green and brown plant on water

การทรงภาพพระ

เวลาอ่าน : 4 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน” 

วันอาทิตย์ที่ 8 ตุลาคม 2566

เรื่อง การทรงภาพพระ

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม  ผ่อนคลาย ปล่อยวางทั่วร่างกายของเรา  ปลดปล่อยกำลัง  ตัดความสนใจในร่างกายทั้งหมด  เหลืออยู่เพียงสติจดจ่อกับความสงบ  อยู่กับลมหายใจสบาย   กำหนดลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหม  สัมผัสได้ถึงความละเอียดเบาของลมหายใจ  สัมผัสได้ถึงความสงบ  ความเบา  ความสุขของความสงบ    จดจ่ออยู่กับลมหายใจละเอียดเบาสบาย  ทรงอารมณ์ให้ชินอยู่กับความสงบ  กำหนดรู้ว่าความสงบจากอานาปานสติ   ลมหายใจละเอียด  อารมณ์จิตเป็นสุข  เบาสบาย   ฌานคือชิน  ยิ่งเราชินกับอารมณ์แห่งความสงบมากเท่าไหร่  จิตเรายิ่งเกิดธรรมฉันทะในการปฏิบัติ   ในการเจริญสมาธิมากขึ้นเพียงนั้น     ฉันทะความยินดีในความสงบ      ปล่อยวางความกังวล  ความฟุ้งซ่าน  การปรุงแต่งทิ้งออกไป  จดจ่ออยู่กับลมหายใจสบาย จดจ่ออยู่กับการประคอง  รักษาอารมณ์ใจ ของเราให้มีความสงบสุข 

เมื่อจิตของเราสงบแล้ว  กำหนดฝึกซ้อมจิต  หยุดจิต หยุดในหยุด   หยุดปรุงแต่ง  น้อมนึกคำที่พระองค์เคยทรงไว้กับท่านองคุลีมาล  จิตของเราหยุด  หยุดจากอกุศลทั้งหลาย  หยุดจากการปรุงแต่ง  หยุด  สงบ  ผ่องใส   เมื่อจิตสงบสุข  กำหนดรู้  อารมณ์หยุดของลมหายใจ  อารมณ์สงบระงับของลมหายใจ   คือการทรงฌาน 4 ในอานาปานสติ    แต่ยังมีกำลังแห่งสมถะ  ที่มีความสุขความละเอียดปราณีต  มีผลอานิสงฆ์แห่งการปฎิบัติสูงขึ้นไป    นั่นก็คือกำหนดในตัวนิ่ง ตัวหยุด จุดที่นิ่ง จุดที่จิตของเราหยุด  กำหนดให้ปรากฏภาพนิมิตเป็นดวงจิต  จิตของเราเป็นดวงแก้วใส   ภาพของนิมิตสัมพันธ์กับจิตใจของเรา   เคล็ดลับของการฝึกกสิณ  มีส่วนดังนี้ 

  1. ภาพนิมิตสัมพันธ์จิตใจ  กำหนดดวงกสิณนั้น  ก็คือจิตของเรา  จิตของเราทรงในกสิณ  จะเป็นกสิณกองใดกองหนึ่ง  ก็กำหนดรู้ว่าความเป็นทิพย์ของกสิณกองนั้น  ผนึกรวมที่จิตของเรา
  2. เคล็ดลับต่อมาก็คือ  ภาพของกสิณยิ่งมีความชัดเจนมากขึ้นเท่าไหร่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าภาพกสิณนั้นปรากฏเป็นสามมิติได้   นั่นคือระบบการประมวลผล   ระบบการประมวลภาพ   ซึ่งถ้าพูดเป็นภาษาปกติก็เรียกว่าจินตภาพ  ภาพที่ยิ่งปรากฏมีความชัดเจน มีความเป็นสามมิติมากเท่าไหร่   นั่นหมายความว่าต้องใช้กำลังใจสูงกว่าภาพที่พล่ามัว   และภาพที่ยิ่งชัดเจนมากเท่าไหร่  ยิ่งเกิดความเป็นจริง  คือจากภาพที่เรานึกในจิต  มันกลายเป็นอภิญญาจิต  แก่นของกสิณ  แก่นของอภิญญาจิตก็คือ  ภาพที่เรานึกกลายเป็นความจริงจากจินตภาพกลายเป็นความจริง  คือสิ่งที่เรานึกกลายเป็นความจริง  นั่นก็คืออภิญญาจิต   พออภิญญาถึงขั้นสูงสุดก็คือเพียงแค่นึก   สิ่งที่เรานึกก็กลายเป็นความจริง   ดังนั้นการกำหนดภาพยิ่งมีความชัดเจนมากเท่าไหร่  ใจของเราไม่สงสัยในภาพที่ปรากฏ  นอกเหนือจะไม่สงสัยในภาพที่ปรากฏในความชัดเจนจากชัดอย่างยิ่ง
  3. เคล็ดลับตัวที่สามก็คือ  อารมณ์ของจิต  มีความสัมพันธ์กับภาพนิมิต  ยิ่งภาพนิมิตมีความสว่าง  มีความใส  จิตเรายิ่งเป็นสุข  จิตเรายิ่งสัมผัสได้ถึงกระแสพลังที่แผ่ออกมาจากดวงจิต  จากภาพนิมิต  จากภาพกสิณนั้น ยิ่งถึงขั้นที่เป็นปฏิภาคนิมิต  แสงรัศมี  รวมถึงภาพนิมิตกลายเพชรประกายพรึก   จิตเรายิ่งสัมผัสได้ถึงพลังอันแก่กล้า  ที่แผ่ออกมาจากดวงจิต  ออกมาจากภาพองค์นิมิตของกสิณ  จิตยิ่งเป็นสุขอย่างยิ่ง  จิตยิ่งรู้สึกถึงความเปี่ยมพลังของภาพที่ปรากฏในจิตอย่างยิ่ง  ความเป็นทิพย์ก็ยิ่งเปล่งประกาย ยิ่งเกิดผลแห่งกำลังของกสิณจิตมากขึ้นเพียงนั้นด้วยเช่นกัน

