green and brown plant on water

การตัดกรรม

เวลาอ่าน : 3 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน” 

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน 2565

เรื่อง การตัดกรรม

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

ครับสวัสดีนะครับทุกท่าน เข้ามาแล้วก็กำหนดจิตอยู่กับสมาธิ อยู่กับความสงบ ทรงอารมณ์จิตทรงอารมณ์กรรมฐานไว้

กำหนดรู้ในความรู้สึกตัวทั่วพร้อมทั่วร่างกายพร้อมกับผ่อนคลายกล้ามเนื้อ พร้อมกับความรู้สึกปล่อยวางร่างกาย ผ่อนคลายกล้ามเนื้อผ่อนคลายร่างกายพร้อมไปกับการกำหนดปล่อยวางตัดร่างกาย ในการกำหนดสมาธิ ในเคล็ดลับในการผ่อนคลายร่างกายถ้าเราทำได้ดีจริงๆ แค่เราปลดกำลังผ่อนคลายร่างกาย จิตเราก็จะรวมเข้าสู่ความสงบในระดับฌานได้ทันที จนรู้สึกได้ถึงความสงบ ลมหายใจเริ่มละเอียด เบา นิ่ง ยกอารมณ์จิตของเราให้มีความผ่องใสขึ้นอีกนิดนึง

ใจแย้มยิ้มอยู่ภายในน้อยๆ เหมือนพระพักตร์ของพระพุทธรูปที่มีพระพุทธเมตตา สงบนิ่ง อิ่ม ผ่องใส เบิกบาน อารมณ์แห่งกรรมฐานถ้าเราวางไว้ได้อย่างถูกต้อง ฌานจะเกิดความตั้งมั่น อารมณ์จิตเข้าถึงความสุขสงบ กำหนดรู้ไว้เสมอว่าเราปฏิบัติสมาธิเพื่อเข้าถึงความสงบ ความสงบก่อให้เกิดความสุข สุขที่ปรากฏคือความสุขของสมาธิ อยู่กับความสุขสงบ วาง ว่าง โล่ง จากเรื่องราวที่เป็นภาระ เป็นความวุ่นวายในทางโลกทั้งหมด อยู่กับความสงบนิ่งของใจ กำหนดสติรู้ในลมหายใจ ยิ่งลมหายใจละเอียดเบาสบาย หรือลมสงบระงับ เห็นตัวนิ่งตัวหยุดเป็นเอกัคคตารมณ์ เราก็กำหนดรู้อยู่ นิ่ง สงบ ผ่องใส

ลมหายใจละเอียด อารมณ์เราเบาสบายเป็นสุข กำหนดจิตกำหนดสติรู้อยู่ จิตเข้าถึงความสงบร่มเย็นเราก็กำหนดรู้ จดจำอารมณ์ ปักหมุดอารมณ์ไว้ อารมณ์วาง อารมณ์เบา อารมณ์สงบนิ่ง อารมณ์ผ่องใส ยิ่งปล่อยวาง ยิ่งว่าง ยิ่งเบา ยิ่งเป็นสุข อารมณ์ที่เราวางภาระของใจ ความวุ่นวายทางโลก คือการวางอารมณ์แห่งนิวรณ์ทั้ง 5 ประการ จนใจของเราเข้าสู่ความสงบในระดับฌาน ลมหายใจละเอียดยิ่งเบายิ่งเข้าสู่ฌานที่สูง  สงบนิ่ง   ผ่องใส 

