green and brown plant on water

ความเข้าใจพื้นฐานของทาน ศีล ภาวนา

เวลาอ่าน : 4 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน” 

วันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน 2567

เรื่อง ความเข้าใจพื้นฐานของทาน ศีล ภาวนา

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

กำหนดจิตใช้สติกำหนด รู้ผ่อนคลายร่างกายทุกส่วนพร้อมกับความรู้สึก ว่าเราตัดความรู้สึกเกาะเกี่ยวตัดร่างกายขันธ์ห้า ปล่อยวางพร้อมกับความรู้สึกที่เราผ่อนคลาย 

จากนั้นปล่อยวางจิตใจ ในความคิดความฟุ้งความกังวลภาระทั้งหลายกิจการงานทั้งหลาย ความห่วงความอาลัยทั้งหลาย เราปล่อยวางออกไปจากใจของเราให้หมด ปล่อยวางทั้งร่างกายขันธ์  5 ปล่อยวางทั้งจิตใจของเรา อยู่กับความสงบ จินตภาพเห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหมพลิ้วผ่านเข้าออกในกาย สติกำหนดดูกำหนดรู้ในลมตลอดทั้งสาย 

กำหนดให้สติของเราไม่คราดจากลมหายใจ ลมหายใจยิ่งละเอียด เบา จิตยิ่งเข้าสู่ความสงบ ทรงสภาวะความสงบ สติแนบอยู่กับลมหายใจ สติตามทันในลมหายใจตลอดสาย สติกำหนดรู้ในเวทนาคืออารมณ์ความเบา ความสงบ ลมหายใจยิ่งละเอียดจิตยิ่งสงบยิ่งเข้าสู่ฌานที่สูงขึ้น จิตยิ่งเข้าถึงความสงบอารมณ์ใจเรายิ่งเข้าถึงความสุขสงบของสมาธิ กระจ่างชัดในสิ่งที่พระพุทธพระองค์ ทรงตรัสไว้ว่าความสุขเสมอด้วยความสงบนั้นไม่มี ยิ่งสงบจิตยิ่งเป็นสุข ยิ่งปล่อยวางจิตยิ่งเป็นสุข ทรงอารมณ์ทรงสภาวะทรงฌานสมาบัติในอานาปานสติไว้ จิตได้พักจากความวุ่นวาย จิตได้พักจากความฟุ้งปรุงแต่งทั้งหลายจิตได้พักอยู่กับความสงบของลมหายใจ นิ่ง สงบ

จากนั้นกำหนดจิต หยุดจิต นิ่ง หยุดสงบ หยุดปรุงแต่ง หยุดความคิดทำความรู้สึกว่าเราหยุดจิต นิ่งหยุด เป็นเอกัคคตารมณ์ นิ่งหยุดเบาๆ เข้าถึงสภาวะแห่งเอกัคคตารมณ์ อุเบกขารมณ์ วางเฉยต่อสิ่งที่มา กระทบ นิ่งหยุดปราศจากการซัดส่ายความวุ่นวายทั้งปวง กำหนดรู้ในเอกัคคตารมณ์อันเป็นอุเบกขารมณ์ไปพร้อมกัน นิ่งหยุดสงบ

จากนั้น ณ จุดที่หยุด เรากำหนดจุดที่หยุด ขยายวงใหญ่ขึ้นกลายเป็นดวงแก้ว สว่าง เดินจิตจากฌานสี่ในอานาปานสติขึ้นสู่กสิณจิต ณ จุดที่หยุดกลายเป็นดวงแก้ว สว่าง กำหนดรู้อธิฐานจิต ว่าดวงแก้วที่สว่างนั้นก็คือจิต จิตอยู่ในสภาวะแห่งกสิณ จิตคือกสิณ กสิณคือดวงจิต ดวงแก้วที่ยิ่งสว่างขึ้น ใสเป็นอุคคหนิมิตในกสิณ 

จากนั้นกำหนดจิตต่อไป จากดวงแก้วที่เป็นแก้วใสๆ สว่าง ปรากฏขึ้นกลายเป็นเพชรระยิบระยับเป็นเพชรที่เจียรนัยสามร้อยหกสิบองศา เป็นเพชรลูกที่เจียระไนอย่างงดงาม มีความสว่างพร่างพรายมีประกายระยิบระยับ มี เส้นแสงรัศมีออกมาเป็นปฏิภาคนิมิต

กำหนดจิตทรงสภาวะเห็นจิตเป็นเพชรประภัสสรเพชรประกายพรึกมีความระยิบระยับแพรวพราว ทรงสภาวะอารมณ์ไว้พร้อมกับอธิษฐาน จิต จิตคือกสิณ กสิณคือดวงจิต จิตเข้าถึงปฏิภาคนิมิต จิตเข้าถึงสภาวะที่จิตเป็นเพชรประกายพรึก

อธิษฐาน ขอจิตอันเป็นปฏิภาคนิมิตนี้ จงรวมไว้ ทรงไว้ ซึ่งกสิณทั้งสิบกอง รวมไว้เป็นหนึ่งเดียวในจิตของข้าพเจ้า กสิณแห่งธาตุทั้ง 4 คือ กสิณดิน กสิณน้ำ กสิณลม กสิณไฟ จงปรากฏสภาวะเป็นเพชรประกายพรึก วรรณกสิณทั้ง 4 คือกสิณสีขาว กสิณสีดำ เขียวเข้มหรือนิลกสิณ กสิณสีแดง กสิณสีเหลืองวรรณกสิณทั้งสี่ จงเป็นหนึ่งเดียวกับจิตของข้าพเจ้า กำหนดให้เห็นเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง จากนั้น กสิณอันเป็นกสิณที่ว่างเป็นที่ว่างโล่ง กสิณที่ว่างนั้นจงเป็นหนึ่งเดียวกับจิตของข้าพเจ้า กสิณกองสุดท้ายก็คืออาโลกกสิณ กสิณแสงสว่าง ขอจงเป็นหนึ่งเดียวกับจิตข้าพเจ้า 

จากนั้นกำหนดให้ เห็นจิตที่เป็นปฏิภาคนิมิตเป็นเพชรประกายพรึกยิ่งสว่างขึ้น ทรงสภาวะทรงนิมิตของกสิณจิต ทรงสภาวะพร้อมกับความรู้สึกที่ดวงจิตอันเป็นประภัสสรประกายพรึกแผ่แสงสว่างรัศมีของ จิตออกมา คลื่นกระแสที่แผ่ออก มีความเป็นทิพย์ มีกำลังฤทธิ์อภิญญาปรากฏ ผนึกรวมอยู่ในจิตของเราทุกดวง 

