green and brown plant on water

กำหนดพระสามฐาน

เวลาอ่าน : 4 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”  

วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน 2565

เรื่อง กำหนดพระสามฐาน

 โดย อาจารย์ คณานันท์  ทวีโภค

สวัสดีนะครับ ในระหว่างที่รอเพื่อนๆทยอยเข้ามาปฏิบัติ เราแต่ละท่านก็พึ่งกำหนดจิตของเราให้สงบ เบาผ่อง ใส อยู่กับลมหายใจสบายๆ วางอารมณ์เบาๆ ผ่องใส ลมหายใจละเอียด เห็นลมหายใจของเราเหมือนกับแพรวไหมเบาละเอียด จิตสงบ วางอารมณ์ใจของเรา ทรงสภาวะความผ่องใส เอิบอิ่ม จิตสะอาด สว่าง สงบ ลมหายใจเย็น ละเอียด เป็นประกายระยิบระยับ เป็นแพรวไหม อารมณ์ใจของเราเมื่อผ่องใสแล้ว จิตสงบแล้ว กำหนดรู้ในจิตของเราไว้ อารมณ์ที่สงบ เบาสบาย อารมณ์จิตที่เราได้พักจากความฟุ้งปรุงแต่งไปในเรื่องทั้งหลาย ให้จิตเราพักอยู่กับความสงบเย็นนั้น ทรงอารมณ์สบายๆ จากนั้นค่อยๆกำหนดในความสงบผ่องใส กำหนดที่จิตของเรา ให้ปรากฏเป็นแก้วประกายพรึกสว่างอยู่กลางอกของเรา จิตเป็นประภัสสร จิตเป็นแก้วประกายพรึกสว่าง ใจสบายๆ ในความรู้สึกที่เห็นจิตของเราเป็นแก้วประกายพรึกสว่างนั้น

เรากำหนดกระแสรัศมีของความเป็นประกายพรึก มีแสงสว่างเป็นอาณาบริเวณโดยรอบ จนรู้สึกว่าเกิดสนามพลังงาน เกิดกระแส เกิดความผ่องใส เกิดสภาวะความเป็นทิพย์พร่างพรายรายรอบอยู่รอบตัวของ เรา กายจิตของเรายิ่งสบาย ยิ่งผ่องใส กำหนดน้อมว่ากระแสเห็นความเป็นทิพย์นี้ค่อยๆสลายล้างโรคภัยไข้เจ็บสลายล้างสิ่งที่เป็นความเศร้าหมอง เป็นมลทินต่อกายต่อจิตของเรา สลายออกไปจนเหลือแต่ความผ่องใส กายเนื้อของเราก็มีแต่ ความผ่องใส มีแต่ความสว่าง จิตของเราก็ปรากฏความเป็นประภัสสรสว่างผ่องใส สลายเรื่องราวที่เป็นความทุกข์ ความอัดอั้น ความกังวล สลายออกไปจากจิต สลายสิ่งที่เป็นโรคภัยไข้เจ็บออกไปจากร่างกายขันธ์ 5 ของเราให้หมด ทั้งกายเนื้อและจิตของเรา คงทรงสภาวะกับความผ่องใสสว่าง สนามพลังงานกระแสพลังงานโดยรอบตัวเรา มีแต่ความ เป็นทิพย์สว่างพร่างพราวเป็นประกายระยิบระยับ รายล้อมรอบถ้วนทั่วอาณาบริเวณที่เราฝึกสมาธิอยู่ขณะนี้ รู้สึกถึง ความผ่องใสของกายเนื้อ รู้สึกถึงความผ่องใสของจิต กายจิตของเราเบาสบายอย่างยิ่ง กายจิตของเราผ่องใสอย่างยิ่ง  กำหนดทรงความรู้สึกสัมผัสได้ด้วยจิต ว่ารายล้อมรอบถ้วนทั่วตัวเรานั้น มีแต่กระแสพลังงานแห่งความผ่องใส ความเบา ความสบายปรากฏ ความเป็นทิพย์ทรงตัวอยู่ภายในและรายล้อมรอบทั่วตัวเราทั้งหมด ใจสบาย ใจเป็นสุข

 จากนั้นค่อยๆน้อมจิต กำหนดภาพองค์พระ ผุดขึ้นมากลางดวงจิตของเราภายในอก องค์พระ 3 ฐานปรากฏ คือเหนือเศียรเกล้าเหนือศีรษะของเรา ภายในศีรษะของเรา และภายในกายของเรา ทรงความรู้สึกหรือน้อมเห็นด้วย จิตด้วยความเป็นทิพย์ ว่าเราทรงภาพพุทธนิมิตร พุทธนิมิตรพระทั้ง 3 ฐานไว้ จิตยิ่งมีความสงบ ยิ่งมีความผ่องใส ยิ่งมีกำลังใจเพิ่มขึ้น ใจสบายเบาผ่องใส องค์พระอยู่กับเราทั้ง 3 ฐาน กำหนดน้อมพิจารณา ถึงอานิสงส์และเหตุผลใน การปฏิบัติในการทรงภาพพระ 3 ฐาน ในระหว่างที่เราดำเนินชีวิต จะทำงานก็ตามหรือทำกิจการใดก็ตาม การที่เราจะ ปฏิบัติเพื่อมรรคผลพระนิพพานก็ดี การปฏิบัติเพื่อทรงอารมณ์ในการปฏิบัติก็ดี การปฏิบัติเพื่อผลแห่งการปฏิบัติใน อภิญญาวิสัย ในการฝึกการทรงฌานก็ดี การทรงภาพพระ 3 ฐาน นั้นเป็นพื้นฐานสำคัญ