จากนั้นเราทรงอารมณ์สูงขึ้นไปอีก จากฌานสี่ในอานาปานสติ คือลมหายใจ เรากำหนดเป็นฌานสี่ของกสิณ คือการกำหนดภาพ สมาธิจิตจากการกำหนดภาพดวงกสิณ โดยเรากำหนดรู้เชื่อมโยงกับภาพนิมิตกับจิตของเรา รวมเป็นกสิณจิต คือจิตเรานั้นเป็นดวงกสิณ การที่เรากำหนดจิตเราเป็นดวงกสิณก็ทำให้เราได้เจโตปริยญาณไปพร้อมกัน เจโตปริยญาณที่ว่าก็คือ การที่เรารู้จิตของเรา หากจิตเรากำลังใจในการทรงภาพกสิณไม่สามารถทรงอารมณ์จิต เห็นภาพจิตตนเป็นแก้วใสได้ ดวงแก้วหรือดวงจิตยังมีความขุ่น มีความมืด มีความมัว ก็หมายความว่าจิตเรายังไม่สามารถเข้าถึงในระดับอุปจาระสมาธิของกสิณจิต จิตยังมีความกังวล ยังมีความหนัก ยังมีความขุ่น ยังมีกิเลส ยังมีความกังวล ยังมีนิวรณ์ 5 แต่หากกำหนดจิตใส จิตของเราเป็นดวงแก้วใสอยู่ภายใน ใสขึ้น สว่างขึ้น จิตสว่างขึ้น จิตเป็นสุขขึ้น จิตเอิบอิ่มขึ้น จิตรู้สึกได้ถึงว่ามีกำลังเพิ่มขึ้น สว่างขึ้น พร้อมกับอารมณ์ที่เป็นสุข ยิ่งสว่างขึ้นเรื่อยๆ นั่นก็คือจิตตานุภาพแห่งกสิณจิตได้เกิดขึ้น จิตเข้าถึงอุคคหนิมิต คือดวงแก้วใสแสงสว่างปรากฏ อุคคหนิมิตของกสิณนั้นก่อให้เกิดกำลังของความเป็นทิพย์และจิตตานุภาพเพิ่มขึ้นกว่าจิตของบุคคลที่ทรงอารมณ์ภาพกสิณยังเป็นภาพที่ขุ่นที่มัวที่มืด

ให้เราสังเกตดูว่าอารมณ์ของเรา จิตของเรารู้สึกว่ามีกำลังมากกว่าการกำหนดเห็นภาพเฉยๆ หรือภาพนั้นมันมีความมุ่นความขุ่นความมัวอยู่ จากจิตที่ใสและสว่างและมีความสุขเพิ่มขึ้น สว่างขึ้น กำหนดจิตให้เห็นความระยิบระยับจากแก้วใสกลายเป็นเพชรระยิบระยับแพรวพราว แสงสว่างเพิ่มขึ้นพุ่งขึ้นโดยรอบ เป็นเส้นเป็นแฉกรัศมีโดยรอบทั้ง 360 องศา รอบทิศทางของดวงจิต กายของเรามีดวงแก้วดวงจิตที่เป็นเพชรประกายพรึก มีเส้นรัศมีพุ่งเป็นแสงออกมาโดยรอบ แม้เบื้องหน้า เบื้องบน เบื้องล่าง ด้านข้างซ้ายขวาหรือแม้แต่ด้านหลัง เส้นแฉกรัศมีจากจิตที่เป็นเพชรประกายพรึกพุ่งรายรอบพ้นจากกายเนื้อของเรา

กำหนดเห็นจิตทรงจิตเป็นเพชรประกายพรึกชัดเจน อารมณ์ของเราสัมผัสได้ว่าจิตที่เป็นเพชรประกายพรึกนี้เปี่ยมไปด้วยพลังจิตตานุภาพแห่งดวงกสิณจิตปรากฏ มีเพิ่มและชัดเจนยิ่งกว่าครั้งใดๆ กำลังของจิตเพิ่มขึ้น เส้นแสงจากจิตที่เป็นเพชรประกายพรึกเพิ่มขึ้น สว่างขึ้น ใจเรายิ่งเป็นสุขผ่องใส ทรงอารมณ์ไว้ ทรงภาพนิมิตไว้ จับความรู้สึกที่ใจเราเป็นสุข บรรยากาศสนามพลังโดยรอบเกิดสภาวะเป็นกากเพชรแพรวพราวระยิบระยับรายรอบเต็มไปหมด ความเป็นทิพย์ของจิตปรากฏขึ้นเต็มกำลัง ทรงอารมณ์ไว้ กำหนดจิตว่าเราสร้างบาทฐานเพาะบ่มกำลังแห่งจิตตานุภาพในกำลังแห่งการฝึกการปฏิบัติ กสิณทั้งสิบกองรวมตัวกันในกสิณจิตของเรา อภิญญาสมาบัติทั้งหลายรวมตัวเป็นจิตตานุภาพกำหนดเกิดขึ้นในจิตของเรา ทรงอารมณ์ความผ่องใสเป็นเพชรประกายพรึกนั้นไว้ กำหนดโดยปัญญา พิจารณารู้ในธรรม อารมณ์จิตของเราที่เป็นเพชรทรงกำลังรัศมีจิตแพรวพราว เส้นแสงรัศมีของจิตมีกำลังเต็มที่ หากตายไปในขณะนี้ เราก็ไปจุติเป็นชั้นพรหมเป็นอย่างน้อย 

