เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน 2567
เรื่อง การทรงในรูปสมาบัติสลับกับอรูปสมาบัติ
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อมทั่วร่างกาย ปล่อยวางผ่อนคลายความรู้สึกของร่างกายกล้ามเนื้อทุกส่วนออกไป ผ่อนคลายพร้อมกับกำหนดความรู้สึกว่าเราปล่อยวางความเกาะความยึดมั่น ประสาทสัมผัสที่เกาะเกี่ยวไปรับรู้ในผัสสะทั่วทั้งกาย เราปลดปล่อยเราปล่อยวางขันธ์ 5 ร่างกายออกไปให้หมด วางจนรู้สึกถึงความเบา
จากนั้นกำหนดความรู้สึกความคิดความกังวลการปรุงแต่งทั้งหลาย ปล่อยวางความห่วงความคิดออกไปจากจิตใจของเรา ปล่อยวางทั้งกายและใจ ยิ่งวางยิ่งเบายิ่งสงบ
จากนั้นจดจ่ออยู่กับลมหายใจ จินตภาพเห็นลมหายใจ ไหลเวียน พลิ้วผ่านเป็นเหมือนกับแพรวไหมผ่านเข้าออกในกาย จิตติดตามดูติดตามรู้ในลมตลอดทั้งสายทั้งกองลมนั้น ลมหายใจละเอียด สงบ เบาสบาย
ลมปราณสัมพันธ์จิตใจ ยิ่งลมหายใจละเอียด จิตใจเรายิ่งสงบเบา เข้าถึงสมาธิที่สูงขึ้น ตามเบา ตามความละเอียดของลมหายใจ จากปราณเป็นฌาน จากลมหายใจเข้าสู่สมาธิความสงบ นิ่งสงบ
ทรงสภาวะความสงบ ความเบา อารมณ์สบาย อันเป็นอารมณ์กรรมฐานของอานาปานสติ เครื่องมือในการแก้ความฟุ้งซ่าน เข้าสู่ความเบาความสงบ สติคุมลมหายใจได้ย่อมสามารถคุมอารมณ์ของเราได้ ความวุ่นวายสับสนกลายเป็นความสงบ นิ่งหยุด สงบ ทรงอารมณ์เพื่อให้เกิดวสีความชำนาญ ในการทรงอารมณ์ตั้งมั่นในกรรมฐานแต่ละจุดที่ฝึกฝน ฝึกจนกระทั่งเรามีความชำนาญเชี่ยวชาญ สงบใจลงได้ สงบเย็นลงได้ ย่อมสงบสุข
เมื่อเราเข้าใจในการฝึกในการปฏิบัติในอานาปานาสติ คุมลมได้ย่อมสามารถคุมอารมณ์จิตได้ คุมลมปราณได้ คุมพลังของจิตตานุภาพได้ สงบนิ่ง เบา ลมหายใจละเอียด ลมหายใจจะสงบระงับหยุด นิ่งหรือลมหายใจดับ เราก็สงบนิ่ง ไม่หวั่นไหวอยู่กับอาการที่เกิดขึ้นทางกาย นิ่งสงบ
จากนั้นกำหนดจิตในความนิ่งความสงบ เรากำหนดหยุดจิต นิ่งหยุด ความรู้สึก ณ จุดที่หยุดนั้น เรากำหนดจินตภาพนึกขึ้นมาเป็นดวงแก้วใสขึ้นสว่างขึ้น
กำหนดรู้ กำหนดนึกว่าคือกสิณจิต จิตคือกสิณ กสิณคือจิต ดวงแก้วคือจิตของเรา สัมพันธ์กับกรรมฐานคือกสิณ ดวงแก้วสว่างอารมณ์จิตเรามีความแช่มชื่นเบิกบาน ดวงแก้วใสมากเท่าไหร่ จิตเรายิ่งสะอาดจากกิเลสเพียงนั้น ดังนั้นความใสของภาพนิมิตของดวงจิต ก็สามารถใช้เป็นมาตรวัดความสะอาดจากกิเลส จากนิวรณ์ 5 ประการของจิตเราได้เช่นกัน
ดังนั้นครูบาอาจารย์ท่านจึงสอนว่าจิตนั้นมีสีของอารมณ์ คือธรรมชาติของจิตเดิมแท้นั้นประภัสสร คือเป็นแก้วใสเป็นเพชรประกายพรึกใสสว่าง แต่พอมีอารมณ์เข้ามาปนเข้ามาเจือ มันก็เหมือนดวงแก้วที่ใสสะอาดบริสุทธิ์นั้นถูกย้อมด้วยมลทินด้วยสีต่างๆ
ความโกรธก็เป็นสีหนึ่ง ความรักความพึงพอใจก็เป็นสีหนึ่ง อารมณ์ที่เป็นอกุศลเป็นกิเลส มันก็จะสร้างความเศร้าหมอง อารมณ์ที่เป็นสุขมันก็อาจจะดูสวย คือเป็นสีเจือที่มันใสสวย เป็นสีเหมือนลูกแก้ว ก็กลายเป็นสีแดงบ้าง เป็นสีชมพูบ้าง เป็นสีเหลืองบ้าง
แต่หากปฏิบัติเพื่อมรรคผลการหลุดพ้น จิต สภาวะจิตที่เราต้องการก็คือ สภาวะที่จิตเป็นประภัสสร คือกลายเป็นเพชรใสละเอียดปราศจากสี แต่มีเส้นแสงรัศมีออกมาเป็นเจ็ดแสง นั่นก็คือจิตเปล่งประกายของจิตตานุภาพแห่งความเป็นทิพย์สูงสุด ภาพสภาวะของกสิณจิตนั้น มันจะต้องมีความเข้าใจในเรื่องของความสัมพันธ์กับอารมณ์ใจ
จำไว้ว่าการปฏิบัติการเจริญพระกรรมฐานนั้น มันมีส่วนเกี่ยวข้องส่วนเกี่ยวพันกับอารมณ์ใจในกรรมฐานทุกกอง แต่ละกองมีอารมณ์ของกรรมฐานกองนั้นๆแตกต่างกันออกไป เช่น
อานาปานสติก็จะมีอารมณ์ปลอดโปร่งโล่งเบาสบาย
