เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม 2567
เรื่อง การเจริญเมตตาอันไม่มีประมาณ
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อมทั่วร่างกาย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อร่างกายทุกส่วนพร้อมกับอารมณ์ความรู้สึกว่าเราปล่อยวางขันธ์ 5 ร่างกาย ปล่อยความคิดความเกาะความยึดในร่างกายออกไป ปล่อยวางความคิดในความห่วงความกังวล ทั้งบุคคลหน้าที่การงาน เรื่องราว สถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น ปล่อยวางออกไปให้หมด จดจ่ออยู่กับลมหายใจ จินตภาพเห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหมพลิ้วผ่านเข้าออกในกาย ลมหายใจราบรื่นละเอียดอ่อน ต่อเนื่องลื่นไหล ลมหายใจดึงปราณดึงพลังชีวิตหล่อเลี้ยงร่างกายธาตุขันธ์ เห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหม อารมณ์ใจสบาย สงบ ปล่อยวางทุกสิ่ง จดจ่ออยู่แต่เพียงลมหายใจ ยิ่งลมหายใจละเอียด จิตของเรายิ่งสงบ ลมหายใจที่ปรากฏขึ้น สติรำลึกรู้ความเชื่อมโยงของลม อารมณ์ใจและความสงบของจิต ลมหายใจยิ่งราบรื่น ละเอียด เบา จิตยิ่งมีความสบาย ยิ่งมีความสุข ยิ่งเข้าถึงความสงบ
ทรงอารมณ์อยู่กับลมหายใจ สติรู้อยู่กับลมหายใจสบายและอารมณ์จิตที่สบาย
เมื่ออารมณ์ในสมาธิ อานาปานสติของเรามีความทรงตัวในความสงบ ความฟุ้งซ่านความซัดส่ายความวุ่นวายใจสลายออกไปจากจิตจนหมด เหลือแต่เพียงความสบายราบรื่นปลอดโปร่ง เราก็เดินจิตขึ้นสู่ฌานสมถะที่มีระดับ มีกำลังสูงขึ้นไล่ขึ้นไป ลมหายใจที่เบาละเอียด เรากำหนดหยุดจิต นิ่งหยุด หยุดการปรุงแต่ง เข้าถึงเอกัคตารมณ์ในสภาวะที่จิตหยุด ณ จุดที่จิตของเราหยุดนิ่ง เราก็กำหนดจินตภาพขึ้นเป็นดวงแก้วค่อยๆใหญ่ขึ้น สว่างขึ้น ขยายขึ้น ดวงแก้วที่ใสสว่างสัมพันธ์กับอารมณ์จิต ยิ่งดวงแก้วสว่างมากเท่าไหร่ใสเท่าไหร่ ใจเรายิ่งมีความสบาย ยิ่งรู้สึกว่าจิตมีกำลัง
จากดวงแก้วที่ใสๆทรงกลมสว่าง เรียกว่าอุคหนิมิต เราก็นึกให้สภาวะของดวงแก้วซึ่งสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกับดวงจิต จิตคือกสิณ กสิณคือจิต จิตเป็นหนึ่งเดียวกับกสิณ จิตตานุภาพแห่งอภิญญาจิตของกสิณธาตุทั้ง 4 เป็นหนึ่งเดียวกันกับจิตของเรา
จากดวงแก้วใสสว่าง เรากำหนดจิตเปลี่ยนทรงสภาวะให้กลายเป็นเพชรลูก คือจากลูกแก้วทรงกลมกลายเป็นลูกกลมที่เป็นเพชร มีการเจียระไนทุกเหลี่ยมทุกมุมจนกระทั่งมีความแพรวพราวทั้งลูก ยิ่งสว่างขึ้นใสขึ้น มีประกายระยิบระยับ มีเส้นแสงสีรุ้งเปล่งประกายออกมาจากดวงจิตที่เป็นปฏิภาคนิมิต พ้นจากเส้นแสงของรัศมีจิต ปรากฏสภาวะบรรยากาศรายรอบเลยขอบเขตออกไป มีสภาวะเป็นเหมือนกับกากเพชรแพรวพราวระยิบระยับทั่วบรรยากาศ
กำหนดจิตว่าจิตของเรามีกำลังจิตตานุภาพแห่งกสิณ จิตเข้าถึงปฏิภาคนิมิต จิตมีรัศมีมีพลังแห่งความเป็นทิพย์ของจิต ทรงสภาวะจิตอันเป็นประภัสสรนี้ไว้ แผ่สว่าง ทรงอารมณ์ ความรู้สึกว่าแสงสว่าง ความเปล่งประกาย ล้วนแล้วแต่มาจากภายในจิตของเรา จิตเพาะบ่มจิตตานุภาพ พลังงานแห่งความสว่าง ความแพรวพราวเส้นแสงรัศมีของรัศมีจิตก็มาจากพลังงานของจิตเราเอง ยิ่งทรงฌานทรงอารมณ์ทรงสภาวะนิมิตของกสิณได้ตั้งมั่นสม่ำเสมอ พลังงานแสงสว่างความแพรวพราวสว่างไสวมีความเสถียรมากเท่าไหร่ จิตเราก็เกิดกำลังของจิตตานุภาพเพิ่มพูนขึ้น เป็นอภิญญาจิตที่เพิ่มพูนขึ้นมากขึ้นเพียงนั้น ทรงอารมณ์ทรงอารมณ์จิตทรงสภาวะแห่งกสิณนี้ไว้
จากนั้นกำหนดจิตให้แสงสว่างรัศมีของจิตแผ่กระจายออกไป กำหนดให้จิตที่เป็นเพชรประกายพรึกที่แผ่กระแสแสงสว่างออกไปนั้น รัศมีของจิตแผ่กระแสแห่งเมตตากระจายออกไปจากจิตของเรา