กำหนดรู้ว่าจิตของเราที่เป็นเพชรประกายพรึกนี้ เราทรงอารมณ์อยู่ในระดับของปฏิภาคนิมิตคือฌานสี่ในกสิณ จิตมีความแพรวพราว มีความสว่าง มีความเข้มข้นของเส้นรัศมีแห่งจิต ความเป็นทิพย์ปรากฏขึ้นเต็มกำลัง ทรงอารมณ์จิตที่ตั้งมั่นนี้ไว้ เมื่อจิตของเรามีกำลังดีแล้วในระดับของฌานสี่ในกสิณจิต กำหนดเพิกภาพนิมิตทั้งหลาย ค่อยๆสลายหายไป เป็นความว่าง เวิ้งว้างว่างเปล่า ภาพนิมิตทั้งหมด ดวงจิตที่เป็นเพชรประกายพรึกค่อยๆสลายผุกร่อนเป็นผงละเอียดระยิบระยับ มลายสลายกลายเป็นความว่าง ขาว ว่าง โล่ง จนสภาวะรายรอบทั้งหมดรวมไปถึงแม้กระทั่งร่างกายที่เป็นกายเนื้อของเรา ดวงจิต ภาพนิมิตกสิณจิตสลายไร้รูป กลายเป็นผุยผง กลายเป็นความว่าง เวิ้งว้างว่างเปล่า ขาวโดยรอบ ไม่มีขอบผนัง ไม่มีเพดาน ไม่มีพื้น มีแต่ความโล่ง ว่าง ขาวสุดลูกหูลูกตา

กำหนดทรงอารมณ์ในความว่าง ในอรูปสมาบัติ พิจารณาสลายล้างรูปวัตถุทั้งหมด โลก จักรวาล ภพภูมิทั้งหลาย สลายเป็นความว่างไปจนหมด สัญญาความจำทั้งหลาย สลายไปจนหมด และในเมื่อมันเป็นความว่าง ว่างเปล่า ไม่มีอายตนะภายในมาเสวยมารับอายตนะภายนอก เมื่อไร้รูปก็ไร้การกระทบในอายตนะ อายตนะทั้งหลายสลายไปจนสิ้น 

เมื่อพิจารณาครบทั้งสี่ประการ เราก็เจริญเข้าสู่กำลังแห่งสมาบัติแปด กลายเป็นความว่างเวิ้งว้างไร้สัญญา ไร้ผัสสะ ไร้การกระทบทางอายตนะ เมื่อไร้การกระทบทางอายตนะก็ย่อมไร้การปรุงแต่งทางอายตนะ เป็นความว่าง หยุดการปรุงแต่ง สลายการกระทบ  เพาะบ่มกำลังแห่งสมาบัติแปดไว้

เมื่อฐานกำลังแห่งสมาบัติแปดก่อเกิดขึ้นในจิตของเราแล้ว เราจึงใช้กำลังแห่งสมถะของสมาบัติแปด คืออรูปฌานที่แปด ซึ่งครอบคลุมรวบรวมถึงฌานหนึ่ง ฌานสอง ฌานสาม ฌานสี่ ทั้งในอานาปานสติและกสิณ กำลังแห่งอรูปสมาบัติคือ อรูปสมาบัติที่หนึ่ง สอง สาม สี่ รวมเป็นสมาบัติทั้งแปด เป็นบาทฐานกำลังในการเจริญวิปัสสนาญาณ ซึ่งกำลังที่เราใช้ฐานแห่งสมาบัติแปดในการเจริญวิปัสสนาญาณนั้น เป็นเหตุให้การบรรลุมรรคผลที่จะพึงเกิดขึ้น สามารถบรรลุมรรคผลได้สูงสุดในวิสัยแห่งปฏิสัมภิทาญาณ คือมีความรอบรู้ในพระไตรปิฎกทั้งหมด รู้ภาษาสัตว์ทั้งหลาย รู้ภาษาดาวดวงดาวทั้งหลาย สามารถที่จะพิจารณาอธิบายสาธยายเข้าใจธรรมะที่ง่าย สาธยายอธิบายให้มันมีความละเอียดลึกซึ้งพิสดาร หรือสามารถที่จะอธิบาย เข้าใจ สั่งสอนธรรมะที่ยาก ลึกซึ้ง พิสดาร ให้กระชับ สั้น ลึกซึ้ง เรียบง่ายในเพียงความเข้าใจเพียงแค่ประโยคสองประโยค กำลังแห่งอภิญญาสมาบัติทั้งหลาย อิทธิวิธีทั้งหลายครบถ้วนบริบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กำลังในการพิจารณาตัดกิเลส มีกำลังสูงกว่าการใช้อานาปานสติในการตัด หรือการใช้กำลังแห่งกสิณในการตัด 