จากนั้นกำหนดจิตต่อไปว่าขอรัศมีแสงสว่างที่แผ่ออกจากจิต อันเป็น ประภัสสร ขอจงเป็นกระแสคลื่นเป็นกระแสแสงสว่างแสงของดวงจิตจงเป็นกระแสแห่งเมตตาแผ่ออกไปจากจิต ของข้าพเจ้า กระแสที่มีความสงบร่มเย็นมีความรักมีความ ปรารถนาดี จิตสว่างเป็นเพชรประกายพรึกพร้อมกับกระแส แห่งเมตตาแผ่สว่างกระจายเป็นคลื่นออก ไปเราจะสังเกตได้ว่าพอเรากำหนดให้เป็น กระแสที่แผ่เป็นเมตตาอันไม่มี ประมาณแสงสว่างหรือรัศมีของจิตยิ่งมี กำลังเพิ่มขึ้นยิ่งมีขอบเขตกว้างไกลมาก ขึ้นทรงสภาวะนี้ ไว้ทรงอารมณ์ทรงนิมิตนี้ ไว้เพื่อให้จิตเกิดความชำนาญเชี่ยวชาญ เกิดกำลังแห่งการทรงตัวของฌานสมาบัติ จิตประภัสสรพร้อมกับกระแสเมตตาอันไม่มี

ประมาณทรงไว้เป็นปกติ อารมณ์ จิตเข้าถึงอารมณ์แห่งพระกรรมฐานเมื่อทรงอารมณ์กสิณควบเมตตาฌาน แล้วจิตมีสภาวะที่สงบเย็นเป็นสุขยิ่งขึ้น ไป อีกสว่างเอิบอิ่ม เมตตาจิตเกิดความสงบเกิดสันติเกิดความร่มเย็นของ ใจกำหนดรู้ว่าสภาวะที่เราทรงตัวอยู่นี้ หากเราไม่ได้อธิษฐานจิต ว่าตายเมื่อไหร่ไปพระนิพพาน หากเราตายไปในขณะที่เราทรงอารมณ์เช่นนี้ จิตสุดท้ายก่อนตายย่อมยังผลให้เราไปจุติยังพรหมโลก ยังอภัสราพรหม พรหมที่มีรัศมีแสงสว่างของรัศมีกายรุ่งโรจน์อย่างยิ่ง กำหนดทรงอารมณ์ทรงสภาวะไว้ ให้กระแสเมตตา ให้ภาพนิมิตที่จิตทรงในปฏิภาคนิมิต เกิดกำลังเป็นความชำนาญเชี่ยวชาญวสี จนกระทั่งปกติของใจเรา เมื่อไหร่ที่ทรงสภาวะเห็นจิตเป็นเพชรประภัสสร กระแสเมตตาแผ่ออกมาจากจิตโดยอัตโนมัติโดยเป็นธรรมชาติ ทรงอารมณ์ไว้ ฐานของฌาน ฐานของสมถะเราตั้งมั่นชัดเจน

จากนั้นกำหนดจิตต่อ ไปอธิษฐานจิตว่าที่ผ่านมา เราเดินจิตในกำลังของสมถกรรมฐาน ฝึกโดยใช้กำลังใจของเรา ฐานที่เราทำเหตุขึ้นมาด้วยการฝึกในกำลังจิตเป็นกำลังของฌานสมาบัติ ที่เกิดจากการฝึกฝน แต่คราวนี้เราจะอาศัยสิ่งสำคัญในการปฏิบัติในการเจริญพระกรรมฐาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเจริญสมถวิปัสสนา เจริญพระกรรมฐานในวิสัยในเขตของพระพุทธศาสนาเมื่อเราอยู่ในเขตพระพุทธศาสนา สิ่งสำคัญก็คือเราต้องมีความเคารพในพระบรมครู คือองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็น้อมรำลึกนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า

กำหนดอธิษฐาน ขอจงปรากฏภาพพุทธนิมิตอยู่กลางดวงจิตที่เป็นเพชรประกายพรึกในจิตของเรา ขอกำลังพุทธานุภาพของพระพุทธองค์ จงเกิดความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์ ดุจดั่งพระพุทธองค์ทรงเสด็จมาประทับอยู่กลางใจของข้าพเจ้า กำหนดจิตเห็นองค์พระ สว่างเป็นเพชร รัศมี แสงสว่างของจิต ยิ่งสว่างขึ้น มีกำลังสูงขึ้น ทรงอารมณ์ ทรงสภาวะไว้ จากนั้นขยายขอบเขต อธิษฐานจิตขอองค์พระที่อยู่ในอกนี้ จงเพิ่มจำนวนและขยายขึ้นเคลื่อนขึ้นในอกหนึ่งองค์และเคลื่อนเพิ่มจำนวนสูงขึ้นมา อยู่ภายในศีรษะเคลื่อนจำนวนสูงขึ้นอีกองค์เคลื่อนจากกลางอก ขึ้นมาผ่านศีรษะ ขึ้นมาอยู่เหนือเศียรเกล้า คืออยู่เหนือศีรษะของเรา รวมเป็นองค์พระสามฐาน

ทรงอารมณ์ ทรงสภาวะที่มีองค์พระ เป็นเพชรทั้งสามฐาน จากนั้นอธิษฐานจิต ว่าขอพุทธญาณบารมีของพระพุทธองค์ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราทรงภาพระ ขอให้ดวงจิตข้าพเจ้า เชื่อมกับญาณทัศนะอันบริสุทธิ์ของพระพุทธองค์ เมื่อไหร่ก็ตามที่เราทรงภาพพระขอให้เรา สามารถเชื่อมกระแส สื่อสารกับพระพุทธองค์ได้โดยตรง กระแสธรรมของพระพุทธองค์ สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงเมตตาตักเตือน ข้าพเจ้าขอจงหลั่งไหลลงมาสู่จิตสู่ใจของข้าพเจ้า ญาณเครื่องรู้ทั้งหลายจงปรากฏความเป็นทิพย์ด้วยกำลังแห่งพุทธานุภาพ จากนั้นกำหนดจิตอธิษฐานขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอยกจิตของข้าพเจ้า ขึ้นไปบนพระนิพพาน เป็นกำลังของพุทธานุภาพ เป็นกำลังของวิชามโนมยิทธิ อาทิสมานกายข้าพเจ้าจงปรากฏสภาวะแห่งกายพระวิสุทธิเทพ อยู่เบื้องหน้าพระพุทธองค์บนพระนิพพาน มีสมเด็จองค์ปฐมพรั่งพร้อมด้วยพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆ พระองค์ อยู่บนพระนิพพาน เมื่อขึ้นไปแล้วก็กำหนดจิต บรรจงกราบแทบเบื้องพระบาทของทุกๆ พระองค์ด้วยความนอบน้อม ด้วยความเคารพ ด้วยความเลื่อมใส

