green and brown plant on water

กำลังสูงสุดแห่งการเจริญพุทธานุสติกรรมฐาน

เวลาอ่าน : 3 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน” 

วันอาทิตย์ที่ 12 มิถุนายน 2565

เรื่อง กำลังสูงสุดแห่งการเจริญพุทธานุสติกรรมฐาน

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

จดจ่ออยู่กับลมหายใจเบาๆสบายๆ จินตนาการว่าลมหายใจเราเหมือนกับแพรวไหมพลิ้วผ่านเข้าออก ลมปราณที่ผ่านเข้าออกในร่างกายสัมพันธ์กับอารมณ์ใจของเรา ยิ่งลมหายใจละเอียดเบา อารมณ์จิตยิ่งมีความสงบสุข เบาสบาย สติกำหนดรู้เท่าทันความเชื่อมโยงของลมหายใจและอารมณ์ของจิต ลมหายใจสบาย อารมณ์จิตสงบสุข เบาสบาย จดจ่ออยู่กับลมหายใจที่เบาสบายนั้น ลมหายใจผ่านเข้าออก จินตนาการให้เห็นเหมือนกับแพรวไหมระยิบระยับ พลิ้วผ่านเข้าออกในกายของเรา ลมหายใจละเอียด อารมณ์จิตสุขและสงบระงับ จดจ่ออยู่กับความสุขสงบของใจนี้

เมื่อจิตละเอียดเบาสบาย อารมณ์ใจของเราผ่องใส จิตเราสงบเป็นสมาธิจากอานาปานสติกรรมฐาน คือการจับกำหนดรู้ในลมหายใจ การกำหนดรู้ในลมคือรู้กายคตามหาสติปัฏฐาน สภาวะอาการที่เกิดขึ้นกับกาย เวทนามหาสติปัฏฐาน เวทนาคืออารมณ์ เมื่อเรารู้อารมณ์ของความสบาย อารมณ์ความสงบ นั่นคือสติเราเข้าถึงเวทนามหาสติปัฏฐาน เมื่ออารมณ์เราสงบ อารมณ์เราสบาย เรากำหนดรู้ในจิต สติกำหนดรู้ในจิตว่าเข้าสู่ความสงบในระดับฌานก็รู้ว่าจิตสงบ จิตมีความตั้งมั่นเป็นเอกัคคตารมณ์ก็รู้ว่าจิตตั้งมั่นเป็นเอกัคคตารมณ์ จิตสงบระงับจากการปรุงแต่ง หยุดการปรุงแต่ง หยุดความสนใจกับสิ่งที่กระทบผ่านจากภายนอกมาทางอายตนะทั้ง 5 ก็กำหนดรู้ว่าจิตของเราสงบ ปราศจากการปรุงแต่งทั้งหลาย นั่นก็คือจิตเข้าถึงจิตตานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน

เมื่อกำหนดรู้ในจิต ในสภาวะของการทรงฌานในอานาปานสติแล้ว เราก็ยกระดับกำลังของสมถะให้สูงขึ้น จากจิตที่นิ่ง หยุด สงบ  กำหนดให้เห็นจิตเป็นกสิณคือดวงแก้วใส ยิ่งสว่างขึ้น ใสขึ้น จิตยิ่งยิ้ม ยิ่งเปี่ยมสุข ยิ่งผ่องใส จิต เป็นสุขผ่องใส อารมณ์ที่เกิดขึ้น ความสุข ความผ่องใสเบิกบานที่เกิดขึ้นกับจิต สัมพันธ์เชื่อมโยงสอดประสานกันกับภาพนิมิตและแสงสว่างรัศมีของจิต  ยิ่งจิตเป็นสุขมากเท่าไหร่ จิตสว่างมากเท่าไหร่ ใจเรายิ่งยิ้ม ใจเรายิ่งเบิกบาน เข้าถึงสภาวะความเป็นพุทธะแห่งจิต คือพุทธะ จิตเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน กำหนดภาพนิมิต นึกภาพเห็นจิตเรายิ่งสว่างเป็นแก้วใสอยู่กลางหน้าอกของจิตครอบคลุมคุ้มครองทั่วร่างกายของเราทั้งหมด เป็นแสงสว่าง เป็นความสุข เป็นความผ่องใส แผ่แสงสว่าง รัศมีแห่งจิต รัศมีแห่งความผ่องใสเบิกบาน ผ่านอนุภาคเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายของเรา จิตที่ผ่องใสเบิกบานฟอกล้างธาตุขันธ์ทั่วร่างกายของเราให้มีความสว่าง รัศมีกายของกายทิพย์ยิ่งเพิ่มพูนขึ้น รัศมีแสงสว่างของจิตยิ่งเพิ่มพูนขึ้น

การที่เราทรงจิตในกำลังของกสิณ เห็นจิตมีแสงสว่าง มีความสุข มีรัศมี ยิ่งสว่างมากเท่าไหร่ยิ่งสุขมากเท่านั้น กำลังของจิตยิ่งเพาะบ่มเป็นตบะเดชะ เกิดตบะบารมีแห่งการทรงฌาน กำหนดจิตให้จิตเกิดกำลังแห่งความสุขความผ่องใส เห็นแสงสว่างครอบคลุมรายรอบสว่างเต็มห้องไปหมด รัศมีแสงสว่างจากจิต ดวงแก้วที่สว่างเจิดจ้าอยู่กลางหน้าอก จิตจากเป็นดวงแก้วใสทรงกลมสว่าง ปรากฏสภาวะจากภาพที่เป็นแก้วใสสว่างอันเป็นอุคคหนิมิต ยกระดับขึ้นไปให้ภาพจากดวงแก้วที่เป็นแก้วใสสว่างนั้นเปลี่ยนเป็นเพชรใสสว่างเปล่งรัศมีเป็นประกายพรึกคือแผ่รัศมีสีรุ้งออกมา  เป็นเส้นรุ้งออกมารายรอบจากจิตของเรา