อารมณ์กสิณก็จะเป็นอารมณ์ที่จิตเป็นสุข จิตเปล่งประกาย จิตเปล่งจิตตานุภาพแห่งความเป็นทิพย์ของจิต เป็นรัศมีของจิตออกมา ยิ่งสุขมากเท่าไหร่ ยิ่งเอิบอิ่มมากเท่าไหร่ แสงรัศมีของจิตยิ่งเปล่งประกายเป็นขอบเขต อันนี้ก็เป็นตัวที่มาเชื่อมโยงกับเรื่องของรัศมีกายที่บอกว่าในภาคของกายทิพย์ คือตั้งแต่รุกขเทวดา ภุมเทวดา อากาศเทวดา พรหม จนถึงท่านที่อยู่บนพระนิพพาน ท่านที่มีบุญยิ่งบุญมากเท่าไหร่ ยิ่งมีรัศมีกายเปล่งประกายออกมาจากกายทิพย์ออกมาจากจิต ยิ่งมีรัศมีไกลยิ่งมีรัศมีสว่างมากเพียงนั้น อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับบารมีที่สะสม ตบะ เดชะ การเพาะบ่ม การปฏิบัติการเจริญพระกรรมฐาน การฝึกเจริญเมตตาฌาน ยิ่งสะสมมากเท่าไหร่ จิตก็ยิ่งมีกำลังของบุญที่มารวมตัว บารมีทั้ง 30 ทัศที่มารวมตัว ตบะแห่งฌานสมาบัติทั้งหลายที่มารวมตัว เมตตาอันไม่มีประมาณมารวมตัว ความบริสุทธิ์วิมุตติแห่งจิตที่มารวมตัว รวมแล้วก็กลายเป็นรัศมีกายที่เปล่งประกายออกมา เราก็กำหนดรู้
ทรงอารมณ์เห็นจิตของเราตอนนี้รวมบุญรวมบารมีทั้งหลายดังที่กล่าวมา เปล่งประกายรัศมีจิตเจิดจ้าเจิดจรัสเป็นประภัสสรเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง ทรงอารมณ์ความสว่าง ความระยิบระยับความแพรวพราวแห่งจิตเราไว้ พร้อมกับกำหนดรู้ว่าจิตที่เราทรงอยู่สภาวะนี้ไม่ใช่เป็นเพียงแต่สมถะแต่เป็นการฝึกจิตของเรา ว่าจิตของเราขณะนี้ว่างจากกิเลส คือปราศจากความรักโลภโกรธหลงทั้งหลาย ความโกรธเกลียดความอาฆาตพยาบาททั้งหลาย จิตสงบนิ่งเป็นหนึ่งอยู่ เป็นเอกัคตารมณ์ จิตทรงจิตตานุภาพอยู่ สงบนิ่ง คุมอารมณ์จิต เปล่งประกายรัศมีของจิตไว้ ทรงอารมณ์ที่จิตสว่างไสวที่สุดแพรวพราวที่สุด นิ่ง สงบ หยุดจิตของเราไว้กับจิตอันเป็นประภัสสร รวมบุญรวมบารมีทั้งหลาย ความบริสุทธิ์วิมุตติแห่งจิต รวมไว้ ณ ดวงจิตนี้ ทรงไว้ ประคับประคองดวงจิตอันฝึกไว้ดีแล้ว
ทำความรู้สึกว่ากระแสรัศมีของจิต ความสว่าง สว่างจนคลุมห้องที่เราฝึกกรรมฐาน ไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่ใดก็ตาม สว่างคลุมไปจนหมด ความสุขความอิ่มใจความผ่องใสความเบิกบานของจิต เปล่งประกาย แผ่กระแสของความเป็นทิพย์ความสว่างออก
เมื่อทรงอารมณ์จนจิตมีความทรงตัวในการประคับประคองอารมณ์ฌานสมาบัติให้ตั้งมั่นได้แล้ว เราก็เดินจิตขึ้นสู่สภาวะที่ใจของเรานั้นไม่เคยลืมเลือน คือความตั้งมั่น มีสรณะคือพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งที่อาศัย กำหนดอาราธนาให้ภาพองค์พระปรากฏขึ้นมากลางใจของเรา สว่าง องค์พระเป็นเพชรประกายพรึกสว่างอยู่ภายในดวงจิต ความรู้สึกของเราเย็น สงบ มั่นคง ตั้งมั่น จิตมีกำลังด้วยกำลังของพุทธานุภาพ ผลอานิสงส์แห่งการเจริญในพุทธานุสตินั้น ทำให้จิตมีความเข้มแข็งมีความตั้งมั่น จิตมีกำลัง เพราะเราน้อมนำอาราธนาพุทธานุภาพของพระพุทธเจ้ารวมลงสู่จิตของเรา
เมื่อกำหนดภาพองค์พระอยู่ในดวงจิตเราแล้ว เราก็กำหนดแผ่กระแส ให้กระแสที่แผ่เป็นกระแสของพระพุทธเมตตา ทำความรู้สึกว่าจิตของเราในขณะที่แผ่กระแสแสงสว่างหรือรัศมีจิต เรากำลังแผ่เมตตาอันไม่มีประมาณออกเป็นปกติ เหมือนรัศมีกายรัศมีของกายทิพย์ รัศมีของดวงจิตเรา มีสภาวะความเป็นธรรมชาติความเป็นธรรมดา คือมีกระแสแห่งเมตตาแผ่ออกมาเป็นปกติ กระแสของพระพุทธเมตตาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อมวลหมู่เวไนยสัตว์ เป็นกระแสแห่งความสงบร่มเย็น กระแสแห่งเมตตาอันปราศจากอคติทั้งหลาย กระแสเมตตาอันไม่มีประมาณ เราก็ตั้งใจว่านับแต่นี้รัศมีของจิตเราที่แผ่ไปเป็นปกติ เปล่งประกายเป็นปกติ เป็นกระแสแห่งเมตตาอันไม่มีประมาณเป็นปกติด้วยเช่นกัน
ทรงภาพองค์พระอยู่ในดวงแก้วเปล่งแสงสว่างพร้อมกับกระแสเมตตาแผ่ออกมาเป็นปกติ ทรงอารมณ์ทรงสภาวะไว้ อธิษฐานจิต ขอให้จิตข้าพเจ้ามีเมตตาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างไม่มีประมาณ ขอกำลังแห่งเมตตาอันไม่มีประมาณนั้น เป็นเครื่องสลายสรรพกิเลสให้เป็นสมุจเฉทประหาร ให้กระแสแห่งเมตตาที่ซึมซาบเอิบอาบชโลมรักษาดวงจิตของข้าพเจ้านี้ เป็นวิสัยแห่งเมตตาเจโตวิมุตติ จิตวิมุตติหลุดพ้นด้วยอำนาจแห่งเมตตาฌาน แผ่กระแสสว่างเมตตา ทรงอารมณ์ไว้ ทรงสภาวะไว้ แล้วก็ขออนุญาตเสริมสำหรับท่านที่เป็นพุทธภูมิ เวลาที่เราบำเพ็ญบารมีก็ดี ไปทำกิจที่เป็นสาธารณประโยชน์ก็ดี ถ้าเราเคยสังเกตเห็นพระรูปของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย จะเป็นองค์ใดก็ตาม เราจะเห็นว่าบนมุ่นผมขององค์ท่านจะเป็นภาพองค์พระ คือมีพระพุทธเจ้าอยู่เหนือเศียรเกล้าตลอดเวลา