สำหรับผู้ปฏิบัติ ผลของการ ปฏิบัติในการทรงภาพพระ 3 ฐานนั้น สำหรับคนที่มีกำลังของมโนมยิทธิแล้ว มีความคล่องตัวในมโนมยิทธิ การที่เราทรงภาพพระ 3 ฐานได้ จิตเราจะมีการเชื่อมกระแสกับพระพุทธองค์ เชื่อมกระแสกับพระนิพพานได้แนบแน่น เมื่อทรงภาพ พระ 3 ฐานแล้ว ญาณเครื่องรู้ต่างๆ กระแสธรรมะที่พระพุทธองค์ทรงสอน ทรงถ่ายทอดมาสู่จิต ก็จะเชื่อมกระแสลงมา ที่ใจเราได้เป็นปกติ เวลาที่เราทรงภาพพระ 3 ฐานนั้น เท่ากับเราทรงฌานอยู่ ซึ่งการทรงฌานนั้น การทรงภาพพระ 3 ฐานมีกำลังสูงมากกว่าการทรงภาพองค์พระองค์เดียว เนื่องจากต้องใช้สติในการประคับประคอง ภาพพุทธนิมิตรมาก กว่าการทรงภาพพระเพียงฐานเดียว ดังนั้นกำลังแห่งการปฏิบัติก็มีความแนบแน่นมากกว่าเป็นอย่างยิ่ง ผลของการ ปฏิบัติที่เราจะประจักษ์แจ้งสู่ใจในเรื่องการทรงพระ 3 ฐานนั้น ตราบที่เราทรงกำลังใจในการทรงภาพพระทั้ง 3 ฐานได้ จิต เราก็ได้ชื่อว่ากำลังทรงฌานสมาบัติ ทรงกำลังทั้งกำลังที่เป็นฌาน 4 ด้วย ทรงกำลังทั้งกำลังในส่วนที่เป็นพุทธานุสติ ด้วย ซึ่งความเป็นทิพย์ของจิต ญาณเครื่องรู้ต่างๆจะมีความคล่องตัว จะมีความแม่นยำมากกว่าผู้ที่ไม่ได้ทรงอารมณ์ เราสามารถที่จะสังเกตผลของความก้าวหน้าในการที่เราทรงภาพพระ 3 ฐานนี้ได้ การฝึก แนวการฝึกนั้นก็คือพยายามทรงให้ได้มากที่สุด เท่าที่เราจะมีสติระลึกรู้หรือนึกถึงได้

ตอนนี้ก็ให้ย้อนกลับมาทรงภาพพระ 3 ฐาน แต่คราวนี้อาจารย์จะพานำให้เราทรงอารมณ์ให้มีความละเอียด ปราณีต กำหนดความรู้สึกตั้งแต่พระฐานที่ 1 คือเหนือเศียรเกล้า องค์พระให้กำหนดเหมือนกันไปก่อนคือเป็นพระปางขัดสมาธิ สว่างเป็นเพชรระยิบระยับมีรัศมีมีแสงสว่าง ส่องสว่างไกลออกไป กระแสแห่งพุทธานุภาพคลุมคุ้มครองคลุมกายเนื้อเราทั้งหมดสว่าง กำหนดภาพพระในฐานที่ 2 คือภายในศีรษะของเรา กำหนดน้อมให้เห็นภาพองค์พระสว่าง อยู่ภายในศีรษะเป็นเพชรระยิบระยับ พระอุณาโลมของพระพุทธองค์ตรงกันกับตาที่ 3 ของเราพอดี กระแสญาณเชื่อม โยงส่งตรงมายังจิตของเรา ญาณเครื่องรู้ต่างๆน้อมลงตรงกับจิตของเรา พระฐานที่ 3 อยู่ภายในกายของเรา ฐานของ องค์พระอยู่ตรงกับการประสานมือเวลาที่เรานั่งขัดสมาธิประสานมืออยู่ ความรู้สึกเหมือนกับเรากำลังประคับ ประคององค์พระนั้นอยู่ จิตสบายเบาผ่องใส คราวนี้กำหนดประคององค์พระพร้อมกันทั้ง 3 องค์ในจิตของเรา กายจิตเบาสบาย เห็นภาพพระทั้ง 3 องค์สว่างใสเป็นเพชรประกายพรึก ใจสบาย กำหนดความรู้สึกว่าองค์พระนั้น แผ่รัศมี กระแสขององค์พระปรากฏความเป็นทิพย์สว่างพร่างพรายไปรอบอาณาบริเวณทั้งหมด กายจิตของเราเบาสบายผ่องใส อย่างยิ่ง ทรงอารมณ์ที่เราทรงภาพองค์พระ ไม่ว่าจะเป็นการกำหนดเห็นในจิต หรือความรู้สึกที่องค์พระสัมผัสอยู่เหนือ เศียรเกล้าของเรา อยู่ภายในศีรษะ อยู่ภายในอกของเรา