ดังนั้นเวลาที่เราฝึก  ยิ่งเรามีความเข้าใจลึกซึ้งมากเท่าไหร่  ผลของการปฎิบัติ  ผลลัพธ์ที่เป็นปัจจัตตัง รู้ได้ด้วยตนเอง  ก็จะปรากฏขึ้นกับใจของเรา  ยิ่งเรามีความละเอียดถี่ถ้วน  ในเรื่องของการกำหนดภาพให้ชัดเจน   สัมผัสได้ถึงพลังเชื่อมโยงอารมณ์จิต   ในขณะที่ทรงอารมณ์ในกสิณ  ยิ่งผูกพัน  สัมพันธ์ถูกต้องมากเท่าไหร่  ผลลัพธ์แห่งการปฎิบัติยิ่งชัดเจน   อันนี้จะประสบการณ์ในการปฏิบัติ    โดยเฉพาะอย่างยิ่ง    เมื่อเราฝึกในกำลังของมโนมยิทธิ      การฝึกที่เป็นแก่นสำคัญของมโนมยิทธิ    อันนี้ยกขึ้นมาจากกสิณ  กสิณเราอาจจะกำหนดเป็นดวงแก้วใส  จนเป็นปฏิภาคนิมิต แต่พอถึงเวลาที่เราฝึกในมโนมยิทธิ   สิ่งที่เราต้องฝึกจนมีความชำนาญ  คล่องตัว สมาธิทรงตัว  ก็คือการทรงภาพพระ

การทรงภาพพระนั้น ตามหลักที่ครูบาอาจารย์ท่านสอน  ท่านก็บอกว่ากำลังของมโนมยิทธิ  นั้นคืออาโลกกสิน กสิณแสงสว่าง  ควบกับพุทธานุสติกรรมฐาน   พุทธานุสติกรรมฐานก็คือ   ภาพนิมิต  เราเป็นภาพองค์พระภาพ      องค์พระยิ่งเป็นเพชรประกายพรึกมากเท่าไหร่  ภาพนิมิตขององค์พระที่เราทรงภาพ   คือนึกให้ทรงไว้ในจิตของเรา   จะอยู่ในอกก็ดี  จะปรากฏเบื้องหน้าก็ดี  จะปรากฏเป็นพระสามฐาน  คืออยู่เหนือเศียรเกล้า ภายในศีรษะในสมองและอยู่ในอกของเรา   การทรงภาพพระนั้น  ยิ่งเราทรงจนเป็นปกติชัดเจน  ชัดเจนมากเท่าไหร่   ถ้าใช้ภาษาปัจจุบันก็หมายความว่า  เรากำลังสแตนด์บาย  สามารถที่จะใช้กำลังของมโนมยิทธิได้ตลอดเวลา    สามารถใช้ญาณทั้งแปดได้ตลอดเวลา   ญาณทั้งแปดก็มีอาทิ  เช่น   เจโตปริยญาณ  บุพเพนิวาสานุสติญาณ  อตีตังสญาณ    ปัจจุปปันนังสญาณ      อนาคตังสญาณ  จุตูปปาตญาณ  เป็นต้น

เมื่อไหร่ที่เราทรงพระอยู่ตลอดเวลา  เป็นเพชรประกายพรึกสว่างอยู่ในอกก็ดี  อยู่ในศีรษะก็ดี  อันนี้ก็ถือว่าเราทรงอารมณ์ ทรงกำลังมโนมยิทธิ  อยู่ในภาคที่เป็นภาคบนโลกมนุษย์  แต่ถ้าเมื่อไหร่เรารู้สึกในการทรงอารมณ์ในการทรงภาพพระทรงกำลังมโนมยิทธิ   เรารู้สึกว่าเราอยู่ในสภาวะกายพระวิสุทธิเทพ  นั่งอยู่เบื้องหน้าพระพุทธองค์ จะเป็นพระองค์ใด องค์พระองค์หนึ่งก็ดี  หรือทั้งหมดทุกพระองค์บนพระนิพพานก็ดี  นึกภาพพระตัวเราอยู่บนพระนิพพาน   อันนี้ก็ถือว่าเป็นกำลังสูงสุดในกำลังของมโนมยิทธิ   ถือว่าเป็นตัวจบ   ถือว่าเป็นการปฏิบัติกรรมฐาน     ตามเป้าหมายที่ครูบาอาจารย์  ตามเป้าหมายที่พระพุทธองค์ท่าน  ทรงมีพระพุทธานุญาตให้ใช้ในมโนมยิทธิ   คือปฏิบัติเพื่อนิพพาน

แต่คราวนี้สิ่งที่จะอธิบายต่อไป  ในเรื่องของสมาธิ  ในเรื่องของการปฎิบัติ  ในการทรงภาพพระ   ไม่ว่าเราจะกำหนดว่าเราอยู่บนโลกมนุษย์  เรามีภาพองค์พระอยู่ในอก  หรือสามฐานก็ดี ลำพังการปฎิบัติในจุดนี้  ผลที่ปรากฏขึ้นถ้าเราทรงได้ตลอดเวลา  ปฏิบัติจนมันทรงตัวอย่างแท้จริง    เราจะพบว่า     เราสามารถหยั่งรู้วาระจิต     จิตมันมีความเป็นทิพย์อยู่  มากกว่าคนที่ไม่ค่อยได้ฝึก  ไม่ค่อยได้ทรงตัว  ไม่ค่อยได้ทรงภาพพระให้เกิดการทรงตัว   อันนี้คือข้อที่หนึ่ง   เจโตปริยญาณจะปรากฏ   สิ่งต่อมาก็คือ  หากเรานึกคิดในสิ่งใด   สิ่งนั้นจะปรากฏสำเร็จขึ้นมาอย่างอัศจรรย์   ถ้าเราทรงภาพพระ  ทรงอารมณ์ถูกต้อง   คือมีความสุขเอิบอิ่มแย้มยิ้ม  มีความผ่องใส  

