green and brown plant on water

การทรงอารมณ์พระนิพพาน

เวลาอ่าน : 4 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน” 

วันเสาร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ 2565

เรื่อง การทรงอารมณ์พระนิพพาน

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

4 อสงไขยกำไรแสนกัลป์ หลักคือกัลป์นะ อสงไขยคือนับไม่ถ้วน  กำไรแสนกัลป์ กับอีกแสนกัลป์ กัลป์ก็คือ 1,000 ปี   ลูบก้อนหินด้วยผ้าแพร 1  ครั้ง ดังนั้นระยะเวลามันไม่ใช่แค่น้อยๆ เลขศูนย์ นี่ไม่รู้จะเป็นจำนวนเท่าไรเมื่อทดเป็นระยะเวลาของมนุษย์ที่เรียกว่าปี   ดังนั้นอันที่จริงแล้วเราเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏมา  นับเวลาไม่ได้  มากกว่า 1 อสงไขย มากกว่า 4 อสงไขย มากกว่าล้านล้านล้านล้านล้านอสงไขย  เพียงแค่เราไม่มีปัญญา ไม่มีญาณเครื่องรู้ที่จะไปจดจำ  เรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมา แต่ละภพแต่ละชาติของเราได้  บุคคลที่ท่านสามารถระลึกชาติได้  ทุกชาติทุกภพ  เกิดมาจำนวนมากเท่าไหร่  ระลึกชาติได้ทั้งหมด     มีเพียงแต่พระพุทธเจ้าเท่านั้น   ในญาณเครื่องรู้ก่อนที่จะอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้ขึ้นเป็นพระพุทธเจ้า ญาณในการระลึกชาติทั้งหมด ก็จะเกิดปรากฏขึ้นมา ระลึกรู้จนถึงชาติต้นที่เป็นชาติแรกที่ปรากฏ  ซึ่งเรื่องเหล่านี้ถือว่าเป็นเรื่องอจิณไตย คำว่าอจิณไตยแปลว่า วิสัยของปุถุชนคนธรรมดา ไม่จำเป็นไม่ต้องไปคิด ไม่ต้องไปนึกว่ามันเป็นยังไง ไม่ต้องไปรู้ทั้งหมด  เป็นเรื่องที่ถึงรู้ก็บางครั้งเกินปัญญาการรับรู้ของปุถุชน หรือคนที่ไม่ได้อยู่ในวิสัยของพระโพธิสัตว์หรือพระพุทธเจ้า 

เอาเป็นว่าระยะเวลาในการเกิดของเรามันยาวนานมาก  แต่จิตของเราที่ยังหลงเกาะ หลงยึด หลงในวัฏสงสารมันเป็นไปเพราะว่าเราถูกลบ  ถูกล้างสัญญา เหตุผลของธรรมชาติของธรรม ที่เขาจำเป็นต้องล้างสัญญาเพราะว่า  หากไม่ล้างสัญญา ความวุ่นวายมันก็ยิ่งเกิด  เพราะทุกคนที่จำได้ระลึกได้ก็จะไปทวงไปยึด    ที่แห่งนี้  เป็นบ้านของฉัน เดิมสมบัติตรงนี้เป็นสมบัติเดิมของฉัน อันนี้ลูกฉัน อันนี้หลานฉัน ความวุ่นวายมันก็เกิดขึ้นอย่างนับไม่ถ้วน จะมีก็เพียงแต่ในภพของเทวดาพรหมเท่านั้นเอง ที่ถึงเวลาจุติขึ้นมา วิมานต่างๆ ความเป็นทิพย์ต่างๆ ปรากฏขึ้นเป็นของตนอยู่แล้ว มีความสบาย มีความสุขอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องไปดิ้นรนแย่งชิง แสวงหาอย่างภพที่เต็มไปด้วยความทุกข์ความขาดแคลน อย่างเช่นภพของมนุษย์ แต่ในภพของมนุษย์ ในแต่ละยุคแต่ละสมัย ก็มีบุญแตกต่างกัน อย่างภพของมนุษย์ในยุคของเรา มนุษย์มีอายุยืนยาว 120 ปี แต่ในภพของมนุษย์ในยุคสมัยของพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น อย่างเช่น ยุคของพระศรีอริยเมตไตรยรยท่านก็บอกว่า มนุษย์มีอายุยืนเป็นแสนปี หนุ่มสาวเหมือนอายุประมาณ 16-17 ตลอด แก่ช้า  มีสมบัติ ปรารถนาสิ่งใดก็มีเหมือนกับต้นกัลปพฤกษ์ คือมีทุกสิ่งทุกอย่างจัดสรรให้ ทุกคนไม่มีความขาดแคลน มีความหล่อความสวย มีความเป็นหนุ่มเป็นสาวตลอด พร้อมพรั่งด้วยบุญบารมี มีสติปัญญา

เมื่อครั้งพระศรีอริยเมตไตรยรยทรงบรรลุ ปรากฏในความเป็นพระพุทธเจ้า ท่านเทศน์โปรดแค่คำเดียว ก็บรรลุอรหันตผลกันไปตามๆ กัน เรียกว่าฟังธรรมเพียงครั้งเดียว ก็บรรลุธรรมกันเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งยุคสมัยนั้นก็มีความแตกต่างกัน แต่ในขณะเดียวกัน การที่เรามาเกิดในยุคของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือสมเด็จพระสมณโคดมพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าองค์ที่ 4 แห่งภัทรกัลป์ ก็ให้เราพิจารณาว่า ในขณะที่มีความทุกข์มากมายแบบนี้ ก็ยิ่งเป็นเหตุสำคัญ  ที่เราจะต้องไม่ต้องประมาท  เราจะต้องปฏิบัติเพื่อให้เข้าถึงซึ่งพระนิพพานให้ได้    หากเราพลาดจากพระพุทธเจ้าองค์นี้ไป  ก็ไม่ใช่ว่าเราจะสามารถไปพบไปเจอพระศรีอริยเมตไตรยได้  ครูบาอาจารย์   โดยเฉพาะหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านสอนไว้ว่า ขนาดปฏิบัติยังเอาดีขนาดนี้ไม่ได้ เรายังหวังจะได้เจอพระศรีอริยเมตไตรย ถึงเวลานั้นหากประมาท แล้วพลาดจากพระศรีอริยเมตไตรย ตกลงสู่อบายภูมิ เอาเป็นว่าถ้าใครตกนรกในช่วงนี้ กว่าจะพ้นขึ้นมาได้

ก็ปรากฏว่าเลยยุคพระศรีอริยเมตไตรยไปซะแล้ว เพราะยุคสมัยการเสวยกรรม มันต้องใช้เวลายาวนาน มันไม่ใช่เพียงแค่แป๊บเดียว 