กำหนดจิตอธิษฐานว่า นับแต่นี้กระแสแสงสว่างรัศมีจิตของเรา จงแผ่จงเปล่งประกายเป็นกระแสแห่งเมตตาอันไม่มีประมาณ เปล่งออกเป็นธรรมชาติจากเนื้อในของจิตเรา กระแสเมตตาเป็นหนึ่งเดียวกับจิต จิตมีกำลังจิตตานุภาพแห่งกระแสเมตตาแผ่ออกมาจากแก่นภายในของจิต
เมตตาก่อเกิดความสงบร่มเย็นแผ่สว่างกระจายออกไป กระแสเมตตาแผ่ต่อเนื่องออกไปจากใจ จิตเราเป็นเพชรประกายพรึกสว่างแพรวพราว มีแต่กระแสเมตตาแผ่สว่าง
กำหนดจิตว่ากระแสเมตตาที่เราแผ่ออกไปจากจิต แผ่ปกคลุมคุ้มครองกายเนื้อทั้งหมด ครอบคลุมอาณาบริเวณทุกที่ทุกแห่งหนที่เราไป จิตเราสว่างขึ้นใสขึ้น มีความสุขมีความยินดีในกระแสเมตตามากขึ้น
ในกรรมฐานทุกกองสิ่งที่ทำให้เราทรงอารมณ์ได้นั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่า “ธรรมฉันทะ” เรามีธรรมฉันทะเกิดขึ้นได้เพราะเมื่อปฏิบัติแล้วจิตเราเป็นสุข เมื่อจิตเราเป็นสุข จิตเราก็ย่อมพึงพอใจในสภาวธรรมในสภาวะอารมณ์พระกรรมฐานนั้น ดังนั้นยิ่งแผ่เมตตาแล้วใจเราสบาย ใจเราร่มเย็น ใจเราเป็นสุข ธรรมฉันทะยินดีในการเจริญธรรม ในการเจริญฌาน
ในการเจริญเมตตา ก็ย่อมก่อเกิดขึ้นในจิต ธรรมะการปฏิบัติความก้าวหน้าในธรรมก็ยิ่งกว่าเกิดขึ้น ปฏิบัติด้วยจิตอันเป็นสุข กระแสจากจิตของเราก่อเกิดความร่มเย็นความสงบ
กระแสเมตตาจากจิตของเราก่อเกิดความปราศจากการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน
กระแสเมตตาจากจิตของเราก่อเกิดการให้อภัยการอโหสิกรรม จิตของเราตอนนี้เมตตา อภัย ศานติ
กระแสความร่มเย็นจากใจของเราแผ่ออกไปไม่มีประมาณ ทรงอารมณ์ทรงสภาวะคลื่นกระแสของความสงบร่มเย็น กระแสของเมตตาจิตออกไปจากจิตของเราจนกลายเป็นความบริสุทธิ์ ของความเมตตาจากใจของเราอย่างแท้จริง เมตตาเจโตวิมุตติปรากฏขึ้นในจิตของเรา
จากนั้นกำหนดจิตอธิษฐาน น้อมรำลึกนึกถึงสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องจักรพรรดิ อธิษฐานให้ปรากฏขึ้นกลางดวงจิตของเรา น้อมอาราธนากระแสแห่งพุทธานุภาพอันไม่มีประมาณมาเป็นหนึ่งเดียวกับจิตของเรา แล้วคราวนี้ เราน้อมขอบารมีพระ ขอบารมีสมเด็จองค์ปฐม แผ่กระแสแห่งพุทธเมตตาออกไปจากจิตของเรา กำหนดรู้ว่ากระแสว่าพลังของการเจริญเมตตานั้นยิ่งเพิ่มพูนขึ้นสว่างขึ้น อธิษฐานขอสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องจักรพรรดิเปิดโลก เปิด 3 ภพภูมิ ให้จิตข้าพเจ้าแผ่เมตตาไปไม่มีประมาณทั้ง 3 ภพ 3 ภูมิพร้อมกันด้วยเทอญ
แผ่เมตตาสว่าง ทุกภพทุกภูมิล้วนได้รับกระแสของบุญกุศล
อธิษฐานจิตให้กลางจิตของเราตอนนี้ปรากฏภาพดินขึ้น อธิษฐานแผ่เมตตาถวายให้กับแม่พระธรณี จากดวงที่เป็นดินนั้นก็กลายเป็นแก้วเป็นเพชรเป็นประกายพรึกสว่าง กระแสเมตตาเราน้อมถึงแม่พระธรณี บุญทั้งหลายกุศลทั้งหลายบารมีทั้งหลาย ขอน้อมรวมให้แม่พระธรณีเป็นพยาน ทาน ศีล ภาวนา ขอให้แม่พระธรณีอันเป็นแม่ธาตุแห่งธาตุดินกำหนดจดจำข้าพเจ้า และขอให้กำลังแห่งเมตตาอันไม่มีประมาณเกิดอานิสงส์เกิดพลังสูงสุด ปกปักรักษาข้าพเจ้าจากภัยพิบัติจากธาตุดินด้วยเทอญ
จากนั้นกำหนดจิต เห็นดวงแก้วที่บรรจุน้ำ ทรงกลมที่บรรจุน้ำปรากฏ อธิษฐานน้อมจิตถึงแม่พระคงคา แม่ธาตุแห่งธาตุน้ำ แผ่เมตตาไปยังธาตุน้ำจนธาตุน้ำเปลี่ยนผลึกกลายเป็นเพชรประกายพรึก น้ำเปลี่ยนผลึกเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง บุญทั้งหลายแผ่ถึง กระแสเมตตาแผ่ถึง เปลี่ยนผลึกธาตุน้ำทั้งหมด อธิษฐานจิตว่าบุญกุศล ทาน ศีล ภาวนา บารมี ข้าพเจ้าขอให้แม่พระคงคาเป็นพยาน ขอทุกมหานทีทุกมหาสมุทรได้ซึมซับรับกระแสบุญอันไม่มีประมาณที่ข้าพเจ้าสร้างเพาะบ่มสะสมมา นับตั้งแต่อดีตชาตินับหาประมาทที่สุดไม่ได้ ขอบุญทั้งหลายจงถึงแม่พระคงคา และขอให้แม่พระคงคาอันเป็นแม่ธาตุแห่งธาตุน้ำพิทักษ์รักษาข้าพเจ้าให้ปลอดภัยจากภัยพิบัติจากน้ำทั้งปวงด้วยเทอญ