กำหนดใจของเราให้สว่าง อาทิสมานกายของเรา สว่าง พิจารณาทบทวนในการตัดภพจบชาติพิจารณา ว่าจิตของเรามีความห่วงในขันธ์ห้าร่างกายไหม ถ้าเราตายไป ณ ขณะนี้เราอาลัยในร่างกายไหม เราห่วงในร่างกายของบุคคลอื่น ห่วงในภารกิจหน้าที่การงานไหม เมื่อพิจารณาปล่อยวาง ตัดกายตัดขันธ์ห้า ตัดภพแห่งการเป็นมนุษย์ ได้ก็พิจารณาตัดภพแห่งความเป็นทิพทั้งปวง จิตยังมีความอาลัยในความเป็นเทวดา ยังอยากไปจุติเป็นเทวดานางฟ้าไหม ยังอยากไปจุติยังพรหมโลกไหม ยังอยากไปจุติเป็นอรูปพรหมไหม

กำหนดพิจารณาตัดภพจบชาติทั้งปวง แล้วก็พิจารณาต่อในการตัดภพที่เป็นอกุศล ที่เป็นอบายภูมิ เรายังอยากเกิดไปเป็นหมาแมว เป็นสัตว์เดรัจฉานไหม ยังอยากที่จะไปจุติผุดเกิดเป็นโอปปาติกะสัมภเวสีไหม ยังอยากไปเกิดในดาวดวงอื่น เป็นมนุษย์ต่างดาว ดาวดวงอื่นไหม ที่บอกว่ากลับดาวๆ อยากกลับไปดาวอื่นไหม พิจารณาต่อไปว่าแล้วภพอื่น เช่น ภพของความเป็นพญานาค ยังอยากกลับไปเกิดในบาดาลนาคนครอีกไหม พิจารณาตัดภพจบชาติ ยังอยากหลงเวียนวนเป็นโอปปาติกะสัมภเวสีอีกไหม พิจารณาต่อไปแล้วว่าเรายังมีความกลัว ในการตกนรกในขุมต่างๆ ไหม ยังอยากไปเกิด ยังอยากไปทดลองดูว่ากระทะทองแดงมันร้อนไหม

เมื่อพิจารณาตัดภพ เราก็พิจารณาจบชาติ คำว่าจบชาติ ก็คือพิจารณาว่า ขอให้ชาติสุดท้ายที่ข้าพเจ้ามีความเป็นมนุษย์นี้ จงเป็นชาติสุดท้ายของข้าพเจ้า ตายไปจากร่างกายนี้ อันตภาพนี้ ข้าพเจ้าขอเข้าสู่พระนิพพานเพียงจุดเดียว อันนี้ก็คือจบชาติจบการเกิดทั้งปวง สิ้นภพก็คือสิ้นความปรารถนา ความอยาก ความผูกพันในภพชาติ จบชาติ ก็คือขอจบกิจ ขอเป็นชาติสุดท้าย ขอเข้าพระนิพพานชาตินี้

กำหนดทำความเข้าใจในประโยคสิ้นภพจบชาติ ให้ชัดกระจ่างแก่ใจของเรา แต่ละบุคคล  จากนั้นก็มาปรากฏสภาวะในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพให้ชัดเจน กำหนดน้อมว่าจิตเราแนบอยู่กับพระนิพพาน เพราะเราฝึกเพื่อเข้าสู่พระนิพพานชาตินี้ เรารู้ว่าเราฝึกเราเจริญพระกรรมฐานทำไม เพราะอะไรความตรงมุ่งลัดตัดตรง ความชัดเจนในการปฏิบัติของเรามีอยู่ มรรคผลของเราชัดเจนอยู่ ปลายทางของเราคือพระนิพพานชัดเจนอย่างยิ่ง เพราะเราใช้จิตยกขึ้นมาถึงแล้ว ความลังเลสงสัยวิจิกิจฉาในการปฏิบัติของเราไม่มี

จากนั้น กำหนดจิตอธิษฐานขอให้เห็นกายทิพย์ของเรา อยู่ในสภาวะกายพระวิสุทธิเทพ อธิษฐานจิตให้ปรากฏรัตนบัลลังก์ดอกบัวแก้ว เจริญพระกรรมฐานบนพระนิพพานอยู่เบื้องหน้าพระพุทธองค์ คราวนี้ก็มีสิ่งสำคัญที่เราจะต้องทบทวนบางสิ่งบางเรื่องเราคิดว่าเรารู้แล้ว ทราบแล้ว แต่กลายเป็นว่าเราหลายคนนี่ ยังไม่ทราบแม้แต่พื้นฐานที่สุดของการปฏิบัติตั้งแต่ต้น คือทาน คือศีล ไปจนถึงการเจริญภาวนา

ขอเริ่มต้นการพิจารณาตั้งแต่ทาน ในเรื่องของการทำทานนั้น เราคิดว่าอานิสงส์ขึ้นกับมูลค่า หรืออานิสงส์ของการถวายทานขึ้นอยู่กับกำลังใจ ถ้าคิดว่าการทำทานคือการประโคม ประเคนสิ่งของต่างๆ ที่เน้นมูลค่าเป็นหลัก อันนี้นี้ก็ยังถือว่ายังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อน จริงอยู่ที่ตัววัตถุทานนั้นแบ่งแยกออกมา

  1. เป็นทานที่มีความด้อยกว่าสิ่งที่เราใช้เอง อันนี้เขา เรียกว่าทางทาสทาน คือเราใช้ของดีในระดับหนึ่ง แต่ว่าเวลาที่เราถวายทาน เราถวายทานในสิ่งที่ด้อยกว่าที่เราใช้
  2. ประเภทต่อมาก็คือเราใช้ของสิ่งใด เราก็ถวายทานสิ่งนั้น เราทำกับข้าวกับปลา ทานอาหารในระดับความปราณีตเพียงใดเราก็ถวายแบบนั้น
  3. ส่วนประเภทที่สูงที่สุดในวัตถุทานก็ คือเราใช้สิ่งใดเวลาเราถวายทานโดยเฉพาะ อย่างยิ่งถวายทานกับพระสงฆ์หรือถวายเป็นของสงฆ์ เราถวายเป็นของที่ละเอียดปราณีตกว่า ของที่เราใช้ อันนี้ก็เป็นกำลังใจ ถือว่าเป็นเรื่องของกำลังใจ เป็นเรื่องของวัตถุ

แต่ผลอานิสงส์ของเรื่องการถวายทาน กำลังใจถ้าเราถวายโดยที่จิตของเราปรารถนา ก็คือเราถวายทานเพราะอยากได้ผลอานิสงส์ของการให้ทาน การถวายทาน เช่นถวายทานแล้วจะได้คล่องตัวจะได้รวย อันนี้ก็ยังมีเจือไปด้วยความอยาก แต่ก็ยังถือว่าเป็นความอยากที่เจืออยู่ในกุศลความดี คราวนี้ต่อมาถ้าเราถวายทานโดยกำหนดจิต ว่าเราถวายเป็นพุทธบูชา กำลังใจก็สูงขึ้น การถวายเป็นพุทธบูชา ก็คือพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา กำลังใจก็สูงขึ้น ไปถือว่าจิตของเรามีความกตัญญูในการถวายทาน