กำหนดในความรู้สึกนี้ให้ชัดเจนว่าพระท่านอยู่กับเราเสมอ ตลอดเวลา พระท่านคุ้มครองเราเสมอตลอดเวลา อารมณ์จิตความรู้สึกที่ปรากฏนี้ คือความรู้สึกที่ใจของเรานั้นมี พระอยู่ ใจผ่องใส ประคับประคองทรงอารมณ์นี้ให้มีความละเอียดขึ้น ชัดเจนขึ้น ใจผ่องใสกำหนดความรู้สึกว่ากระแส แห่งพุทธานุภาพ กระแสพุทธบารมีซึมซาบเอิบอาบเป็นกระแส เป็นสนามพลัง แผ่กระจายปกคลุม เกิดความเป็นทิพย์ที่มีความละเอียดยิ่งขึ้น รอบกายของเราพร่างพรายระยิบระยับ กระแสแห่งพุทธานุภาพซึมซาบไปทั่วร่างกายขันธ์ 5 ของเรา กระแสแห่งพุทธานุภาพ กำหนดน้อมรวมลงสู่จิตของเรา กระแสของพุทธะฟอกธาตุขันธ์ชำระล้างร่างกาย เซลล์ทุกเซลล์ อวัยวะทุกส่วนทั่วร่างกาย แผ่สว่างจากองค์พระทั้ง 3 ฐาน กายเนื้อของเรา โรคภัยไข้เจ็บทั้งหลาย โรคระบาดทั้งหลาย ไม่ว่าร่างกายเราจะแข็งแรงเป็นปกติก็ดี หรือเราตรวจเจอเชื้อแล้วก็ตาม กระแสแห่งพุทธานุภาพ ชำระล้างฟอกธาตุขันธ์ ซึมซาบสลายล้างโรคภัยไข้เจ็บทั้งหมด ออกจากอวัยวะทุกส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภายในปอดภายในระบบทางเดินหายใจทั้งหมด เชื้อที่อยู่ในกระแสเลือด ที่แฝงไปในอวัยวะต่างๆ ความเป็นพิษที่ก่อขึ้น เกิดความ อุดตันในเส้นเลือดทั้งหลาย สารแปลกปลอมทั้งหลาย ที่เราได้รับ สลายล้างสลายตัวออกไป

กระแสกำลังแห่ง พุทธานุภาพ สลายล้างฟอกธาตุขันธ์ทั่วร่างกายของเรา จนรู้สึกได้ว่า เกิดแสงสว่างเปล่งประกายขึ้นจากกายเนื้อ เกิดแสงสว่างเปล่งประกายขึ้นจากเซลล์ทุกเซลล์ทั่วร่างของเรา เซลล์ทุกเซลล์ทั่วร่างของเรา เกิดประกายระยิบระยับ สว่าง รอบกายเราเกิดแสงสว่างเป็นประกายพร่างพรายรายรอบจิตของเราสว่างเป็นเพชรระยิบระยับ ภาพองค์พระทั้ง 3 ฐานยิ่งสว่างเป็นเพชรระยิบระยับ จิตเรายิ่งเกิดความเอิบอิ่มเป็นสุขผ่องใส จิตเรามีความนอบน้อมเคารพ ยิ่งเกิดความ ศรัทธา เกิดความเคารพรัก ศรัทธาในพระพุทธเจ้า กายจิตเรามอบกายถวายชีวิตแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มอบกายถวายชีวิตแด่คุณพระรัตนตรัยคือคุณแห่งพระพุทธองค์ คุณแห่งพระธรรม คุณแห่งพระอริยสงฆ์ พระอริยเจ้า พระสุปฏิปันโน น้อมใจของเราให้เกิดความเคารพนอบน้อมจนถึงที่สุด นอบน้อมเหนือเศียรเกล้า

จิตของเรายิ่งสว่างขึ้น ในแสงสว่างที่เราทรงภาพพระ  จิตก่อรูปเป็นอทิสมานกาย ค่อยๆลอยขึ้นเบาๆ ยกจิต ลอยขึ้นเบาๆสูงขึ้น ยกจิตน้อมขออาราธนาบารมีพระพุทธองค์ ขอยกจิตอทิสมานกายของข้าพเจ้า จงปรากฏในกายแห่ง พระวิสุทธิเทพ ยกจิตขึ้นไปยังพระนิพพาน ณ วิมานของสมเด็จองค์ปฐม ขออาราธนาเกิดมหาสมาคม อาราธนาพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสงฆ์ทุกพระองค์ ตลอดจนเทพพรหมเทวาผู้ใหญ่ทั้งหลาย ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลายได้ปรากฏขึ้นในวิมานสมเด็จองค์ปฐมบนพระนิพพานด้วยเถิด

จากนั้นกำหนดต่อไปนะ น้อมกำหนดต่อไป เมื่อเราขึ้นมาอยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐมแล้ว ก็แยกอทิสมานกายของเราเป็นจำนวนมากมายเท่ากับทุกท่าน ทุกพระองค์ น้อมกราบลงแทบเบื้องพระบาทของทุกพระองค์นั้น ด้วยความเคารพ ด้วยความนอบน้อมจนรู้สึกได้ว่า มือของกายทิพย์ของเราแต่ละคน สัมผัสได้ที่พระบาทของพระพุทธเจ้า ของพระอรหันต์ ของ เทพพรหมเทวดาทั้งหลาย บางองค์เราก็สัมผัสได้ ว่าเรากราบและแตะที่ฉลองพระบาทปลายงอน ก็คือในเครื่องทรงของ พระวิสุทธิเทพ บางองค์เราก็สัมผัสได้ว่า มือเราสัมผัสแทบพระบาทเปล่าๆ ที่มีนิ้วเรียบเสมอกัน ตามพุทธลักษณะของ พระพุทธเจ้า น้อมจิตแยกความรู้สึกของกายพระวิสุทธิเทพในการกราบ จนรู้สึกว่าเรากราบถึงพระพุทธองค์อย่างแท้จริง จิตถึงพระรัตนตรัย จิตถึงพระพุทธเจ้า จิตถึงพระนิพพาน จิตปราศจากวิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยทั้งปวง จิตถึง กระแสเชื่อมถึงพระนิพพาน