จากนั้นกำหนดจิตต่อไป เห็นดวงทรงกลมที่ปรากฏมีลมพัด เช่นเห็นเป็นลมหมุนบ้าง เห็นอาการพัดพาของลมบ้าง อยู่ในดวงแก้วนั้น กำหนดจิตอธิษฐานรำลึกนึกถึงพระพาย พระพายคือพ่อธาตุแห่งธาตุลม กำหนดจิตว่า ทุกลมหายใจแห่งสติ ทุกลมหายใจแห่งสมาธิ บุญกุศล ทาน ศีล ภาวนา ทุกคาถาที่ข้าพเจ้าเคยเสกเป่าด้วยกำลังแห่งธาตุลม รวมไปถึงทุกกระแสลมแห่งอานาปานสติ ทุกกระแสลมปราณที่ข้าพเจ้าเคยปฏิบัติเคยฝึกฝนมาในกาลก่อนนับตั้งแต่อดีตชาติ ขอจงรวมตัวก่อเกิดเป็นพลังแห่งธาตุลม ก่อเกิดเป็นพลังแห่งปราณ ข้าพเจ้าขอน้อมอุทิศถวายแผ่เมตตาบุญกุศลบารมีถึงพระพายและธาตุลม ขอกำลังบุญกำลังกระแสแห่งเมตตานี้ พระพายได้โปรดเมตตาพิทักษ์รักษาข้าพเจ้าให้แคล้วคลาดจากภัยพิบัติ จากพายุ จากลม จากธาตุลมทั้งหลายด้วยเถิด
กำหนดจิตต่อไปเห็นดวงแก้วที่มีเปลวไฟสว่าง เปลวไฟสว่างปรากฏอยู่ในดวงแก้ว กองไฟปรากฏ ตั้งจิตรำลึกนึกถึงพระเพลิง พระเพลิงเป็นพ่อธาตุแห่งธาตุไฟ อธิษฐานจิต ขอแสงเทียนแสงไฟที่ข้าพเจ้าจุดบูชาประทีปบูชาพระรัตนตรัย กองไฟทั้งหลายนิมิตเพลิงทั้งหลายที่ข้าพเจ้าเคยกำหนดนิมิตในกสิณไฟ แสงสว่างเปลวไฟทั้งหลายที่ข้าพเจ้าเคยจุดยันต์บูชาเทพพรหมเทวาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บุญกุศลบารมีทั้ง 30 ทัศ ข้าพเจ้าขอน้อมถวายยังพ่อธาตุคือพระเพลิง ขอกระแสแห่งเมตตาบุญกุศลที่ข้าพเจ้าส่งถึงนี้ ปรากฏให้กองเพลิงนี้กลายเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง ดับพิษไฟทั้งปวง ขอให้เพลิงทั้งหลาย ภัยพิบัติจากไฟ ภัยพิบัติจากสายฟ้าอัคนี ภัยพิบัติจากไฟไหม้การระเบิดทั้งปวง จงไม่อาจเกิดขึ้นไม่อาจกระทำอันตรายต่อข้าพเจ้า ด้วยผลอานิสงส์ที่ข้าพเจ้าเจริญเมตตาเป็นอย่างดีด้วยเถิด
จากนั้นอธิษฐานจิตขอแม่พระธรณี แม่พระคงคา พระพาย พระเพลิง ขอจงปรากฏสภาวะในความเป็นกายทิพย์
จากนั้นเราน้อมจิตกราบทั้ง 4 ท่าน อธิษฐานจิตขอให้ท่านเมตตาประสิทธิ์ประสาทให้นับแต่นี้ ขอให้ข้าพเจ้ามีความเจริญก้าวหน้าสำเร็จในวิชชาธาตุ กำหนดการตั้งธาตุ เดินธาตุ ปลุกธาตุ ใช้อภิญญาจิตมีจิตตานุภาพอยู่เหนือธาตุทั้ง 4 เป็นอภิญญาใหญ่ ขอท่านเมตตาประสิทธิ์ประสาทข้าพเจ้าทั้งหลายและขอปกป้องคุ้มครองแคล้วคลาดจากภัยพิบัติจากธาตุดินน้ำลมไฟทั้งหลายอย่างอัศจรรย์ด้วยเทอญ
จากนั้นกำหนดจิต ให้เห็นดวงแก้วที่เป็นธาตุดินน้ำลมไฟค่อยๆรวมตัวกัน แล้วค่อยๆลอยเข้ามายังจิตของเราที่เป็นเพชรประกายพรึกมีองค์พระสมเด็จองค์ปฐมเปิดโลกอยู่ภายในสว่าง
จากนั้นกำหนดจิตขอบารมีพระพุทธองค์ ขอยกจิตข้าพเจ้าขึ้นไปบนพระนิพพาน อธิษฐานจิตเห็นกายของเราเป็นกายพระวิสุทธิเทพปรากฏอยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐมและมหาสมาคมคือพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน
กำหนดแยกจิตกราบ กราบทุกท่านทุกๆพระองค์ จากนั้นอธิษฐานจิต ขอจิตพระวิสุทธิเทพจงสว่างผ่องใส แผ่เมตตาลงมายังสามแดนโลกธาตุ กำหนดอธิษฐานแผ่เมตตาอโหสิกรรมเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ขอให้บุญข้าพเจ้า จากทาน ศีล ภาวนา จากการเจริญเมตตาไม่มีประมาณ ขอแผ่เมตตา ขออโหสิกรรม