นั่นก็คือจิตเข้าถึงปฏิภาคนิมิต จิตที่ทรงอารมณ์ การที่เราทรงสภาวะทรงภาพจิตเป็นเพชรประกายพรึกเมื่อไหร่นั่นก็คือฌาน4 ของกสิณซึ่งมีศัพท์ในการปฏิบัติที่เรียกว่าปฏิภาคนิมิต กำหนดให้เห็นดวงจิตของเราส่องสว่างเป็นปฏิภาคนิมิต สว่างเจิดจ้าเต็มกำลัง ทรงอารมณ์ ทรงแสงสว่าง ความเชื่อมโยง แสงสว่างยิ่งสว่าง ความเป็นเพชรประกายพรึกของดวงจิตยิ่งแพรวพราวพรั่งพรายระยิบระยับสวยงามมากเท่าไหร่ ใจเรายิ่งเป็นสุข ใจเรายิ่งเบิกบาน ใจเรายิ่งมีพลังขึ้น เอิบอิ่มขึ้น เบิกบานยิ่งขึ้น ผ่องใสยิ่งขึ้น จิตเป็นสุขยิ่งขึ้น กำหนดทรงอารมณ์ไว้ ใจเอิบอิ่มเบิกบาน ตั้งใจว่านับแต่นี้การทรงภาพนิมิตจิต การทรงสมาธิจิตของข้าพเจ้าทุกคน ทุกครั้งที่ข้าพเจ้ากำหนดจิตให้เห็นจิตเป็นปฏิภาคนิมิต ข้าพเจ้าขอจงทรงอารมณ์เข้าสู่อารมณ์ความเป็นประกายพรึกเต็มกำลังได้รวดเร็วฉับพลันเพียงแค่ลัดนิ้วมือเดียว สว่าง ผ่องใส ความรู้สึกเปี่ยมพลัง เปี่ยมความเบิกบาน แสงสว่างเจิดจ้าเต็มกำลัง จิตยิ่งสบายยิ่งผ่องใส ในความผ่องใส ในความเป็นปฏิภาคนิมิต ให้เราย้อนพิจารณาภายในจิตของเรา เมื่อเราทรงอารมณ์ไว้เช่นนี้ อารมณ์จิตที่คิดไปในเชิงของอกุศลกรรม อารมณ์ที่คิดไปในอารมณ์ที่เศร้าหมอง อารมณ์ที่คิดปรุงไปในเรื่องของความโลภโกรธหลงไม่มีในจิตของเรา จิตของเรามีเพียงความผ่องใส ความสว่าง ความสะอาด ความสงบ จิตเข้าถึงความเป็นพุทธะคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน จิตเข้าถึงสภาวะจิตเดิมแท้อันเป็นประภัสสร 

กำหนดรู้ว่าสภาวะจิตที่เราต้องการ สภาวะจิตที่แท้จริงของเราคือจิตอันเป็นเพชรประกายพรึกปฏิภาคนิมิตนี้ กำหนดรู้ว่าสิ่งนี้อยู่กับเรามาตลอด แต่ครั้นกิเลสทั้งหลาย ความเศร้าหมองทั้งหลาย สิ่งที่มากระทบทั้งหลาย สิ่งที่เราคิดฟุ้งปรุงแต่งเป็นมลทินเครื่องเศร้าหมองมาห่อหุ้ม มาพอกให้จิตของเราจากเดิมที่เป็นประภัสสรเป็นประกายพรึก ก็กลายเป็นจิตที่ทึม ซึมมัวเศร้าหมองไป ดังนั้นความผ่องใส ฌานสมาบัติ จิตอันเปี่ยมไปด้วยญาณเครื่องรู้ทั้งหลายอันที่จริงคงอยู่กับเราเสมอมาตลอด ประดุจดังพระจันทร์วันเพ็ญที่ส่องสว่างเต็มอยู่ตลอดเวลา มีเพียงแค่เมฆหมอกเคลื่อนคล้อยมาบดบังแสงสว่างแห่งดวงจันทร์แต่ความจริงนั้นดวงจันทร์ก็ยังเปล่งประกายความสว่างอยู่เป็นปกติเสมอ ให้เรารู้ตื่นจากภายในว่าจิตเดิมแท้อันเป็นประภัสสร จิตอันเป็นประกายพรึกนี้ เราได้ตื่นขึ้นรู้ตื่นขึ้น นับแต่นี้เราจะทรงอารมณ์ความผ่องใส ความสว่าง ความรู้สึกที่เป็นสุขอย่างยิ่ง เปี่ยมพลังอย่างยิ่งได้อย่างฉับพลันทันใด ได้ในทุกครั้งที่เราต้องการ และก็มีความผ่องใสเบิกบานได้อย่างเต็มกำลัง 

ตอนนี้ให้เรากำหนดจิตความผ่องใสสว่างเป็นเพชรประกายพรึกสว่างแพรวพราว จิตเป็นสุขอย่างยิ่ง เพาะบ่มกำลังจิต เพาะบ่มตบะอยู่กับความสงบผ่องใส รู้สภาวะความเป็นจริงในร่างกาย รู้เท่าทันสภาวะความเป็นจริงของดวงจิต เรารู้ตื่นสู่ศักยภาพที่แท้จริงของจิต กายเป็น เพียงเหมือนกับบ้านเช่าที่จิตมาอาศัยอยู่ เราคือจิตที่มาอาศัยร่างกายนี้ เราคืออาทิสมานกายที่มาสวมใช้ร่างกายที่เป็นกายเนื้อขันธ์ 5 นี้ เราพิจารณาจนรู้ตื่นสู่ความเป็นจริงของกายสังขาร รู้ตื่นสู่สภาวะความเป็นจริงของจิต จิตดวงเดียวนี้ท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏ ช่วงเวลาในการเป็นมนุษย์นั้นสั้นหนักหนา การเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏนั้นยาวนานหาที่สุดไม่ได้จนกว่าที่เราจะรู้ตื่นรู้เท่าทันออกจากสังสารวัฏนี้ กำหนดรู้จนจิตปรารถนาที่จะออกจากสังสารวัฏ ปรารถนาเห็นคุณแห่งพระนิพพาน จากนั้นเราจึงกำหนดน้อมรำลึกนึกถึงพุทธบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กำหนดภาพพุทธนิมิต อันการกำหนดภาพพุทธนิมิตหรือพุทธานุสติกรรมฐาน กำลังใจที่เป็นกำลังใจใหญ่สูงสุดเต็มกำลังก็คือเมื่อไหร่ที่เกิดภาพพุทธนิมิตขึ้นมาในจิตของเรา จิตเรากำหนดถึงพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานเสมอ เมื่อไหร่ก็ตามเราไปไหว้พระพุทธรูป วัดวาอารามใด สถานปฏิบัติธรรมใด หรือแม้แต่พระพุทธรูปที่ปรากฏไหว้สักการะกราบไหว้ในบ้านเรือนเคหะสถานของเราเอง เรากำหนดถึงพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานเสมอ

ความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูปที่ปรากฏขึ้นนั้น ปรากฏขึ้น 2 ลักษณะ ลักษณะแรกคือพระพุทธรูปองค์ใดที่มีเทวดาหรือพรหมที่ท่านมีบารมีสูง มีความศักดิ์สิทธิ์สูง มีกำลังบุญฤทธิ์สูงมาคุ้มครองดูแล พระพุทธรูปองค์นั้นก็จะมีความศักดิ์สิทธิ์เป็นพิเศษ และอีกประการหนึ่งก็คือพระพุทธรูปทุกองค์หากบุคคลที่สักการะกราบไหว้ สักการะกราบไหว้ด้วยกำลังใจสูง เช่นสักการะด้วยการปฏิบัติบูชา สักการะด้วยความรู้สึกอารมณ์ใจว่าเรารำลึกเชื่อมต่อเชื่อมโยงถึงองค์พุทธะ ถึงพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานเสมอ ความรู้สึกว่าพระพุทธรูปเป็นเพียงพระอิฐพระปูนไม่มีในความรู้สึกของเรา จิตน้อมกราบน้อมไหว้ถึงพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานตลอด ความศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธรูปต่อบุคคลนั้นก็ย่อมมีสูงกว่าบุคคลที่คิดเพียงแต่ว่าพระพุทธรูปนั้นสวยไม่สวย มีมูลค่าเท่าไหร่มีราคาเท่าไหร่ เป็นเพียงพระอิฐพระปูน บุคคลนั้นก็ไม่อาจเข้าถึงความศักดิ์สิทธิ์หรือกำลังแห่งพุทธานุภาพนั้นไปได้ เราคิดพิจารณาน้อมจิตจนกระทั่งเข้าถึงกำลังสูงสุดแห่งการเจริญพุทธานุสติกรรมฐาน น้อมจิตให้เกิดความสว่างผ่องใส พุ่งอาทิสมานกาย ทำความรู้สึกว่ากายทิพย์กายพระวิสุทธิเทพกายทิพย์ของเราขึ้นไปปรากฏอยู่เบื้องหน้าพระพุทธองค์สมเด็จองค์ปฐมพร้อมทั้งพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน เมื่อขึ้นไปแล้วก็กำหนดให้อาทิสมานกายของเราค่อยๆบรรจงน้อมกราบพระพุทธเจ้าด้วยความเคารพ  ด้วยความนอบน้อมอย่างยิ่ง กายจิตอาทิสมานกายข้างบนเราสว่าง  ความรู้สึกจดจ่ออยู่กับสภาวะบนพระนิพพานเท่านั้น 

สำหรับท่านที่เพิ่งขึ้นมาใหม่ก็พยายามทำความรู้สึกในความรู้สึกของความเป็นกายทิพย์ กำหนดรู้ว่าลักษณะเครื่องประดับต่างๆ สภาวะกายทิพย์เวลาที่เราอยู่บนพระนิพพานมีสภาวะเป็นเช่นไรบ้างอันนี้คือประการที่ 1 ประการที่ 2 คือพิจารณาดูอารมณ์จิตของเราในขณะที่อยู่บนพระนิพพาน พิจารณาดูจิตของตนว่าจิตของเรามีความเคารพตั้งมั่นอยู่กับพระพุทธเจ้าหรือไม่ ถ้าให้กอดแทบพระบาทของพระพุทธองค์อยู่บนพระนิพพานไว้ ใจรู้สึกว่าเราเกาะพระพุทธองค์เกาะพระนิพพานไหม ข้อต่อมาคือทำความรู้สึกว่าจิตเราเกิดวิจิกิจฉาหรือไม่ คือความรู้สึกว่า มันจริงไม่จริง ได้ไม่ได้ ชัดไม่ชัด ไม่มีในความรู้สึกของเรา จิตมีแต่เพียงความรู้สึกที่เกาะอยู่กับพระพุทธองค์ อารมณ์จิตเกาะ อารมณ์จิตแนบอยู่กับพระนิพพาน จากนั้นพิจารณาต่อไปอีกว่าอารมณ์จิตของเราเมื่อยกขึ้นมาบนพระนิพพานแล้ว อยู่กับพระพุทธเจ้าแล้ว ความรู้สึกที่ห่วงใยกับร่างกายที่เป็นกายเนื้อยังมีอีกหรือไม่ ความรู้สึกที่ปรารถนาที่พึงพอใจในภพอื่น แม้แต่ภพที่เป็นสุคติคือภพของการเป็นเทวดา ภพของการเป็นพรหม หรือแม้แต่การที่เราจะไปจุติไปเกิดเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี หรือเป็นพญามหากษัตริย์ ความรู้สึกของเรายังมีความอาลัย มีความยินดีกับภพอื่นภูมิอื่นในสังสารวัฏอีกหรือไม่