ต่อมาก็คือ  ถึงเวลาในข้อธรรม  คือธรรมานุปัสสนามหาสติปัฏฐาน 4  เมื่อไหร่ที่เราทรงภาพพระอยู่ตลอดเวลา ทรงอารมณ์ในการทรงภาพตลอดเวลา  ถึงเวลาเราพบเจอสิ่งกระทบ  เราจะพบว่ามีข้อธรรมผุดรู้   เหมือนครูบาอาจารย์ท่านสอน   ขึ้นมาในจิตตลอดเวลา   ยิ่งเราทรงอารมณ์ได้   เอาง่ายๆ  ถ้าเปรียบเทียบอธิบาย   ยกตัวอย่าง   ถ้าเราสวดมนต์  หรือสวดคาถา  ท่องคาถาไปเฉยๆ นิ่งๆ ท่องคาถาไปเรื่อยๆ  ท่องคาถาแบบตลอดเวลาหรือทำเป้า  ทำยอด  คือนับว่า กี่หมื่นจบ กี่พันจบ กี่ร้อยจบ กี่สิบจบ ว่าไป กับการที่เราทรงภาพพระให้ได้ตลอดเวลา  กำลังของการทรงภาพพระตลอดเวลา   จะมีกำลังสูงกว่า  การสวดมนต์เฉยๆ  แต่สำหรับคนที่สวดมนต์เฉยๆ  และอยากให้ได้ประโยชน์เพิ่มขึ้น    เราก็กำหนดทั้งทรงภาพพระ   ทั้งภาวนา    คือสวดมนต์   สวดคาถา     จะสวดบทพระจักรพรรดิก็ดี         จะสวดบทคาถาเงินล้านก็ดี   เรากำหนดทรงภาพพระ  และสวดคาถาบทใดบทหนึ่ง   ตามที่เราสวดเป็นนิจ  เป็นประจำ  

หากในกรณีที่เราสวดในคาถาบทพระจักรพรรดิ  ตาเห็นรูป  จิตเข้าถึงนาม   นั่นก็แปลว่าเวลาที่เราสวดมนต์พระจักรพรรดิ  การเชื่อมกระแส   ก็จะปรากฏขึ้นเต็มกำลัง   มากกว่าการที่เราสวดเป็นอย่างเดียว   แต่ไม่ได้กำหนดภาพองค์พระ   หรือการที่เราสวดคาถาเงินล้าน   และเราตั้งใจว่าเราสวด     ซึ่งเราอาจจะกำหนดเป็นภาพพระพุทธองค์ก็ดี   หรือกำหนดเป็นภาพพระปัจเจกกับพุทธเจ้าก็ดี    กระแสที่เชื่อม     กำลังสมาธิมันสูงขึ้นไป   คือมีการทรงภาพทรงกำลังของกสิณ  มีความทิพย์ของกสิณมาเป็นส่วนเสริม   การปฎิบัติหรือผลของคาถาที่เราสวด   มันก็ปรากฏผลชัดเจนรวดเร็วมากกว่า   อันนี้ถือว่าการปฎิบัติของเรา   เพิ่มความเข้มข้นในการปฏิบัติให้สูงขึ้น  

ยกตัวอย่างตัวประสบการณ์ของอาจารย์ที่เคยปฏิบัติ   โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงต้นที่ฝึกมโนมยิทธิ   อารมณ์ที่ทรงตัวในการทรงภาพนั้นเกิดขึ้นตลอดเวลา    คราวนี้สิ่งที่ผลที่ปรากฏแห่งการปฎิบัติก็คือ    เมื่อเราทรงภาพพระอยู่ตลอดเวลา   อารมณ์จิตเราเหมือนกับทรงกำลังของมโนมยิทธิ  อยู่ตลอดเวลาด้วยเช่นกัน  ญาณเครื่องรู้ต่างๆ  รู้ขึ้นมาทันทีทันใด ทันใจ  ไม่ต้องตั้งท่า  ไม่ต้องอะไรทั้งสิ้น  ถึงเวลารู้  ผุดรู้ขึ้นมาตลอดเวลา   อันนี้ก็เป็นเรื่องปกติ  เป็นเรื่องธรรมดา   เพียงแต่ว่าเราเข้าใจเคล็ดลับในการปฏิบัติ  จับอารมณ์ให้ถูก  ทรงภาพให้ผ่องใส 

ดังนั้นใครก็ตาม   ที่วันนี้มีโอกาสได้ฟังไฟล์เสียงนี้   สิ่งเริ่มต้นที่เราจะเริ่มฝึก  เริ่มที่จะปฏิบัติ   เราก็ฝึกทรงภาพพระให้ปรากฎชัดเจน  อยู่ในระดับที่เป็นปฏิภาค   คือองค์พระเป็นเพชรประกายพรึก  องค์พระพระสว่าง  องค์ภาพพระยิ้ม  จิตเราเอิบอิ่มเป็นสุข  จิตเรายิ้มตาม   หากยังตามภาพไม่ได้   ก็พยายามขยันหาภาพพระหรือเซฟภาพพระพุทธรูป  ภาพพระพุทธเจ้า  ภาพพระพุทธองค์จากในสู่โซเชียลต่างๆ   คัดหรือเลือก    มาเป็นภาพที่เราชอบรู้สึกว่ามีภาพเขาสวย   เราชอบใจเราพึงพอใจ   เราเก็บบันทึกไว้เป็นอัลบั้มภาพพระ   แล้วเราค่อยๆ  เปิดดูไปเรื่อยๆ จิตมีความยิ้ม  จิตเรามีความสบาย เห็นภาพพระแล้วให้ใจเรายิ้มได้  ค่อยๆ เลื่อนดูภาพไปเรื่อยๆ  เลื่อนดูภาพไปเรื่อยๆ  จนภาพนั้นติดตาติดใจของเรา 

คราวนึ้ถึงเวลาที่เรากำหนดนึกภาพ   เรารู้สึกได้ว่าภาพพระนั้นคือ    พระพุทธองค์  ความลังเลสงสัย วิจิกิจฉาไม่มีในเรา   ภาพพระที่เราเห็น  คือพระพุทธองค์  ใจเราเป็นสุข   ใจเราเชื่อมกระแสกับพระพุทธองค์  เมื่อกระแสเชื่อมกับจิตของเราโดยตรง  ผลของการปฎิบัติก็เกิดรวดเร็วขึ้นมากกว่าคนที่เขาไม่เข้าใจ   เรื่องการเชื่อมกระแส   เราจะเชื่อมกระแสกับพระโพธิสัตว์ก็ดี  ครูบาอาจารย์องค์ใดองค์หนึ่ง  ที่เราเคารพนับถือก็ดี จะเป็นหลวงปู่ดู่  หลวงตาม้า  หลวงปู่ทวด  หลวงพ่อฤาษีฯ  หรือครูบาอาจารย์ท่านใดท่านหนึ่ง   จำไว้ว่าถึงกระแสเราเชื่อมโยงถึงท่าน   จิตถึง  พลังถึง  เมื่อไหร่จิตเรานึกถึงท่าน   ท่านนึกถึงเรา   เมื่อเชื่อมกับกระแสถึง   กระแสจิตถึง  ความเป็นทิพย์  ญาณเครื่องรู้   ท่านก็ถ่ายทอดลงที่จิตเรา  เราก็ปฏิบัติรวดเร็วขึ้นมากกว่า    คนที่เขาใช้กำลังปัญญาของตัวเองพิจารณา    อันนี้มีกระแสจากพระท่านมาช่วย  ปัญญาญาณในวิปัสสนาญาณ   ก็มีความลึกซึ้งแตกฉาน    มากกว่าคนทั่วไป