สำหรับคนที่เป็นพุทธภูมิเราก็ยิ่งต้องกำหนดเวลาเราไปบำเพ็ญบารมีไปสร้างความดี เราก็ทูลพระพุทธองค์ไว้อยู่เหนือเศียรเกล้า เสด็จไปพร้อมกับเราในการสร้างบารมีในวิสัยของพระโพธิสัตว์ กระแสรัศมีขององค์พระที่อยู่เหนือกระหม่อมก็แผ่สว่างไปในขณะที่เราบำเพ็ญกิจในการสร้างความดีบารมีนั้น อันนี้ก็พยายามทำไว้ให้เป็นปกติ อันนี้พระท่านบอกมา
สำหรับท่านอื่นตอนนี้ก็ให้ทรงอารมณ์จิตเห็นองค์พระอยู่ในดวงจิต คือดวงแก้วกลางอกของเรา สว่าง
คราวนี้ส่วนที่จะเสริมขึ้นจากการปฏิบัติ เราก็จะผนวกนำเคล็ดลับของวิชชาธรรมกาย ของหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ เอามาทำความเข้าใจเพื่อให้กำลังฌานสมาบัติเรามีความมั่นคงเข้มแข็งขึ้น
อันนี้เป็นข้อสังเกตจากการสอนสมาธิของอาจารย์ สังเกตพบอย่างชัดเจน แล้วก็มีหลายคนไม่ใช่เป็นคนเดียว คนที่ฝึกได้ทั้งธรรมกาย ฝึกได้ทั้งมโนมยิทธิ พอเอาสองวิชามาเสริมส่งเสริมกันได้เมื่อไหร่ กลายเป็นว่าบุคคลนั้นกับสามารถเกิดผลของอภิญญาจิตได้รวดเร็ว คือกลายเป็นว่านึกแล้วจิตสมความปรารถนาเกิดความสำเร็จนึกอะไรได้ตามนั้น เป็นอภิญญาที่อย่างน้อยที่สุดยังไม่ถึงอิทธิวิธีที่เป็นอภิญญาใหญ่เต็มรูปแบบ แต่นึกสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้นตามนึกทุกอย่าง อันนี้เคล็ดลับเพราะว่าวิชาธรรมกายเขาจะมีความเด็ดเดี่ยวความเข้มแข็งค่อนข้างชัดเจน คือปูพื้นฐานค่อนข้างชัดเจน
เคล็ดของวิชชาธรรมกายตั้งแต่จุดแรกก็คือ หยุดเป็นตัวสำเร็จ แค่ความหมายของคำว่าหยุดเป็นตัวสำเร็จ ก็คือเมื่อไหร่ที่เราหยุด หยุดจิตได้ก็กลายเป็นเอกัคตารมณ์ ก็คือเป็นฌาน หยุดที่ไหน หยุดที่ศูนย์กลางกาย ก็คือหยุดที่ฐานของจิตนิ่งหยุดอยู่กับดวงแก้ว นั่นก็คือจิตไม่หวั่นไหวไม่คลอนแคลนตั้งมั่นอยู่ อันนี้คือความตั้งมั่นของจิต
คราวนี้เคล็ดวิชาแค่คำพูดประโยคเดียว หยุดเป็นตัวสำเร็จก็คือ เมื่อไหร่จิตอธิษฐานหยุดอยู่ที่ศูนย์กลางกาย คือดวงแก้ว คืออธิษฐานตรงกับดวงแก้วที่ใสสว่าง คำอธิษฐานที่มั่นคงเด็ดเดี่ยวก็จะกลายเป็นจริง เพราะเป็นเอกัคตารมณ์
คราวนี้หยุดเป็นตัวสำเร็จที่อธิบายในแง่ของวิปัสสนาญาณก็คือ ให้เรานึกภาพตอนที่พระองคุลิมาลวิ่งตามพระพุทธเจ้า หวังว่าจะไปประหาร ต้องการนิ้วสุดท้าย พระพุทธเจ้าก็เดินช้าๆ องคุลีมาลวิ่งเต็มฝีเท้าก็ตามไม่ทัน ก็เลยตะโกนว่าให้ท่านหยุด พระพุทธองค์ก็ทรงตรัสว่า ท่านหยุดแล้ว แต่เธอสิยังไม่หยุด องคุลีมาลก็บอกว่า ท่านไม่เห็นจะหยุดเลย ท่านยังเดินอยู่ไม่ยอมหยุด ท่านบอกว่าท่านหยุดแล้วคือหยุดจากการประหัตประหาร หยุดจากการเบียดเบียน หยุดจากความโลภโกรธหลงทั้งปวง
ดังนั้นหยุดเป็นตัวสำเร็จก็คือ เมื่อไหร่ที่จิตเรามีจิตตานุภาพคือกำลังฌานสมาบัติ หยุดจิตจากความโลภ หยุดจิตจากความโกรธ หยุดจิตจากความหลงได้ หยุดนั้นก็เป็นตัวสำเร็จ คือสำเร็จซึ่งมรรคผลนิพพาน ดังนั้นแค่คำประโยคเดียวมีความหมายลึกซึ้งทั้งสมถะและวิปัสสนา แต่ส่วนใหญ่ก็หาท่านที่มาอรรถาธิบายให้มันเข้าใจครอบคลุมยาก ประโยคนี้ครั้งแรกที่อาจารย์ฟังก็ยังอะไรหยุด จนกระทั่งพระท่านมาสอน จึงมีความเข้าใจถึงความลึกซึ้งละเอียดครอบคลุม
ดังนั้นจำไว้ หยุดเป็นตัวสำเร็จ ตั้งจิตหยุดอยู่กับดวงแก้วสว่างมีองค์พระ นิ่งหยุดจนเป็นเอกัคตารมณ์ จนฌานมีความตั้งมั่นมีความกล้าแข็ง
ถ้าเราเดินจิตตาม เราจะพบว่าจิตเรามีความตั้งมั่นมากกว่าเดิม อันนี้ก็พยายามจดจำเรียนรู้และน้อมนำเอาเคล็ดวิชชาของธรรมกายนั้นมาใช้ร่วมกับมโนมยิทธิ
ตัวแรกก็คือหยุดเป็นตัวสำเร็จ