กำหนดพิจารณาจนกระทั่งอารมณ์จิตของเราเด็ดเดี่ยวมั่นคงอยู่กับพระนิพพานเป็นที่สุด อารมณ์จิตอารมณ์ใจของเราผ่องใสเป็นที่สุด สว่างที่สุด ทรงอารมณ์ของพระนิพพาน อารมณ์พระนิพพานในภาษากรรมฐานท่านเรียกว่าอุปมานุสติกรรมฐาน คืออารมณ์จิตที่พึงพอใจ อารมณ์จิตที่แนบ อารมณ์จิตที่สรรเสริญในคุณแห่งพระนิพพาน จิตมีความยินดีกับความดับไม่เหลือเชื้อ เชื้อที่ว่านี่คือเชื้อในความปรารถนาแห่งการเกิด เชื้อแห่งความปรารถนาในการจุติในภพต่างๆภูมิต่างๆในสังสารวัฏ แค่มีความห่วงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ใจประวัติห่วงคนนั้นห่วงคนนี้ อารมณ์ที่ห่วงนั้นก็ก่อให้เกิดสายโยงใยที่ลากดึงจิตของเราให้ไปเกิดไปเกาะอยู่กับบุคคลบุคคลนั้น 

วันนี้เราจะพิจารณาให้เห็นสายใยความห่วงใยความอาลัยทั้งหลาย เชื่อมโยงผูกจิตผูกไว้กับภพ ผูกไว้กับบุคคล ผูกไว้กับจิตดวงอื่น หรือแม้แต่ความรู้สึกที่ว่าเรามีความเกลียดชังมีความรังเกียจบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่อารมณ์ที่มันละเอียด จิตที่มันไว จิตที่มันละเอียด ความรู้สึกรังเกียจ ความรู้สึกขัดเคืองใจ เรารู้สึกขัดเคืองใจเมื่อไหร่ สังเกตดูว่าเรานึกถึงคนนั้นเขาซะแล้ว เมื่อเรานึกถึงเขาซะแล้วสายโยงใยมันก็ไปผูกกับเขา เพียงแต่สิ่งที่มันโยงใยให้มาเจอมาพบกันอีกมันเป็นสายโยงใยของอกุศล สายโยงใยของความรู้สึกที่ชังกันที่กระทบกัน พอดึงให้มาเกิดมาพบมาเจออีก ก็กลายเป็นว่าการมาพบมาเจอนั้น มาสร้างวิบากกรรมต่อกัน มาสร้างเวรสร้างกรรมกันต่อกัน ตราบจนกระทั่งอโหสิกรรมเลิกแล้วต่อกันก็ดี หรือการที่เราตัดชาติภพจบกิจ ไม่พบไม่เจอไม่ห่วงไม่อาลัย ตัดความพยาบาท ตัดความอาฆาต ตัดความเป็นเจ้ากรรมนายเวร ปรารถนาที่จะเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน สายโยงใยเหล่านี้ก็ขาดสะบั้นลง

ดังนั้นการที่เราจะตัดเข้าพระนิพพาน ในที่สุดเราก็ต้องตัดแม้สายโยงใยความผูกโยงความอาลัย ทั้งความอาลัยรักและอารมณ์ความรู้สึกในความพยาบาท ไม่ว่าจะเป็นความรัก ไม่ว่าจะเป็นความเกลียด ล้วนแล้วแต่ก่อชาติก่อภพ แค่คำอธิษฐานปรารถนาขอพบเจอกันทุกชาติทุกภพตลอดไป ในวิสัยของทางโลกมันก็ฟังดูสวยงามโรแมนติก ยังเกิดกันอีกสิบชาติร้อยชาติหมื่นชาติแสนชาติวัฏสงสารก็ยาวนานไม่มีที่สิ้นสุด ไม่ว่าบุคคลที่เรารักเราปรารถนาขอพบขอเจอกันทุกชาติจะเป็นคนรักก็ดี จะเป็นพ่อแม่ก็ดี ขอพบเจอกันทุกชาติมันก็เป็นการผูกจิตสายโยงใยของจิตก็ลากโยงกันไป ชาตินี้เกิดกับคนนี้เจอกับคนนี้ก็เที่ยวอธิษฐานกับเขา ชาตินี้เจอกับคนนั้นก็เที่ยวอธิษฐานกับเขา ท้ายที่สุดให้เราพิจารณาในสภาวะของบนพระนิพพานว่าแต่ละภพแต่ละชาตินั้น ไอ้สายโยงใยผูกโยงของจิตที่ทำให้มาพบมาเจอกับบุคคลนั้นบุคคลนี้มันยุ่งเหยิงอีลุงตุงนังแค่ไหน มันก่อภพต่อชาติต่อเวรต่อวิบากต่อบุญสืบเนื่องยาวนานแค่ไหน กำหนดจิตดูของเราเองนะแต่ละบุคคล ดูเพื่อให้เกิดธรรมสังเวช ความสลดรู้เท่าเห็นทันในสภาวะความเป็นจริงของจิตของการกำหนดจิต สะสางสายโยงใยแห่งกรรม เริ่มตัดในสิ่งที่ง่ายที่สุด

ตั้งจิตอธิษฐานกายทิพย์อาทิสมานกายกายพระวิสุทธิเทพของเราอยู่บนพระนิพพาน อยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐม ตั้งจิตอธิษฐานว่าข้าพเจ้าขอตัดขอดับขอล้างความพยาบาทอาฆาตจองเวรผูกเวรก่อกรรม กรรมที่จองเวรไปเป็นเจ้ากรรมนายเวรของบุคคลใดบุคคลหนึ่งทั้งหลาย เป็นหมื่นเป็นร้อยเป็นพันเป็นแสนในอดีตชาติจนถึงปัจจุบัน ข้าพเจ้าขอตัด ขอถอน ขอล้าง ขอสลายสายโยงใยแห่งกรรมวิบากทั้งปวงนี้ออกไปจากจิตข้าพเจ้า ขอชาติภพข้าพเจ้าจงสั้น เข้าใกล้พระนิพพานได้โดยง่ายโดยพลัด กำหนดจิตเห็นดวงจิตบุคคลที่เราเคยอาฆาตพยาบาทจองเวรลอยสลายห่างไกลออกไปจากจิตเรา ให้จิตเราเบาๆขึ้น สว่างขึ้น ผ่องใสขึ้น อโหสิกรรมจงทำให้เกิดโมฆะกรรม กรรมทั้งหลายจงเป็นโมฆะ เราไม่ขอเอาความ ไม่ขอต่อภพต่อชาติ ไม่ขอผูกเวรต่อกรรม ขอกรรมทั้งหลายจงสลายไปด้วยอโหสิกรรม 