กำลังแห่งสมาบัติแปดมีกำลังฌานสูง มีพลังงานของจิตสูง เมื่อใช้ตัดกิเลสก็มีศักยภาพในการตัดกิเลสสูงกว่าการใช้กำลังสมถะ กำลังสมาธิในกองที่ต่ำกว่าในฌานที่ต่ำกว่า อรูปสมาบัติสลายกิเลสกลายเป็นความว่างเวิ้งว้าง รูปวัตถุทั้งหลายที่เราเคยพึงพอใจปรารถนาสลายกลายเป็นความว่างเวิ้งว้าง บุคคลที่เราเคยเกาะเคยยึดเคยห่วงหาอาลัย กำหนดสลายเป็นความว่างเวิ้งว้าง จิตว่างจากการเกาะการยึด เมื่อไร้รูปไร้วัตถุไร้สิ่งที่เราจะเกาะเกี่ยว จิตก็สามารถปลด ละ วาง เปลื้อง ความเกาะความยึดมั่นถือมั่นออกไปจากใจ

กำหนดคลายความยึดมั่นถือมั่นทั้งหลายเป็นความว่างเวิ้งว้างว่างเปล่า ความหนักทั้งหลาย ความกังวลทั้งหลาย ความทุกข์ทั้งหลาย สลายเป็นความว่าง ทุกอย่างไร้แก่นสาร ทุกอย่างทุกเหตุการณ์เป็นเหมือนกับพยับหมอกที่ระเหยไป เหมือนกับน้ำค้างยามเช้าซึ่งเมื่อเวลาผ่านไป มีแสงแดดแผดเผา หยาดน้ำหยดน้ำทั้งหลายก็สลายไปจนหมด 

กำหนดใช้กำลังแห่งอรูป สลายความยึดมั่นถือมั่นในรูป ในภพ ในสัญญา ในความเกาะ ในความเกี่ยว ในความห่วงหาอาลัย ในบุคคล ในสถานที่ ในวัตถุทั้งหลายไปจนหมด สิ่งใดที่เป็นเครื่องเกาะเกี่ยวผูกโยงเชื่อมโยงผูกพันในภพในภูมิในสังสารวัฏทั้งหลาย จงคลายตัวสลายตัวออกไป ใจของเราจงเบาขึ้น จิตของเราจงสว่างขึ้น สว่าง โล่ง ว่าง ขาว กำลังแห่งอรูปสมาบัติสลายล้างความเกาะเกี่ยวยึดมั่นถือมั่น ความทรงจำ สัญญา คำอธิษฐานทั้งปวง คำสาปแช่ง คำที่เราตั้งจิตไปเกาะไปเกี่ยวไปเกิดไปผูกพันกับบุคคลกับสถานที่กับเหตุการณ์กับเรื่องราวทั้งหลาย สลายไปให้หมด

กำหนดพิจารณาว่าเมื่อเราจะปรารถนาในพระนิพพาน ความอาลัยในเรื่องราวพันธะกิจทั้งหลาย หน้าที่ทั้งหลาย สิ่งที่ยึดมั่นถือมั่นทั้งหลายในภพใดภูมิใดก็ล้วนแต่ไม่มีความหมายอีกอย่างต่อไป ใจของเราปราศจากความห่วงหาอาลัยในทุกสิ่งในสังสารวัฏอย่างสิ้นเชิง ปล่อยวางออกไปจากใจของเรากลายเป็นความว่างเวิ้งว้าง คลาย ปล่อยวาง ว่าง โล่ง เบา ขาว โปร่ง เป็นความว่าง เป็นอนันตกาล