น้อมใจให้มั่นคงเพื่อเข้าสู่องค์แห่งความเป็นพระโสดาบันให้เร็วที่สุด ตัดวิจิกิจฉาทั้งปวง ความลังเลสงสัยว่าเรายกจิตขึ้นมาบนพระนิพพาน ใช้กำลังมโนยิทธิขึ้นมาบนพระนิพพานได้หรือไม่ได้ ไม่มีในความรู้สึก ของเราอีกต่อไป ไม่ว่าเราจะเห็นชัดหรือเห็นลางๆ แต่ความรู้สึกผัสสะที่เราสัมผัส ลงแทบพระบาทของพระพุทธองค์นั้น เราน้อมชัดเจน ปรากฏชัด กระจ่างกับใจของเราเป็นปัจจัตตัง เมื่อน้อมกราบพระพุทธองค์แล้ว ก็กำหนดจิตขอบารมี พระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ วันนี้ในการที่เราร่วมจิตร่วมใจถวายสังฆทานผาติกรรม ขออานิสงส์แห่งการถวาย พระพุทธรูปและเครื่องบริวารทั้งหลาย ถวายทองคำ ถวายพระบรมสารีริกธาตุ ถวายไฟฉายเทียนแสงสว่างโคมประทีป ขออานิสงส์ทั้งหลายอันความเป็นทิพย์นั้นจงปรากฏ ถวายพระพุทธรูปขอให้รัศมีกายของข้าพเจ้า จงปรากฏความสว่าง ยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการถวายพระพุทธรูปทำให้เกิดรัศมีกาย กายทิพย์ยิ่งสว่างขึ้น อทิสมานกายยิ่งสว่างขึ้น ถวายเทียน ถวายไฟดวงประทีปไฟฉายทั้งหลาย เป็นเหตุแห่งทิพย์จักษุญาณ ขอภาพต่างๆของญาณเครื่องรู้จงสว่างขึ้น กระจ่างขึ้น ชัดเจนขึ้นด้วยเถิด น้อมใจจนปรากฏความสว่างยิ่งขึ้น ชัดเจนยิ่งขึ้น ความเป็นทิพย์ทั้งหลายจงปรากฏ ชัดเจนยิ่งขึ้น สว่างยิ่งขึ้น

เมื่อความเป็นทิพย์ ญาณเครื่องรู้ของเราสว่างชัดเจนแล้ว ก็กำหนดจิตน้อมต่อไปว่า เราทรงอารมณ์เจริญ ในวิปัสสนาญาณ คือยกอทิสมานกายขึ้นมาปฏิบัติบนพระนิพพาน ในการตัดร่างกายขันธ์ 5 ตัดกายเนื้อ พิจารณาตัด สังโยชน์ 10 พิจารณาตัดนิวรณ์ 5 ประการ พิจารณาตัดภพ ตัดภูมิ ความเกาะเกี่ยวในภพชาติต่างๆ กำหนดจิตอธิษฐาน ให้เห็นอทิสมานกาย กายพระวิสุทธิเทพของเราแต่ละคน นั่งขัดสมาธิปฏิบัติอยู่เบื้องหน้า พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ กำหนดจิตอธิษฐาน พิจารณาให้เห็นกายเนื้อที่เป็นกายหยาบทอดกายลงอยู่เบื้องหน้า กายพระวิสุทธิเทพที่นั่งพิจารณา อยู่ เป็นการพิจารณาอสุภะคือร่างกายกายเนื้อของเราเองแต่ละคน พิจารณากายเนื้อ ของเราเองว่า ให้เราน้อม พิจารณาว่าวันหนึ่ง กายเนื้อนี้ก็ต้องตาย เมื่อตายแล้วก็ทอดกายลงเป็นเหมือนกับซากศพ ที่อยู่เบื้องหน้า ณ ขณะนี้

พิจารณาให้เห็นว่าร่างกายที่เป็นกายเนื้อนี้ค่อยๆเน่าเปื่อยผุพังไป ค่อยๆ มีสภาวะที่ขึ้นอืด มีอาการบวม มีอาการพอง มีสีน้ำตาลเข้มขึ้น จนกระทั่งเขียวคล้ำ ตัวเปล่งปริ ธาตุลม ธาตุน้ำ ขับออก จนร่างกายขันธ์ 5 นี้อืดพอง ใบหน้าบวมพอง ท้องมือกาง ตีนกาง พิจารณาต่อไปว่า เมื่อลมต่างๆในกายขยายจากความเน่าเปื่อยภายใน จนผิวหนังมันทานไม่ได้ เกิดการปริแตก น้ำเหลือง น้ำหนอง ทะลักอวัยวะภายในที่เน่า คล้ำเป็นสีดำ ทะลักแตกพิจารณาว่ากายเนื้อ ในที่สุด กายของเราก็ดี กายของบุคคลอื่นก็ดี ก็มีสภาวะเฉกเช่นเดียวกัน ต่อให้สวย ต่อให้งามแค่ไหน เมื่อขึ้นอืดบวมพอง มือกางตีนกาง ผิวเขียวคล้ำดำ มันก็หมดความสวยงาม จึงเรียกว่าอสุภสัญญา พิจารณาว่ากายเนื้อนี้ก็เป็นเช่นนี้ เรายังเกาะ เรายังหลง เรายังยึดอยู่กับร่างกายอีกหรือไม่ หากอารมณ์ในการที่เราตัด รู้เท่าทันตามความเป็นจริง รู้เท่าทันตามสภาวะความเป็นไปในความเสื่อมของขันธ์ 5 นี้ ใจยอมรับตามความเป็นจริง อารมณ์จิตของเราก็จะค่อยๆถอดถอน จากความเกาะ ความห่วง ความยึดในร่างกาย ในขันธ์ 5 อารมณ์จิตจะค่อยๆคลาย จากกามราคะทั้งหลาย จิตเบาบาง ลงทีละน้อยไป หรือหากอารมณ์จิตในการพิจารณาเรามีความเข้มข้น จิตเห็นจริง และตัดความเกาะในขันธ์ 5 ได้อย่างเด็ดขาด เป็นสมุจเฉทปหาน อารมณ์จิต เราก็ยกขึ้นสู่ความเป็นพระอริยเจ้าสูงขึ้นตามลำดับที่เราตัด กามฉันทะ ความพึงพอใจในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสนั้น เป็นการตัดในระดับของพระอนาคามีผล