ดังนั้นเราจะเห็นหลายท่าน ที่เวลาถวายทานตั้งจิตอุทิศให้กับพ่อแม่ อุทิศถวายพระพุทธเจ้าหรือถวายทานและตั้งชื่อตั้งจิตว่าอุทิศถวายหลวงพ่อหรือครูบาอาจารย์ อันนี้ก็กำลังใจสูงขึ้นไป อีกส่วนกำลังใจที่สูงขึ้นไปอีกเป็นการถวายทานโดยกำหนดใจว่าเป็นจาคะ คือการสละออก กำหนดใจว่าเราถวายทาน เพื่อสละออกไปสละตัดความโลภออกไป สละ ตัดความตระหนี่ เห็นแก่ตัวออกไป ก็คือการถวาย ทานเพื่อตัดกิเลส คือตัดความโลภ ถ้าเราทั้งตัดโลภด้วย ทั้งตั้งจิตอธิษฐานเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชาด้วย อันนี้กำลังใจก็สูงขึ้นไปอีก

คราวนี้อยากให้ผลในกำลังใจของทาน ควบกับภาวนา เรามีกำลังของมโนมยิทธิแล้ว เราก็อธิษฐานจิต ขอให้ทานที่เป็นของหยาบนั้นเป็นทิพย์ เป็นเพชรเป็นแก้ว กำหนดกายเนื้อถวายพระสงฆ์  กายทิพย์ยกถวายพระพุทธองค์  เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ตั้งจิตว่าทานนี้ขอเป็นไปเพื่อเป็นปัจจัยแห่งพระนิพพาน ถ้าเราทำแบบนี้ ทานที่เราถวายก็ถือว่ามีกำลังมีผลสูงสุด คือเป็นไปเพื่อพระนิพพานเพียงจุดเดียว อันนี้เรื่องทาน ก็ขอให้เราทุกคนยกกำลังใจให้สูงเต็ม กำลังเช่นนี้ไว้ทุกครั้ง จะไปถวายเองก็ดี จะไปถวายที่ใด จะไปถวายกับครูบาอาจารย์สายใดก็ดี เรารู้ เราปฏิบัติได้ระดับนี้เราก็ใช้กำลังในการถวายทานให้ได้เต็มกำลังเช่นนี้ไว้ก่อน

อันนี้ก็คือเรื่องของทาน อันนี้ถือว่าเต็มกำลังเป็นปรมัตถบารมี ในเรื่องของทาน ถ้าเป็นทานเบื้องต้นเราก็ อยากได้ผลอานิสงส์ ความคล่องตัวเป็นเสบียง ไว้เลี้ยงตัวในสังสารวัฏ เป็นอุปบารมีเราก็เริ่มถวายทาน เพื่ออุทิศเพื่อให้เพื่อแบ่งปันตั้งใจว่า ถวายทานแล้วก็แบ่งปันบุญให้กับท่านผู้อื่น พอเป็นปรมัตถบารมีเราถวายทานเพื่อเป็นปัจจัยแห่งพระนิพพานอันนี้ครบจบเรื่องทานนะให้ทุกคน ตั้งกำลังใจสูงสุดไว้เสมอ

คราวนี้ต่อมา เราตั้งกำลังใจต่อมาในเรื่องของการปฏิบัติทานเสร็จ ก็มาเรื่องศีล เรื่องศีลนี่อาจารย์ตกใจ ตกใจเลยก็คือว่ามีหลายคนยังมีความเข้าใจผิดอยู่มาก บางคนถือศีลตามใจฉัน คือฉันว่าแบบนี้ ฉันก็เอาเท่านี้ อันนี้คือถูก ฉันมีศีลแต่ตามหลักเกณฑ์แล้วหลายๆ สิ่ง หลายๆ อย่างเรียบร้อย อย่างบางคนบอกว่าตบยุงไม่ผิดศีล อันนี้เรียบร้อยจริงๆ ในเรื่องของศีลเอาเรื่องตั้งแต่ ข้อหนึ่งก็คือปาณาติบาต ปาณาติบาตนี่ท่านถือ พระท่านถือ ว่าการพรากชีวิต นับตั้งแต่สัตว์ที่มองเห็น คือตั้งแต่ตัวเลน ตัวไร ที่มองเห็นได้ ยุงนี่มองเห็นไหม มองเห็น ถ้าไปฆ่า ไปพรากชีวิตมัน ก็เรียบร้อย ถือว่า หนึ่งชีวิตหนึ่งดวงจิต ยังไงก็ผิดศีล บางคนบอกว่ายุง แมลงวัน แมลงสาบ มันเป็นสัตว์ที่นำเชื้อโรคมา ดังนั้นฆ่าได้ ถ้าอย่างนั้นมนุษย์ที่ทำชั่วทำบาป เราก็ฆ่าได้ ไม่ผิดศีลหรือ จริงไหมลองคิด พิจารณาดู หรือสัตว์ที่มันทำร้ายคนอื่น อย่างเสือ มันฆ่าพรากชีวิตคนอื่น เราฆ่าได้ไม่ผิดศีลหรือ จริงๆ มันก็ถือว่าผิดทั้งหมด ฉีดยาฆ่าแมลงผิดไหม ผิดเพราะไปพรากชีวิตเขา มดผิดไหม ฆ่ามดผิดไหม ผิด

คราวนี้เกณฑ์ต้องเข้าใจก่อนว่า ที่พระท่านบอกว่า มีขนาดที่เรามองไม่เห็น อย่างพวกเชื้อโรคนี่ไม่เป็นไร จริงๆ เกณฑ์ของสิ่งมีชีวิตที่ถือว่าพรากชีวิตแล้วผิดศีล ก็คือท่านถือว่า เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีจิตมาครอง คำว่ามีจิตมาครองก็คือ มีจิตมาจุติอยู่ในกายนั้น ถ้าเราพรากก็ถือว่าผิดศีล เอาข้อปาณาติบาต อันที่จริงมันครอบคลุมไปหมด เราไปทำร้ายเขา ไปตี ไปชก ไปกระโดดถีบ ไปโบยตีเขา ไปทรมานเขา ถามว่าไม่ได้ฆ่า แต่ว่าผิดไหม ผิด อันนี้เรื่องศีล ปาณาติบาตนี่ครอบคลุม ไปจนกระทั่งถึงการทำร้าย 

ลักทรัพย์ ลักทรัพย์ยักยอก เบียดบังของหลวง ของกลาง สิ่งที่เป็นสินทรัพย์โดยรวมอันนี้ก็ถือว่าผิด 