ด้วยเหตุนี้ กำลังใจความเมตตาของครูบาอาจารย์ ท่านก็เลยเมตตา   สอนในเรื่องของการปิดอบายภูมิ สอนในเรื่องของศีล สอนในเรื่องของเคล็ดลับ ที่เราขออนุญาตอาราธนาขอให้พระยายมราช ท่านเป็นพยานบุญ ขอให้เทวดาผู้ใหญ่ทั้งหลายท่านเป็นพยานบุญให้กับเรา ซึ่งข้อนี้ก็เป็นเครื่องบรรเทาเบาบาง ในการลงสู่อบายภูมิ ยิ่งหากเราสร้างบุญสร้างกุศล ถวายสังฆทาน สร้างวิหารทาน สร้างพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐมไว้เป็นปกติ สร้างพระชำระหนี้สงฆ์ไว้เป็นปกติ  กำลังบุญ กำลังในการปิดอบาย นอกเหนือจากการรักษาศีล ก็จะมีเครื่องกั้น เครื่องป้องกัน การร่วงลงสู่อบายภูมิของเราในหลายๆ ทาง ซึ่งในส่วนต่างๆ ก็  หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านก็เมตตาสอนไว้แล้ว

แต่วันนี้สิ่งที่จะอธิบาย จะสอนให้ฟัง  เพิ่มเติมตอบย้ำไว้ในจิตของเรา  ก็คือกำลังใจในการปฏิบัติของเราหากเราไม่ได้ปรารถนาพุทธภูมิ หากเราไม่ได้มีกิจธุระหน้าที่สำคัญอะไรต้องทำ  สิ่งที่เราจำเป็น    ที่จะต้องขบคิดพิจารณาให้ดี ก็คือ  เมื่อเราเห็นธรรมะขนาดนี้  ได้พบเจอครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้า ที่ท่านสอนธรรมะ  ถ่ายทอดธรรมะ จนเราเข้าใจเรื่องของพระนิพพานได้มากขนาดนี้แล้ว เรายังไม่ไป เรายังไม่ตั้งใจปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน ก็ถือว่าเราประมาท จำไว้เสมอว่า  พระพุทธวัจนะคำสุดท้ายของพระพุทธเจ้าที่ทรงตรัสก่อน  ทรงเสด็จดับขันปรินิพพานคือ     จงอย่าประมาทในกาลทั้งปวง ความหมายที่ท่านทรงตรัสนั้นสั้นๆ แต่มีความลึกซึ้ง ความลึกซึ้งที่ว่าคืออย่าประมาท ซึ่งสามารถพิจารณาได้แตกฉานออกไปหลายแง่มุม อย่าประมาทในชีวิต อย่าประมาทในเวลา อย่าประมาทในการปฏิบัติ อย่าประมาทในกิจแห่งการรปฏิบัติเพื่อพระนิพพาน เพราะธรรมชาติของคนเรา อวิชามันตัวเป็นตัวพาหลง เป็นตัวพาให้เราประมาท ประมาทว่าเราก็ทำบุญมาเยอะ เราจะพลาดลงนรกได้เหรอ ประมาทว่าเรายังเป็นหนุ่มเป็นสาวอยู่ อายุ 60 แล้วเรายังก็ยังรู้สึกว่า เราโอ้ยเราอยู่ได้อีกนาน พอเราประมาทว่าโอ้ยเรายังอยู่ได้นาน เราก็ประมาทในการปฏิบัติธรรม เอาไว้ก่อน การปฏิบัติธรรมเอาไว้ก่อน กิจที่เราจะทำเพื่อพุทธศาสนา เราจะถอด ถอดธรรมะ ถอดไฟล์เสียงธรรมะ เราเอาไว้ก่อน พอเราคิดพิจารณาแบบนี้ มันก็เป็นเรื่องที่เราร่วมลงสู่ความประมาท เมื่อเราร่วมลงสู่ความประมาทซะอย่างหนึ่ง การที่เราจะปฏิบัติเพื่อไปนิพพานก็อาจจะคลาดเคลื่อนไปได้

ดังนั้นคนที่ไม่ประมาทควรจะต้องทำยังไงบ้าง คนที่ไม่ประมาทก็หมั่นคิดพิจารณาเสมอว่า ทุกวันเราจะขึ้นไปกราบสมเด็จองค์ปฐม ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าบนพระนิพพานไว้ทุกวัน ไม่เคยขาดเลยแม้แต่วันเดียว บุญ ทาน จะทำโดยตรงหรือทำในลักษณะใดก็ตาม  ขึ้นชื่อว่าความดี  ไม่มีสักวันเลยที่เราจะไม่ได้ทำความดี  สร้างกุศล จะเป็นทานเล็กทานน้อย  เช่น เอื้อเฟื้อเผื่อให้อาหารกับสัตว์ กับคน กับมนุษย์  การใส่บาตร การถวายสังฆทาน ทำบุญทำทานต่าง  ๆ การให้วัตถุสิ่งของสงเคราะห์กับบุคคลต่าง ๆ  ตามกำลังตามความเหมาะสมของเรา

หรือแม้แต่การให้ธรรมะ การให้กำลังใจกับผู้คน ตรงนี้ก็ถือว่าเราสร้างกุศล สร้างความดีไว้ทุกวัน ไม่เคยขาด ไม่เคยหยุด อันนี้ก็ถือว่าเริ่มมีความเพียร มีวิริยะบารมี มีความไม่ประมาท ข้อต่อมาก็คือพิจารณาต่อไปว่าศีลของเราอย่างน้อยที่สุด ศีล 1 ข้อ เรามีเสมอ ศีล 5 ข้อทำได้ทุกวันเป็นปกติ ศีลอย่างน้อยที่สุด คนที่ฉลาดที่สุด กำหนดให้ง่ายที่สุดในเรื่องรักษาศีล ศีลเนี่ย เคล็ดลับของเรื่องศีลอยู่ที่เจตนา    คำว่าเจตนา  ก็คือเจตนาวิรัตน์   คำว่าวิรัตน์แปลว่า งดเว้นการเบียดเบียน เมื่อเข้าใจว่าเป็นคู่ การมีศีลเนี่ยคือการงดเว้นการเบียดเบียน เราก็กำหนดโดยตรงไปว่า เราเป็นผู้ที่ปราศจากการเบียดเบียน  การที่เราจะเป็นผู้ที่ปราศจากการเบียดเบียน ก็ไปตรงกับลักษณะของบุคคล ผู้ที่ทรงในพรหมวิหาร 4 เมตตาเอาไว้ 

ดังนั้นถ้าฉลาดจริง เราก็ทรงอารมณ์ในเมตตาอันไม่มีประมาณไว้ตลอดเวลา  และกำกับจิตในเมตตา ในพรหมวิหาร 4 ต่อว่า ในยามที่เราทรงอารมณ์จิตในพรหมวิหาร 4 หรือแม้แต่เมตตาข้อเดียว จิตเราทรงศีลบริสุทธิ์หมดจด เป็นศีลที่มีกำลังฌานของเมตตาพรหมวิหาร 4 ซึ่งเป็นกำลังสูงกว่า ศีลที่เป็นกำลังของการพิจารณา  ว่าเรางดเว้นการเบียดเบียน  เราถือศีลอยู่เพียงอย่างเดียว