หากอารมณ์จิตพิจารณา รู้เท่าทัน ปล่อยวางจากความตาย  รู้เท่าทันว่าเราต้องตาย ไม่ตีโพยตีพาย ไม่ทุกข์  ยอมรับตามความเป็นจริงว่าวันหนึ่งเราต้อง ตาย อารมณ์จิตนี้ก็จะเป็นอารมณ์ที่เบาลง เป็นอารมณ์ของพระโสดาบัน ให้เราน้อมจิตตามกำลังใจของแต่ละบุคคล พิจารณาปล่อยวาง เห็นอสุภสัญญาของกายเนื้อ พิจารณาต่อไปจากร่างกายขันธ์ 5 ที่บวมพอง คล้ำ ค่อยๆคล้ำดำ เกิดหนอนชอนไช หนอนขาวๆชอนไชจนกระทั่งเสกกินเลือดเนื้อน้ำหนองจนหมด เหลือแต่ความแห้งกรัง เกรอะกรังเป็นสีน้ำตาล สีดำคล้ำ คราบติดกับโครงกระดูก เวลาผ่านไป ความคล้ำดำ ของเนื้อเยื่อที่เน่าที่แห้งเกาะติด ก็ค่อยๆ หลุดร่อนออกไป จนเหลือเพียงโครงกระดูกสีขาวเป็นอัฐิ อัฏฐัง  อสุภกรรมฐาน พิจารณาเห็นกายเนื้อทั้งหมด เหลือเพียง ซากศพ ที่เป็นแค่โครงกระดูก พิจารณาว่าโครงกระดูกนี้ อยู่ภายในกายของมนุษย์ทุกคน อารมณ์จิต หากวิปัสสนาญาณ ในความเป็นทิพย์กรรมฐานเก่าเกิดขึ้น จิตของบุคคลนั้น จะเห็นว่าบุคคลทั้งหลายที่เดินไปเดินมานั้น เป็นเหมือนกับโครง กระดูกที่เดินไปเดินมา อารมณ์ใจที่มีความรู้สึกเกาะเกี่ยวว่าสิ่งนี้รูปนี้บุคคลนี้ มีความหล่อ มีความสวยงาม ก็จะไม่ ปรากฏ เห็นเพียงแต่ซากศพเดินได้ เห็นในจิตในความรู้สึกว่า โอ้หนอมีแต่โครงกระดูกที่เดินได้ มีแต่โครงกระดูกที่เอา สีมาฉาบมาทา เอาแป้งมาฉาบมาทา เอาเครื่องประดับที่คิดว่าสวยงาม อาภรณ์อันมีค่า เพชรพลอยเพชรนิลจินดา มาประดับโครงกระดูกเดินไปเดินมา อารมณ์จิตนี้เป็นอารมณ์สูงขึ้นของพระอนาคามีขึ้นไปจนถึงพระอรหันต์

น้อมใจ พิจารณาแม้เป็นอารมณ์พิจารณาเพียงชั่วคราว ก็ให้เราน้อมพิจารณา ให้ถึงอารมณ์จิตเช่นนี้ น้อมมอง ลงมายังโลก ให้เห็นโลกที่พลุกพล่าน บุคคลทั้งหลายเป็นโครงกระดูก ใส่เสื้อผ้า  ใส่เครื่องประดับ จนจิตเรารู้สึกว่า โอ้หนอ เราแต่เดิมนั้น มีความหลงในกาย หลงในรูป หลงในวัตถุ บุคคลทั้งหลายก็มีความหลงในกาย ในรูป ในวัตถุ จนกระทั่ง เกิดความเบียดเบียน เกิดความทุกข์ เกิดความหึงหวง เกิดความอิจฉาริษยา อารมณ์ทั้งหลายเป็น ความหลงในโลก อารมณ์จิตที่เราพิจารณาขณะนี้คืออารมณ์แห่งการพ้นโลก พ้นจากความเกาะ พ้นจากความยึดมั่น ถือมั่น พิจารณาในอารมณ์ ในขณะที่เราอยู่บนพระนิพพานนี้ เห็นโลกนี้เต็มไปด้วยความวุ่นวาย เห็นโลกนี้จากเหตุ แห่งความหลงในกาย แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น เบียดเบียนกัน เกิดความโลภ เพื่อหาเครื่องประดับ เพื่อหาลาภยศสรรเสริญ  เกิดสงครามในโลกนี้ เพราะการเบียดเบียนกัน โลภโมโทสันกัน พิจารณาเห็นความหลงโลกนี้ ให้ใจเราตื่นขึ้น พ้นจากความหลงจาก โลกทั้งปวง จิตเราพ้น เป็นอารมณ์แห่งโลกุตรธรรม ใจเบาขึ้น ผ่องใสขึ้น อาทิสมานกาย กายพระวิสุทธิเทพเรายิ่งสว่างขึ้น