กำหนดรู้ของเรา เป็นปัจเจกบุคคล และเป็นปัจจัตตัง ดูว่าเจ้ากรรมนายเวรของเราได้รับได้โมทนาไหม แผ่เป็นแสงสว่างเห็นกายเราสว่างอย่างยิ่ง กายพระวิสุทธิเทพที่ปรากฏของเรายกฝ่ามือขึ้น เป็นฝ่ามือขวายกพร้อมกับแผ่แสงสว่างออกมา จากความสว่างส่องลงมายังภพภูมิสามแดนโลกธาตุ คือทั้งพวกที่เป็นสุคติภูมิ ภพของมนุษย์ จักรวาลภพของทุคติภูมิ แผ่กระแสเมตตาสว่างพร้อมกับกำหนดรู้ เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายมีหลายประเภท บางประเภทท่านก็ไม่ได้มีจิตคิดอาฆาตแค้นอะไร มีจิตที่พร้อมจะอโหสิกรรมให้กับเรา แค่เราลดมานะทิฐิ ถ่อมตนถ่อมใจ มีความนอบน้อม กราบขอขมาลาโทษขอโทษก็จบกัน
เอาเป็นประเภทใหญ่ๆแค่ 3 ประเภท
ประเภทที่ 1 ที่ง่ายที่สุด บางท่านท่านก็คือพระพุทธเจ้า พ่อแม่ ท่านผู้มีพระคุณ แต่บางครั้งเราไปปรามาสล่วงเกินท่านแล้วลืมขอขมา ซึ่งท่านทั้งหลายก็มีใจเมตตาพร้อมที่จะอโหสิกรรมให้เราอยู่แล้ว ดังนั้นตรงนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่ยาก แผ่เมตตาขอให้เจ้ากรรมนายเวรหรือท่านที่เป็นท่านผู้มีพระคุณแต่เราไปกระทบ เราขอน้อมจิตกราบขอขมาลาโทษ ท่านมีความดีมีคุณธรรมมีเมตตามีความกรุณาอยู่แล้ว ท่านก็ให้อภัยได้ง่าย น้อมจิตขอขมาให้หมด กำหนดรู้ของเราเองว่ามีมากแค่ไหนเยอะแค่ไหน
ต่อมาประเภทที่สองก็คือ ยังมีความขัดเคืองใจ ยังมีความโกรธ ประเภทนี้บางครั้งก็เป็นประเภทที่ต้องการการต่อรอง เช่นต้องการให้เราทำบุญให้ ต้องการให้เราอุทิศส่วนกุศลให้ เหมือนถ้ามีสิ่งที่แลกเปลี่ยนเขาก็ยินดีที่จะอโหสิกรรม ประเภทนี้บางครั้งเราทำบุญอุทิศให้เป็นประจำเป็นนิจ ในที่สุดเขาก็อ่อนลง อโหสิกรรมให้กับเราได้ เราก็น้อมจิตแผ่เมตตาตั้งใจว่า บุญมหาสังฆทาน บุญที่ร่วมบุญบวชพระ บุญที่สร้างพระพุทธรูป ส่วนใหญ่พวกนี้จะเป็นบุญที่เกี่ยวกับทาน เป็นสิ่งที่ถือว่าเป็นวัตถุธาตุทางความเป็นทิพย์ เราก็ตั้งจิตถวาย พูดง่ายๆว่า ของทิพย์ที่เป็นการถวายสังฆทานก็ทำให้เกิดอาหารทิพย์ ถวายวิหารทานก็ทำให้เกิดวิมานในความเป็นทิพย์ก็คือเป็นเหมือนสวรรค์สมบัติ เป็นทิพยสมบัติ อุปมาเหมือนกับเงินบนโลกมนุษย์ อันนี้เราก็อุทิศให้กับเขา ถือว่าเราเคยทำผิดพลาด เราไม่รู้จะตอบแทนยังไง เราก็ขอโทษด้วย ทิพยสมบัติคือบุญผลานิสงส์จากการถวายทาน วิหารทาน มหาสังฆทาน ดังนั้นทานก็ยังเป็นสิ่งที่เราต้องบำเพ็ญไว้สม่ำเสมอ ไม่เฉพาะกับตน แต่บางครั้งการที่เราทำก็เพื่อที่ช่วยสงเคราะห์ น้อมจิตถวายให้กับเจ้ากรรมนายเวรที่เขาจองเวรเรา
คราวนี้เราก็อุทิศให้ท่านทั้งหลายที่มาหามาพบมาเจอก็ขอให้อโหสิกรรมต่อกัน บางครั้งบางคนเจ้ากรรมนายเวรเขาก็อยากให้เรานอกเหนือจากขมากรรมก็คือให้อภัยตัวเขาด้วย คือต่างอภัยต่างโอสิกรรมซึ่งกันและกัน ถ้าอโหสิกรรมซึ่งกันและกันทั้งสองฝ่ายได้ครบ มันก็กลายเป็นโมฆะกรรมโดยสมบูรณ์ วิบากมันก็จบ
เราก็น้อมจิตกราบขมาลาโทษ ต่างอโหสิกรรมต่างให้อภัยซึ่งกันและกัน อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้
คราวนี้ประเภทที่ 3 ก็จะเป็นประเภทที่ไม่ว่าเราจะให้อะไรเขาก็ไม่ยอม อันนี้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเจ้ากรรมนายเวรที่เราเคยไปกระทบกระทั่ง เคยไปโหดร้าย เคยไปทำรุนแรงหรือเป็นบุคคลที่เขาหมั่นไส้เราเองผูกใจเจ็บเราเองแต่กำลังความเข้มข้นความพยาบาทเขาสูง อารมณ์จิตในการจองเวรเขาสูง อารมณ์ตรงนี้มันก็มีผลให้ต่อให้ขอโทษก็ไม่ยอม ต่อให้อุทิศบุญกุศลก็ไม่เอา อันนี้วิธีการก็คือเราตั้งจิตอธิษฐาน ขอบารมีหลวงพ่อ ขอบารมีพระยายมราช