ข้อนี้เป็นจุดสำคัญ เป็นตัวชี้  ตัวตัดเป็นตัดตาย ตัวตัดเชือกของการเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้า  คือความเป็นพระโสดาบัน  จุดสำคัญที่ว่านี้เพราะว่า เกณฑ์แห่งการทรงอารมณ์ในความเป็นพระโสดาบันนั้น  ประกอบไปด้วยการตัดสังโยชน์ 3 ประการ ข้อแรกคือศักยทิฐิ  ศักยทิฐิ ก็คือ การเกาะการติดในร่างกาย  อารมณ์ของศักยทิฐิ  ในอารมณ์ของพระโสดาบันนั้น  เป็นอารมณ์เบาบางเพียงแค่  คิดพิจารณาไว้เสมอว่าเราต้องตาย ตายเมื่อไหร่เราไปพระนิพพาน ต้องควบพิจารณาให้จบ ไม่ใช่เพียงแค่พิจารณาแค่มรณานุสติคือความตาย

คนที่พิจารณาแล้วไม่ครบจบรอบ แล้วส่วนใหญ่ พิจารณาถึงความตาย เราตายแน่ ยังไงเราต้องตายแต่พอพิจารณาไม่จบ  คือไม่พิจารณาถึงคติที่ไป พอพิจารณาถึงความตาย กลับกลายเป็นอารมณ์จิต เกิดความกลัว เกิดความเศร้าหมอง เกิดความกังวลในจิต ส่วนบุคคลที่เคยพิจารณาหรือตั้งคติที่ไปของตน  คือตั้งเข็มทิศ การจุติของตนไว้ชัดเจนอยู่แล้ว เป็นอธิษฐานบารมี เราตายเมื่อไหร่เราไปพระนิพพาน ถ้าหากอารมณ์เราปรารถนาพระนิพพานจริง รักในพระนิพพานจริง อารมณ์จิตที่เราตายแล้วเราจะได้ไปนิพพาน มันกลับกลายเป็นว่ายินดี กับยินดี ดังที่เราจะเห็นในอารมณ์ของพระอรหันต์ ครูบาอาจารย์หลายรูป ที่ท่านพูดเสมอ บอกว่าท่าน เบื่อธาตุขันธ์ของท่านเต็มที ท่านเห็นทุกข์  ท่านปรารถนาว่า   ท่านไปท่านกลับสบาย  แต่บางครั้งเหตุที่ท่านทรงดำรงขันธ์ไว้ เพราะเกิดเมตตาสงสารลูกหลาน ลูกศิษย์ ที่ยังห่วงยังเกาะในร่างกายขันธ์ 5 ของท่าน แต่อันที่จริง ลูกศิษย์ที่เป็นลูกศิษย์ที่ดี บางครั้งกลับมีความรู้สึกว่า   ไม่ว่าท่านจะมีร่างกายขันธ์ 5 ก็ตาม ครูบาอาจารย์ท่านอยู่กับเราเสมอ เรามีกำลังของมโนมยิทธิ เรารู้สึกว่าท่านอยู่กับเราตลอด อย่างหลวงพ่อฤาษีลิงดำตัวอาจารย์เองก็ไม่ได้รู้สึกว่าท่านห่าง ไม่ได้รู้สึกว่าท่านตาย รู้สึกว่าท่านอยู่กับเราตลอด ตรงจุดนี้หากเราอารมณ์จิตเข้าถึงได้ เราจะไม่ได้รู้สึกเลยว่า ครูบาอาจารย์ที่ท่านสิ้นไป มรณภาพไป ทอดทิ้งเรา หรือห่างจากเรา หรือเราจะไม่ได้พบเจอ หรือกราบท่าน

อันที่จริงการไปกราบท่าน  ด้วยกายทิพย์อาทิสมานกาย ด้วยกำลังใจที่เราทรงอารมณ์กรรมฐาน ทรงอารมณ์ฌาน   ทรงอารมณ์สมาบัติ   ทรงอารมณ์ความบริสุทธิ์ของจิตในวิปัสสนาญาณ   จนสามารถไปกราบท่านบนพระนิพพานได้  ท่านกลับมีความยินดีปรีดามากกว่า  ลูกศิษย์ที่เพ้อพบ ตีอกชกตัว ร้องไห้พิไลรำพัน  ว่าท่านตายแล้ว  ตายแล้วอยู่นั้น    ดูคล้ายกับมีความรำลึกถึงกตัญญู   แต่อารมณ์ใจในการที่จะปฏิบัติตามแนวทางตามแบบอย่างของท่านนั้น   ยังมีอารมณ์ใจยังมีกำลังใจ น้อยกว่าที่ควรจะเป็นไปมาก

ดังนั้นให้เราพิจารณาจิตของเราดูว่า เมื่อไรก็ตามที่เราตัดศักยทิฐิพิจารณาความตาย มีคติที่ไปชัดเจนตั้งอารมณ์จิตไว้บนพระนิพพานแล้ว  ยิ่งเรารักเคารพครูบาอาจารย์มากเท่านั้น   เราจงใช้จุดนี้ เป็นเครื่องผูกกำลังใจเราไว้ว่า ในเมื่อเรารักหลวงพ่อ ในเมื่อเรารักพระพุทธเจ้า ในเมื่อเรารักครูบาอาจารย์ไม่ว่าจะเป็นสายใด รักหลวงตามหาบัว  รักหลวงพ่อจรัญ  รักหลวงพ่อสดวัดปากน้ำ  เคารพรักมากเท่าไหร่  เรายิ่งเป็นเหตุที่ต้องเป็นกราบท่านทุกวัน  บนพระนิพพาน ซึ่งใช้เหตุนี้  เป็นอุบายเครื่องผูกจิต การปฏิบัติธรรม บุคคลทั้งหลายจะก้าวหน้าในธรรมได้  ก็ด้วยปัญญา ในการหาอุบายธรรม ในการหาอุบายในการปฏิบัติ เรากราบพระด้วยความเคารพรัก พระที่เรารักมากเท่าไหร่ เราก็ยิ่งอยากไปกราบท่าน ยิ่งขึ้นไปกราบบ่อยมากเท่าไหร่ ความถี่ในการปฏิบัติก็มากขึ้นเพียงนั้น ยิ่งรักท่านมากเท่าไหร่ ไปคุยกับท่านนานมากเท่าไหร่ อารมณ์ที่เราทรงฌานทรงสมาบัติก็มีความยาวนานขนาดไหน