การตัดกรรมมีเพียง 2 ประการคือ การอโหสิกรรมโดยจิตของเรา จิตเราเป็นผู้ตัด จิตเราเป็นผู้วาง จิตเราเป็นผู้ละ จิตเราเป็นผู้ให้อภัยดับพยาบาทได้ กำลังกิเลสในสายของโทสะความโกรธมันก็บรรเทาเบาบางอ่อนแรงลงไป อโหสิกรรมวางที่เราเบาที่สุด กำหนดรู้ในจิต กำหนดเบาในจิต อาทิสมานกายเรายิ่งสว่าง กายพระวิสุทธิเทพเรายิ่งเบาขึ้น ตัดพยาบาท ตัดโทสะความเป็นเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จิตยิ่งสว่างยิ่งประณีต อภัยทานนั้นเป็นทานอันกระทำได้ยาก อภัยทานนั้นเป็นทานอันมีอานิสงส์สูง อภัยทานนั้นมีกำลังในการตัดกรรม  อโหสิกรรมจนจิตเราเบาผ่องใส อาทิสมานกายยิ่งสว่าง จิตของเรายิ่งเป็นสุข 

จากนั้นกำหนดจิตต่อไป คำอธิษฐานที่ไปผูกภพผูกชาติให้ชาติภพเนิ่นนานต่อไปสืบไป ไม่ว่าคำอธิษฐานนั้นจะเป็นต่อบุคคลที่เรารักปิยชนทั้งหลาย แต่หากความอาลัยรักนั้นก่อภพก่อชาติก่อชาติภพ ทำให้มรรคผลการบรรลุซึ่งพระนิพพานเนิ่นช้าไป ข้าพเจ้าก็ขอตั้งจิตถอนคำอธิษฐานทั้งปวง ความผูกโยงความสัมพันธ์การติดตามทั้งหลายที่ทำให้ชาติภพห่างไกลจากพระนิพพาน ขอให้คำอธิษฐานทั้งปวงจงถอนจงถอดออกไปจากดวงจิตข้าพเจ้า

จิตข้าพเจ้ามีความตั้งมั่นจุดเดียว คือขอเกาะอยู่กับพระพุทธเจ้าอยู่กับพระนิพพาน ตายเมื่อไหร่เข้าถึงซึ่งพระนิพพานชาตินี้ เข้าถึงอรหันตผลในขณะจิตสุดท้ายก่อนตาย ความอาลัยความสนใจในบุคคลอันเป็นที่รักพ่อแม่พี่น้องสามีภรรยาลูก ขอถอดถอนจากความอาลัยทั้งปวง ตราบที่ยังมีชีวิตก็กระทำบำเพ็ญไปตามหน้าที่ตามสมมุติตามสิ่งที่วิญญูชนกตัญญูชนพึงกระทำ หน้าที่ที่พึงกระทำต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์พึงกระทำเต็มกำลังเต็มอัตรา ตายเมื่อไหร่ จบกิจทั้งหลาย จบห่วงทั้งหลาย จบหน้าที่ทั้งหลาย จบภาระทั้งหลาย จบ ไม่มีความห่วง ไม่มีความอาลัยทั้งปวง ตายเมื่อไหร่ไปพระนิพพาน ระหว่างที่มีชีวิตทำหน้าที่ ทำประโยชน์ ทำปฏิปทาสาธารณประโยชน์เต็มกำลัง

กำหนดพิจารณา วางรากฐาน วางกำลังใจ วางจิตให้ตรงให้มั่นคงให้เด็ดเดี่ยว ถึงวาระจิตสุดท้ายก่อนตาย ถึงวาระดับขันธ์สิ้นอายุขัย อารมณ์ห่วง อารมณ์อาลัย อารมณ์เกาะ อารมณ์ยึด อารมณ์ที่รู้สึกว่ามีภาระ มีความตกค้าง มีความผูกพัน มีความติดพันอยู่กับสิ่งที่ต้องทำ สิ่งที่เป็นหน้าที่เราวางให้ได้ วางให้หมด วางให้ลงปลงให้ดับ กำหนดว่านับแต่นี้จิตเรามั่นคงเด็ดเดี่ยวยิ่งขึ้นในพระนิพพาน ความห่วงความเสน่หาความอาลัยทั้งหลาย ขอจงจืดจางค่อยๆหายค่อยๆเบา สายโยงใยแห่งความผูกพันเยื่อใยที่ผูกภพผูกชาติขอจงจางจงจืดจงหายไป จงถอดถอนไปจากจิตของข้าพเจ้า

อารมณ์จิตกำหนดในความเป็นอาทิสมานกาย จิตเราเบาขึ้นไหมสว่างขึ้นไหม จิตรู้เท่าทันสภาวะอารมณ์ที่ไปผูกโยง อารมณ์ที่ไปผูกพัน อารมณ์ที่ไปผูกก่อภพก่อชาติไหม พิจารณาจนจิตรู้ตื่นรู้แจ้ง ปุถุชนทั่วไปด้วยอวิชชาความไม่รู้จึงทำให้เกิดความหลงผูกภพผูกชาติ ผูกความยุ่งเหยิง ผูกเวรก่อกรรม สายโยงใยที่ก่อภพก่อชาติ ก่อเวรก่อกรรมมันก็มีมากมายมหาศาล ยิ่งเกิดยิ่งผูกเวรเพิ่ม ยิ่งก่อการกระทบเพิ่ม ยิ่งผูกพันเพิ่มภพชาติก็ยิ่งเหนียวหนึบผูกมัดยึดหนึบหนับไว้กับสังสารวัฏ