เมื่อกำหนดสลายทุกสรรพสิ่ง กำหนดพิจารณาเห็นรูปกายทั้งหลายที่เราเกิดมาภพชาติแล้วภพชาติเล่า กายที่เราเคยปรากฏเป็นสัญญาความจำในรูปในกายแต่ละกายแต่ละชาติของเรา ระเบิดกายทั้งหลาย ระเบิดจนกลายเป็นผุยผงให้หมด ระเบิดจนสลายไร้รูป ทุกสิ่งระเบิด สลายกลายเป็นความว่าง ภาพกายเนื้อแต่ละภพแต่ละชาติระเบิดสลายหายไปจนหมด ระเบิดสลายหายไปจนหมด ไร้ความเกาะเกี่ยว ไร้ความยึดมั่นถือมั่น ไร้แรงดึงดูดของสัญญา ไร้แรงดึงดูดของภพชาติ ไร้แรงดึงดูดของวิบาก สลายไปจนหมด หากเราปรารถนาในพระนิพพานคู่บารมีเก่าคนที่เคยเกี่ยวพันผูกพันระเบิดสลายออกไปจนหมด เหลือเพียงจิตอันมีเมตตาเสมอกัน ไร้ความผูกพันสัญญาในความรักระหว่างเพศในความผูกพันระหว่างภพชาติ มีแต่ความเมตตาเป็นกลางต่อทุกดวงจิต จิตเรายิ่งสว่างขึ้น ยกระดับขึ้น ปล่อยวางในทุกสิ่งทุกอย่าง จิตโล่งว่างสว่างเบา 

จากนั้นจึงกำหนดจิตต่อไปว่าเมื่อเราใช้กำลังแห่งอรูปสมาบัติพิจารณาตัดกิเลส ตัดสัญญา ตัดกาย ตัดอายตนะทั้งหลายไปแล้ว เราพิจารณาต่อไปว่ากำลังแห่งอรูปสมาบัตินั้นหากเราตายไปในขณะนี้เราก็ไปจุติยังอรูปพรหม แต่ความปรารถนาแห่งจิตเรานั้น เราปรารถนาพระนิพพาน ไม่ได้ปรารถนาในอรูปพรหม ดังนั้นอรูปราคะความสำคัญผิดสำคัญมั่นหมายว่าความว่างหรืออรูป หรืออารมณ์ที่ตัดเป็นความว่าง ตัดกิเลสด้วยความว่างนั้นคือพระนิพพานไม่มีในจิตของเรา เราไม่มีอวิชชาที่หลงว่าอรูปฌานความว่างคือพระนิพพาน เราพิจารณาต่อไปว่าเรามีพระพุทธองค์ มีคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยะสงฆ์เป็นสรณะที่พึ่งที่อาศัย

กำหนดจิตสลายความว่างทั้งหมด ท่ามกลางความว่างนั้น ปรากฏพระพุทธองค์ สมเด็จองค์ปฐมทรงเครื่องจักรพรรดิสว่างอย่างยิ่ง ปรากฏขึ้น กำหนดจิตเข้าถึงสัมผัสในสมเด็จองค์ปฐมอย่างสว่างไสวชัดเจนเต็มกำลัง น้อมจิตกำหนดอาทิสมานกายของเราเป็นกายพระวิสุทธิเทพกราบสมเด็จองค์ปฐม อธิษฐานจิตทุกครั้งนับตั้งแต่บัดนี้ ขอให้การที่เราได้กราบพระพุทธเจ้า คือการที่เรากราบพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน นึกถึงพระพุทธองค์เมื่อไหร่ จิตเราอาทิสมานกายเราพุ่งไปกราบ พุ่งไปปรากฏอยู่เบื้องหน้าพระพุทธองค์บนพระนิพพานเสมอทุกครั้ง กำหนดพุ่งจิตปรากฏอยู่บนพระนิพพาน อธิษฐานจิตขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอให้อาทิสมานกายข้าพเจ้าจงปรากฏเป็นกายแห่งพระวิสุทธิเทพ ขอให้ความชัดเจนแจ่มใสในความเป็นพระวิสุทธิเทพของข้าพเจ้าจงปรากฏ