ประพฤติผิดในกามนี้จริงๆ ท่านมั่นหมายเอาว่า ถ้าเราไปละเมิดคนที่มีเจ้าของ คนที่อยู่ในสังกัดก็คือพ่อแม่ดูแลอยู่ อันนี้ก็ถือว่าผิดศีล ถึงแม้ว่าบอกว่าเจ้าตัวเต็มใจ จะเป็นผู้ชาย จะเป็นผู้หญิง อีกฝ่ายบอกว่าเขาเต็มใจ แต่ถ้าพ่อแม่เขาไม่อนุญาต พ่อแม่เขาหวง เหมือนกับสามีภรรยาเค้ามีอยู่ สามี ภรรยาเขาหวง แต่เจ้าตัวเต็มใจบอกว่ายอมเป็นชู้ด้วย บอกเจ้าตัวเป็นใจ เราไม่ผิด อันนี้ก็ถือว่าไม่ได้ จริงๆ ก็ถือว่าเป็นไปละเมิดของบุคคลที่เขารักเขาห่วง เขาอยู่ ทำร้ายจิตใจอันนี้ก็ถือว่าผิดศีล

พูดจาโกหกจริงๆ ครอบคลุมไป ถึงวาจาที่หยาบ ที่ด่าว่า ที่ทำร้าย รวมไปถึงวาจาที่เราโกหกเพื่อผลประโยชน์หลอกลวง หลอกล่อ ยิ่งโกหกต่อบุคคลมากเท่าไหร่ อย่างตอนนี้สมมุติว่าเราโกหกออกโซเชียล มีคนอ่าน คนฟัง คนดูหมื่นคน แสนคนก็คูณไป ดังนั้นตรงนี้มันก็ถือว่ามันทวีคูณมันเพิ่มพูน มหาศาลสุดท้าย

ในเรื่องของเหล้า สุราศีลข้อที่ห้า สุราเมระยะมัชชะปะมา จริงๆ ครอบคลุมถึงอบายมุขทั้งหมด สิ่งที่ทำให้มัวเมาสุราเหล้า เบียร์ ไวน์ ยาเสพติด บางคนบอกว่าห้ามแต่สุรา ห้ามดื่มสุรานี้แปลว่า อะไรฉันดื่มไวน์กินได้ไม่ผิดอันนี้ถามว่าเรียบร้อยไหม เวลาพูดถึงเรื่องบรรยายธรรม เรื่องศีล ลุงพุฒท่านก็เมตตามาปรากฏกำกับอยู่ใกล้ๆ เสมอ อันนี้ก็เป็นเรื่องแปลกเท่าที่ อาจารย์สังเกตดู ถามว่าไม่ได้ดื่มเหล้า ดื่มเบียร์โดนไหม โดนเหมือนกัน คราวนี้ต่อมายาเสพติดเป็นเครื่องมอมเมาผิดไหม ผิด ลงอบายภูมิไหม ลง คราวนี้ก็จะมาพูดต่อครบในศีลทั้งห้าข้อ

มาพูดต่อในเรื่องของความละเอียดกับ เรื่องของเจตนา ความละเอียดก็คือ ว่าเอาง่ายๆ ขอเปรียบเทียบในเรื่องของการ ดื่มสุรา คนทั่วไปปกติที่รักษาศีล 5 เป็นปกติ ขึ้นชื่อ ว่าเหล้า ไวน์ บุหรี่ หรือแม้แต่เป็นเหล้าต่างประเทศ สาเก เหล้าโรง สาโท หรือเหล้าเกาหลี จะเป็นเหล้าอะไรก็ตามกินเพื่อเมา กินเพื่อความเพลิดเพลินในอารมณ์ของการกิน เหล้านี่ก็ถือว่า ผิด แต่บางคนก็บอกว่าอันนี้ถือว่าถือศีลตามใจฉันนะ ถามว่าถูกหรือผิด ก็ขอตอบฟันธงไปเลยว่าผิด บางคนบอกว่ากินไม่เมาไม่ผิด ถามว่าได้ไหม กินแล้วไม่เมาไม่ผิด จริงๆ ก็ถือว่า ผิด

อันที่จริงในเรื่องของเหล้า ถ้าตามพระธรรมวินัยท่านก็บอกว่า ยาที่เข้าเป็นเขาเรียกว่ากระสายยาคือ ตัวยาที่มันมีสิ่งที่เป็นแอลกอฮอล์ ถ้าภาษาทางเภสัชก็เรียกว่าเป็นอิลิกเซอร์ มีแอลกอฮอล์ มีกลิ่นของแอลกอฮอล์อยู่หรือใส่ผสมเป็นยา เรียกว่ากระสายยาก็ห้ามสูงเกินองค์คุลีของถ้วยตะไลเล็กๆ (องค์คุลีก็คือ 1 ข้อนิ้ว) ห้ามเกิน อันนี้ก็เป็นข้อที่ท่านอนุโลมไว้สำหรับกินเป็นยา ต้องบอกก่อนนะว่ากินเป็นยาไม่ใช่ว่ากินทีละหนึ่งถ้วยตะไล หนึ่งข้อธุลี หนึ่งถ้วยตะไลแล้วก็ค่อยๆ กินไปเรื่อยๆ กินไปเรื่อยๆ อันนี้ก็ตั้งใจเจตนา จะกินให้เมา แต่เลี่ยงบาลี ถามว่าโดนไหมก็โดน หรือกินเปล่าๆ โดยที่ว่าไม่ได้กระสายยา คือไม่ได้ปรุงเป็นยาเลยแต่ตั้งใจว่าอ้าว ท่านอนุญาตได้ 1 องค์คุลีก็เลยเอาแบบนี้ ถามว่าผิดไหมก็เรียบร้อย อันนี้มันอยู่ที่เจตนาด้วย

หรืออย่างสมัยก่อนอาจารย์บวชก็เคยเจอ พระที่บวช ใหม่ตั้งวงกันตอนเย็น นั่งฉันยาธาตุ เพราะยาธาตุมันมีแอลกอฮอล์แต่ตั้งวงกันนั่งฉันยาธาตุ สนทนาคุยกันแบบฆราวาส เจตนาถามว่ากินยาธาตุ กินยาธาตุ ยาธาตุมันเป็นยา แต่เจตนากินในอารมณ์เหมือนการตั้งวงเหล้า ถามว่าอย่างนี้มันผิดไหม ก็เรียบร้อย ถ้าถามลุงพุฒ ลุงพุฒก็พยักหน้าเจตนาตั้งใจจะเมายาธาตุก็เรียบร้อย เพราะตั้งใจจะทำลายสติตัวเอง ดังนั้นเรื่องพวกนี้นี่จริงๆ ถือว่าสิ่งสำคัญ เกณฑ์สำคัญที่เป็น มาตรฐาน เราต้องรู้ ไม่ใช่ว่าเราเอาตามกำลังใจเราเอง ฉันกินไม่เมา ดังนั้นไม่ผิด อันนี้คือเกณฑ์ของคนทั่วไปนะ