จิตเราตอนนี้เบาคลายจากสายโยงใยที่เหนียวหนึบหนับผูกพันเกาะเกี่ยวเราไว้ในสังสารวัฏ พิจารณาจนเห็น จนสามารถปลด สามารถวางความรู้สึกสายโยงใยทั้งหลายออกไปจากจิตของเราเองให้ได้ ใจสบายผ่องใส กำหนดในความเป็นอาทิสมานกายสว่าง กายพระวิสุทธิเทพอยู่บนพระนิพพานกับพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ กำหนดจิตอธิษฐาน “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ใจสบายผ่องใส อยู่กับพระพุทธเจ้า อยู่กับสมเด็จองค์ปฐม อยู่กับหลวงพ่อ อารมณ์จิตเราเป็นสุข ความเหน็ดเหนื่อย ภาระความทุกข์ วิบากกรรม ไม่อาจกระทำต่อจิตเราได้อีกต่อไป

บริกรรมภาวนาบนพระนิพพาน “นิพพานัง ปรมัง สุขัง” พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

ทรงอารมณ์ความสว่างความเบิกบานสูงสุดอยู่บนพระนิพพาน ยิ่งสว่างขึ้น ใสขึ้น เป็นสุขขึ้น ความชัดเจนในมโนมยิทธิยิ่งสูงขึ้น ยิ่งผ่องใสยิ่งขึ้นจนกระทั่งอาทิสมานกายปรากฏสภาวะเต็มกำลัง ยิ่งใสยิ่งสว่างยิ่งเป็นสุข อารมณ์จิตยิ่งสะอาดยิ่งปล่อยวางความเกาะความยึดบนโลก กำลังของมโนมยิทธิกลายเป็นมโนมยิทธิเต็มกำลัง สว่าง จิตปรากฏสภาวะอยู่บนพระนิพพานชัดเจนอย่างยิ่ง วิมานของแต่ละบุคคลบนพระนิพพานปรากฏชัด กำหนดจิตอธิษฐานขอบารมีพระพุทธเจ้าให้เกิดสภาวะยกอาทิสมานกายข้าพเจ้าเข้าไปภายในวิมานของข้าพเจ้าแต่ละบุคคลบนพระนิพพาน ให้ทรงอารมณ์ประดุจดั่งข้าพเจ้าตายจากร่างกายตายจากความเป็นมนุษย์และเข้าถึงซึ่งพระนิพพานแล้ว ขอให้รู้สึกสัมผัสรับรู้ได้ว่าอารมณ์จิตสภาวะสภาพของวิมานเป็นเช่นไรหากข้าพเจ้าเข้าถึงซึ่งอรหันตผลอยู่บนพระนิพพานเรียบร้อย

ขอสภาวะนี้อันเป็นอนาคตังสญาณ จงเป็น จงเป็นปัจจุบันประดุจภาพแห่งอนาคตังสญาณทับซ้อนมิติเชื่อมโยงเป็นจุดเดียวกัน ธรรมเป็นอกาลิโกคือไม่จำกัดกาลฉันใด ขอบารมีพระพุทธองค์เชื่อมโยงทับซ้อนกาลเวลามิติแห่งกาลให้เป็นหนึ่งเดียวประดุจอารมณ์จิตข้าพเจ้าเข้าถึงอรหันตผล ทรงอารมณ์เสวยวิมุต เสวยนิโรธกรรมฐานอยู่บนพระนิพพานด้วยเถิด อาทิสมานกายของเราชัดเจน นั่งห้อยขาอยู่บนแท่นในวิมาน รัศมีกายสว่าง ความสงบนิ่งเปี่ยมสุข แสงสว่างรัศมีของวิมานปรากฏชัดเจน จิตเป็นสุขอย่างยิ่ง ทรงอารมณ์ประคับประคองอารมณ์เสวยวิมุต เป็นการบำเพ็ญตบะและทำให้จิตเกิดความแนบ เกิดธรรมฉันทะอยู่กับพระนิพพาน

ทรงอารมณ์ไว้ ทรงความผ่องใส ทรงความรู้สึกถึงความเป็นอาทิสมานกายบนพระนิพพานเต็มกำลัง ทรงอารมณ์ความผ่องใส จิตที่กำหนดรู้ว่าอารมณ์ของเราปราศจากความอาลัยในภพภูมิทั้งปวง สังโยชน์สิบ เครื่องร้อยรัดจิตอยู่กับสังสารวัฏขาดสะบั้นออกไปจากจิตของเรา ความห่วงความอาลัยในบุคคลทั้งหลายไม่มีในจิตของเรา มีเพียงความเมตตาต่อมวลสรรพสัตว์เสมอกัน จิตละสมมุติทั้งปวง พ้นจากโลกธรรม พ้นจากสมมุติ พ้นจากความขึ้นลงกวัดแกว่งของอารมณ์ จิตมีความสงบอย่างยิ่ง พิจารณาลงมายังโลกมนุษย์ เห็นคนชั่วคนเลวคนบาป จิตก็เห็น เห็นว่าเป็นกรรมเป็นวาระเป็นอวิชชาเป็นความเขลาเป็นความไม่รู้ของบุคคลนั้น เห็นด้วยใจที่นิ่งสงบ เห็นด้วยจิตแห่งอรหันตผล เห็นการเสื่อม การดับ การแตกสลาย เห็นในกฎไตรลักษณ์ มองเห็นเป็นธรรมดาของโลก น้อมจิตของเราพิจารณาผ่านอารมณ์แห่งอรหันตผล อารมณ์จิตผ่องใสสว่าง