อย่างในวันนี้ก็จะเล่าเรื่องการปฏิบัติของลูกศิษย์ในหลายๆ คน ถ่ายทอดประสบการณ์  ให้กับพวกเราได้ฟังกัน  ในอุบายต่างๆ    ที่ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นกายทิพย์    มาสอนมาถ่ายทอด   อันที่จริงความตั้งใจของท่านเนี่ย  ถ้าเราสามารถยกอาทิสมานกายขึ้นไปบนพระนิพพานบ่อยมากเท่าไหร่ ยาวนานได้มากเท่าไหร่ อารมณ์จิตเราจะยิ่งชินกับอารมณ์พระนิพพานได้ยาวนานเท่านั้น นั่นก็คือชินกับอารมณ์ของอรหันตผลมากขึ้นเพียงใด คำว่าฌาน แปลว่าชิน ยิ่งชินเท่าไหร่กระแสธรรมะ กระแสนิพพาน ยิ่งเข้าเนื้อ ยิ่งซึมเข้าเนื้อจิตของเรา  อย่างที่บอกว่าเหมือนกับผลไม้แช่อิ่ม อารมณ์จิตเราแช่ในอารมณ์อกุศลมากเท่าไหร่ จิตเราก็กลายเป็นดวงจิตอกุศลเข้าเนื้อไป  เข้าเนื้อในไป ยิ่งซึมลึกไปเรื่อย ๆ หากอารมณ์จิตของเราอยู่กับอารมณ์ของกุศล อยู่กับอารมณ์ของพระนิพพาน อยู่กับอารมณ์ของเมตตาฌาน อยู่กับอารมณ์ของบุญ ยิ่งชิน ยิ่งทรงอารมณ์มากเท่าไหร่  อารมณ์เข้มข้นลึกซึ้งเท่าไหร่ ยาวนานมากเท่าไหร่  กุศลความดี อารมณ์จิตนั้น ก็ซึมเข้าลึกสู่เนื้อจิตของเราฉันนั้นด้วยเช่นกัน 

ดังนั้นการที่เราทรงอารมณ์พระนิพพานไว้ มีความยาวนานต่อเนื่องมีความแนบแน่น มีความปีติ มีความสุข มีความผ่องใส อารมณ์พระนิพพาน ก็ซึมลึกเข้าเนื้อจิต อารมณ์ของเราก็จะเคลื่อน พัฒนาจากอารมณ์ของปุถุชน ค่อยๆ เข้าสู่ของอารมณ์พระอริยเจ้า  ค่อยๆ ซึมลึกเข้าสู่อารมณ์ที่สูงขึ้น จนกระทั่งอารมณ์ของเราทรงความผ่องใส มีความตั้งมั่นได้ตลอดเวลา

ดังนั้นบางคนที่ขึ้นไปฝึก  ด้วยกำลังของของมโนมยิทธิบนพระนิพพาน  เจอครูอาจารย์ที่ท่านถ่ายทอด  ที่ท่านสอน  บางคนพระพุทธองค์สอนบ้าง บางคนท่านพระสารีบุตรสอนบ้าง บางคนท่านพระโมคคัลลานะสอนบ้าง  บางคนสมเด็จองค์ปฐมทรงสอนบ้าง บางคนหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านสอน มีบางคนท่านก็สอนให้อุบายว่า ให้อยู่ที่วิมานของตัวเองแล้วก็กำหนดกายทิพย์เดินจงกรมไปเรื่อยๆ เดินวนรอบวิมานของตัวเองไปเรื่อยๆ โดยทรงอารมณ์เห็นกายทิพย์ของเรา       เป็นกายพระวิสุทธิเทพ กำหนดจิตวนไปเรื่อยๆ ในอารมณ์จิตของเราที่ทรงอารมณ์นั้น  ตลอดเวลาที่ทรงอารมณ์ของพระวิสุทธิเทพ บนวิมานตัวเองบนพระนิพพาน วนไปนานเท่าไหร่ นั่นก็แปลว่า เราทรงอารมณ์พระนิพพานยาวนานเท่านั้น  หรือบางครั้งบางคน ท่านก็ให้อุบายมาว่า     ให้สวดคาถาเงินล้านก็ดี อยู่บนพระนิพพาน       บางทีครูบาอาจารย์ท่านก็เรียกว่าห้องพุทธคุณ ขึ้นไปสวดอยู่เบื้องหน้าพระปัจเจกพุทธเจ้าบนพระนิพพาน  สวดเข้าไปก็นับ จะนับไปด้วยก็แต่จุดที่เราตั้งจิตขึ้นไปสวดบนพระนิพพาน ถือว่าอารมณ์จิตเราทรงกำลังใจสูงสุดละ คือ

  1. ต้องทรงงอารมณ์ที่เป็นฌานสมาบัติ
  2. กำลังของมโนมยิทธิ แปลว่าเราทรงในอารมณ์ของอภิญญา
  3. เมื่อเราทรงอารมณ์อยู่บนพระนิพพาน  แปลว่าอารมณ์ความบริสุทธิ์ของจิต ในอารมณ์ของวิปัสสนาญาณของเรามีกำลังสูงสุด

เราไปสวดมนต์ ไปสวดคาถาต่างๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน  ต่อเบื้องหน้าพระพุทธเจ้าก็ดี  หรือสวดคาถาเงินล้าน ต่อเบื้องหน้าพระปัจเจกพุทธเจ้าซึ่งเป็นเจ้าของคาถาก็ดี ผลอานิสงส์ก็ยิ่งปรากฏความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์มากขึ้น  เพราะกำลังฌาน กำลังสมาธิ กำลังวิปัสสนาญาณถึงพร้อมครบทั้งหมด แล้วก็เป็นอุบายที่ทำให้เราฝึกการทรงจิตไว้บนพระนิพพานให้ยาวนานที่สุดด้วย  ลองคิดเอาว่าหากแล้วสวดคาถาเงินล้าน 108 จบอยู่เบื้องหน้าพระปัจเจกพุทธเจ้าบนพระนิพพาน 108 จบกี่นาที   นั่นก็แปลว่าเราส่งอารมณ์เช่นนี้ไว้ตลอด

แต่สิ่งสำคัญก็คือ บางคนฟังแล้ว บอกว่าแล้วเราจะเอาเวลาที่ไหนไปทำอะไร  อันที่จริงการฝึกมโนยิทธิ ความสามารถของจิต ที่เราควรจะต้องฝึกให้ได้ก็คือ ลืมตาทำได้ หลับตาทำได้ ทำกิจธุระต่างๆ แต่จิตเราทรงอารมณ์อยู่บนพระนิพพานได้ ไอ้ตรงจุดนี้เป็นเรื่องปกติ  ขับรถไปทรงอารมณ์จิตบนพระนิพพานได้  ทรงฌานได้ พูดคุยกับคนอื่นในระหว่างนี้ อย่างอาจารย์สอน แต่จิตก็อยู่ข้างบน  เรื่องนี้แม้แต่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เวลาที่ท่านเมตตาสงเคราะห์รับแขก พบญาติโยม อาทิสมานกายท่านก็ยกขึ้นไปบนพระนิพพาน  สอบถามพระพุทธองค์   สอบถามสมเด็จองค์ปฐมตลอดเวลา  ตรงจุดนี้เป็นเรื่องปกติ เป็นวิสัยของผู้ทรงฌาน เป็นวิสัยของผู้ที่ปฏิบัติในกำลังของมโนมยิทธิ 

