้นต่อท่านทั้งหลาย ขอวิมานอันเป็นทิพย์จงปรากฏขึ้นต่อท่านทั้งหลาย ขอความสิ้นเวรหมดกรรม จิตอันเข้าถึงอภัยทานอโหสิกรรมจงสำเร็จต่อท่านทั้งหลาย ขอความสุขสงบสันติจงปรากฏในจิตข้าพเจ้า 

กายพระวิสุทธิเทพยิ่งสว่างขึ้น เข้าถึงอารมณ์แห่งพระนิพพานอย่างแท้จริง หมดเวรสิ้นกรรมทั้งปวง 

จากนั้นอธิษฐานว่าบุญอันสำเร็จจากการเจริญพระกรรมฐาน ขอจงเป็นพลวปัจจัยให้ข้าพเจ้าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้อย่างง่ายดายในชาติปัจจุบัน

จากนั้น แยกอาทิสมานกาย กราบลาทุกท่านทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน พร้อมกับอาราธนากระแสจากพระนิพพานลงมาคุ้มครองโลกมนุษย์ ขอบุญจากพระนิพพานจงหลั่งไหลลงมาสู่โลก หลั่งไหลลงมายังดินแดนสุวรรณภูมิ ขอดินแดนนี้จงเป็นเขตที่จำรัสจารึกพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองตราบห้าพันปี สืบต่อพระอริยเจ้าพระอริยสงฆ์ พระสุปฏิปันโน พระโพธิสัตว์ ขอดินแดนนี้จงมีแต่ความอุดมสมบูรณ์สันติร่มเย็น มีพระราชาผู้ทรงธรรมสืบสายต่อ รักษาพระพุทธศาสนาไม่ขาดสาย

ขอบุญจงส่งผลก่อเกิดบุญฤทธิ์ เทพฤทธิ์ พรหมฤทธิ์ ยังพระสยามเทวาธิราช เทวดาผู้พิทักษ์รักษาพระพุทธศาสนา วัดวาอาราม พระพุทธรูป พระบรมธาตุ พระบรมธาตุเจดีย์ พระบรมสารีริกธาตุ ขอกระแสบุญจงส่งผลลงมาคุ้มครองพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระหลักเมือง พระกาฬไชยศรี เทวดาผู้รักษาเศวตฉัตร เทวดาผู้รักษาเวียงวัง พระตำหนัก พระบรมมหาราชวัง พระที่นั่งทุกๆ พระองค์ ขอบุญจงรักษาส่งผล ยังพระชนมวาร ยอยกพระบารมีแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระบรมราชินี สมเด็จพระพันปีหลวง ตลอดจนถึงพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์  รวมถึงปิยชนคนดีผู้อุทิศในการพิทักษ์รักษาชาติราชบัลลังก์แผ่นดิน ขอจงมีบุญฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ เทพฤทธิ์ ขอเทวดาพรหมทั้งหลายเมตตารักษาพิทักษ์คุ้มครอง ขอให้คนดีทั้งหลายที่ทำคุณประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ จงมีแต่ความสมบูรณ์ เจริญรุ่งเรือง แข็งแรงมีสุขภาพที่สมบูรณ์ มีทรัพย์สินเงินทอง มีอำนาจ มีปัญญา มีบารมีครบเต็มทั้ง 30 ทัศ ยังประโยชน์ต่อส่วนรวมได้เต็มกำลัง ขอบุญฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ เทพฤทธิ์ พรหมฤทธิ์ ตลอดจนกระแสพุทธานุภาพส่งตรงลงมายังโลกมนุษย์ ขอจงพลิกฟื้นเข้าสู่ยุคชาววิไลได้โดยเร็วด้วยเถิด 