เคล็ดวิชาต่อมาก็คือการนำเคล็ดลับของวิชชาธรรมกายมาใช้กับการที่เราทรงภาพ ในขณะที่เราทรงอารมณ์ความเป็นทิพย์ของจิต ไม่ว่าจะเป็นกสิณ หรือการที่เราทรงภาพองค์พระ อันนี้จะมีผลทำให้ภาพมีความใสขึ้นชัดขึ้นสว่างขึ้น เคล็ดลับที่ว่านั้นมีชื่อว่า “ดับหยาบไปหาละเอียด” นั่นก็คือการที่เราฝึกในการทรงภาพ จะเป็นกสิณก็ดี จะเป็นการทรงภาพพระก็ดี
เมื่อเราตั้งภาพคือนิมิตหรือจินตภาพแรกขึ้นมา 1 ภาพ ท่านให้กำหนดว่า ดับหยาบไปหาละเอียด ดับหยาบก็คือให้เพิกภาพนั้น คือเหมือนกับระเบิดภาพเดิมนั้น ระเบิดหายแล้วเกิดภาพองค์พระองค์ใหม่ในปางเดิมแต่ว่าใสขึ้น ค่อยๆกำหนดดับหยาบจากที่ว่าใสขึ้นแล้วก็ยังดับแล้วก็ละเอียดเพิ่มขึ้นไป คือใสขึ้น ดับไปให้ใสขึ้นไปอีก ใสขึ้นไปอีก องค์พระยิ่งใสขึ้นไปอีกเป็นเพชรขึ้นไปอีก จนกระทั่งใสขึ้นไปอีก เป็นเพชรละเอียดใสขึ้นไปอีก อันนี้ก็เรียกว่า “กลั่นใส” กลั่นให้ใสขึ้นใสขึ้น
แต่คราวนี้เคล็ดลับหรือเคล็ดวิชาที่ซ่อนอยู่ในวิชาธรรมกายที่ดับหยาบไปหาละเอียด ท่านก็ว่าการที่เราเพิกภาพเดิมออกไป จริงๆชั่วขณะที่เพิกสลายดับหรือระเบิดภาพนั้นหรือทำให้ภาพนั้นว่างออกไป ที่ว่างออกไปนั้นอันที่จริงก็คือชั่วขณะจิตของการทรงอารมณ์อรูป กลายเป็นรูปสมาบัติสลับกับอรูปสมาบัติ พอมีกำลังอรูปสมาบัติขึ้นมา กำลังรูปสมาบัติก็มีกำลังสูงขึ้นหนุนขึ้น ดังนั้นเวลาที่เราฝึก ต้องฝึกให้ภาพใสขึ้น ชัดขึ้น ดับใส ดับใสขึ้นไปอีก ดับละเอียดขึ้นไปอีก ดับใสขึ้นไปอีก ดับแล้วชัดขึ้นไปอีก วิธีที่เราฝึกแบบนี้ก็กลายเป็นว่าฌานญาณ ความชัดเจนความผ่องใสการจดจ่อก็จะเพิ่มตามขึ้นไปด้วย
อันนี้เอาเคล็ดลับเฉพาะสองส่วนนี้ที่ค่อนข้างสำคัญแล้วก็มีประโยชน์ เป็นคำตอบสำหรับคนที่บอกว่าการนึกภาพพระ การทรงภาพพระแล้วไม่ค่อยชัดเจน ก็นำเคล็ดลับนี้มาใช้ คือฝึกเพิกภาพออกไปแล้วกำหนดใหม่ให้ชัดขึ้นกว่าเดิม ทรงอารมณ์ไว้ชั่วขณะ ดับภาพเก่า กำหนดใหม่ให้ชัดขึ้นกว่าเดิม ค่อยๆไล่ขึ้นไปเรื่อยๆ ฝึกจนกระทั่งภาพองค์พระที่เราตั้งเป็นองค์พระนิมิต ติดตาติดใจแล้วก็มีความชัดเจน มีความใสบริสุทธิ์ พอเราทำแบบนี้ได้ เรากำหนดหรือเอาง่ายๆที่สุดเอาเป็นว่า จิตอย่างเดียวเป็นดวงแก้วอย่างเดียว องค์พระสำหรับบางคนบอกว่ายาก บอกเอาดวงแก้วอย่างเดียวคือจิตเราดับไป บอกว่าในขณะที่ดับก็ดับกิเลส ใสขึ้นมาใหม่ ดับกิเลส ใสขึ้นไปอีก ดับกิเลสใสขึ้นไปอีก จนกระทั่งจิตของเรานั้นใสทะลุ ละเอียดอย่างยิ่ง ใสอย่างยิ่ง ทรงอารมณ์แบบนี้จนกระทั่งจิตเราใสบริสุทธิ์ พอจิตเรามันใสบริสุทธิ์ขนาดนี้ ลองนึกเอาว่าคราวนี้เรามาหยุด หยุดจิตแล้วอธิษฐาน จิตมันใสขนาดนั้นสะอาดขนาดนั้น มีกำลัง พออธิษฐานมันก็เกิดความเป็นแก้วสารพัดนึก ความเป็นทิพย์ของจิต เพราะจิตมันไม่มีกิเลสมาเจือ ไม่มีอกุศลมาเจือ ไม่มีนิวรณ์มาเจือ ไม่มีวิจิกิจฉาความลังเลสงสัยมาเจือ จิตมันก็เข้าสู่ความเป็นทิพย์
ดังนั้นมีหลายคนที่ทำตรงจุดนี้แล้วก็ขอชื่นชมแล้วก็นำเคล็ดลับที่อาจารย์นำมาเสริมนำมาต่อให้วันนี้เอาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ ต่อยอดให้ยิ่งใสขึ้นไปอีก ให้เกิดความอัศจรรย์ความศักดิ์สิทธิ์ของจิตเราขึ้นไขขขขขปอีก
สำหรับคนที่พึ่งจะมาฟังหรือเพิ่งจะมารู้หรือเพิ่งจะมาฝึกตรงจุดนี้ เราก็น้อมนำพิจารณาแล้วก็ทดลองไปฝึกไปปฏิบัติ ถึงเวลาถ้าปฏิบัติจริงมันก็เกิดผลจริง ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย เราทำเหตุดีเราขยันฝึกเราทำจนกระทั่งถึง ผลมันก็เกิด ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างพระพุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นหลักของการมีเหตุผลอย่างยิ่ง จิตที่บริสุทธิ์จิตที่สะอาดก็เป็นจิตที่มีกำลังของจิตตานุภาพอยู่เหนือจากบุคคลที่ไม่เคยฝึกอบรมขัดเกลาจิต ย่อมมีกำลังจิตตานุภาพอยู่เหนือบุคคลที่ถูกกิเลสถูกนิวรณ์ถูกความลังเลสงสัยมาครอบงำ