ขอบารมีท้าวเวสสุวรรณ ขอท่านทั้งหลายเมตตามาเสด็จมาปรากฏ อธิษฐานจิตข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลขอกราบขมาลาโทษขอกราบขมาต่อเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายเหล่านี้ ท่านที่มีความโกรธแค้นอาฆาตพยาบาทรุนแรงก็ขอให้หลวงพ่อ ขอให้ท้าวเวสสุวรรณ ขอให้พระยายมราช ท่านเมตตาสงเคราะห์ได้รับรู้รับทราบในจิตที่ข้าพเจ้าขอกราบขมาลาโทษ ในอารมณ์จิตที่ข้าพเจ้าขอกราบให้ท่านทั้งหลายเมตตาอโหสิกรรมต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลให้ทุกท่าน หากท่านก็ยังไม่คลายตัวก็ขอให้ท่านทั้งหลายผู้เป็นใหญ่อันได้แก่หลวงพ่อ พระยายมราช ท้าวเวสสุวรรณ ได้เมตตาโปรดสงเคราะห์ปกป้องปกปักรักษาข้าพเจ้าจากอันตรายทั้งหลายของเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายเหล่านั้นด้วยเทอญ ข้าพเจ้าขอขมาลาโทษด้วยจิตบริสุทธิ์แล้ว มีความสำนึกในบาปในเวรกรรมในการกระทบที่ก่อเกิดกรรมแล้ว ขอกรรมทั้งหลายจงบรรเทาเบาๆคลายตัวและกรรมทั้งหลายที่ข้าพเจ้าเคยต่อเวรต่อกรรมกันมาข้าพเจ้าก็ขอเลิกแล้วเลิกเป็นเจ้ากรรมนายเวรของท่านเหล่านั้น ขอกรรมขอวิบากทั้งหลายจงคลายจงหมดไป นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปตราบข้าพเจ้าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
กำหนดจิตแผ่เมตตาสว่างอธิษฐานขอหมดเวรหมดกรรม แผ่เมตตาสว่าง ขอกำลังบุญกำลังกรรมฐานที่ข้าพเจ้าเจริญไว้ดีแล้ว กระแสบุญกระแสเมตตาจงเป็นคลื่นผลักดันให้กระแสแห่งความโกรธแค้นเกลียดชังลอยห่างออกไปจากกายจากจิตของข้าพเจ้า ห่างไกลจากสินทรัพย์เคหสถานบ้านเรือนของข้าพเจ้า คลื่นกระแสแห่งเมตตาผลักคลื่นกระแสแห่งความโกรธเกลียดพยาบาทให้ไกล จิตที่มีความโกรธเกลียดพยาบาท ข้าพเจ้าขอให้ห่างไกลออกไปสุดขอบจักรวาล กระแสบุญกุศลจงสว่างขยายขอบเขตอาณาบริเวณ บุญอันเกิดขึ้นจากมหาสังฆทานที่ข้าพเจ้าสร้างไว้สม่ำเสมอบำเพ็ญไว้สม่ำเสมอเป็นนิจต่อเนื่อง ขอจงปรากฏความเป็นทิพย์สว่าง เป็นภูเขาแห่งบุญกุศลทิพยสมบัติ ขอท่านทั้งหลายได้โมทนา ขอท่านทั้งหลายได้ดับความพยาบาทจองเวร เสวยความสุข เสวยทิพยสมบัติ
กำหนดจิตให้กระแสเมตตา แผ่แสงสว่างกระจาย เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่เป็นประเภทที่เข้มข้นที่สุดนั้นค่อยๆถอยลอยห่างออกไปด้วยกำลังแห่งจิตตานุภาพแห่งเมตตาอันไม่มีประมาณ กระแสเมตตาสว่างกระจายออกไป กระแสวิบากกรรมให้ห่างหายกระจายออกไป เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย จิตที่ประสงค์ร้ายประทุษร้ายทั้งหลายห่างหายห่างกระจายออกไปด้วยกำลังแห่งเมตตาฌาน ผลักดันกระแสพลังงานลบวิชาคุณไสยสลายไกลห่างออกไป ภัยพิบัติจากดินน้ำลมไฟก็ขอให้เราปลอดภัยด้วยอานิสงส์แห่งเมตตา วิบากกรรมภัยจากเจ้ากรรมนายเวรที่ตอนนี้เป็นช่วงของภัยพิบัติ เป็นช่วงที่เขากวาดล้าง เป็นช่วงที่เขาคัดกรองแยกคนดีคนชั่วเพื่อเข้าสู่ยุคชาววิไล เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายเขาก็ประสบช่องที่สามารถจะมาเอาจะมาเล่นจะมาเก็บบุคคลที่ทำบาปที่เป็นบุคคลที่มีจิตอกุศล ดังนั้นจิตเราเป็นกุศลเราก็รอดปลอดภัยจากกระแสจากภัยของเจ้ากรรมนายเวร
บางคนบางครั้งยังมีกรณีภัยพิบัติล่าสุดลงมาจากรถเรียบร้อยแล้วยังถูกโดนใจเรียกให้กลับขึ้นไป อันนี้จริงๆก็เจ้ากรรมนายเวร