จากนั้นพิจารณาอสุภะในความเป็นซากศพ ที่เป็นโครงกระดูกที่นอนอยู่ต่อไป ว่าเมื่อกาลเวลาผ่านไป กระแสลมและ กระแสแห่งกาลเวลา ก็พาให้กระดูกโครงนี้ค่อยๆผุกร่อนลงเป็นผุยผงลงไปช้าๆ จนกระทั่งสลายตัวไปเป็นผงธุลีหมดสิ้น ไปจนหมด กลายเป็นความว่าง เวิ้งว้างว่างเปล่า กำหนดจิตพิจารณาว่า ในที่สุดสังขารนี้ก็หาแก่นสารที่เราจะไปยึดมั่นถือมั่นกับมันไม่ได้ ปล่อยวางไปพร้อมกับความว่างอันเป็นอารมณ์ของ อรูปสมาธิ สลายร้างเป็นความว่าง จิตปล่อยวาง ว่างเบาจากกายขันธ์ 5 ทั้งปวง ปล่อยวางว่างเบา สลายจากกามฉันทะ ทั้งปวง ปล่อยวางว่างเบาจากอารมณ์ ความอาฆาตพยาบาททั้งปวง เป็นอารมณ์ใจที่เราตัดสังโยชน์ในอารมณ์แห่ง พระอนาคามี ความหลงในโลกในความพยาบาทจองเวร สลายไปจากเรา  ไปเสียเวลากับการพยาบาทจองเวรอาฆาต ตามเวียนวนมาเกิด เราสลายร้างความรู้สึก สัญญา ความจำทั้งหลายเหล่านี้ออกไปจนหมด มีความว่างความผ่องใส อาทิสมานกาย กายพระวิสุทธิเทพของเรายิ่งสว่างขึ้น ผ่องใสขึ้น กำหนดจิต ทรงอารมณ์พระนิพพาน น้อมจิตพิจารณาว่า เราอยู่กับพระพุทธเจ้า อยู่กับหลวงพ่อ บนพระนิพพานนี้ จิตของเราเป็นสุข พ้นจากความวุ่นวายในโลก พ้นจากความแก่งแย่งทั้งหลาย พ้นจากการเบียดเบียนทั้งหลาย พ้นจากแรงอำนาจของกรรมวิบากทั้งหลาย ภาระทั้งหลายจบแล้ว กิจทั้งหลายสิ้นแล้ว กิจในพระพุทธศาสนา ในการปฏิบัติ เมื่อไหร่ที่เราเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน กิจทั้งหลายก็จบ เ

ราน้อมพิจารณาจนอาทิสมานกายของเราเข้าสู่ อารมณ์พระนิพพาน นิพพานัง ปรมังสุขัง กำหนดจิตน้อมให้อาทิสมานกาย ของเราสว่าง จิตเรายิ่งเป็นสุข ภาพแสงสว่าง กระแสสัมพันธ์กับอารมณ์ความสุข ของจิตที่เราทรงอารมณ์อยู่ ยิ่งสว่างยิ่ง ผ่องใสยิ่งผ่องใสยิ่งเป็นสุข ยิ่งสว่างยิ่งผ่องใส ยิ่งผ่องใสยิ่งเป็นสุข อาทิสมานกายเราสว่างเจิดจ้า จิตเป็นสุขอย่างยิ่ง นิพพานัง ปรมังสุขัง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง นิมิตแสงสว่าง กระแสอารมณ์จิต สัมพันธ์เชื่อมโยงสมบูรณ์แบบ กาย จิต อทิสมานกาย ผ่องใสสว่าง จิตเป็นสุขอย่างยิ่ง จิตละเอียดอย่างยิ่ง โล่งเบาปราศจากกิเลสอย่างยิ่ง ทรงอารมณ์พระนิพพานนี้ไว้

ทรงอารมณ์ความสุขในพระนิพพานนี้ไว้ พร้อมกับน้อมใจพิจารณาว่า เชื้อแห่งการเกิดไม่อาจส่งผลในการ เย้ายวน ดึงให้เราไปเกิดในภพใดภพภูมิใดได้อีกต่อไป ความปรารถนาในการมาเกิดเป็นมนุษย์อีก ไม่มีในจิตเรา ความ ปรารถนาในการไปเกิดเป็นภุมมเทวดา รุกขเทวดา พญานาค หรือการไปเกิดบนสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น จะชั้นใดชั้นหนึ่ง ไม่อาจดึงดูดใจของเราได้อีกต่อไป อารมณ์ที่เราปรารถนาไปจุติเป็นพรหม อรูปพรหมไม่มีในจิตเราอีกต่อไป อารมณ์จิตเราปรารถนาจุดเดียวคือที่สุด คือพระนิพพานเท่านั้น กำหนดน้อมจิตเห็นอาทิสมานกายในสภาวะกายพระวิสุทธิเทพ สว่างอย่างยิ่ง กระแสรัศมีความพร่างพรายระยิบระยับของอาทิสมานกาย กายพระวิสุทธิเทพยิ่งสว่างพร่างพรายละเอียด ยิ่งกว่าตอนแรกที่เราฝึกในธาตุขันธ์ของกายเนื้อบนโลกมนุษย์ น้อมจิตของเราให้ถึงความละเอียด สัมผัสได้ถึงความละ เอียดระยิบระยับพร่างพรายของกายพระวิสุทธิเทพในขณะที่เราฝึกอยู่บนพระนิพพานนี้ เข้าถึงความละเอียด เข้าถึงวิมุติ น้อมจิตเข้าถึงกระแสของพระพุทธองค์ จิตที่บริสุทธิ์วิมุติของพระพุทธเจ้าที่ทรงดับซึ่งกิเลสทั้งหลาย ดับเพลิงทุกข์เพลิง กิเลสทั้งหลายอย่างสิ้นเชิงแล้ว มีแต่ความละเอียดสะอาดบริสุทธิ์ จิตเราซึมซาบซึมซับกระแสความละเอียดของ พระนิพพาน จนจิตเข้าถึงและชินกับกระแสความละเอียดความพรั่งพราย ความบริสุทธิ์ความเป็นทิพย์ของพระนิพพาน ยิ่งจิตละเอียดเราก็จะสัมผัสแยกแยะในความละเอียดของความเป็นทิพย์ได้มากกว่าบุคคลที่เขายังหยาบกว่า อันนี้ก็เป็น เรื่องความละเอียดของแต่ละบุคคล กำลังใจกำลังจิต อาจจะมีความหยาบละเอียดต่างกัน แต่ความหยาบความละเอียด นั้นสามารถใช้ความเพียรฝึกฝน เป็นพรแสวงที่เราแต่ละบุคคลสามารถฝึกฝนปฏิบัติได้ น้อมใจเราเข้าถึงความละเอียด ความสุขความผ่องใส ให้จิตเราสะอาดจากความโลภโกรธหลงสะอาดจากแรงยึดเหนี่ยวเกาะเกี่ยวร้อยรัดของสังโยชน์ 10 พ้นจากแรงดึงดูด ความดึงดูดใจของภพภูมิทั้งปวง อทิสมานกายสว่างอย่างยิ่ง