คราวนี้พอปฏิบัติไปเรื่อยๆ ความเป็นทิพย์มันเพิ่มพูนขึ้น  สูงขึ้นเรื่อยๆ คราวนี้มันจะเริ่มเกินขอบเขต   ของการใช้กายเนื้อหรือสมอง  เราใช้สมองนึกคิด  ใช้สมองจำ  แต่ถ้าเทียบเป็นศาสตร์หรือภาษาปัจจุบัน   การเก็บบันทึก ความจำหรือเมมโมรี่   สมองของเราเอง   ถึงแม้ว่าจะมีศักยภาพในการบันทึกข้อมูลมากกว่าฮาร์ดดิสก์    ที่เก็บข้อมูลความจำที่เป็นดิจิตอลในยุคปัจจุบัน    เราจุได้มากกว่าหลายล้านเทระไบต์  ข้อมูลมากมายมหาศาล     แต่สูงกว่านั้น    มีที่เก็บอยู่บนคลาวน์ ( Cloud)  เราไม่ต้องใช้ฮาร์ดดิสก์   เราไม่ต้องใช้สมอง  ทุกอย่างนั้น  ธรรมทั้งหลายหรือแม้แต่ข้อมูลทั้งหลาย    ที่เป็นปัญญาความรู้   สรรพวิชาทั้งปวงนั้นอยู่ที่พรหม   ที่เรียกว่าพรหมศาสตร์    ความรู้ทั้งหลาย   ข้อมูลทั้งหลาย   องค์ความรู้ของโลก  ของจักรวาล   ที่สะสมอยู่ทั้งหมด   สะสมรวมอยู่ที่พรหม     กระแสธรรมทั้งหลาย  วิปัสสนาญาน ปัญญาญาณ  ธรรมทั้งหลาย  ประสบการณ์ของพระพุทธองค์   ประสบการณ์ของพระปัจเจกพระพุทธเจ้า  ประสบการณ์ของพระอรหันต์ทุกพระองค์   ในการปฏิบัติ  ในการพิจารณาธรรมนั้น  บันทึกอยู่ที่พระนิพพาน  เมื่อเราเชื่อมกระแสอยู่กับท่านได้   เราน้อมดึงเอาข้อมูลข่าวสาร  ประสบการณ์   แนวทางการพิจารณาธรรมจากพระนิพพาน กระแสมรรคผลของพระนิพพาน  กระแสการพิจารณาข้อธรรม รวมลงมาสู่จิตของเราได้  

อันนี้มันเป็นทางลัด เป็นการปฎิบัติขั้นสูง  ปกติหลายท่านที่ท่านทำได้  บางครั้งท่านก็ไม่ได้เล่า   ไม่ได้บอกไม่ได้เปิดเผย   อย่างที่ท่านอาจารย์ได้เปิดเผย  ได้เล่าท่าน  ดังนั้นจริงๆ  แล้วเนี่ย  ในบุคคลที่ปฎิบัติธรรม  เราจะประมาท   บุคคลที่อายุน้อยไม่ได้   เราจะประมาทบุคคลที่เขาเป็นเพียงแค่ฆราวาสไม่ได้   เราจะประมาทว่าเขาเป็นเพียงสตรีก็ไม่ได้  หากบุคคลนั้น  เขาเข้าใจ  เขาค้นพบ  เขาพบวิธีการ  ที่สามารถเชื่อมกระแส  สามารถใช้ศักยภาพของจิต   การปฎิบัติของเขา ก็มีความก้าวหน้า  รุดหน้ามากกว่าคนทั่วไปไปได้   อันนี้เรารู้แล้วเราก็หาทางที่จะฝึกฝน  ที่จะปฏิบัติ  แต่ก้าวแรกและความสำคัญในการปฏิบัติ   คือการทรงภาพพระให้ชัดเจนแจ่มใสอย่างยิ่ง      โดยที่ติดเราไม่มีความลังเลสงสัย   ว่าภาพองค์พระที่ปรากฏขึ้นในจิตนั้น   คือพระพุทธองค์  ความสว่าง ความเป็นเพชร ฉัพพรรณรังสี  ความเป็นปฏิภาคนิมิต  ยิ่งรู้สึกสัมผัสถึงพลัง   รู้สึกสัมผัสถึงกระแสความเป็นทิพย์มากเท่าไหร่   ผลของการปฎิบัติในการทรงภาพพระ   ยิ่งปรากฏผลมากเท่าไหร่