กระแสจิตของเราตอนนี้ใช้กำลังบุญกำลังกรรมฐาน ใช้กำลังอธิษฐานบารมีเป็นกำลังจิตตานุภาพ กำลังบุญคุ้มตัวคุ้มภัยจากภัยพิบัติทั้งปวง ขอบุญกุศลที่ข้าพเจ้ากระทำสม่ำเสมอ กรรมฐานที่ข้าพเจ้าเจริญจิต เจริญภาวนา เจริญเมตตา เจริญฌาน เจริญวิปัสสนาญาณในอารมณ์สูงสุด คืออารมณ์พระนิพพาน ขอบุญจงปรากฏ กายพระวิสุทธิเทพของข้าพเจ้าจงสว่างไสว ปรากฏเปลวแห่งพลังของบุญกุศลรายรอบกายทิพย์ของข้าพเจ้า กายข้าพเจ้าจงใสขึ้นสว่างขึ้น กายพระวิสุทธิเทพสว่างใสอย่างยิ่ง สงบนิ่งอย่างยิ่ง ปล่อยวางจากกรรมทั้งหลาย อุเบกขาต่อกรรมทั้งหลายอย่างยิ่ง เห็นกรรมทั้งหลายเป็นธรรมดาเป็นธรรมชาติ จิตมีความเกรงกลัวละอายต่อบาป จิตอยู่แต่กุศล อยู่กับบุญ อยู่กับพระพุทธองค์
พิจารณาให้เห็นความทุกข์ความวุ่นวายในโลกในสังสารวัฏ พิจารณาว่าต่อนี้ญาณของข้าพเจ้า จงกำหนดรู้เห็นในกรรมทั้งหลาย เหตุอันเกิดขึ้นจนเป็นผลในปัจจุบัน ล้วนแล้วแต่มีเหตุจากกรรมที่เคยทำมา จะเป็นในอดีตหรือในอดีตชาติก็ตาม ทุกสิ่งเกิดขึ้นด้วยกรรมและผลของกรรม เมื่อสาวไปถึงรู้เหตุ เราก็ปล่อยวาง อโหสิกรรมได้ คำถามที่ว่าทำไมฉันเป็นแบบนี้ ทำไมฉันต้องโดนแบบนี้ เราก็จะเลิกถามคำแบบนี้ เลิกบ่น เลิกพร่ำรำพึงรำพันแต่ว่าทำไมต้องเป็นฉัน ทำไมฉันต้องโดน กำหนดรู้ว่าทุกอย่างเป็นเพราะกรรม เมื่อรู้ว่าเป็นเพราะกรรม เราก็จะปล่อยวางได้ เราก็จะอโหสิกรรมได้
จำไว้ว่าญาณเครื่องรู้ทุกอย่างรู้เพื่อละไม่ใช่รู้เพื่อยึด ไม่รู้เพื่อยึดมั่นถือมั่น รู้เพื่อละ รู้เพื่อดับ รู้เพื่ออโหสิกรรม รู้เพื่อสิ้นภพจบชาติ
จำไว้นะ รู้เพื่อสิ้นภพจบชาติ เราถึงจะเป็นผู้ที่ใช้ญาณเครื่องรู้มีกำลังวิปัสสนาญาณที่คมชัดถูกต้องตามความเป็นจริง ถ้ายิ่งยึดมากมันก็จะกลายเป็นหลงมาก ยิ่งหลงมากมันก็จะเฝือมาก เฝือมากมันก็เสื่อม
ดังนั้นข้อแตกต่างระหว่างสิ่งที่เรียกว่าโลกียะอภิญญา โลกียฌาน โลกียะญาณ กับโลกุตระอภิญญา โลกุตระฌาน โลกุตระญาณ ก็คือท่านนำไปใช้เพื่อนละ เพื่อดับ เพื่อสิ้นภพจบชาติ จะเป็นปัญญาญาณก็ดี จะเป็นอภิญญาก็ดี จะเป็นญาณเครื่องรู้ก็ดี ก็จะยิ่งถูกต้องแม่นยำยิ่งเจริญขึ้น แต่ถ้าเมื่อไหร่เอาไปใช้แล้วไปเกาะไปยึดไปถือ เอาไปใช้เป็นประโยชน์ตอบสนองความโลภโกรธหลง สุดท้ายท้ายสุด ญาณทั้งหลาย ฌานทั้งหลาย อภิญญาทั้งหลาย ก็เฝือ ก็พอเราเข้าใจความแตกต่างแล้วเราก็ท่องไว้ให้ประจำใจ เป็นคำที่อาจารย์สอนรู้เพื่อละ รู้เพื่อสิ้นภพจบชาติ เอาไปใช้แต่เฉพาะเรื่องที่ทำให้เราไปพระนิพพานได้เร็วขึ้น ปล่อยวางได้ง่ายขึ้น อโหสิกรรมได้เร็วขึ้น ทุกอย่างเกิดขึ้นจากกรรมทั้งสิ้น เราเคยทำเขามา เราถึงรับผล แล้วก็ไม่สร้างกรรมใหม่ ไม่สร้างวิบากใหม่ สร้างแต่กุศลใหม่เท่านั้น
เมื่อกำหนดรู้แล้วเราน้อมจิตแผ่เมตตา กายพระวิสุทธิเทพสว่าง แผ่กระแสเมตตา ปล่อยวาง เห็นธรรมดาความไม่เที่ยง ความแปรปรวนของโลกใบนี้ ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นกับโลกใบนี้ก็เกิดขึ้นจากแรงกรรม เราสร้างกุศลสร้างเหตุก็เป็นเหตุที่ทำให้รอดจากภัย
เราเจริญพระกรรมฐาน อธิษฐานจิต เจริญเมตตาเป็นกระแสเป็นแสงสว่าง เป็นคลื่นที่ผลักดันให้เหตุการณ์ให้วิบากให้เจ้ากรรมนายเวรเขาแคล้วคลาดไปจากเรา
กำหนดจิตนับแต่นี้ตั้งกำหนดใจของเราให้มีความสว่างไสว กำหนดใจของเราว่านับแต่นี้ การกำหนดจิต การทรงภาพพระ คลื่นกระแสแสงสว่างรัศมีจิตจากจิตของเรา เป็นกระแสของเมตตา กระแสของพุทธานุภาพ เป็นกระแสของพระพุทธเมตตาแผ่กระจายออกตลอดเวลา ยิ่งเหตุการณ์เข้าสู่ช่วงภัยพิบัติ จิตที่เราทรงภาพพระในขณะที่เราอยู่กับกายเนื้อ ภาพพระสามฐานเราเห็นชัดเจน มีรัศมีกายมีแสงสว่างแผ่สว่างออกไป แผ่เมตตากำหนดแผ่เมตตาสว่าง นับแต่นี้กำหนดจิตให้รัศมีกายของเราเป็นรัศมีของเมตตาแผ่สว่าง