เมื่อจิตเราเป็นสุขแล้ว จิตมีความผ่องใสแล้ว เราก็ขออาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ มหาสมาคมบน พระนิพพาน ตั้งจิตอธิษฐานขอน้อมกระแส แผ่ลงสู่ภพภูมิทั้งหลาย ขอกำลังแห่งพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ แผ่เมตตา ลงมายังทุกภพทุกภูมิ ไล่ลงมาจากพระนิพพาน เป็นกระแสบุญศักดิ์สิทธิ์จากพระนิพพานลงไปยังอรูปพรหมทั้งหลาย อรูปพรหมทั้ง 4 ชั้น แผ่เมตตาลงไปยังพรหมโลก ทั้ง 16 ชั้นมีท่านท้าวสหัมบดีพรหมทรงเป็นประธาน คลื่นกระแสที่ แผ่เมตตาน้อมนำกระแสบุญศักดิ์สิทธิ์จากพระนิพพาน แผ่เมตตาลงต่อเนื่องลงไปยังสวรรค์ทั้ง 6 ชั้น ขอท่านปู่พระอินทร์ ท่านเมตตาเป็นประธาน แผ่เมตตาต่อไปยังภพของ รุกขเทวดา เทวดาที่มีภูมิอยู่บนต้นไม้อันมีแก่นทั่วจักรวาล แผ่เมตตาไปยังภุมมเทวดา เทวดาที่เป็นเจ้าที่เจ้าทาง เทวดาที่รักษาเขต เจ้าเขาเจ้าป่า กุมภกรรณผู้ดูแลต้นน้ำทั้งหลาย แผ่เมตตาสว่างไปทั่วอนันตจักรวาล แผ่เมตตาต่อไปยัง ดวงจิตของมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายที่มีรูปมีกายเนื้อ ทั่ว อนันตจักรวาลทุกดวงดาว ทุกมิติ แผ่เมตตาลงไปยังโอปปาติกะ สัมภเวสี ดวงจิตดวงวิญญาณเร่ร่อนอยู่ทั่วจักรวาลทั้งบนโลกมนุษย์และดวงดาวหรือในจักรวาลทั้งหลาย แผ่เมตตาสว่าง แผ่เมตตาต่อไปยังภพภูมิแห่งเปรต อสูรกายทั้งหลาย ทั่วทุกเขต ทั่วจักรวาล จากนั้นน้อมจิตแผ่เมตตาไปยังนรกภูมิทุกขุม ขอลุงพุฒ ท่านพญายมราช นายนิรยบาล ทั้งหลาย ขอเป็นประธานน้อมรับกระแสเมตตา กระแสจากพระนิพพานลงไปยังทุกดวงจิต รอรับเมื่อทุกท่านพ้นจากโทษ จากทุกข์ มีกระแสบุญมารอรับเป็นทุน หนุนขึ้นสู่ความเป็นสัมมาทิฏฐิ หนุนขึ้นเข้ามาสู่บุญกุศลความดี

จากนั้นเรากำหนดจิตต่อไป ขอน้อมกระแสจากพระนิพพานเป็นกระแสบุญศักดิ์สิทธิ์ เป็นลำแสงเป็นแสงสว่าง ลงมายังโลกมนุษย์ น้อมลงมาสู่วัดวาอารามทั้งหลายทั่วโลก สถานปฏิบัติธรรมทั้งหลายทั่วโลก ไม่จำเพาะแต่ใน ประเทศไทยอย่างเดียว ขอน้อมกระแสจากพระนิพพานลงมาสู่พระพุทธรูปทุกๆพระองค์ พระเครื่องทุกๆองค์ วัตถุมงคล ทั้งหลาย ผ้ายันต์ทั้งหลาย ตะกรุดทั้งหลาย น้อมกระแสกำลังแห่งพุทธานุภาพ ลงสู่พระบรมสารีริกธาตุ พระธาตุ พระอรหันตธาตุ พระบรมธาตุ ธรรมธาตุทุกองค์ ขอเกิดแสงสว่างเกิดความศักดิ์สิทธิ์ กำหนดจิตน้อมโดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระบรมสารีริกธาตุที่เราบูชา ขอให้กระแสจากพระนิพพาน กระแสแห่งการปฏิบัติ จงเป็นแสงสว่างปรับเปลี่ยน พระธาตุเสด็จ เกิดพระธาตุปาฏิหาริย์ เปลี่ยนวรรณะกลายเป็นแก้วใส สว่างขึ้นผ่องใสขึ้น เสร็จเพิ่มขึ้น องค์ใหญ่ขึ้น