แต่ถ้าไปถามคนที่เขาปฏิบัติ ในเกณฑ์ของการปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอริยเจ้า เขาจะปฏิบัติเพื่อพระนิพพานชาตินี้ เอาแค่เหล้า เอาแค่เรื่องเหล้าหรืออาหารที่แม้แต่ข้าวส่วนผสมที่มีเหล้าแล้วรู้ เช่นอาหารที่ใส่ไวน์ลงไปหรือฟรุตเค้กที่ผสมรัมคือเหล้าชนิดหนึ่งเข้าไป ไอศกรีมที่ผสมรัม อย่างรัมเรซิ่น ถ้าท่านปฏิบัติเคร่ง ท่านก็ไม่ทานเลย หรืออาหารที่มีกลิ่นแอลกอฮอล์ออกมา เช่น ข้าวหมาก ท่านก็ไม่ทานกันเลย อันนี้ขึ้นอยู่กับความละเอียดของแต่ละคน ถ้าถามทางหลวงพ่อ หลวงพ่อเล็กวัดท่าขนุน ท่านก็บอกว่าถ้าข้าวหมากนี่ก็เรียบร้อย ท่านไม่ทาน ไม่ฉันเลย หรือว่าอาหารที่เข้าเครื่องปรุงมีเครื่องปรุงที่ใส่เหล้า ถ้ารู้ท่านก็ไม่ฉันเลย ดังนั้นก็ขึ้นอยู่กับเราละว่าเราจะเอาละเอียดหรือเราจะหยาบ คราวนี้ในเรื่องของความละเอียดหยาบ ของศีลหลวงพ่อฤาษีท่านก็สอนว่า 

  1. ไม่ผิด ด้วยตัวเองคือไม่ละเมิดศีลด้วยตัวเอง  
  2. ไม่ไปละเมิดศีลโดยที่เราใช้ไหว้วานคนอื่น ให้ไปทำผิดศีลแทน เช่นเราไม่ได้ฆ่ามด แมลง แต่เราไปจ้างให้ บริษัทกำจัดปลวกมาฉีดให้เรา เรากิน กุ้ง กินปลา ที่มันเป็นๆ เราไม่ได้ฆ่าเอง แต่ว่าบังเอิญเราไปชี้เลือกตัวนั้น ตัวนี้ แต่เราไม่ได้ทุบเอง ดังนั้นคนอีกมากมายก็เลยคิดว่าไม่ผิด จ้างวานฆ่าบ้าง ใช้คนอื่นไปทำทุจริตแทน บ้าง บางกรณีก็คิดว่าเราไม่ได้ทำด้วย ตัวเองไม่บาป บางคนก็มีความเชื่อแบบนี้ อันนี้ก็ขอให้กลุ่มของเราที่ฝึกสมาธิอย่ามีความเชื่อแบบนี้ ใช้ให้คนอื่นไปทำแล้วไม่บาป จริงๆ ก็เรียบร้อย ในกฎหมายก็ยังมีจ้างวานฆ่า ใช้ไหว้วานคนอื่นไปทำทุจริต มีทั้งหมดในเรื่องของศีลนี้ก็ผิดเช่นกัน
  3. คราวนี้ ต่อมาขั้นที่ 3 ก็คือไม่ยินดี เมื่อผู้อื่น ละเมิดศีล คือเราก็เห็นอยู่ อย่างเช่น สมมุติว่ามียุงอยู่ในห้องเราไปปฏิบัติธรรม มียุงอยู่ตัวหนึ่งอยู่ในห้อง มันก็บินอยู่หึ่งๆ ไปเรื่อยๆ ไอ้เราจะตบก็ไม่ตบเพราะกลัวผิดศีล จะใช้คนอื่นไปตบ เราก็รู้สึกว่าไม่ได้ ไปใช้เขาทำแล้วมันบาป แต่พอถึงเวลาบังเอิญมีคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้อง เห็นยุงตบผัวะเข้าให้ ยุงตาย เราก็ยินดีโล่งใจว่า เออมีคนจัดการ โดยที่เราไม่ต้องใช้ไหว้วาน อันนี้ถามว่าโดนไหมก็โดนในข้อของความละเอียด ว่ายินดีเมื่อผู้อื่นทำผิดศีล ดังนั้นตรงนี้ก็เรียบร้อย หรือแม้แต่การที่เราให้เหล้าเป็นของขวัญ เลี้ยงเหล้าคนอื่น บอกเราไม่กินแต่เราเลี้ยงคนอื่นนี่ ก็เรียบร้อย

สรุปแล้วก็ในเรื่องศีล ให้เรารวบรวมกำลังใจ รวบรวมความคิด พิจารณากัน กรรมทั้งหลายมันอยู่ที่เจตนาของเรา  ส่วนใหญ่คนในเรื่องของศีล ความสำคัญของศีล ก็คือมันเป็นเครื่องปิดอบายภูมิ ก็คือทำให้เรา ไม่ต้องไปตกนรก ไม่ต้องไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน ไม่ต้องไปเป็นเปรตอสุรกาย ดังนั้นศีลก็ถือว่าเป็นเครื่องกั้น เป็นเครื่องปิดอบายภูมิ ข้อที่ 1 

ข้อที่ 2  การที่เรารักษาศีลได้มันทำให้เราเกิดความสงบของใจ ไม่มีความรู้สึกผิดเล็กๆ น้อย ๆ ในใจ พอไม่มีความรู้สึกผิดในใจปุ๊บ จิตมันก็สงบเป็นสมาธิได้ง่าย ได้ดีกว่า 

ข้อที่ 3 มันก็ทำให้ใจเราเป็นผู้ที่ไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่น พอไม่คิดเบียดเบียนผู้อื่น อกุศลกรรมมันก็ไม่เข้า อกุศลกรรมเข้าก็เพราะเราคิดเบียดเบียนผู้อื่น ไม่ว่าจะเบียดเบียนทางกาย เบียดเบียนชีวิต เบียดเบียนในทรัพย์สิน เบียดเบียน ล่อลวงด้วยคำพูดวาจา เหตุการณ์ต่างๆ หรือแม้กระทั่งศีลข้อที่ 5  เบียดเบียนทำร้ายสติสัมปชัญญะ ทำร้ายสุขภาพของตัวเราเองด้วยสุรา อบายมุข

ดังนั้นศีลจึงมีความสำคัญ พยายามรักษาให้ได้ ส่วนใหญ่คนที่ยังไม่สามารถเข้าเขตของความเป็นพระอริยเจ้า คือความเป็นพระโสดาบัน ได้  99% ข้างบนท่านบอกว่า เป็นเพราะเรื่องศีล ศีลยังไม่ครบ ศีลยังไม่บริสุทธิ์ และท้ายที่สุดก็คือ ศีลยังไม่ละเอียด ถ้าทำได้ตั้งแต่ศีลตามเกณฑ์ให้ถูกต้อง ไม่ศีลตามใจฉัน ศีลตามใจฉันก็อย่างที่ว่า เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นว่าปฏิบัติธรรมตามใจฉัน ศีลตามใจฉัน ฉันว่าแบบนี้ ฉันเอาแบบนี้ ก็กลายเป็นเอาเกณฑ์ของตัวเองเข้ามา