ดังนั้นจิตที่ฝึกมาดีแล้วย่อมนำประโยชน์มาให้ เราก็ทรงอารมณ์กำหนดใจของเราให้ใสละเอียด ดับหยาบไปหาละเอียด จิตเราใสอย่างยิ่ง สว่างอย่างยิ่ง จิตเราเบิกบานอย่างยิ่ง ผ่องใสอย่างยิ่ง ทรงอารมณ์ไว้
จากนั้นตั้งจิตเจริญวิปัสสนาญาณ พิจารณาตัดร่างกายซ้ำออกไปอีก ว่าร่างกายขันธ์ 5 ของเรานี้ เป็นประดุจซากศพ ถึงเวลาก็มีความแก่ ความเจ็บป่วย ความเน่าเปื่อยผุพัง ความตาย ร่างกายนี้เป็นประดุจถุงหนังที่สวยงามแต่ภายในห่อหุ้มไปด้วยสิ่งที่เป็นปฏิกูล คือมูตรคูถ อุจจาระปัสสาวะ เครื่องในอันมีความสกปรกซ่อนอยู่ ในถุงหนังคือเปลือกนอกที่มีความสวยงาม มีผมขนเล็บฟันหนังเป็นเครื่องลวงใจให้เห็นว่าสวยงาม เราหลง เราหลงที่ผมขนเล็บฟันหนัง ถ้าลอกเอาเปลือกคือผมขนเล็บฟันหนังออก เป็นเลือดเป็นเนื้อแดง ๆ มา เราก็นึกว่าผี เราก็นึกว่าเป็นของที่มันน่ารังเกียจ
พิจารณาแล้วจิตเราก็ตัดวางขันธ์ 5 ซ้ำไปอีก พิจารณาว่าไอ้ตัวหลงนี้มันก็เป็นตัวดึงดูดให้เราต้องมาเกิดมาพบมาเจอกับคนที่เราหลง สิ่งที่เราเกาะ สิ่งที่เรายึด สิ่งที่เราผูกพัน เราก็หลงเกิดหลงตายอยู่ในสังสารวัฏนั้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ตอนนี้เรามีปัญญาพิจารณา เห็นมรรคคือทางเดินเครื่องออกจากทุกข์ เส้นทางออกจากสังสารวัฏ เส้นชัยคือพระนิพพานเป็นที่สุด เราพิจารณาแล้วก็น้อมรำลึกนึกถึงคุณของพระพุทธองค์ อาราธนากระแสพุทธานุภาพของพระพุทธองค์เป็นที่สุด ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้าขึ้นไปบนพระนิพพาน
จากนั้นกำหนดจิตเห็นกายทิพย์อาทิสมานกายเราอยู่บนพระนิพพานกับพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์มีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน กายทิพย์เรากำหนดซ้ำฝึกข้างบนต่อ กลั่นกายของเราให้ใสขึ้นสว่างขึ้น กายของเราเป็นกายพระวิสุทธิเทพอยู่บนพระนิพพาน ใสสว่าง กลั่นกายดับล้างจากกิเลสทั้งหลายจากสังโยชน์ที่เป็นเครื่องร้อยรัดจิตทั้งหลาย พิจารณาตัดชาติภพ พิจารณาว่าเราเหนื่อยในการเกิด เบื่อในการเกิด เห็นโทษทุกข์เห็นภัยในสังสารวัฏ จิตของเราปรารถนาพระนิพพานเพียงจุดเดียว อาทิสมานกายเราสว่างขึ้นใสขึ้น ทรงอารมณ์พิจารณาว่า เมื่อไหร่ที่เราพ้นจากการเกิด กิจทั้งหลายจบสิ้นแล้ว กิจในพระพุทธศาสนาได้หมดลงแล้ว สรรพกิเลสทั้งหลายได้สิ้นจากอาสวะ จากจิตของเราไปจนหมดสิ้นแล้ว เราอยู่บนพระนิพพาน เราไม่มีกรรมทั้งหลายมาเบียดเบียน เราไม่มีเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายมาเบียดเบียน เราไม่มีเครื่องทดสอบไม่มีเครื่องล่อทั้งหลายมาทำให้หวั่นไหวได้อีกต่อไป จิตเราพ้นจากแรงดึงดูดของสังสารวัฏ ภพชาติสิ้นแล้วสำหรับเรา ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของข้าพเจ้า นับแต่นี้ข้าพเจ้าเข้าถึงความเป็นพระวิสุทธิเทพ เข้าถึงความเป็นอมตะของจิตอยู่บนพระนิพพาน เข้าถึงความเที่ยงในธรรม คือพระนิพพาน ภพอื่นในสังสารวัฏ ยังมีความแปรปรวนความไม่เที่ยง มีการเปลี่ยนแปลง มีการหมดบุญ มีการสิ้นบุญ มีการเปลี่ยนภพ แต่พระนิพพานนั้นเป็นอมตะธรรม เป็นที่ที่เราไม่ต้องกลับมาเกิดอีกต่อไป ดังนั้นจึงเป็นเพชรยอดมงกุฎที่เราปรารถนา คือปรารถนาพระนิพพานเพียงจุดเดียว
ทรงอารมณ์อยู่บนพระนิพพานกับพระพุทธเจ้า กับสมเด็จองค์ปฐม กับหลวงพ่อ ทรงอารมณ์ความผ่องใส พิจารณาวางทุกสิ่ง วางห่วงทั้งหลาย วางภาระทั้งหลายวางความยึดมั่นทั้งหลาย วางสิ่งที่เรากระทบใจมาทั้งหลาย อโหสิกรรมให้กับสรรพสัตว์ที่กระทบใจเรา ขัดเคืองใจเรา ปล่อยวางออกไป อภัยให้หมดจากจิตจากใจของเรา จิตผ่องใสสว่าง
มาพระนิพพานแล้ว อยู่บนพระนิพพานแล้ว การกระทบใจก็ไม่มีอีกต่อไป สิ่งที่เป็นเครื่องขัดเคืองอารมณ์ก็ไม่มีอีกต่อไป ความหวาดกลัวในกรรมผลของกรรม ความหวาดกลัวเจ้ากรรมนายเวร ความหวาดกลัวในวิบากกรรมอกุศลกรรม ก็ไม่มีในจิตเราอีกต่อไป