ดังนั้นตอนนี้พวกเรามีความเข้าใจแล้ว  ก็ลองฝึกตั้งแต่ต้น  

  1. ทรงภาพองค์พระให้สว่างเป็นเพชรมากที่สุด       มีความคล่องตัวในการทรงภาพพระ   คือจะทรงภาพพระให้ปรากฏเบื้องหน้าก็ได้  องค์พระอยู่ในอกก็ได้  อยู่ในอกรู้สึกสัมผัสจริงๆ    ว่ามีวัตถุคือองค์พระเป็นแก้ว     เป็นผลึกพระแก้วสว่างใส   อยู่ในอกของเราจริงๆ   เหมือนมีวัตถุธาตุมาปรากฏอยู่ในอกของจริงๆ  ทรงภาพพระสามฐาน  ก็รู้สึกได้ว่ามีองค์พระ  สถิตย์วางอยู่บนกระหม่อนของเราจริงๆ   แต่เป็นความรู้สึกที่ไม่ได้กด  ไม่ได้หนัก  ไม่ได้เป็นภาระ  ไม่ได้เป็นความเครียด  เบา  แตะ  เบา  สถิตย์อยู่  อยู่ในศีรษะ    ก็ปรากฏรู้สึกได้ว่าองค์พระอยู่ในศีรษะ  อยู่ในอกก็รู้สึกได้ว่าองค์พระอยู่ในอก  รู้สึกได้ทั้งสามองค์พร้อมกัน      อันนี้คือ พระสามฐาน
  2. ต่อมาก็กำหนดจิตว่าองค์พระเป็นองค์ใหญ่   เรียกว่า  การนึกภาพ  ขออาราธนาบารมีองค์พระคลุม คลุมก็คือคลุมกาย   ตัวเราอยู่ในองค์พระ  องค์พระคลุมเรา   มีพุทธานุภาพปกปักรักษา  ประดุจเป็นเกาะแก้วคุ้มกันกาย จิตของเรา จากภยันตรายทั้งปวง  จากวิบาก  อวิชชาคุณไสยทั้งปวง  กายเนื้อเราอยู่ในองค์พระ    อันนี้ก็ฝึกจนรู้สึกได้ว่า   เราอยู่ในองค์พระจริงๆ  รู้สึกว่ามีองค์พระท่านครอบไว้เป็นกำแพงแก้ว   คุ้มกันภัยเราจากทุกสิ่ง  จนจิตเรารู้สึกว่ามีความกล้าหาญ  มีความมั่นคง  สลายความหวาดกลัว   สลายความวิตกทั้งหลายออกไปจนหมด  จิตมีความอาจหาญ  จิตมีความเชื่อมั่น  ในพุทธบารมีของพระพุทธเจ้า

ตอนนี้ให้ เราแต่ละคนฝึกทรงภาพพระ   ฝึกในภาคที่อยู่บนโลกมนุษย์นี้แหละ  ทรงภาพพระให้ชัดเจนเต็มที่ทรงอารมณ์ชัดเจน   อารมณ์จิตเอิบอิ่ม     ใจแย้มยิ้มเป็นสุข    รัศมีฉัพพรรรณรังสี   องค์พระที่เรากำหนดองค์ภาพพระยิ่งสว่าง ยิ่งใส  องค์พระชัดเจน  เราจะกำหนดอย่างไรก็ปรากฏชัดเจนได้   ดังใจนึก ทรงอารมณ์ไว้  ใจสบายๆ  ผ่องใส  เวลานึกภาพองค์พระ  หรือการทรงภาพพระนั้น องค์ใดองค์หนึ่ง  ก็เป็นไปตามนั้นอย่าเปลี่ยนภาพองค์พระ  อย่าเปลี่ยนปาง อย่าเปลี่ยนภาพเป็นองค์อื่น    คือกำหนดว่าจะทรงภาพองค์ใดก็องค์นั้น   มั่นคงต่อเนื่องยาวนาน  นานเท่าที่จิตเราปรารถนา  ตั้งใจว่าจะให้นานเท่านี้ก็เท่านี้ดังใจนึก  

เวลาที่เราทรงภาพกสิณหรือทรงภาพองค์พระ  ถ้าองค์พระภาพของกสิณก็ดี  หรือองค์พระก็ดี   เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา  ถือว่าสมาธิเราไม่ทรงตัว   นิมิตหรือภาพที่เราไม่ได้ปรารถนา  หรือกำหนดตั้งไว้    เปลี่ยนเป็นภาพอื่นภาษาปฏิบัติเรียกว่านิมิตจร   ต้องเพิกทิ้งกลับมาเป็นภาพเดิม   เช่น  ถ้ากำหนดเป็นภาพองค์พระสมเด็จองค์ปฐม      ก็คือเป็นพระพุทธชินราช  เราก็กำหนดเป็นภาพพระพุทธชินราชตลอดเวลา   ทรงไว้ตลอดเวลา   ไม่เปลี่ยนเป็นองค์อื่นหรือทรงเป็นภาพพระทรงเครื่องจักรพรรดิ   ก็ทรงภาพเป็นพระทรงเครื่องจักรพรรดิตลอดเวลา  ไม่เปลี่ยนเป็นองค์อื่น   ฝึกให้มีความตั้งมั่น  ฝึกเพิ่มคุณภาพ  มีความใส  มีความสว่าง  มีความเป็นประกายพรึก  เพิ่มความศรัทธามั่นคงในพระพุทธองค์    เพื่อสลายลบล้างวิจิกิจฉา    ความลังเลสงสัย     เพื่อให้การเชื่อมโยง     เชื่อมกระแสกับพุทธบารมีนั้นเต็มกำลัง 

วิจิกิจฉาเป็นเครื่องขัดขวาง  ภาพยิ่งชัด  ยิ่งส่งเสริมการเชื่อมกระแส   และฐานของการฝึกการทรงภาพพระ ยิ่งชัดเจนสามมิติ  ชัดเจนยิ่งกว่าตาเนื้อได้มากเท่าไหร่  จะย้อนไปส่งผลในกำลังของมโนมยิทธิ  เวลาที่เราปรากฏภาพเวลาที่เราไปในภพภูมิต่างๆ  เวลาที่เราใช้ญาณ  ก็จะชัดเจนตามฐานของการฝึกการทรงภาพ  

ดังนั้นใครอยากจะให้ภาพองค์พระชัดเจนมากเท่าไหร่  กำลังของมโนมยิทธิใกล้เคียง   หรือกลายเป็นเต็มกำลังมากเท่าไหร่   ก็ต้องฝึกฐาน  คือการทรงภาพพระให้ชัดเจนกระจ่าง  สามมิติ  สัมผัสถึงพลัง  สัมผัสถึงอารมณ์จิตให้ชัดเจนมากเพียงนั้นตามไปด้วย 