ดังนั้นคนที่จิตเป็นอุเบกขา คิดพิจารณาตามความเป็นจริง พอเราคิดพิจารณาตามความเป็นจริง เราก็จะไม่คิดเข้าข้างตัวตัวเอง ไม่มีอคติ ไม่มี Bias พอไม่มีอคติ ไม่มี Bias เกิดขึ้น มันก็ไม่เป็นศีลตามใจฉัน มันเป็นศีลที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม

พอทำได้ขั้นที่ 1 ก็คือทำศีลให้ถูกต้องก่อน พอศีลถูกต้องแล้ว

คราวนี้ต่อไป ก็เริ่มขยับเข้าสู่ศีลที่มันละเอียดศีลที่หลายชั้นขึ้น คือมีสติรู้ ไม่ยินดี คือไม่ทำด้วยตัวเองได้แล้ว

ต่อไปก็คือไม่ใช้ไหว้วาน คือทำควบเลยทั้งไม่ทำด้วยตัวเอง ทั้งไม่ไหว้วานผู้อื่นให้ผิดศีล ให้คนนั้นคนนี้ไปพูดให้ฉันหน่อย อันนี้ก็เรียบร้อย ไปพูดล่อลวง ไปพูดหลอก พูดล่อไม่พูดเองด้วยนะ ฉลาด ส่วนใหญ่ก็คิดว่าฉลาด แต่ถามว่าโดนไหม ก็โดน

พอได้ทั้งไม่ทำด้วยตัวเอง ไม่ใช้ให้คนอื่นทำ สุดท้ายสติละเอียดขึ้น ไม่ยินดีเมื่อผู้อื่นละเมิดศีล มีคนไปยิงคนชั่วเราก็ต้องฝืนใจ ไม่ยินดีด้วย ไม่สะใจด้วย พอทำครบแล้ว คราวนี้เราก็กำหนดว่าศีลของเรานั้นบริสุทธิ์จริงๆ

เรื่องศีลนั้น มันมีความละเอียด ถ้าเราคิดว่าเราทำไม่ได้ข้อที่ 1  คือเทคนิคในการรักษาศีล ก็คือเริ่มตั้งแต่เอาที่มันง่ายที่สุดเลย อธิษฐานว่าข้าพเจ้ารักษาศีล 5 ตั้งแต่ หลับยันตื่นนอน หลับไปจนตื่นเช้า นอนไป 8 ชั่วโมงมีศีลห้า วันละ 8 ชั่วโมง อันนี้ถือว่าทำไม่ได้ก็แย่ละ คราวนี้เทคนิคก็ค่อยๆ เพิ่มเวลา และเมื่อตื่นขึ้นข้าพเจ้ารักษาศีลห้าต่อไปให้ได้อีก 1 ชั่วโมง พอตื่นหกโมง ก็ รกษาศีล 5 ต่อมาจนถึงเจ็ดโมง 

1 ชั่วโมงนี่ไม่ผิดเลย พอเริ่มทำได้ก็ 2 ชั่วโมง 3 ชั่วโมง จนกระทั่งถึงครึ่งวัน พอครึ่งวันได้ คราวนี้ก็เอาจนเต็มวัน พอเต็มวันได้จนครบ คราวนี้เราก็ได้ครบหมด อันนี้ประเภทที่ 1 

ประเภทที่ 2 ต่อมา ก็คือบางทีมันจะรักษาไม่ได้ หนูเป็นเซลล์ หนูยังมีต้องใช้วาจา ยังมีต้องหลอกลวงอยู่ ยังมีต้องโกหกอยู่บ้าง อันนี้ก็ให้เรากำหนดว่า พระท่านสอนบอกว่ามีบางข้อดีกว่าไม่มี ทั้ง 5 ข้อ หมายความว่ารักษาให้ได้สัก 1 ข้ออย่างครูบาอาจารย์ที่ท่านสอนคนที่เป็นโจร คนที่เป็นเสือสมัยโบราณท่านบอกว่างั้น

ให้สัจจะ ไอ้คำว่าให้สัจจะ ก็คือให้เป็นคนที่มีความตั้งมั่นเด็ดเดียว อย่างน้อยให้เป็นโจรแต่มีสัจจะ หรือให้สิ่งที่ยึดได้ เช่นห้ามไปด่าแม่คนอื่น อันนี้คนที่เขาฝึกคาถาอาคม เขาจะเข้าใจ ห้ามด่าแม่คนอื่น คือไปทำร้ายจิตใจด้วยวาจา อันนี้ก็ผิดในศีลข้อวาจา ให้รักษาข้อนี้ไว้ เพราะเมื่อไหร่ที่มีสัจจะ แล้วก็ไม่ไปหยาม ไปหมิ่นพระคุณแม่คนอื่น คาถาก็จะมีความศักดิ์สิทธิ์ของเราเอง ก็ถ้าเรื่องวาจาไม่ได้ เราก็รักษา ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่รักทรัพย์คดโกง ไม่ประพฤติผิดในกาม โกหกไม่ได้เว้นไว้ 1  ข้อ สุรางดเว้นไว้ 1 ข้อ หรือบางคนยังทนไม่ไหวยังติดเหล้าอย่างหนัก ยังดื่มไวน์ก็เลยถือสี่ข้อต้น ข้อห้า รักษาไม่ได้แต่ก็ยังดีกว่าไม่รักษา เสริมอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องสุรา บางคนก็คิดเอาตามใจฉัน ดื่มเพื่อสังคมไม่บาป อันนี้ก็เรียบร้อย ถามว่าบาปไหม ไม่ได้เรียบร้อยนะจ๊ะ ผิดศีล ดังนั้นเรื่องเหล้านี้ ต้องงดเว้นเด็ดขาด คือไม่ดื่มเลยแม้แต่น้อย

สรุปเรื่องศีลอย่างน้อยที่สุด รักษาบางข้อให้ได้ พอรักษาได้ ต่อมาก็กำหนดจิตอย่างน้อยที่สุด ตั้งแต่หลับยันตื่นศีลห้า ข้าพเจ้าบริสุทธิ์ กำหนดก่อนนอนข้าพเจ้าขอตั้งจิต งดเว้นการละเมิดล่วงเกิน เบียดเบียน ขอเป็นผู้ที่มีจิตบริสุทธิ์ในศีล 5 ตั้งแต่หลับยันตื่น ได้ไหม อันนี้ก็น่าจะได้กันทุกคน ก็ให้เริ่มเสริมเข้าไป เพื่อเร่งกำลังใจในการรักษาศีลให้บริสุทธิ์ให้เต็มเร็วขึ้น

สำหรับวันนี้ เราก็ได้พูด ได้สนทนา ได้ทำความเข้าใจในเรื่องพื้นฐานของการปฏิบัติ ทาน ศีล แล้วในเรื่องภาวนา