ภาระของกายคือภาระของกายเนื้อ การลำบากทำมาหากินหาเลี้ยงชีพ ความลำบากในการแสวงหาของอร่อยอาหารให้ร่างกายนี้มันกิน ภาระของกายในการแสวงหาเครื่องนุ่งห่มของสวยงาม ของเชิดหน้าชูตา ของประดับไว้เป็นเครื่องแสดงสถานะสภาวะทางสังคมก็ไม่ต้องเป็นภาระอีกต่อไป อันนี้คือภาระของกาย
ภาระของจิตเมื่อพ้นจากสังสารวัฏมาอยู่บนพระนิพพาน ภาระของจิตก็ไม่มีอีกต่อไป เป็นเทวดาเป็นพรหมถึงเวลาเราคิดว่าเสวยสุขอย่างเดียว แต่ความจริงก็มีหน้าที่กันทุกท่าน มีหน้าที่ที่บางครั้งก็ต้องสอดส่องดูแล มีหน้าที่ที่บางครั้งก็ต้องช่วยเหลือสงเคราะห์ลูกหลานที่ลงมาเกิดเป็นมนุษย์บ้าง ตกทุกข์ได้ยากเป็นสัตว์บ้าง ดังนั้นจะบอกว่าเทวดาพรหมท่านมีความเป็นทิพย์และเสวยสุขอยู่สถานเดียว อันที่จริงนั้นก็ไม่ ยังมีภาระ เทวดาหลายๆท่านท่านก็มีหน้าที่ที่ต้องดูแลในกิจเฉพาะ เช่นท้าวจตุมหาราชทั้ง 4 ก็ดูแลองค์ละทิศ ในทั้งสี่ทิศ เรียกว่าคุมเป็นจตุโลกบาล คุมโลกในแต่ละทิศ เทวดาพรหมทั้งหลาย พระอินทร์ท่านก็มีหน้าที่สอดส่องดูสุขทุกข์ของผู้ที่เป็นคนดีตกทุกข์ได้ยากที่ไหน ถึงเวลาท่านก็ต้องคอยช่วยเหลือ อย่างงานของพระอินทร์ท่านจริงๆเยอะมากมาย มากกว่าที่เราคิดเยอะ เวลาเราไปกราบท่านเราเห็นแต่ท่านนั่งอยู่บนแท่นเหมือนนั่งเฉยๆ แต่จริงๆแล้วในความเป็นทิพย์ของท่าน ท่านทรงงานมากมายมหาศาล ไม่เฉพาะในเขตที่เป็นเขตพระพุทธศาสนาด้วยซ้ำ เขตของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลายบนสวรรค์ทั้งหลาย โลกมนุษย์ทั้งหลาย ท่านต้องดูแลทั้งหมด นอกจากนี้ก็ยังมีเทวดาอีกจำนวนมากพรหมอีกจำนวนมาก ที่อันนี้ท่านมีหน้าที่สอดส่องความเป็นไปของมนุษย์ พอมนุษย์เจริญพระกรรมฐาน เจริญอุบาสกศีล ถือศีลไปปฏิบัติธรรม ท่านทั้งหลายนั้นก็มาคุมมาช่วยรักษามาช่วยดูแล ดังนั้นถึงบอกว่า เราอย่าคิดว่าพอเป็นเทวดาเป็นพรหมแล้วจะนั่งเสวยสุขสบาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นพุทธภูมิขึ้นไปเป็นเทวดาขึ้นไปเป็นพรหมแป๊บเดียวอย่างหลวงพ่อท่านบอกว่านั่งก้นยังไม่ทันจะนั่งได้เต็มก้นดีบนแท่น ถึงเวลาความเป็นทิพย์ก็ถูกเรียกให้ไปเกิด บอกโลกมนุษย์มีภัยมีความเดือดร้อนก็ต้องลงมาช่วยกัน อันนี้เป็นเรื่องปกติ
ดังนั้นภาระของใจถึงจะมีความเป็นทิพย์ถึงเวลาก็ยังมีงาน มีภาระมีความเหนื่อย มีความวุ่นวาย เหน็ดหนาระอาใจกว่าความวุ่นวายของคนของมนุษย์ ได้อย่างนั้นจะเอาอย่างนี้ ได้อย่างนี้จะเอาอย่างนั้น หรือไม่มีหิริโอตัปปะไม่มีความละอายต่อบาปกรรม อันนี้ถึงเวลาก็เป็นเรื่องปกติ ถ้าเราอยู่บนพระนิพพานแล้วภาระของกายภาระของใจมันก็หมด มันไม่ต้องมาเหนื่อยต่อไป อยู่บนพระนิพพานอย่างเดียว ถึงเวลาจะสงเคราะห์ก็สงเคราะห์ด้วยอารมณ์ความเป็นทิพย์ ด้วยอารมณ์จิตที่ไม่มีความหนักใด ๆ อุเบกขาในการช่วยเหลือในการเกื้อกูลในการสงเคราะห์
ดังนั้นถึงเวลาเราพิจารณา อธิษฐานจิตตั้งมั่นอยู่บนพระนิพพาน เกิดมาแล้วพบพระพุทธศาสนา เกิดมาแล้วพบครูบาอาจารย์ เกิดมาแล้วพบธรรมะที่ตรง เราก็กำหนดจิตว่าเราปฏิบัติเพื่อพระนิพพานเป็นที่สุด เราไม่ไขว้เขว เราไม่แกว่งไกวไป โดยเฉพาะช่วงนี้ก็เป็นช่วงที่อย่างที่บอกว่า คัดกรองถึงแม้ว่าเป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรมก็ถูกคัดกรอง ธรรมะที่เป็นธรรมตามใจฉันวิเคราะห์ตามใจฉัน ฉันว่าจะเป็นแบบนี้ฉันจะเอาแบบนี้ฉันชอบแบบนี้ อันนั้นมันก็มีกิเลสมีทิฐิมีมานะมีความเชื่อ มีอารมณ์กิเลสของตนเข้ามาจับ เหตุนี้เวลาที่เจริญวิปัสสนาญาณ จิตจึงจำเป็นที่จะต้องได้ฌานสมาธิ คือสงบระงับจากนิวรณ์ 5 ประการ จิตสงบระงับจากอคติ จิตสงบระงับจากความรักโลภโกรธหลงทั้งปวง ญาณที่พิจารณาคือเจริญธรรมเจริญวิปัสสนาพิจารณาธรรมะ จึงจะมีทิฐิความเห็นตรงเห็นชอบตามความเป็นจริง แล้วจะให้จริงที่สุดตรงที่สุดก็คือเมื่อพิจารณาจนจิตเราสะอาดจากกิเลสเต็มที่แล้ว เราน้อมฟังธรรมโดยตรงต่อสมเด็จพระจอมไตรศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า คนที่มีกำลังมโนมยิทธิถึงบอกว่าได้เปรียบอย่างยิ่ง