น้อมบารมีพระพุทธองค์ทรงโปรดทรงคุ้มครอง และถึงแม้ว่าเมื่อข้าพเจ้าออกจากกรรมฐาน ก็ขอให้ญาณบารมี ญาณที่ฉายปัญญาญาณประดุจดั่งญาณทัศนะที่เห็นโลก เห็นกฏไตรลักษณ์ในทัศนะของพุทธะในญาณทัศนะของพระองค์ท่าน ใจสงบนิ่งอย่างยิ่ง เมตตาอย่างยิ่ง อุเบกขาอย่างยิ่ง ความวุ่นวายความดิ้นรนในจิตไม่มี มีแต่ความสงบเรียบ รู้เท่าทันทุกสภาวะ กำหนดความผ่องใสของอาทิสมานกาย จากนั้นให้เราน้อมอาราธนากระแสกำลังพุทธคุณ กระแสบุญศักดิ์สิทธิ์จากพระนิพพาน คือบารมีของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอรหันต์ทุกพระองค์บนพระนิพพาน บารมีทั้งหลายบุญทั้งหลายกุศลทั้งหลายของทุกท่าน ขออาราธนารวมตัวกันเป็นบุญศักดิ์สิทธิ์แห่งพระนิพพาน เชื่อมโยงเป็นกำลังบุญมากมายมหาศาล น้อมแผ่เมตตาลงมายังโลก ลงมายังสังสารวัฏ ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายจงประสบสุขพ้นจากความทุกข์ พ้นภัยจากวัฏสงสาร เข้าถึงซึ่งพระนิพพานอันเป็นเอกบรมสุขกันโดยง่ายโดยพลันด้วยเถิด บุคคลใดที่เป็นสุขอยู่แล้วก็ขอให้เป็นสุขยิ่งๆขึ้นไป บุคคลใดที่เป็นทุกข์ก็ขอให้พ้นจากความทุกข์และประสบซึ่งความสุข บุคคลใดประสบเวรภัยก็ขอให้พ้นจากเวรภัย ขอบุญจงส่งผลทันใจกันทุกรูปทุกนาม น้อมกระแสบุญจากพระนิพพาน น้อมกระแสเมตตาจากจิตของเราเป็นตัวผ่านเชื่อมโยง 

แผ่ลงไปยังภพของอรูปพรหมทั้ง 4 ภพ 

แผ่ลงไปยังภพของพรหมโลกทั้ง 16 

แผ่เมตตาน้อมกระแสบุญลงไปยังสวรรค์ทั้ง 6

แผ่เมตตาน้อมกระแสลงไปยังรุกขเทวดาทั่วจักรวาล ทั่วอนันตจักรวาล

น้อมกระแสแผ่เมตตาลงไปยังภุมมเทวดา พระภูมิเจ้าที่ เจ้าที่เจ้าทาง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วอนันตจักรวาล

จากนั้นแผ่เมตตาลงไปให้กับมนุษย์และสัตว์ผู้มีกาย มีขันธ์ 5 ทุกรูปทุกนามทั่วโลกทั่วจักรวาล ทั่วอนันตจักรวาล

แผ่เมตตาลงไปยังโอปปาติกะสัมภเวสี ดวงจิตดวงวิญญาณที่ตกค้างในภพในมิติต่างๆ แผ่เมตตาสว่างกระจายออกไป

แผ่เมตตาลงไปยังเปรตอสูรกายทั้งหลาย 

แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศล น้อมจิตน้อมบารมีลงไปยังนรกภูมิทุกขุม น้อมกระแสบุญ ขอให้ลุงพุฒพญายมราชและนายนิริยบาลทั้งหลายได้รับบุญกุศลและเป็นพยานบุญของข้าพเจ้า พยานในการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติบูชาของข้าพเจ้า

จากนั้นกำหนดจิตเห็นทั้งสามภพสามภูมิใหญ่ เห็นกระแสจากพระนิพพาน น้อมเห็นกระแสของพระพุทธองค์แผ่ลงมายังสามโลก สามภพภูมิ 

สามภพใหญ่ก็คือภพที่เป็นสุคติภูมิอันได้แก่ รุกขเทวดา ภุมมเทวดา อากาศเทวดา รูปพรหมและอรูปพรหม รวมเป็นภพที่เป็นสุคติภูมิอันเป็นกายทิพย์

ภพกลาง ภพที่ 2 คือ ภพของมนุษย์และสัตว์อันมีกายหยาบ กายเนื้อ อันจับต้องได้ เป็นวัตถุ เป็นทาสหยาบ 

และภพที่ 3 ก็คือเป็นภพของทุคติภูมิ ภพที่มีความทุกข์เป็นกายทิพย์ นับตั้งแต่ภพของโอปปาติกะสัมภเวสีทับซ้อน เปรตอสุรกายยันไปถึงสัตว์นรกทั้งหลายทุกขุม รวมเรียกกันว่า “สามภพ” หรือที่เรียกว่าไตรภูมิ 

ภพภูมิต่างๆเหล่านี้เป็นเหมือนกับกระจก มีความคล้ายคลึงกัน พระภูมิเจ้าที่ก็อยู่ปะปนกับภพของมนุษย์ แต่มีวิมานมีบุญมีความสุขในระดับหนึ่ง มีทิพยสมบัติในระดับหนึ่ง ฝั่งตรงข้ามก็เป็นฝั่งของโอปปาติกะสัมภเวสี อยู่ปนกับมนุษย์จริง แต่เต็มไปด้วยความขาดแคลน ไม่มีบุญกุศล มีความหลงมีความทุกข์ ไม่มีที่พักไม่มีอาศัย เร่ร่อนถูกทำร้ายเบียดเบียนจากดวงจิตอมนุษย์หรือสัมภเวสีที่มีฤทธิ์มากกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเหมือนกระจกเงาด้านบุญและด้านบาป กำหนดรู้ในจิตแผ่เมตตาสว่าง รู้เพื่อละ รู้เพื่อออกจากสังสารวัฏ รู้เพื่อออกจากไตรภูมิ แผ่เมตตาสว่าง ใจเราน้อมกระแสจากพระนิพพานต่อไป ขอน้อมกระแสจากพระนิพพาน กระแสกำลังพุทธคุณ กำลังแห่งองค์พุทธะมีพระพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐมเป็นประธานใหญ่ ขอน้อมกระแสแสงสว่างเป็นเส้นแสง เป็นบุญศักดิ์สิทธิ์ลงมายังวัดวาอารามต่างๆ สถานปฏิบัติธรรมทั้งหลาย กระแสพุทธคุณจงปรากฏ กำลังพุทธคุณ กระแสจากพระนิพพานจงสถิตลงมายังพระเจดีย์ พระมหาเจดีย์ พระบรมธาตุเจดีย์ พระบรมสารีริกธาตุ พระธรรมธาตุ พระอัฐิธาตุ พระอรหันตธาตุทุกพระองค์ในโลกในจักรวาล