ในเรื่องของอภิญญาอย่างที่บอกไว้เสมอว่า หากยังต้องตั้งท่า  ยังถือว่าช้าเกินไป  จิตถึง พลังถึง  จิตถึงพระนิพพาน อาทิสมานกายเราถึงพระนิพพาน เข้าฌานแค่ลัดนิ้วมือเดียว เข้าในอารมณ์ของกำลังมโนมยิทธิ เรายกจิตไปพระนิพพาน รวดเร็วพียงแค่ลัดนิ้วเดียว ต้องฝึกตรงจุดนี้ให้เป็นปกติ ซึ่งเป็นเรื่องที่ทุกคนเขาก็ฝึกกันได้ ไม่ได้ฝึกกันได้คน สองคน เค้าฝึกกันได้เป็น 10 เป็น 100 คน  ทรงอารมณ์ได้เป็นปกติ พอทรงอารมณ์ทั้งหมดในอารมณ์นิพพาน   อยู่บนพระนิพพาน นานเข้านานเข้า  ใจของเราก็จะยิ่งมีธรรมฉันทะ มีอารมณ์แนบอยู่กับการปฏิบัติ มีอารมณ์แนบอยู่กับพระนิพพาน ซึ่งบางครั้ง บางคน ครูบาอาจารย์ก็ยังให้อุบายว่า ให้เรานี่แหละปฏิบัติชอบอะไรก็ให้วิ่งเล่นอยู่ตรงแถวใกล้ๆ พระพุทธเจ้า  ไม่รู้จะยังไงแล้วก็ให้เล่นอยู่แถวนั้น เห็นอาทิสมานกายตัวเองเป็นเด็กวิ่งเล่นอยู่ใกล้ๆ พระพุทธเจ้าไว้ อย่าห่างพระพุทธเจ้า กำหนดไว้อยู่กับพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน ให้จิตเกิดความพึ่งพอใจ จิตเกิดความแนบอยู่กับพระนิพพาน  เพราะเมื่อไรก็ตามที่จิตเกิดความแนบกับพระนิพพาน  พึงพอใจธรรมฉันทะในพระนิพพาน จิตสุดท้ายก่อนตาย สุดท้ายมันจะรวมตัวกัน ไปจุดเดียวคือพระนิพพาน  

ให้เราคิดเอาง่ายๆ บุคคลทั่วไป สำหรับคนที่เขาไม่ได้ปฏิบัติธรรม หรือบางคนที่เขาไม่เชื่อเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด  เป็นมิจฉาทิฐิ  ไม่ได้ปฏิบัติธรรม  ไม่ได้ฝึกจิต  ไม่ได้ทำสมาธิ  บางครั้งถึงเวลาบุคคลเหล่านั้น เกิดเสียชีวิตกะทันหันอุบัติเหตุบ้าง ตายนอกบ้านบ้าง เราจะเห็นว่าดวงวิญญาณเขากลับมาบ้านฉันใด เพราะจิตมันคิดถึงแต่ว่า ฉันต้องกลับมาบ้าน นั่นก็คือจะเห็นวิญญาณมา เป็นวิญญาณบ้าง เป็นโอปปาติกสัมภเวสีบ้าง จะพยายามหาทางกลับบ้าน    ซึ่งเรื่องนี้แม้แต่ในสมัยของ ยุคที่เกิดสึนามิที่ประเทศไทยก็ดี หลังจากเกิดเหตุการณ์ได้เวลาผ่านไปปี สองปี  คนในพื้นที่ก็ยังเล่าให้อาจารย์ฟังว่า คนที่เขาขับแท็กซี่ไปที่สนามบิน เคยจอดแวะรับฝรั่งตัวเปียก บอกว่าช่วยเรียกรถไปที่สนามบิน เขาก็ขับพาไปจนถึงสนามบินภูเก็ต พอไปถึงเรียบร้อยปรากฏว่าหันไปดู หลังรถว่างเปล่า ไม่มีใครทั้งสิ้น    แต่ก็ไม่แน่ใจ ไม่รู้ว่าวิญญาณของฝรั่งนั้น เขาขึ้นเครื่องบินกลับไปบ้านสำเร็จมั้ย หรือท้ายที่สุดก็ยังอยู่แค่ที่สนามบินเท่านั้น

อันนี้ก็อุปมาให้ฟังว่า  สิ่งนี้ก็คือเรื่องของจิตที่ระลึกถึงว่าสุดท้ายเราจะไปไหน คนทั่วไปก็ยึดติดกับบ้านกับช่อง กับคนที่รัก เราก็อยู่ตรงนี้  รอเวลาจนกระทั่ง  ถึงเวลาถึงการที่นายนิรยบาลเค้ามารับ  พ้นจากความเป็นโอปปาติกะสัมภเวสี พอนายนิรยบาลมารับ ก็พ้นจากจุดนั้น เพื่อไปสำนักของพระยายมท่าน แล้วก็มาตัดสินอีกทีว่า จะขึ้นนรก เอ้อ ก็จะลงนรกหรือขึ้นสวรรค์  ตามความดีตามกุศลที่ตนทำ 

แต่คราวนี้ถ้าหากเป็นบุคคลทั่วไป ไม่เคยนึกถึงความดีเลย นึกถึงความเพลิดเพลิน นึกถึงแต่สิ่งไม่ดีของคนอื่น นึกแต่เรื่องราวว่าร้ายคนอื่น นึกถึงแต่ข้อไม่ดีของคนอื่น นึกถึงแต่อกุศลต่างๆ     ใจไม่รู้ตัวว่าคิดอยู่ต่างอกุศล มีความเคยชิน ความที่จิตตั้งตรึกนึกถึงบุญน้อยครั้ง แทบไม่เกิดขึ้นเลย ครั้นถึงเวลาที่ไปที่สำนักของท่านพญายม พญายมก็ถามว่า ท่านตายมาแล้ว เธอตายมาแล้ว  คราวนี้ถึงเวลาพิพากษาว่าเธอจะไปดีหรือไม่ดี  เธอจะลงนรก หรือขึ้นสวรรค์  หากดวงวิญญาณดวงนั้นนึกถึงบุญได้  กุศลพาให้นึกถึงบุญได้  ไม่ว่าจะเป็นเพราะว่าเคยปฏิบัติ เคยทำมาบ่อย เคยใส่บาตรมาทุกวัน เคยสร้างกุศลมาเป็นเนืองนิตย์ หากนึกถึงบุญได้  ท่านก็ให้ อ่า! บุญก็มีบาปก็ มีแต่นึกถึงบุญได้ถือว่าอารมณ์จิตที่นึกถึงบุญได้นี้  เป็นอารมณ์จิตสุดท้ายก่อนตายของเธอ  เธอไปเสวยผลบุญตามผลที่พึงได้ก่อน  อันนี้ก็เป็นเมตตาของท่าน