สิ่งใดที่คิดร้าย สิ่งใดที่ประสงค์ร้ายประทุษร้ายโกรธหลงคิดอกุศล ขอจงถูกกระแสของเมตตา กระแสของความเย็น ผลักออกไป คลื่นคนละความถี่ก็ย่อมหักล้างย่อมผลักดันกัน คลื่นของเมตตาก็ดึงดูดคนที่จิตเมตตาเข้ามา คนจิตดีเข้ามา คนที่จิตใจเป็นบุญกุศลเข้ามา กระแสแห่งเมตตาเป็นเกราะแก้วคุ้มครองเราทุกคน นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ให้แคล้วคลาดจากภัยพิบัติทั้งปวงตราบจนเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน
พอเราอธิษฐานจิตเพื่อเราเองแล้วเราก็น้อมจิตว่ากำลังของสมาธิที่เราปฏิบัติ อภิญญาสมาบัติที่เราได้ เราก็ใช้เพื่อปฏิปทาสาธารณประโยชน์ เราก็อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า กระแสจากพระนิพพานแผ่สว่างลงมาเป็นกระแสบุญศักดิ์สิทธิ์จากพระนิพพาน แผ่คลุมลงมายังโลกมนุษย์ทั้งหมดสว่าง ขอจงปรากฏความสุข สงบ สันติร่มเย็น สันติภาพ บุคคลที่อยู่ในศีลในธรรม บุคคลผู้เป็นกัลยาณชน บุคคลที่อยู่ในวิสัยที่รอดพ้นจากภัยพิบัติเพื่อเข้าสู่ยุคชาววิไลก็ขอให้มีกำลังขอพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ อันไม่มีประมาณ เป็นกระแสบุญลงมาคุ้มครอง ขอเทพพรหมเทวาสัมมาทิฐิทั้งหลายคุ้มครอง น้อมจิต น้อมกระแสพระนิพพานลงมายังทุกเขต วัดวาอารามทุกสถาน ธรรมทุกสถานที่ปฏิบัติธรรม พระพุทธรูปทุกพระองค์ พระเครื่องทุกพระองค์ พระบรมสารีริกธาตุ พระบรมธาตุพระธาตุเจดีย์ทั้งหลายขอจงมีกำลังแห่งพุทธานุภาพอันบริสุทธิ์มาพิทักษ์รักษาและข้าพเจ้ากายของข้าพเจ้าเองบนโลกมนุษย์ ก็ขอให้ปรากฏปลุกกำลังพุทธานุภาพยันต์เกราะเพชรทั่วร่าง ปรากฏวัตถุมงคลทั้งหลายที่ข้าพเจ้าบูชา ขอจงปรากฏกำลังแห่งพุทธานุภาพเต็มกำลัง กำหนดเห็นพระพุทธรูปที่บ้าน พระเครื่อง ผ้ายันต์ เครื่องรางของขลังของเรากลายเป็นแก้วสว่างใสหากเครื่องรางของขลังวัตถุมงคลใดก็ตามที่ข้าพเจ้าเผลอไม่รู้บูชามาแต่มีอวิชชาปนเปื้อนอยู่ ก็ขอให้กำลังพุทธานุภาพชำระล้างสลายอวิชชาทั้งหลายหายออกไปจนหมด ขอกายเนื้อข้าพเจ้ามีกำลังแห่งพุทธานุภาพคุ้มครองป้องกันไม่ให้ผู้ใดกระทำอันตรายใช้อวิชาคุณไสยใส่ของเล่นของกับข้าพเจ้าได้อีกตลอดชีวิตตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานกายขันธ์ห้าของข้าพเจ้าทั้งหลายนี้มอบกายถวายชีวิตในการปฏิบัติธรรมเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด
ดังนั้นกายนี้เป็นของพระพุทธองค์ ขอให้สิ่งที่มันต่ำกว่าพระพุทธเจ้าไม่อาจที่จะมากล้ำกรายได้ ขอกำลังพุทธานุภาพคุ้มครองกายวาจาใจข้าพเจ้าเต็มกำลังด้วยเทอญ
จากนั้นกำหนดจิตกราบลาพระพุทธเจ้า กราบลาครูบาอาจารย์สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายทุกๆพระองค์ กราบด้วยความนอบน้อม จากนั้นพุ่งจิตอาทิสมานกายเรากลับมาที่กายเนื้อพร้อมกับน้อมอาราธนากระแสบุญจากพระนิพพานลงมาเป็นแสงสว่างฟอกร่างกายธาตุขันธ์ทั้งหมด สลายล้างขับไล่อวิชชาคุณไสยทั้งหมด ขับไล่โรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง ฟอกธาตุขันธ์ ผมขนเล็บฟันหนังกลายเป็นแก้วใสสว่าง โครงกระดูกเส้นเอ็นหลอดเลือดกลายเป็นแก้วใสสว่าง กล้ามเนื้อทุกมัด กล้ามเซลล์ทุกเซลล์ อวัยวะอาการทั้ง 32 กลายเป็นแก้วใสสว่าง ทั่วกายขันธ์ 5 ของข้าพเจ้ากลายเป็นเพชรประกายพรึกสว่างเปล่งประกาย ขอกำลังจิตตานุภาพ กำลังพระกรรมฐาน มีพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพสังฆานุภาพ เทวดานุภาพ อันไม่มีประมาณ คุ้มครองรักษาข้าพเจ้าทุกคนให้รอดพ้นจากภัยพิบัติทั้งปวง ด้วยกำลังแห่งบุญฤทธิ์อิทธิฤทธิ์เทพฤทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพุทธานุภาพอันไม่มีประมาณ