ตอนนี้ให้เราทรงภาพพระไว้ ชัดเจน สว่าง เอิบอิ่ม ใจแย้มยิ้มเป็นสุข  การฝึก  การปฎิบัติ  เข้าใจเคล็ดลับเคล็ดวิชาอย่างลึกซึ้งแตกฉาน   เข้าใจว่าการปฎิบัติในจุดนี้  ทำทำไม     เพราะอะไร  เกิดผลอย่างไร       จิตกระจ่างแจ้งในการปฏิบัติสิ่งที่เคยติดขัด  สิ่งที่เคยคั่งค้าง  สิ่งที่เคยมองผ่าน   ย้อนกลับมาทำพื้นฐานให้แน่น  ให้แข็งแรง   เมื่อทรงภาพมาจนกระจ่างแจ้งชัดเจน  เราอธิษฐานจิต   อธิษฐานบารมีกำกับ   ขอให้นับแต่นี้ภาพพุทธนิมิต  พุทธบารมีของพระพุทธองค์มาสถิตย์รักษาในดวงจิตของข้าพเจ้า   มีความมั่นคงชัดเจน กระจ่าง  กระแสพุทธานุภาพ  เชื่อมกำลังจิต                กำลังมโนมยิทธิของข้าพเจ้า   ปรากฎเต็มกำลัง  จากการทรงภาพองค์พระชัดเจน  เพียงเราอธิษฐานนึก     จิตก็สามารถยกขึ้นอยู่บนพระนิพพานได้ทันใจ  ทันที  ทันควัน  ความคล่องตัวในมโนมยิทธิของเรา ก้าวหน้า รุดหน้าขึ้นอัศจรรย์  คุณภาพของจิต ความชัดเจนของจิต  ชัดเจนเพิ่มขึ้นตามการทรงภาพพระได้อย่างอัศจรรย์   ทรงภาพไว้      ทำฐานให้แน่น  ทำฐานให้มีความตั้งมั่น 

การปฏิบัติก็คือนอกเหนือจากการที่เรามาเรียนกันในทุกอาทิตย์   พอเราเรียนเสร็จวันนี้   เราฝึกต่อของเราเอง   ในระหว่างวันเราไปปฏิบัติต่อ  ฝึกต่อ   พอถึงวันพรุ่งนี้เราฝึกลองดูว่า  ในตอนที่เราขับรถไปทำงาน  หรือนั่งรถไฟฟ้าบ้างหรือรถประจำทางบ้าง  เรากำหนดว่าตั้งแต่ที่เราขับรถไปทำงาน   ออกปุ๊บ กำหนดมือจับพวงมาลัย   เราทรงภาพตลอดเวลา  ตั้งใจว่าสามารถทรงภาพได้ตลอดเวลา  โดยที่ภาพองค์พระไม่เคลื่อนไปจากใจ   พอฝึกไปเรื่อยๆ ถึงขั้นสูงเราพูดคุย  เราทำงานทำการอยู่   แต่เราทรงภาพพระอยู่ตลอดเวลา  ลืมตาทำงาน  พูดคุยกับคนอื่น   เรายังทรงภาพตลอดเวลา  เมื่อไหร่ที่เราปฏิบัติจนถึงขั้นนี้  เราจะมีความทรงตัวในศีลโดยอัตโนมัติ   เพราะความรู้สึกของเราเรารู้สึกเราอยู่กับพระ  พอเราอยู่กับพระเราก็ไม่กล้าทำบาป   พอเราอยู่กับพระ  อกุศลก็ไม่เข้า  พอเราอยู่กับพระก็มีข้อธรรมมาปรากฏในจิต   

ดังนั้นอารมณ์ในการทรงฌานก็จะทรงตัว  อันที่จริงก็ขอบอกไว้เลยว่า   ส่วนใหญ่ครูบาอาจารย์องค์สำคัญ    ขอน้อมกราบขออนุญาตท่าน  ขออนุญาตเอ่ยนามในหลายๆ องค์  เช่น   หลวงพ่อฤาษีฯ เองก็ตาม     ท่านทรงภาพตลอดเวลา ลืมตาโปรดญาติโยม   เทศน์  ท่านทรงพระอยู่ตลอดเวลา   อีกองค์ที่ปรากฏชัดเจนแน่นอนก็คือ  ท่านจิตโตท่านจิตโตจะทรงภาพสมเด็จองค์ปฐม  เชื่อมกระแสกับสมเด็จองค์ปฐมตลอดเวลา   อีกองก็คือหลวงพี่เล็กวัดท่าขนุนองค์นี้ท่านก็ทรงอารมณ์ตลอดเวลา  ลืมตา  หลับตา  ท่านก็ทรงอารมณ์ตลอด  อยู่กับพระตลอด   ซึ่งเวลาที่เราเมื่อไหร่ที่ความเป็นทิพย์เราปรากฏ  ญาณเครื่องรู้เราปรากฏ   จิตเราจะปรากฏผุดรู้เห็นขึ้น   เห็นองค์พระท่านอยู่บนศีรษะเศียรเกล้าท่านดังที่เอ่ยนามมา  เราจะรู้  เราจะปรากฏรู้ขึ้นด้วยจิต  

ตรงนี้ก็เราฝึกไปเรื่อยๆ เริ่มค่อยๆ ฝึกให้เกิดความทรงจำความเป็นทิพย์   ฝึกไปเรื่อยๆ วิธีฝึกจริงๆ  ก็คือฝึกแบบนี้  แล้วคราวนี้จริงๆ  สิ่งที่มีประโยชน์เกิดผลกับเราที่เป็นฆราวาส   นั่นก็คือเมื่อเราทรงภาพตลอด   ปัญญาญาณต่างๆ  มันปรากฏ  กิจการงานที่เราทำ  มันจะมีประสิทธิภาพมากกว่าคนทั่วไป   สติการควบคุมอารมณ์   การแก้ปัญหาปัญญาในการแก้ไขสถานการณ์  ปฏิภาณความรู้มันจะค่อยๆ ปรากฏขึ้น  ปัญญาจากสมาธิจะค่อยๆ  ปรากฏขึ้น     

ดังนั้นบอกเลยว่าถ้าเราปฏิบัติเช่นนี้ได้   การปฎิบัติธรรมของเราจะยิ่งรุดหน้าและเราจะเข้าใจเลยว่าผู้ที่เขาทรงฌาน  ทรงอารมณ์   ที่เขาทำได้   ที่เขารู้เห็น   เป็นในอาการดังนี้เช่นนี้   อันนี้ก็มาเล่ามาเปิดเผยเบื้องลึกให้ฟัง    ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์   ใครที่ตั้งใจปฏิบัติ  ก็ขอให้ตั้งใจทำให้ได้ อย่าเพียงแค่ฟังแล้วผ่านเลยไป   ทำได้แล้วเราจะรู้เอง  