บางครั้งบางคนบอกว่าทำความดีมามาก แต่ลึกๆ บางคนเคยทำบาปมาหนัก   มีอารมณ์จิตรู้สึกว่าเราทำบุญล้างความบาป  เราทำบุญมาทดแทนความทุกข์  ความกังวลจากบาปที่เราทำ ทำบุญไปแต่จิตใจของเราเศร้าหมอง   พอจิตใจของเราเศร้าหมองปุ๊บ  ชินกับอารมณ์ที่ทำบุญไปแล้ว  แต่กลับไปหวนนึกถึงบาป ว่าเราทำบุญนี้มาล้างบาป  มันจะพอหรือไม่ ยังมีความเครียดความกังวลในบาป ในอกุศลที่เราเคยทำอยู่เสมอ อารมณ์จิตนี้บางครั้งพอไปถึงที่สำนักพญายม  ก็ปรากฏว่านึกถึงกุศลไม่ออก ปากกลับพูดถึงอกุศลกรรมที่ว่าเอาไว้ ถึงแม้ว่าเคยทำบุญเยอะตรงจุดนี้  หากไม่ได้อธิษฐานขอให้พระยายมราชเป็นพยานในทุกการบุญของเรา ท่านก็จำเป็นที่จะต้องถาม 3 ครั้ง  นึกถึงบุญได้ไหม?  นึกถึงไม่ได้ พอนึกถึงไม่ได้ปุ๊บ ก็กลายเป็นว่า  ต้องลงไปข้างล่างเสวยผลกรรมก่อน  แต่หากคนที่เขามีความฉลาด  ขออธิษฐาน  ขอให้พระยายมราชเป็นพยาน   ขอให้หลวงพ่อเป็นพยาน  ขอให้เทวดาผู้ใหญ่  อาทิเช่น  พระอินทร์   ท่านท้าวสหัมบดีพรหม  หลวงพ่อ พระพุทธองค์  เราตั้งจิตอุทิศถวายให้ ถึงเวลาหากคับขัน หรืออกุศลมันเข้าเต็มกำลังจริงๆ ต้องไปที่สำนักพญายม ถึงเวลากุศลมันเข้าหลายชั้นเหลือเกินจนกระทั่ง  เกิดความกลัว  เกิดความหวาด  นึกถึงบุญกุศลไม่ได้   แต่ปรากฏว่าได้เหตุที่เราเคยอธิษฐาน    ขอให้อุทิศให้กับพระยายมราช  และขอให้ท่านเมตตาเป็นพยานบุญ  เรานึกไม่ได้จริง 3 ครั้ง  แต่ท่านก็บอกเอาล่ะ    เธอเคยให้ฉันเป็นพยานบุญ  อุทิศส่วนกุศลให้ฉันและนายนิรยบาลทั้งหลาย  ดังนั้นฉันเป็นพยานให้ว่าเธอเคยไปสร้างพระไว้ที่นี่ เธอเคยสร้างกุศลไว้ที่นี่ เธอเคยอธิษฐานว่าทุกครั้ง  ขอให้ท่านเป็นพยานบุญให้  ดังนั้นเธอไปสวรรค์ซะก่อน

ตรงจุดนี้ก็เป็นเรื่องที่ ทำให้รอดพ้นไปได้หวุดหวิด ซึ่งคนที่ไม่ได้มาปฏิบัติธรรม ก็ไม่ได้รู้ความนัยข้อนี้ หรือบางครั้งบางคนกลับมีวาจา ที่ไปหยอกล้อ ไปสามหาว ไปล้อเลียนพญายมราช ก็ให้เราลองคิดพิจารณาดูว่า

  1. ด้วยจิตตนเองเป็นมิจฉาทิฎฐิ
  2. จิตปรามาส ไปปรามาสท่านซึ่งเป็นพรหมผู้ใหญ่ มีหน้าที่สำคัญในสังสารวัฎ คือพญายมราช บางคนเคยไปล้อเลียนต่างๆ

ถึงเวลาจิตอยู่กับอกุศล นึกถึงผลบุญไม่ออก  อาจจะเคยทำบุญ แต่ลักษณะของบุคคลประเภทนี้  ก็มักจะทำบุญในด้านของทางโลก ช่วยคนทั่วไป ช่วยคนที่พิการ ช่วยเด็ก แต่บางครั้งก็ไม่ได้สนใจที่ว่า จะทำบุญเขตเนื้อนาบุญ  เขตพระพุทธศาสนา ถึงเวลาบางครั้ง พอไปถึงมีกรรมที่ไปปรามาสพญายมราช นึกถึงบุญกุศลไม่ได้ คิดว่าผลลัพท์จะเป็นยังไงนะ   มีผลกรรมที่ไปปรามาสท่านด้วย   ดังนั้นท่านก็ไม่สามารถจะช่วยได้    จำไว้เสมอว่าเมื่อไหร่       เราปรามาสพระรัตนตรัย  พระรัตนตรัยก็ไม่อาจช่วยเรา  เนื่องจากจริงๆ ท่านเมตตา แต่อารมณ์ที่ปรามาสมันเป็นเครื่องขัดขวางกำลังของพุทธคุณ  ที่จะมาช่วยเราได้ อุปมาเหมือนจิตเราสร้างเปลือก  สร้างสิ่งที่มาคุมให้ท่านช่วยเราไม่ได้   เป็นความมืดบอด ที่ทำให้ท่านช่วยเราไม่ได้ หรือแม้แต่การที่เราปรามาสครูบาอาจารย์ แรงครูบาอาจารย์ที่ท่านสอน     ที่ท่านประสิทธ์ประสาทวิชาต่างๆ สอนสมาธิต่างๆ ให้เรา เราไปปรามาส  เราไปคิดร้ายต่อท่าน ถึงเวลาแรงครูก็ไม่อาจจะสามารถเกื้อกูลส่งผลได้

ดังนั้นก็ให้เราหมั่นขอขมาพระรัตนตรัยไว้เสมอ ซึ่งเรื่องพวกนี้ครูอาจารย์ โดยเฉพาะสายหลวงพ่อฯ ท่านก็สอนไว้เรียบร้อยแล้ว  ดังนั้นในเรื่องของบุคคลทั้งหลาย ที่จะรอดพ้นจากอบายภูมิ หากเราพิจารณาด้วยญาณเครื่องรู้ พิจารณาด้วยปัญญาในธรรม จำนวนคนที่ร่วงลงนรก  กับคนที่เอาแค่ไปสวรรค์ ยังไม่ต้องพูดถึงไปนิพพานนะ เอาแค่ไปสวรรค์กับร่วงลงนรก คิดว่าร่วงลงนรก ไปสวรรค์เนี่ย อย่างไหนมากกว่ากัน ลงนรกมากกว่าในอัตราส่วน 1 ต่อ 1,000,000 เท่านะ ยิ่งนอกเขตพระพุทธสาสนา ยิ่งคนที่ไม่มีศาสนา ยิ่งอันตรายอย่างยิ่ง ส่วนคนที่ปรารถนาในพระนิพพานนี่ ค่อยเอามาเทียบอัตราส่วน ในระหว่างผู้ที่ปรารถนาพระนิพพานหรือเข้าถึงพระนิพพาน  กับคนที่ปฏิบัติธรรม หรืออยู่ในเขตของความดีไปสวรรค์เทียบกับไปพระนิพพาน ไปพรหมก็น้อยกว่าไปสวรรค์มาก  ไม่ต้องพูดถึงพระนิพพาน อัตราส่วนยิ่งน้อยลงไปอีก