กำหนดจิตและทรงอารมณ์เห็นกายสว่าง เห็นแสงจากยันต์เกราะเพชรทั่วกายเปล่งออกมา กายเนื้อของเราสว่างผ่องใส กระแสคลื่นกระแสเมตตาที่แผ่ออกมาจากจิต แผ่ออกไปคุ้มครอง
จากนั้นเราก็โมทนาสาธุกับเพื่อนที่ปฏิบัติธรรมกันแล้ว ก็ตอนนี้เราก็ระมัดระวังในเรื่องภัยพิบัติ ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศไทยหรือว่าอยู่ในต่างประเทศ ตอนนี้ก็มีแนวโน้มที่จะมีความรุนแรงขึ้น สงครามก็มีการก่อตัวชัดเจนขึ้น ภัยพิบัติทางน้ำใครที่อยู่ในทางน้ำผ่านตอนนี้น้ำจากเหนือก็เริ่มลงมาไล่มาตามลำดับใครอยู่ในเขตทางน้ำผ่าน ถ้าถึงเวลาเขาให้อพยพก็จงอพยพไม่ต้องไปรีรออะไร โอกาสที่น้ำท่วมตอนนี้เป็นช่วงที่เขาก็เกลี่ย คือจริงๆมันเกิดท่าแต่ดั้งเดิมเลย ภัยพิบัติมันจะเกิดรุนแรงครั้งเดียว จะเกิดความเสียหายหนัก อันนี้คือดั้งเดิมนะ จนกระทั่งมาตอนนี้เขาก็บรรเทาเบาบาง ต่อรองลงมา อย่างไทยเราว่าหนักนี่คือตอนนี้เราถือว่าเบา ถือว่าเบากว่าที่อื่น และสิ่งที่มันเกิดขึ้น มันก็ยังมีโอกาสเกิดขึ้นหลายระลอก อย่างกรณีเชียงราย อาจารย์ก็เตือนแล้วว่าเกิดอีกหลายระลอก เขตไหนอยู่ในเขตน้ำผ่านก็ระวัง แล้วมันก็จะมีภัยพิบัติจากเจ้ากรรมนายเวรที่เขาเก็บเล็กเก็บน้อยอย่างที่เห็นไฟไหม้รถบัสบ้าง ภัยจากโรงงานระเบิดบ้าง สิ่งต่างๆเหล่านี้มันก็เกิดมาเพื่อชำระล้างคัดกรองคนเข้าสู่ยุคชาววิไล ถ้าเราทรงอารมณ์อยู่ในบุญกุศลส่วนใหญ่ก็แคล้วคลาด เท่าที่สังเกตดูลูกศิษย์ที่ปฏิบัติที่สม่ำเสมอส่วนใหญ่ก็แคล้วคลาดแม้อยู่ในจังหวัดอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยง
ดังนั้นจริงๆตอนนี้บางคนก็บอกจะหนีไปไหน จริงๆก็เฉลี่ยเฉลี่ยไปแต่ละพื้นที่มันก็เกิดภัยพิบัติ ดังนั้นที่จริงทำไปทำมาก็ไม่ต้องหนีไปไหน เพียงแค่เมื่อภัยมาเราติดตามข่าว มีสติแล้วก็อพยพดำเนินไปตามสถานการณ์ที่ปรากฏเกิดขึ้น แต่ในที่สุดเมื่อผ่านพ้นไปได้จงเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่ากำลังพระบารมีขององค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน ท่านนำพาบ้านเมืองเข้าสู่ยุคชาววิไลได้ อะไรที่มันเคยเสียหายก็ก่อร่างสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ได้ ดังนั้นอย่าไปตกใจอย่าไปเสียใจ ถึงเวลาบ้านเมืองถ้าเกิดความเสียหายเขาก็จะฟื้นคืนอย่างรวดเร็วอย่างชนิดที่เรียกว่าอัศจรรย์ ดังนั้นอย่าไปตกใจเกินไป ปฏิบัติดูสถานการณ์แล้วก็เตรียมตัวเตรียมพร้อมไป
สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน ขอให้ทุกคนมีความสุขความเจริญปลอดภัยแคล้วคลาดจากภัยพิบัติทั้งปวง หมั่นทบทวนอารมณ์พระกรรมฐานทรงอารมณ์เต็มกำลังสูงสุดไว้สม่ำเสมอตลอดเวลา ภัยพิบัติกลับกลายเป็นวิกฤตที่มาสร้างโอกาส เวลาที่เกิดภัยนี้ภาวนาขยัน ภาวนาขยันสวดมนต์ ยิ่งภัยใกล้ตัวยิ่งภาวนาถี่ ดังนั้นช่วงนี้เราก็พยายามฝึกที่จะทรงอารมณ์ให้ได้เต็มกำลังกันทุกคน กำหนดจิตทรงภาพพระให้ได้มากที่สุด บ่อยที่สุด นานที่สุด สม่ำเสมอที่สุด แล้วก็อย่าลืมเขียนแผ่นทองอธิษฐานพระนิพพาน เวลาเขียนเขียนแค่เฉพาะเราเพราะเราเป็นผู้อธิษฐาน นิพพานไปแทนกันไม่ได้ เขียนแทนกันไม่ได้ ดังนั้นอันนี้เคยพูดเคยย้ำแล้วว่าเป็นเรื่องของปัจเจกบุคคล ดังนั้นใครจะไปพระนิพพานก็ต้องอธิษฐานเองตั้งจิตเอง
สำหรับวันนี้โมทนาบุญกับทุกคน สวัสดี
ถอดเสียงและเรียบเรียง โดย คุณกรรณิกา โชติสว่าง เมอร์ลิล