ซึ่งอันที่จริงแล้วถามว่าใช้เวลานานไหม   อันที่จริงก็ไม่หนักมาก   แล้วเมื่อไหร่เมื่อเราฝึกตั้งใจเอาจริง   ทรงภาพให้ทรงตัวตลอดเวลาทั้งวันได้    ถ้าทรงตัวตลอดเวลาทั้งวันได้เจ็ดวันเมื่อไหร่   คราวนี้สมาธิก็จะทรงตัว    การทรงภาพพระก็จะกลายเป็นเรื่องที่เราไม่ต้องบังคับ   กลายเป็นอัตโนมัติ   จุดสำคัญที่สุด   ที่เราต้องการในการปฏิบัติก็คือ        เราฝึกจากตอนแรก   เราต้องยังต้องฝืนใจ   ยังต้องตั้ง   ยังต้องประคับประคอง   แต่ผลที่เราต้องการก็คือ    เราต้องการระบบออโต้   คือการจิตเราทรงอารมณ์โดยทันที   โดยอัตโนมัติ   เหมือนกับเมื่อไหร่ที่เราฝึกจนได้ลมสบาย   ได้ฌาน 4 ในอานาปานสติ  พอจิตมันสงบหรือเราตั้งใจจะเข้าสมาธิ  จิตเขาก็ก็จะรวมเองอัตโนมัติ

อันนี้เมื่อไหร่   ที่เราฝึกจนกระทั่งการทรงภาพทรงตัว   ก็กลายว่าเรากลายเป็นมีระบบ    ที่เราใช้กำลังของมโนมยิทธิได้ทันทีโดยอัตโนมัติตลอด    ดีไหม   อันนี้คนที่เขาฝึก  ตั้งใจฝึกเอาจริงเอาจังเขาได้  ส่วนคนที่เพียงภาพองค์พระไม่ค่อยชัด  ไม่ชัดนิดหน่อยก็งอแง   ก็โวยวาย แล้วก็ไม่ฝึก  ไม่ขวนขวายที่จะฝึก   อันนี้ถึงเวลามันก็ไม่ได้     แต่ถ้าฝึกตั้งมั่น  ทรงตัว  จนกระทั่งเข้าสู่โหมดที่การปฎิบัตินั้น   การทรงภาพและเป็นไปโดยธรรมชาติ  เป็นไปโดยอัตโนมัติ   คราวนี้กลายเป็นว่าพระท่านรักษาเรา   ท่านอยู่กับเราตลอด   การปฎิบัติกลายเป็นยิ่งง่าย  ยิ่งสบายมากขึ้นเข้าไปอีก  อันนี้ก็ขอให้ทำกันได้ทุกคน 

สุดท้ายสำหรับวันนี้   ก็ตั้งใจทรงภาพพระ     กำหนดจิต   ขออาราธนาบารมีพระพุทธองค์     ยกกายทิพย์  อาทิสมานกายข้าพเจ้า   ปรากฏในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ   อยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐม   พระพุทธเจ้า         พระปัจเจกพระพุทธเจ้า   พระอรหันต์ทุกๆ พระองค์   แยกอาทิสมานกายของเรา   เป็นจำนวนมากมายมหาศาล        แยกกายกราบทุกท่าน  ทุกพระองค์  

จากนั้นกำหนดจิตให้กายทุกกาย  เชื่อมกระแสกับพระพุทธองค์   กำหนดจิตอธิษฐานว่า    ข้าพเจ้าเชื่อมกระแสกับพุทธานุภาพ   ธรรมานุภาพ  สังฆานุภาพ   กับทุกท่าน   ทุกพระองค์แล้ว    ขอนับแต่นี้      การฝึกในการทรงภาพพระ   การใช้กำลังมโนมยิทธิของข้าพเจ้า   เกิดผล   เกิดกำลัง   เกิดความศักดิ์สิทธิ์   เกิดความคล่องตัว  อย่างอัศจรรย์ด้วยเทอญ

จากนั้นให้ทุกกาย  เป็นพืด  เป็นแพ  กระจายนั้น  กราบ  น้อมกราบแทบเบื้องพระบาท   ทุกท่านทุกพระองค์พร้อมกันอีกครั้ง   และอาทิสมานกายนั้นมารวมเป็นหนึ่ง   กายพระวิสุทธิเทพสว่าง  เป็นประกายพรึก  เวลาทรงอารมณ์ในกายพระวิสุทธิเทพบนพระนิพพาน    แก่นสำคัญคือ    รู้สึกถึงความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ     เราคือกายพระวิสุทธิเทพ   รู้สึกสัมผัสถึงความเป็นแก้ว  เป็นเพชร   รู้สึกสัมผัสได้ถึงเครื่องประดับ   เครื่องทรงทั้งหลาย          ของความเป็นพระวิสุทธิเทพ  มือลูบคำ  จับชฎา   จับอุบะ  จับเครื่องเพชร  แหวนเพชร  กำไร  ธารพระกร   ที่ประดับอยู่บนกาย       สัมผัสได้ถึงลายผ้าปักนูน   ที่เป็นเพชร    เป็นแก้วบนสนับเพลา  บนเสื้อ     รู้สึกสัมผัสได้ถึงความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ  บนพระนิพพานอย่างแท้จริง   กายพระวิสุทธิเทพสว่างเจิดจ้าอย่างยิ่ง    

ตั้งใจ   ตั้งจิต      ในการตัดภพจบชาติ    ตายเมื่อไหร่เราอยู่บนพระนิพพานนี้   เป็นพระวิสุทธิเทพเช่นนี้   ความอาลัยในภพ  ในโลก   ในบุคคล  ในสถานที่  ในฐานะทั้งหลาย  ไม่มีในจิตเรา  ปล่อยวาง  สงบ  จิตเสวยอารมณ์แห่งพระนิพพาน   ทรงอารมณ์ความผ่องใสชัดเจน  ปัญญาความเข้าใจในการปฏิบัติ  ยิ่งกระจ่างแจ้ง   ชัดเจน         ความเพียร  ธรรมฉันทะ  ความตั้งใจยิ่ง  ในการจะมาฝึก  ในเรื่องการทรงภาพพระให้ได้ทั้งวัน   ให้ได้ตลอดเวลา   ทั้งลืมตา  หลับตา   ยิ่งก่อเกิดขึ้นในจิตของเรา  