ขอน้อมกระแสจากพระนิพพาน น้อมกระแสจากการปฏิบัติบูชาของข้าพเจ้าทั้งหลาย จงปรากฏปาฏิหาริย์พระธาตุ ด้วยเถิด น้อมจิตต่อไปขอกระแสบุญทั้งหลาย กระแสจากพระนิพพาน ขอจงน้อมลงมาสู่ดวงจิต กระแสธรรม กระแสโลกุตระ กระแสญาณกระแสฌาน กระแสสมาบัติ กระแสแห่งโลกุตรธรรม จงหลั่งไหลลงสู่ดวงจิตของพุทธบริษัท 4 ผู้ตั้งจิตตั้งใจปฏิบัติธรรม ขอจงเกิดความก้าวหน้า เกิดญาณ เกิดฌาน เกิดศีล เกิดภาวนา เกิดบารมี 30 ทัศ เกิด วิปัสสนาญาณ องค์วิปัสสนาญาณ เกิดสัมมาทิฏฐิ เกิดมรรคมีองค์ 8 เกิดดวงตาเห็นธรรม มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติ ขึ้นอย่างอัศจรรย์ เพื่อเข้าสู่ยุคชาววิไลด้วยเถิด

น้อมใจจนเห็นเป็นแสงสว่างพุ่งตรงลงมาจากพระนิพพาน ลงมาสู่ดวงจิต ของผู้คนทั้งหลาย พระสงฆ์ทั้งหลาย แม่ชีทั้งหลาย พระเณรทั้งหลาย อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลาย ผู้ที่อยู่ในวิสัยแห่งการ ปฏิบัติ ก็ขอเทวดาพรหมเมตตามาสะกิด มาเตือน มาดลจิตดลใจ ให้เข้าสู่ทางธรรมด้วยเถิด บุคคลที่ปฏิบัติธรรมแล้ว เจริญพระกรรมฐานแล้ว ก็ขอให้เทวดาพรหมยิ่งปรากฏยิ่งสงเคราะห์ยิ่งช่วยเหลือบุคคลทั้งหลายเหล่านั้น เต็มกำลังทุก ด้านทั้งทางโลกทางธรรมด้วยเถิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมู่คณะของข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอจงมีความคล่องตัวอัศจรรย์ พลิกชีวิตขึ้นอย่างอัศจรรย์  เปิดสายบุญ สายทรัพย์ สายสมบัติอัศจรรย์ จากการปฏิบัติธรรม รวยชาตินี้นิพพานชาตินี้ ตามพรของหลวงพ่อฤาษีพระราชพรหมยานด้วยเถิด

น้อมจิตสว่างผ่องใส เราน้อมกระแส เราน้อมนำการปฏิบัติลงมา สู่โลก ลงมาสู่ภพภูมิ เพื่อสงเคราะห์ส่วนรวม เราทำหน้าที่ในปฏิปทาสาธารณประโยชน์ ตามที่ครูบาอาจารย์สั่งสอน ไว้ดีแล้ว ใจเราเกิดปิติ ขอเทวดาพรหมทั้งหลายท่านโมทนาสาธุให้กึกก้องในจิต กึกก้องไปทั่วทั้ง 3 แดนหมื่นโลกธาตุ ด้วยเถิด เมื่อจิตเราผ่องใสจิตเราเป็นสุขแล้ว สมควรแก่เวลา ก็ให้เราน้อมจิตกราบลาทุกท่าน ทุกพระองค์ ใจสบายเบาพระท่านอยู่กับเราเสมอ พระท่านดูแลเราเสมอทุกครั้งที่เราทรงภาพพระ 3 ฐาน จิตเราเชื่อมกระแสกับพระพุทธเจ้าบน พระนิพพานเสมอ สามารถใช้กำลังมโนมยิทธิคล่องตัวทันทีทันใดทันใจได้เสมอ กายจิตเบาสบาย เมื่อกราบลาแล้วก็ กำหนดจิตกลับมาที่กายเนื้อ หายใจช้าๆลึกๆยาวๆ 3 ครั้ง พุทโธ ธัมโม สังโฆ ใจเอิบอิ่มผ่องใส ทั้งกายเนื้อกายทิพย์สว่าง กระแสรัศมีออร่า สว่างกระจ่าง กระแสพลังงาน ความเป็นทิพย์พรั่งพรายรายรอบทั่วกายเนื้อกายทิพย์เราจากนั้นโมทนา สาธุกับเพื่อนๆที่ปฏิบัติธรรมด้วยกันในวันนี้ทุกคน ทรงอารมณ์เจริญวิปัสสนาญาณ ละเอียดเข้าถึงจนดวงจิตหลายๆคน คลายตัวจากความโลภโกรธหลง ยกระดับจิตสูงขึ้น โมทนาสาธุกับหลายๆคน โมทนาสาธุกับทุกคน จากนั้นจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้นช้าๆ ด้วยจิตอันเป็นสุข ใจผ่องใสใบหน้าแย้มยิ้ม ราศีเปล่งปลั่ง กายจิตสว่าง สำหรับวันนี้ก็โมทนาสาธุกับ ทุกคนนะครับ ถือว่าเป็นการสอนในการประเดิมเข้าสู่ศักราชใหม่ในปีใหม่ไทย ในเทศกาลสงกรานต์ ก็ขอให้บุญทั้งหลาย จงส่งผลทันใจกับพวกเราทุกคน มีความคล่องตัว มีความเจริญก้าวหน้า  คุณแห่งพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ คุณพระรัตนตรัยส่งผล ดลบันดาลประทานพร ให้บุญส่งผลทันใจ สายบุญ สายทรัพย์ สายสมบัติ เปิดคล่องตัวอัศจรรย์ กันทุกคน สำหรับวันนี้ก็สวัสดี พบกันใหม่สัปดาห์หน้า ขอให้เราตั้งใจมาปฏิบัติกัน สำหรับวันนี้สวัสดีครับ

ถอดความและเรียบเรียงโดย : คุณวรรณภา

You cannot copy content of this page