ดังนั้นงานที่สำคัญของความเป็นพระพุทธเจ้า ของพระโพธิสัตว์เนี่ย  งานของพระโพธิสัตว์ คือ รื้อขนมวลสรรพสัตว์เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน  รื้อขนมวลสรรพสัตว์ เป็นงานแบกหาม เป็นการลากถู เป็นงานที่ต้องใช้กำลังมาก เป็นงานที่จะต้องใช้กำลังสงเคราะห์  เพื่อช่วยดวงจิตทั้งหลายให้เข้าถึงพระนิพพานให้ได้มากที่สุด  เท่าที่จะมากได้

ดังนั้นท่านจึงต้องบำเพ็ญบารมีไว้ ต้องเพาะบ่มบารมีของท่านไว้ กว่าเราจะเข้าถึงธรรมขนาดนี้ได้  ปรากฏว่าท่านที่จะต้องเหนื่อยจริงๆ  ก็คือพระพุทธเจ้า ท่านต้องสร้างบารมีเผื่อไว้สำหรับพวกเรา  ต้องสร้างเหตุ สร้างปัจจัย ต้องพาเราสร้างบุญสร้างกุศล  นับตั้งแต่เบื้องต้นเล็กที่สุด ง่ายที่สุด คือเรื่องของทาน  ไปจนกระทั่งถึงศีล ไปจนกระทั่งถึงภาวนา  กว่าจะเข้าเขตภาวนา กว่าจะเข้าเขตตรงจุดนี้ได้  ให้เราแต่ละคนตอนนี้นะ ย้อนทบทวนดูจิตตัวเราว่า กว่าเราจะเข้าสู่เขตของการภาวนา สู่การเจริญกรรมฐานได้ ยาวนานไหม?  กว่าจะตั้งกำลังใจจนปรารถนาพระนิพพาน  จนจิตมีกำลังเข้มแข็ง ยาวไหม? กว่าที่เราจะปฏิบัติจนจิตเกิดฌานสมาบัติ เกิดกำลังของจิต เกิดความผ่องใส ยาวนานไหม?  แล้วก็พิจารณาต่อไปว่า คนทั่วไปบุคคลทั้งหลายจะมาเข้าใจเรื่องของสังสารวัฎ  เข้าใจเรื่องของภพภูมิ ซึ่งมันมีความละเอียด มีความปลีกย่อย  มีการรับรู้ของเวลา รับรู้ของสถานะ สภาวะธรรมของแต่ละภพแตกต่างกันน่ะ  อันที่จริงจุดนี้เป็นจุดที่พระพุทธองค์ท่านทรงเคยปรารภ  เคยอุทานไว้ว่า  ธรรมเป็นของอย่างละเอียดลึกซึ้ง  จะมีผู้ใดสามารถบรรลุได้หรือไม่ท่านก็แทบจะไม่สอนแล้วตอนแรก  แล้วก็ปรากฏท่านท้าวสหัมบดีพรหม ซึ่งโดยตามหน้าที่ ท่านก็เมตตาเสด็จลงมาอาราธนาธรรม

อาราธนาธรรม ก็คือ มาอาราธนาพระพุทธเจ้า มาขอพระองค์ทรงโปรดมวลสรรพสัตว์ทั้งหลาย  ยังมีสรรพสัตว์อยู่ในธรรม  ซึ่งขออาราธนา  และทุกครั้งซึ่งพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม  ก็ขอจงเมตตาอาราธนาพรหมทั้งหลาย  มารับฟังมาทุกครั้ง  ในการแสดงธรรมด้วยเทอญ

ด้วยเหตุนี้ คำอาราธนาธรรมจึงมี  ธรรมปรากฏในคาถาที่ว่า  พรหมมา จะโลกาธิปะติ สะหัมปะติ กัตอัญชะลี      กัตอัญชะลี ก็ประนมมือไหว้  อันทิวะรัง อะยาจะถะ ฉันตีฉะ  อันนี้ก็คือท่านท้าวสหัมบดีพรหม  ผู้เป็นใหญ่อธิบดีพรหมทั้งหลาย ขออัญชลีบูชาแห่งพระธรรม ในทุกครั้งแห่งการแสดงธรรม  ไม่ว่าจะเป็นธรรมที่พระพุทธองค์ทรงตรัส ด้วยพระองค์เอง  หรือแม้แต่พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม  ก็ให้เราน้อมจิตน้อมใจ  กราบนะ ท่านท้าวสหัมบดีพรหม ซึ่งหากท่านไม่อาราธนาไว้ พวกเราก็ไม่ได้เข้าถึงธรรม ได้ปฏิบัติถึงจุดนี้ ให้เราน้อมจิตกราบ ท่านมีความสำคัญอย่างยิ่ง

วันนี้ก็เท่ากับเราได้เรียนในอตีตังสญาณ ในทิพจักษุญาณไปพร้อมๆ กัน  บางคนก็เห็นภาพเหตุการณ์  เห็นภาพ ไม่ว่าจะเป็นท่านพญายมราช  ไม่ว่าจะเป็นท่านท้าวสหัมบดีพรหม  หรือเรายกจิตอยู่บนพระนิพพานอยู่แล้ว  อารมณ์จิตนี้ก็ทำให้เราเข้าใจในเรื่องการปฏิบัติ ในเรื่องของภพภูมิ ในเรื่องของสังสารวัฏมากขึ้น 

สุดท้ายก็ให้เราทรงอารมณ์จิตในกำลังของมโนมยิทธิ กราบสมเด็จองค์ปฐม กราบทุกท่านบนพระนิพพาน กราบเทพพรหมเทวาทุกพระองค์ ท่านมีพระคุณทุกพระองค์ ตั้งจิตอธิษฐาน น้อมจิตซาบซึ้งรำลึกถึงพระคุณของท่าน ทุกท่านล้วนมีความสำคัญจนเกิดเราที่เข้าสู่สมาธิ เข้าสู่ธรรม เข้าสู่ความดีในทุกวันนี้

เทวดาครูบาอาจารย์หลายท่านดลจิตดลใจ ให้เรามาฝึก มาปฏิบัติด้วยกัน เทพพรหมหลายๆ องค์ ท่านก็ดลจิตดลใจให้มาพบมาเจอ ก็ขอให้เราน้อมจิตกราบ  จิตมีความยินดีในพระนิพพาน  จิตมีความผ่องใสสว่างอย่างยิ่ง กำหนดจิตว่าบุญทั้งหลายจงมารวมตัวกัน  กุศลทั้งหลายจงมารวมตัวกัน บารมีทั้งหลายจงมารวมตัวกัน  จิตเป็นแก้วสารพัดนึก จิตผ่องใสเป็นแก้วสารพัดนึก   จิตผ่องใสเป็นแก้วสารพัดนึก  จิตผ่องใสเป็นแก้วสารพัดนึก สว่าง          อาทิสมานกายสว่าง แล้วกราบพระพุทธเจ้า