จากนั้น   น้อมกระแสจากพระนิพพาน   ลงมายังทุกภพทุกภูมิ   แผ่เมตตา   ผลอานิสงฆ์แห่งการฝึก    แห่งการปฎิบัติ     ความกระจ่างแจ้งในธรรม   กระแสบุญบารมี     บุญกุศล   ทาน    ศีล    ภาวนา   แผ่ลงมายังอรูปพรหมทั้งปวง   พรหมโลกทั้งปวง   อากาศเทวดาทั้งปวง   รุกขเทวดา      ภูมิเทวดาทั่วอนันตจักรวาล   มนุษย์และสัตว์ที่มีขันธ์ห้า      กายหยาบทั่วอนันตจักรวาล   โอปปาติกะ   สัมภเวสีทั้งหลาย   ทั่วจักรวาล   ทั่วทุกภพภูมิ   ทั่วทุกมิติ   เปรตอสุรกายสัตว์นรกทั้งหลาย ทุกขุม ขอกระแสบุญกุศล   เมตตาจากอารมณ์พระนิพพานของเรา แผ่ถึงทุกดวงจิต ใจของเราผ่องใส

จากนั้นกราบลา  ทุกท่าน ทุกพระองค์  แล้วก็พุ่งกายทิพย์  เป็นแสงลงมายังโลกมนุษย์   ลงในกายเนื้อ     น้อมกระแสจากพระนิพพาน  ลงมาเป็นแสงสว่าง   ชำระล้างฟอกธาตุขันธ์    สุขภาพร่างกายขันธ์ห้า     สมบูรณ์แข็งแรง  กายเนื้อสะอาด น้อมสายบุญ  สายทรัพย์  สายสมบัติ   บุญกุศลที่เราสะสมบ่มไว้    ในแต่ละภพแต่ละภูมิ     มารวมตัวกันยังโลกมนุษย์   ให้ข้าพเจ้ามีความคล่องตัวในทุกๆ  ด้าน

จากนั้น  น้อมกระแสภาพองค์พระ   จงปรากฏเป็นภาพองค์พระสามฐาน   กลับมาย้ำบนกายเนื้อ   คือเหนือเศียรเกล้า   ในสมองศีรษะ  ในอกของเรา   ปรากฏองค์พระชัดเจน   ตั้งจิตอธิษฐาน      ขอให้การทรงภาพพระของข้าพเจ้านี้   เป็นเรื่องง่าย   เกิดธรรมฉันทะในการฝึก   ในการปฏิบัติอย่างยิ่ง   องค์พระสว่างชัดเจนเป็นเพชรประกายพรึก

จากนั้น  ตั้งใจว่าจะทรงภาพองค์พระตลอดเวลานะ   ใครจะลองฝึกในท่ายืน  เดิน  นั่ง  หรือแม้แต่นอน   ก็ให้องค์พระอยู่ทั้งสามฐานได้   เรานอนองค์พระก็วางนอนไปตามกายของเรา   จากนั้นกำหนดจิตอธิษฐานหายใจเข้าลึกๆ ช้าๆ หายใจเข้าพุธ   ออกโธ  ครั้งที่สองธัมโม   ครั้งที่สังโฆ  ถ้าใครตั้งใจฝึก  แล้วเราหลับไปทั้งการทรงภาพ   ลองดูผลว่าเมื่อตื่นขึ้นยังสามารถทรงภาพพระต่อเนื่องอยู่ได้ไหม    ใครทำได้   พรุ่งนี้เข้ามาตอบในห้อง LINE แล้วก็ตั้งใจ   สำหรับคนไหนตั้งใจจะฝึกตรงจุดนี้ให้ได้   ก็ไปแชร์ไว้ในหน้าเฟสของตัวเอง    ว่าตั้งใจจะทรงอารมณ์ทรงภาพ  ให้ได้ตลอดเวลา  ลืมตา  หลับตา  ตลอดวัน   อย่างน้อยฝึกให้ทรงตัว  7 วัน ,10 วัน   จนกระทั่งตั้งใจเป้าหมายของการฝึกคือให้กำลังมโนมยิทธิ   การทรงภาพพระกลายเป็นอัตโนมัติ   คือทรงตัวเป็นอัตโนมัติ   ทำได้จุดนี้   จะยิ่งก้าวหน้ากันทุกคน  

แล้วก็ให้เราตั้งใจนะ   ช่วยกันเขียนแผ่นทองอธิษฐานพระนิพพาน   ใครยังไม่มี   ก็สามารถแจ้งความประสงค์เข้ามาได้   จะได้ช่วยกันหล่อพระ   แล้วก็งานที่สอง   คือเรื่องของการจัดงานบวงสรวง อาราธนาพระอุปคุตขึ้นมาจากสะดือทะเล    เพื่อปราบมารที่มาขัดขวาง    ไม่ให้เข้าถึงยุคของชาววิไล    ตรงนี้ก็เป็นงานใหญ่     เป็นงานสำคัญ    เพื่อส่วนรวม   ที่จำเป็นต้องทำ   แล้วก็เพื่อที่บารมีท่านจะได้มาคุ้มครอง   ช่วงนี้เหตุการณ์ของโลกมันก็มีความวุ่นวายท่านจะได้เมตตามาช่วยชาวธรรม    ให้ปลอดภัย   คนที่ไปบวงสรวงเราก็จะเชื่อมกระแสบารมีของท่านได้โดยตรง   อยู่ในญาณ  อยู่ในข่ายญาณของท่าน 

ดังนั้นตรงนี้ก็เป็นเรื่องสำคัญ   ที่ควรร่วมบุญกัน   แล้วก็มาร่วมงานกันที่จะไป    สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน  ให้เราทุกคนโมทนาสาธุกับกัลยาณมิตร   ที่ฝึกปฏิบัติพร้อมกันในวันนี้   รวมไปถึงผู้ที่มาฝึกมาปฏิบัติฟังย้อนหลัง  วันนี้ถือว่าเป็นการฝึกการสอน     ที่ค่อนข้างสำคัญมาก   พยายามตั้งใจ เอาไปทำให้ได้       สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน   พบกันใหม่สัปดาห์หน้า

เรียบเรียงและถอดความโดย คุณ สิริญาณี แลบัว

You cannot copy content of this page