จริงๆ ก็กลายเป็นว่า หลายคนภาวนาเก่ง แต่มาตกม้าตายในเรื่องศีล ก็มาทบทวนกันเรื่องศีลนี่แหละ ทำให้ดี ให้ได้ ตอนนี้ก็สมควรกับเวลาเราก็กำหนดจิต กราบพระ กราบลาพระพุทธองค์ กำหนดจิตอยู่บนพระนิพพาน ตั้งจิตว่าเราจะสำรวมระวังในเรื่องของศีลเพิ่มขึ้น สำรวมระวังในเรื่องของไตรสรณคมมากขึ้น กำหนดสติรู้เท่า ทันในสิ่งที่เกิดขึ้นกับโลก กระแสที่เกิดขึ้นกับโลกโดยที่จิตของเราอุเบกขาให้มากขึ้นกว่าเดิม กราบลาพระรัตนตรัย

จากนั้นแผ่เมตตาลงมายังสามภพภูมิ ตั้งใจว่าการปฏิบัติของเรา เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา เป็นการปฏิบัติเพื่อเป็นไปในมรรคผล พระนิพพานเป็นที่สุด แผ่เมตตาลงมายังอรูปพรหมทั้ง 4 แผ่เมตตาลงไปยังพรหมโลกทั้ง 16 ชั้น แผ่เมตตาลงไปยังอากาศเทวดาทั้ง 6 ชั้น แผ่เมตตาลงไปยังภพของรุกขเทวดา ภูมมเทวดาทั้งหลาย แผ่เมตตาลงไปยังภพของมนุษย์และสัตว์ที่มี ขันธ์ห้า กายเนื้อ กายหยาบ แผ่เมตตาลงไปยังดวงจิตของโอปปาติกะ สัมภเวสีทั้งหลายทั่วอนันตจักรวาล แผ่เมตตาลงไปยังดวงจิตที่เป็นเปรตอสุรกายตกค้างทั้งหลาย แผ่เมตตาลงไปยังภพของนรกภูมิทั้งปวง

จากนั้นกำหนด จิตกราบลาพระพุทธองค์อีกครั้งหนึ่ง พุ่งจิต อาทิสมานกายกลับมาบนโลกมนุษย์ จากนั้นอธิษฐานน้อมกระแสจากพระนิพพานลงมาเป็นกระแสบุญศักดิ์สิทธิ์ ฟอกชำระล้าง ฟอกธาตุขันธ์ ขันธ์ห้าของเรา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง จงกลายเป็นแก้วใสสะอาด บริสุทธิ์ โครงกระดูก หลอดเลือด เส้นเอ็นทั้งหลาย จงสะอาด เป็นแก้วใส บริสุทธิ์กล้ามเนื้อทุกส่วนเซลล์ทุกเซลล์ อาการทั้ง 32 จงสะอาดเป็นแก้วใส บริสุทธิ์ ขอกระแสธรรมฟอกธาตุขันธ์ สลายล้างเซลล์มะเร็ง เซลล์เนื้องอก อาการอาพาธ ความเจ็บไข้ได้ป่วย ให้สลายตัวไป

ขอน้อมกระแสบุญ จงเปิดสายบุญ สายทรัพย์ สายสมบัติ ให้ปรากฏมนุษย์สมบัติ ให้กับข้าพเจ้าใช้สร้างบารมี ในขณะที่มีชีวิตอยู่ชาตินี้ ตามพรหลวงพ่อฤาษีลิงดำ รวยชาตินี้ นิพพานชาตินี้ด้วยเถิด 

จากนั้น อธิษฐานแผ่เมตตา โมทนาสาธุกับการปฏิบัติของกัลยาณมิตร ในห้องเมตตาสมาธิทุกท่าน ผู้ที่ได้ธรรม ผู้ที่ได้สมาธิ ผู้ที่ได้ปัญญา ผู้ที่ได้มรรคผลทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอโมทนากับทุกท่านด้วยเทอญ

จากนั้นหายใจเข้าช้าๆ ลึกๆ  3 ครั้ง พุทโธ ธัมโม สังโฆ

สำหรับวันนี้ก็ขออนุญาตประชาสัมพันธ์ 2-3 เรื่อง

เรื่องที่ 1 ก็คือวันที่ 7 แต่ว่าเป็นวันธรรมดา เป็นวันศุกร์ที่ 7  ธันวาคม อาจารย์ก็จะไปสอนสมาธิที่พุทธศรัทธา ศูนย์พุทธศรัทธา อำเภอบ้านหมอ จังหวัดสระบุรี ในช่วงบ่ายตั้งแต่เวลาประมาณ 13:00 น. จนถึง 16:00 น. ท่านใดที่สะดวกในแถวนั้น ก็ไปปฏิบัติด้วยกันได้ หรือไปปฏิบัติเต็มหลักสูตร การปฏิบัติธรรมวันพ่อ ก็เชิญได้เดี๋ยวจะลงให้

แล้วก็สำหรับ คอร์สเมตตาสมาธิ ที่จะจัดในวันอาทิตย์ที่  22  ธันวาคม ก็เหลือที่อยู่ประมาณ 5-6 ที่ ท่านใดที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนสนใจมา ก็มาปฏิบัติได้เป็นวันอาทิตย์

แล้วก็ขออนุญาต ประชาสัมพันธ์คอร์ส Ultimate  Healer ของอาจารย์ซึ่งจะมีเปิดวันที่ 15 ธันวาคม เป็นวันอาทิตย์ ใครสนใจก็ลงทะเบียนสมัครมาสมัครเรียนได้ แต่ Ultimate  Healer นี่ก็จะเป็นคอร์สที่มีค่าใช้จ่าย เป็นค่าใช้จ่ายยังชีพให้ อาจารย์ ใครที่สนใจเรียนก็มาสมัครเรียนได้ จะเป็นคอร์สพิเศษ เป็นเกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพ การขับพิษ การล้างพิษการใช้ศาสตร์แพทย์แผนจีน ในการขับพิษออกจากร่างกาย อันนี้ใครสนใจ ก็เดี๋ยวจะลงรายละเอียดในห้องให้อีกทีหนึ่ง

สำหรับวันนี้ ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน ในการปฏิบัติก็อยากให้เราช่วงนี้ สำรวมระวังในเรื่องของศีล ในเรื่องของไตรสรณคมน์ให้เข้มข้นขึ้น ช่วงคัดกรอง ช่วงละเอียด พยายามอย่าหลุดออกไปจากสัมมาทิฐิ ก็ขอให้เราทุกคนมีความตั้งมั่น อยู่กับเป้าหมาย คือปฏิบัติเพื่อทำพระนิพพานให้แจ้งกันทุกคน ขอให้ทุกคนมีความสุขความเจริญ

พบกันใหม่สัปดาห์หน้าสำหรับสัปดาห์นี้ สวัสดี

ถอดความและเรียบเรียบโดย : คุณกรรณิกา โชติสว่าง เมอร์ลิล

You cannot copy content of this page