สำหรับวันนี้ ก็ตั้งใจนะ เราในฐานะหมู่คณะ   ในกลุ่มกรรมฐาน     เมตตาภิรมณ์กรรมฐาน    เราก็ได้ถวายมหาสังฆทาน กระแสบุญก็เกิดมากมาย  อาจารย์ก็ไปได้สร้างพระสมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องประดับเพชร ปิดทองประดับเพชร เป็นพระชำระหนี้สงฆ์ด้วย เป็นพระ 4 ศอกด้วย เป็นพระประธานด้วย อานิสงค์ตรงนี้  ก็น้อมถึงเราทุกคน  ให้เราได้บุญได้กุศลเต็มกำลัง  เปิดบุญ เปิดบารมี

สำหรับท่านที่มาใหม่ หรือเข้ามาปฏิบัติอยู่แล้ว  ก็อย่าลืมพยายามที่จะเขียนแผ่นทองอธิษฐาน  ซึ่งต่อไปเราจะร่วมหล่อพระ เป็นพระเจ้าแสนคำอธิษฐานพระนิพพาน  ทุกครั้งที่เรายกจิตขึ้นพระนิพพานเราก็เขียนซักแผ่นนึง  เขียนไปเรื่อยๆ เพราะต้องรวบรวมทั้งหมด 100,000 แผ่น รวบรวม 100,000 แผ่นเป็นกำลังของวิริยะบารมี เป็นกำลังของการปฏิบัติ ซึ่งหากเราทำได้ ตัวเราแต่ละคนอาจจะไม่ต้องถึง 100,000 แผ่น แต่ว่าของเราหลายๆ คนร่วมกัน ร้อยคน พันคน   หมื่นคน  มันก็กลายเป็น 100,000 แผ่น ดังนั้นให้เราช่วยกันขยันเขียนหน่อยนะ  สามารถขอแผ่นทองในห้องได้      แล้วก็อีกเรื่องหนึ่ง   คือใครอยากก้าวหน้าในการปฏิบัติมีเวลา   มีความเพียร     ตั้งใจนะ ช่วยแบ่งเบาเพื่อนๆ ที่เคยเสียสละ  นะ ถอดไฟล์เสียงที่อาจารย์สอน มาเป็นข้อธรรมนะ  เราก็เผยแพร่ไป  ตอนนี้ก็มีคนได้ประโยชน์เข้ามาฟัง เข้ามาอ่านมากกว่า 30,000 ครั้งก็กำลังจะขึ้น ไล่ขึ้นไปจนกระทั่งถึงหลักแสน  

แต่ด้วยเหตุที่ไม่ได้ประชาสัมพันธ์ออกไปได้กว้างมากนัก ก็เลยยังประมาณสัก 30,000 กว่า  ซึ่งหากเรามาช่วยกันถอดไฟล์เสียงก็ดี  ตรงจุดนี้ก็จะเป็นประโยชน์กับคนอีกหมู่มาก ที่เค้าก็จะเข้าถึงความดี เข้าถึงกุศล  คนไหนมีจิตเมตตา  แต่คนไหนมีเวลา คนไหนอยากสร้างบารมีในธรรมทาน  ก็ขอเรียนเชิญได้ แล้วก็รับพอดีๆ ไม่ต้องเดือดร้อน เอาที่เราสะดวก เอาที่เราสัปปายะกำลังสบาย ตรงนี้ก็เมตตาช่วยเพื่อนๆ ที่เค้าเป็นทีมงานถอดไฟล์เสียง ตรงนี้หน่อยนะ 

สำหรับวันนี้ก็ขอโมธนาสาธุกับเราทุกคน เราถึงพร้อมทั้งทานอันบริสุทธิ์ ทานอันมีกำลัง ทานอันสำเร็จสมบูรณ์ดีแล้ว เราตั้งจิตในเมตตา ตั้งจิตพิจารณาในศีล พิจารณาในวิปัสสนาญาณ พิจารณาในอารมณ์พระนิพพาน จิตของเราถึงพร้อมใน ทาน ศีล ภาวนา อันบริสุทธิ์แล้ว ก็ขอให้เราทุกคนเจริญรุ่งเรืองในศาสนาของ  องค์สมเด็จพระสมณโคดมพระพุทธเจ้า พระองค์นี้ และขอให้นับแต่นี้ ชีวิตของเราทางโลก มีแต่ความคล่องตัว เปิดสายบุญ สายทรัพย์ สายสมบัติ สายบารมี สายมหาโภคทรัพย์นับอนันต์ ไหลเนืองนอง หลั่งไหลเข้ามาสู่ชีวิตของเราทุกคน นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปด้วยเทอญ ก็ขอให้เราทุกคนคล่องตัว คล่องตัว เจริญรุ่งเรือง

สำหรับวันนี้ก็โมทนากับเพื่อนๆ ทุกคนที่ปฏิบัตินะ น้อมใจโมทนาสาธุ โมทนาสาธุกับคนที่เข้ามาฟังทีหลัง หรือคนที่ได้รับอานิสงค์จากการอ่านธรรมะภายหลัง ทุกอย่างมีอานิสงค์ที่ถึงพร้อมอยู่ บางสิ่งบางอย่างถ้ามีการถ่ายทอด อาจจะมีผู้บรรลุธรรม อีกเป็นสิบ เป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่นคน นี่คือพลังของธรรมทาน น้อมใจของเราให้ผ่องใส ยินดีในกุศล

จากนั้นน้อมใจของเรานะ หายใจเข้าลึก ๆ  3 ครั้ง

หายใจเข้าพุท ออกโธ เรามีกำลังของพระพุทธเจ้า ดูแลรักษาคุ้มครอง

หายใจเข้าลึกๆ  ช้าๆ  ธัมโม เรามีกระแสแห่งพระธรรมไหลเวียน คุ้มครอง รักษาจิต รักษาใจของเรา

สังโฆ เรามีกำลังแรงครู เรามีกำลังของครูบาอาจารย์ พระอริยสงฆ์ พระอริยเจ้า พระสุปฏิปันโน  พระอรหันต์ รวมไปถึงพระโพธิสัตว์คุ้มครอง รักษาดูแล

จากนั้นถอนจิตช้า ๆ จากสมาธิ ด้วยจิตอันเป็นสุข ด้วยจิตอันผ่องใส  ใจสบาย  พบกันใหม่สัปดาห์หน้านะครับ ขอโมทนากับทุกคนนะครับ สวัสดีครับ

ถอดความและเรียบเรียงโดย : คุณสิริญาณี แลบัว

You cannot copy content of this page