ขอกำลังพุทธคุณจงมาสถิตปกปักรักษาเกิดความศักดิ์สิทธิ์ยังพระพุทธรูป พระเครื่อง วัตถุมงคลทั้งหลาย ผ้าประเจียด ผ้ายันต์ รูปพระ แม้แต่ภาพที่เป็นภาพดิจิตอลในสื่อโซเชียลทั้งหลายก็ขอให้เกิดมีกำลังแห่งพุทธานุภาพศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์

กระแสอนุภาค กระแสอิเล็กตรอน กระแสนิวตรอน กระแสกำลังพุทธคุณความศักดิ์สิทธิ์จงแผ่ออกมาพร้อมรัศมีความสว่างปรากฏสัญลักษณ์แห่งภาพแห่งนิมิตทั้งปวง น้อมจิตขอบารมีสมเด็จองค์ปฐมปกปักรักษาคุ้มครองเศวตฉัตรของสถาบันพระมหากษัตริย์ ขอกำลังพุทธคุณแผ่ปกปักรักษาแผ่นดินไทยประเทศไทยไว้เพื่อจารึกพระพุทธศาสนาสืบต่อพระพุทธศาสนาตราบห้าพันปี อันเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ไทยรอดพ้นจากภัยพิบัติ พ้นจากภัยศึกสงคราม ขอกำลังพุทธคุณพิทักษ์รักษาประเทศไทยด้วยเถิด

จากนั้นน้อมจิตอธิษฐาน ตั้งใจว่าขอให้การปฏิบัติบูชาของข้าพเจ้าจงเกิดผลเกิดความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกทางธรรม ขอกำลังบุญฤทธิ์ กำลังแห่งพุทธานุภาพ กำลังคุณแห่งพระรัตนตรัย กำลังคุณแห่งเทวดาพรหมนุภาพได้ประสิทธิ์ประสาทเปิดสายบุญสายทรัพย์สายสมบัติสายบารมี ขอบุญจงส่งผลทันใจ ขอบารมีข้าพเจ้าจงเปิด ขอจง “รวยชาตินี้ นิพพานชาตินี้” ตามพรที่หลวงพ่อฤาษีพระราชพรหมญาณอวยพรให้กับลูกศิษย์ทุกคน ขอให้พรนี้จงเกิดผลศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์ รวยชาตินี้ นิพพานชาตินี้ บารมีทั้งหลายเปิดพรั่งพรูหลั่งไหลสายบุญสายทรัพย์สายสมบัติหลั่งไหลเนืองนองไม่ขาดสาย มีความคล่องตัวทุกคนอย่างอัศจรรย์ ผ่านพ้นวิบากและอุปสรรคทั้งปวงได้อย่างง่ายดายนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน

จากนั้นให้เราทุกคนใช้อาทิสมานกายกราบลาพระพุทธเจ้า กราบลาทุกท่านบนพระนิพพาน กราบลาหลวงพ่อ กราบลาพ่อแม่ในอดีตชาติและปัจจุบัน กราบลาครูบาอาจารย์ในอดีตชาติปัจจุบัน จิตเราน้อมมีความกตัญญูต่อท่านที่มีพระคุณทั้งหลาย กำหนดใจว่าด้วยความกตัญญูต่อครูบาอาจารย์สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอความกตัญญูนี้จงเป็นคุณธรรมเป็นสัจจะที่ตั้งที่ทำให้ข้าพเจ้าเกิดความเจริญรุ่งเรืองอย่างอัศจรรย์ด้วยเถิด 

เมื่อกราบลาแล้วก็ตั้งใจนะ หายใจเข้าลึกๆช้าๆ 3 ครั้ง หายใจเข้าพุท ออกโธ ครั้งที่ 2 ธัมโม ครั้งที่ 3 สังโฆ น้อมจิตของเราให้ผ่องใส น้อมจิตของเรากำหนดไว้ว่าใจของเรานั้นโมทนาสาธุกับเพื่อนๆกัลยาณมิตรที่มาร่วมปฏิบัติพร้อมกัน ขอบุญจงเกิด ขอจงนิพพานชาตินี้ ขอจงคล่องตัวทุกอย่าง โมทนาบุญกับผู้ที่มาฟังมาฝึกมาเรียนมาปฏิบัติในภายหลัง ไม่ว่าเวลาจะยาวนานต่อไปเท่าไหร่ก็ตาม เราตั้งใจบุญทั้งหลายจากโมทนามัยบุญจงปรากฏ จิตจงเกิดความสามัคคีในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนทุกสาย ขอความเจริญรุ่งเรืองในธรรมจงปรากฏ นับแต่นี้ปัญญาญาณจงทำให้จิตของเราเกิดความรู้แจ้งแทงตลอด มีความกระจ่างเข้าใจธรรมทั้งหลายง่ายดายดุจดั่งลายมือของตน ปัญญาญาณปรากฏอย่างก้าวกระโดด 

สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนากับทุกคนนะ ถ้าเป็นไปได้ก็พยายามเขียนแผ่นทองอธิษฐาน แผ่นทองอธิษฐานพระนิพพาน ถึงเวลาก็จะได้นำไปหล่อพระ ทรงอารมณ์พระนิพพานเต็มที่เขียนแผ่นทองอธิษฐานว่าตัวเราปรารถนาพระนิพพานชาตินี้ ทุกครั้งที่ยกจิตขึ้นพระนิพพานก็เขียนแผ่นทองทุกครั้ง เพื่อจะได้รวบรวมให้ครบแสนแผ่นในการหล่อพระ ตอนนี้ก็ช่วยกันเขียน ช่วยกันปฏิบัติ ยิ่งขยันปฏิบัติมากยิ่งทำมากยิ่งรวมกันสร้างพระ ความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์ก็ยิ่งปรากฏ เทวดาพรหมท่านก็รอโมทนาอยู่

สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนากับทุกคนด้วย พบกันใหม่สัปดาห์หน้า

สำหรับวันนี้ สวัสดีครับ

ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย คุณ Be Vilawan

You cannot copy content of this page