เวลาที่เรามีครูบาอาจารย์ที่มีกายทิพย์มาสอน เราอธิษฐานตรงว่าขอให้กายทิพย์ที่ท่านเมตตามาสอน ขอให้มีแต่
1 พระพุทธองค์ทรงเมตตามาสอนธรรมโดยตรงต่อข้าพเจ้า
2 พระอรหันต์ขีณาสพที่ท่านมีวิสัยผูกพันมีวิสัยที่ข้าพเจ้าเคยถวายเคยทำบุญเคยเนื่องกับข้าพเจ้ามา ขอให้ท่านมาสงเคราะห์มาสอนเป็นครูบาอาจารย์ที่เป็นกายทิพย์
3 ครูบาอาจารย์ขอให้เป็นเฉพาะครูบาอาจารย์ที่เป็นสัมมาทิฐิ ไม่สอนข้าพเจ้าผิดออกไปจากวิสัยจากมรรคผลพระนิพพาน ไม่หลุดไปจากกระแสของโลกุตระ ไม่หลุดไปจากความเป็นสัมมาทิฐิโดยเด็ดขาด
อันนี้คือสิ่งสำคัญที่เราจำเป็นต้องอธิษฐาน ถึงเวลาถ้าเราปฏิบัติธรรมจนถึงขั้นที่ครูบาอาจารย์ที่เป็นกายทิพย์เมตตามาสอน ธรรมผุดรู้ขึ้นมาในจิต เราจะรู้ได้เป็นปัจจัตตังด้วยตัวเองว่า ธรรมะที่ผุดขึ้นในใจนั้น มีความลึกซึ้งมากกว่ากำลังความคิดสติปัญญาที่เราจะนึกเองคิดเอง เมื่อไหร่ที่ธรรมเราเข้าถึงจุดนั้นได้ ธรรมะของเราก็จะเป็นธรรมะที่ละเอียดลึกซึ้งปราณีต
ดังนั้นอยากจะบอกว่า ความลึกซึ้งความลุ่มลึกของพระพุทธศาสนา ความลุ่มลึกของธรรมะนั้น เป็นไปตามความบริสุทธิ์ของจิตแห่งผู้ปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติจิตยังหยาบก็ได้ธรรมที่หยาบ บุคคลที่ปฏิบัติขัดเกลาจิตจนจิตมีความละเอียด มีความเบาตัดกิเลสไปได้มาก ธรรมะกระแสธรรมก็มีความละเอียดตาม
ดังนั้นเราก็น้อมจิตขอให้นับแต่นี้ จิตข้าพเจ้าเข้าถึงการปฏิบัติธรรมด้วยจิตอันปราณีต ธรรมะที่หลั่งไหลลงสู่จิตข้าพเจ้าขอจงเป็นธรรมอันละเอียดลึกซึ้งปราณีต และขอให้ในยามที่ครูบาอาจารย์ที่เป็นกายทิพย์ดังที่ข้าพเจ้าตั้งจิตอธิษฐานอาราธนาไว้ ยามที่เมตตาสอนธรรมะก็ขอเมตตาแสดงอรรถาธิบายคือแสดงว่าทำไมเพราะอะไร ให้ข้าพเจ้าเข้าใจกระจ่างแจ้งลึกซึ้งครอบคลุมครบถ้วนในทุกแง่ทุกมุมด้วยเทอญ
ตั้งจิตให้เรามีวิสัยอันเป็นเลิศแห่งการเป็นผู้ประพฤติธรรมไว้เช่นนี้ ธรรมะเราก็จะยิ่งก้าวหน้าขึ้น คราวนี้ถึงเวลาเราก็ตั้งจิตน้อมกระแสจากพระนิพพาน อาราธนากระแสบุญบารมีของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ แผ่กระแสพระพุทธเมตตา กระแสบุญศักดิ์สิทธิ์จากพระนิพพาน แผ่เมตตาลงมายังสังสารวัฏ 3 ภพภูมิ
แผ่เมตตาลงมานับตั้งแต่อรูปพรหม พรหมโลก อากาศเทวดาทุกชั้น รุกขเทวดาภุมเทวดาทั่วอนันตจักรวาล
แผ่เมตตาให้กับมนุษย์และสัตว์ที่มีกายเนื้อกายหยาบขันธ์ 5 ทั่วอนันตจักรวาลทุกดวงดาว
แผ่เมตตาให้กับบรรดาดวงจิตโอปปาติกะสัมภเวสีทั้งหลาย ดวงจิตดวงวิญญาณที่อยู่ในเมืองบังบดลับแลทั้งหลาย แผ่เมตตาสว่าง
แผ่เมตตาต่อไปยังดวงจิตเปรตอสูรกายทั้งหลาย สัตว์นรกทั้งหลายทุกขุม
แผ่กระแสเมตตาสว่างเปิดสามแดนโลกธาตุ แผ่เมตตาสว่างไสว
จากนั้นกำหนดจิตต่อไป อาราธนาน้อมกระแสบุญกุศลกระแสพุทธานุภาพลงมายังโลก ลงมายังประเทศไทย ลงมายังวัดวาอาราม ลงมายังทุกสถานปฏิบัติธรรม อาราธนากำลังพุทธานุภาพลงมายังพระพุทธรูปทุกพระองค์ พระเจดีย์ พระธาตุเจดีย์ พระบรมสารีริกธาตุ องค์พระธาตุพระบรมธาตุทุกพระองค์ พระเครื่องวัตถุมงคลทั้งหลาย ผ้ายันต์ทั้งหลาย ตะกรุดเครื่องรางของขลังทั้งหลายทุกชิ้น ขอสลายล้างดับล้างอวิชชาคุณไสย ขอจงมีแต่กำลังแห่งพุทธคุณบริสุทธิ์ กำลังแห่งพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ ขอจงมีความศักดิ์สิทธิ์ เกิดความบริสุทธิ์ในเขตของพระพุทธศาสนา ขออาราธนากระแสมรรคผล กระแสธรรมอันตรงต่อกระแสโลกุตรธรรมเจ้า ขอกระแสธรรมนั้นจงหลั่งไหลลงมาสู่ผู้ประพฤติธรรม ผู้แนะนำธรรมะ ผู้สอนธรรมะ ขอกระแสแห่งอริยมรรคมีองค์ 8 โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระแสแห่งสัมมาทิฐิ ขอจงสลายล้างมิจฉาทิฐิในจิตใจของพุทธบริษัท 4 ทั้งปวง ให้สลายสิ้นไปด้วยเทอญ
สัมมาทิฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ อาราธนากระแสของพุทธานุภาพพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ ขอพุทธานุภาพ คุณพระพุทธเจ้ารักษา คุณพระธรรมเจ้ารักษาคุณพระอริยเจ้ารักษา
จากนั้นน้อมจิต เราแผ่เมตตาเราน้อมอาราธนากระแสบุญลงมาช่วยบ้านเมืองส่วนรวมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เราก็กราบลาพระพุทธองค์ กราบลาทุกท่านทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน กายทิพย์กายพระวิสุทธิเทพเรากราบลา
เมื่อกราบลาแล้วก็กำหนดจิตอธิษฐาน ให้กระแสแห่งบุญกุศลน้อมนำกายทิพย์เราพุ่งลงมายังกายเนื้อบนโลกมนุษย์ พร้อมกับอาราธนากระแสแห่งพระนิพพานลงมาชำระล้างฟอกธาตุขันธ์ เป็นลำแสงสว่าง กายเนื้อสะอาดใส ผมขนเล็บฟันหนังกลายเป็นแก้วสว่าง โครงกระดูกหลอดเลือดเส้นเอ็นกลายเป็นแก้วใสสว่าง กล้ามเนื้อทุกส่วนกล้ามเนื้อทุกมัด อาการทั้ง 32 อวัยวะภายในทั่วร่าง กลายเป็นแก้วใสสว่าง กระแสแห่งพระนิพพานฟอกธาตุขันธ์ ล้างเซลล์ที่ผิดปกติเซลล์เนื้องอกเซลล์มะเร็งสลายหายไป เชื้อโรคเชื้อไวรัสสลายหายไปลมปราณจุดที่ติดขัด ขอกระแสแห่งพระธรรมธาตุชำระล้างให้การติดขัดนั้นจงมีความคล่องตัว จงทะลุทะลวงจุดที่ติดขัดทั้งปวงให้โล่ง ลื่น ไหล ธาตุดินน้ำลมไฟทั่วกายของข้าพเจ้าเป็นเพชรเป็นประกายพรึกสว่าง ธาตุทั้งหลายจงสมดุลเป็นปกติ
จากนั้นอธิษฐานขอสายบุญสายทรัพย์สายสมบัติจากทานบารมีที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญไว้ดีแล้วเต็มแล้ว ขอจงเป็นมนุษย์สมบัติจับต้องได้ ตราบที่มีชีวิตขันธ์ 5 บนโลกใบนี้ ก็ขอให้มีแต่ความคล่องตัว เงินทองหลั่งไหล สายทรัพย์สายสมบัติหลั่งไหลลงมา
จากนั้นน้อมกระแสบุญกุศล ขอให้บุญกุศลนั้นถึงเทวดาพรหมที่พิทักษ์รักษาท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย พ่อแม่ ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุ้มครองดูแลข้าพเจ้า ครอบครัว บ้านเรือนเคหะสถาน ทรัพย์สิน ขอท่านทั้งหลายมีส่วนในอานิสงส์แห่งบุญของข้าพเจ้าทุกประการ
ช่วงนี้ก็เป็นช่วงแห่งกาลกฐินก็อธิษฐานว่าขอให้บุญกฐินนั้น จงเกิดปรากฏในความเป็นทิพย์ อานิสงส์จงเกิดเป็นมหาลาภ เกิดเป็นความคล่องตัวกับข้าพเจ้าในการสร้างบุญบารมีได้อย่างเต็มกำลัง
และสำหรับพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันที่หมู่คณะเราจะไปถวายมหาสังฆทานที่บ้านสายลม ก็ขอโมทนาหรือร่วมบุญได้ตามอัธยาศัยตามจิตศรัทธาตามกำลังของเรา ตั้งใจว่าเราพยายามทำมากน้อยสม่ำเสมอทุกเดือน เพราะตรงนี้เราจะเอาบารมีของความวิริยะของความเพียรของความสม่ำเสมอ เพื่อจิตเราจะได้มีกำลังใจว่าทานบารมีเราเต็มแล้ว ทำน้อยแต่ได้ผลมากอานิสงส์มาก เราก็เลือกทำในจุดที่เกิดกำลังที่สุด อานิสงส์สูงที่สุด และสุดท้ายก็ฝากบอกประชาสัมพันธ์ในเรื่องของการเขียนแผ่นทองอธิษฐานในการสร้างพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพาน ก็ขอให้เราตั้งจิตเขียนโดยทรงอารมณ์อยู่บนพระนิพพาน ตั้งใจเขียนของตัวเราเองเพราะเป็นเรื่องของบุญกุศลที่เป็นบุคลาธิษฐานเฉพาะตน จะไปพระนิพพานเราไปได้ด้วยตัวเราเอง คนที่เขาไม่ไปเขายังไม่อยากไป เราไปเข็นเราไปฝืนมันก็ไม่ได้ มีแต่เราเท่านั้น พาคนอื่นไปก็ไปไม่ได้ ไปได้ด้วยตนเอง เป็นเรื่องที่ต้องทำด้วยตัวเองเพื่อตัวเองเท่านั้น
สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน ขอให้ทุกคนมีความสุขความเจริญ มีความพากเพียรในธรรม วันที่ 22 ธันวาคมก็จะมีคอร์สเมตตาสมาธิ อีกสักครู่ ไม่กี่วันก็จะเริ่มมีการสมัครลงทะเบียน ถ้าเราสนใจก็พยายามตั้งใจเจียดเวลา ตั้งใจตั้งมั่นที่เราจะมาปฏิบัติกัน สำหรับวันนี้ก็ขอให้ทุกคนมีความเจริญก้าวหน้าในธรรมขององค์สมเด็จพระจอมไตรศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า อยู่ในกระแสแห่งสัมมาทิฐิตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพานเป็นที่สุดกันทุกคนทุกท่านด้วยเทอญ
ถอดเสียงและเรียบเรียง โดย คุณ รัตนา