จากนั้นกำหนดจิตกราบลา พุ่งจิตกลับมาที่โลกมนุษย์ ลงมาที่กายเนื้อ กำหนดน้อมให้เห็นลำแสงสว่าง ขนาดใหญ่คลุมกายของเรา กระแสจากพระนิพพานชำระล้างฟอกธาตุขันธ์ ขันธ์ 5 สะอาดบริสุทธิ์หมดจด โรคภัยไข้เจ็บสลายล้างวิบากกรรม สลายล้างคลายตัวบางเบา กระแสธาตุธรรมชำระล้างผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ขาวใสเป็นแก้วเป็นเพชรสว่าง  ธาตุธรรมชำระล้างโครงกระดูก กระดูกทุกส่วนทั่วร่างกายกลายเป็นแก้วกลายเป็นเพชรสว่างใส หลอดเลือดเส้นเอ็นถูกชำระ หลอดเลือดเส้นเอ็นสะอาดกลายเป็นแก้วกลายเป็นเพชร อาการ 32 อวัยวะภายในทุกส่วนทั่วร่างกายกลายเป็นเพชรกลายเป็นแก้วใสสว่าง เซลล์ที่เป็นเซลล์ร้ายเนื้องอก เซลล์ผิดปกติ เชื้อโรคแบคทีเรีย ไวรัส พยาธิสภาพทั้งหลาย เซลล์ที่ผิดปกติทั้งหลาย  ธาตุธรรมชำระล้างปรับสภาพสลายล้างธาตุที่ผิดปกติทั้งหมดกลายเป็นความว่างสลายออกไปจนหมด ร่างกายเซลล์ทุกเซลล์ทั่วร่าง DNA RNA Telomere มีพลัง มีกระแสแห่งธาตุธรรม มีกระแสแห่งพระนิพพาน มีพลังชีวิตเสริมเพิ่มเติม เซลล์ทุกเซลล์เปล่งประกายเป็นแก้วสว่าง มีพลังชีวิตสมบูรณ์แข็งแรง มีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรง  ธาตุขันธ์สมบูรณ์แข็งแรงทุกคน

จากนั้นน้อมขออธิษฐานให้บุญที่ข้าพเจ้าได้กระทำทาน ได้ถวายสังฆทานมหาสังฆทาน ได้บำเพ็ญบารมีมาดีแล้ว ขอจงรวมตัวมาเป็นสายทรัพย์สายสมบัติสายบุญของข้าพเจ้า  หลั่งไหลห้อมล้อมด้วยกระแสแห่งบุญกุศล ขอให้ชีวิตข้าพเจ้าตราบจนเข้าถึงพระนิพพานหล่อเลี้ยงด้วยกระแสแห่งบุญกุศล มีแต่คนดีๆ มีแต่คนจิตใจดี มีแต่เรื่องราวดีๆปรากฏขึ้นกับชีวิตของข้าพเจ้านับแต่นี้ตลอดตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน  พลังงานแห่งกุศลเป็นเกราะแก้วคุ้มครองกาย

จากนั้นหายใจเข้าช้าๆลึกๆหายใจเข้าพุท ออกโธ ครั้งที่ 2 หายใจเข้า ช้าลึกยาว ธัมโม ครั้งที่ 3 หายใจเข้า ช้าลึกยาว สังโฆ เรามีคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คุ้มครองรักษา ตั้งจิตอธิษฐานเจริญมุทิตาอันไม่มีประมาณ โมทนาสาธุกับเพื่อนกัลยาณมิตรที่เจริญพระกรรมฐานร่วมกันเป็นอภิจิต ทำสิ่งดีๆ อธิษฐานจิตใช้กำลังบุญฤทธิ์เพื่อชาติบ้านเมืองส่วนรวม

แผ่เมตตาโปรดสรรพสัตว์ 3 ภพภูมิ บุญมากมายมหาศาล โมทนาสาธุกับทุกคนทุกดวงจิต เราอยู่ในกระแสแห่งบุญ อยู่ในกระแสแห่งธรรม อยู่ในกระแสแห่งโลกุตรธรรม กระแสแห่งพระนิพพาน จิตเอิบอิ่มผ่องใส หมดทุกข์หมดโศก หมดโรคหมดภัย มีแต่ความคล่องตัว มีแต่ความโชคดี

สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคนที่มีความเพียรมีความสม่ำเสมอในการเจริญพระกรรมฐาน มีสัจจะบารมีที่ตั้งใจ ก็ขอให้เราทุกคนเจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยด้วยมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พรหมสมบัติ อริยะสมบัติ นิพพานสมบัติกันทุกคน  

สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญ อย่าลืมเขียนแผ่นทองอธิษฐานพระเจ้าองค์แสนจิตพระนิพพาน แล้วก็ขอให้เราทุกคนตั้งใจให้ดีในการสร้างกุศล สร้างความเพียร สร้างบารมีของตนเพื่อพระนิพพาน 

สำหรับวันนี้ก็จบการสอนแต่เพียงเท่านี้ พบกันใหม่สัปดาห์หน้า สำหรับวันนี้สวัสดีครับ

ถอดเสียงและเรียบเรียง โดย : คุณ Ladda

You cannot copy content of this page