พิจารณากายในกายคือกายทิพย์ รู้กายคือกายทิพย์ของเรามีสภาวะเช่นไร แต่งเครื่องทรงเครื่องประดับ มีลักษณะผิวพรรณเช่นไร เราค่อยๆพิจารณากำหนดรู้เฉกเช่นเดียวกับความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเวลาที่เรากำหนดสติในกายเนื้อฉันใด เรากำหนดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมในความเป็นอาทิสมานกายกายพระวิสุทธิเทพฉันนั้น  สัมผัสได้ถึงพระธรรมรงค์คือแหวนที่อยู่ประดับทั้งสิบนิ้ว ทองพระกรคือกำไรที่ข้อมือทั้งสองที่ประดับ พระมหาพิชัยมงกุฎที่ประดับอยู่เหนือศีรษะเศียรเกล้า กลางหน้าผากปรากฏเพชรที่เป็นอุณาโลมอยู่กึ่งกลางดวงตาที่สาม ผิวพรรณเป็นแก้วอันใสละเอียดมีแสงสว่างส่องออกมาจากเนื้อใน เครื่องประดับทับทรวงที่ประดับอยู่กลางอกตรงกับตำแหน่งกลางอกกลางหัวใจของเรา กำหนดรู้ทั่วกายไล่ตั้งแต่ศีรษะ ใบหน้า ลำตัว เครื่องประดับที่อยู่ จนกระทั่งถึง ว่าเท้าเราใส่รองเท้าแบบใด รองเท้าที่เราใส่เวลาที่เรานั่งเรานั่งอยู่ในอิริยาบถใด กำหนดรู้ของเราเองว่ากายทิพย์เรา อาทิสมานกายกายพระวิสุทธิเทพของเราตอนนี้นั่งกระหย่งคุกเข่า หรือนั่งขัดสมาธิ หรือนั่งอยู่บนแท่น กำหนดรู้ของเราอยู่

เมื่อกำหนดความรู้สึกกายในกายความรู้สึกตัวทั่วพร้อมในกายชัดเจนแล้ว กำหนดพิจารณาต่อไป ถือว่าเป็นวิปัสสนาญาณ เราไม่ใช่ร่างกายเนื้อ ร่างกายเนื้อไม่ใช่เรา เราคือกายพระวิสุทธิเทพ เราคืออาทิสมานกาย ตอนนี้อาทิสมานกายของเรายกขึ้นมาอยู่บนพระนิพพาน กายทิพย์เราจึงอยู่ในสภาวะของกายพระวิสุทธิเทพ หากเรายังเวียนว่ายตายเกิด กายทิพย์เราก็ต้องย้ายไปจุติปรากฏความเป็นทิพย์ตามสภาวะแห่งภพที่เสวยวิบากกรรมนั้นๆ พิจารณาในกาย กายในกาย ในความเป็นกายทิพย์ 

กำหนดอธิษฐานจิตนั่งอยู่บนแท่นในวิมานของตัวเราบนพระนิพพาน  พิจารณาเล็งญาณลงมาจากพระนิพพาน พิจารณาว่าหากแม้เรายังเวียนว่ายตายเกิด พิจารณามองลงไปว่า ถ้าเราไปเสวยวิบากกรรมอยู่ในนรกภูมิ กายทิพย์เราก็เป็นกายของสัตว์นรก กายของสัตว์นรกนั้นมีลักษณะอย่างไร มีความเป็นอยู่อย่างไร มีความทุกข์อย่างไร เราพิจารณาแล้ว เราถามจิตของเราเองว่าเราปรารถนาให้อาทิสมานกายกายของเราเป็นสัตว์นรกหรือไม่ จิตไม่ปรารถนาก็กำหนดจิตต่อไป ดังนั้นเหตุที่ทำให้ไปจุติยังอบายภูมิคือนรกเราก็พึงตัดด้วยการรักษาศีล ด้วยการปฏิบัติให้เข้าถึงความเป็นพระโสดาบันเพื่อปิดอบายภูมิ พิจารณาว่ากรรมอกุศลเราก็พึงงดเว้นไม่กระทำ เพราะเราไม่ปรารถนาให้กายเราไปมีสภาพเป็นกายของสัตว์นรก

พิจารณาต่อไปว่าภพของการเป็นเปรตอสูรกายมีความน่าเกลียดน่ากลัว เรามีความปรารถนาไหม เราไม่มีความปรารถนา เราก็จงรักษาจิตของเรา สร้างแต่กุศล สร้างแต่ความดี เราพิจารณาต่อไป เห็นกายทิพย์ของโอปปาติกะสัมภเวสีดวงวิญญาณที่เสียชีวิตก่อนถึงอายุขัย จะด้วยการตายโหง ตายด้วยอุบัติเหตุ ตายในลักษณะใดก็ตาม เป็นดวงวิญญาณที่ยังไม่ตั้งใจ ยังไม่พร้อมที่จะตายที่จะไปภพอื่นภูมิใด หลงติดในภพภูมิต่างๆ มีความเศร้าหมอง มีความหลงว่าตัวเองยังไม่ตาย ล่องลอยปะปนอยู่กับภพอื่น เราเห็นเรารู้เราพิจารณาแล้ว เราไม่ปรารถนาให้กายของเราคือกายทิพย์เราเป็นเช่นนั้น เราก็จงไม่ประมาทในความตาย เจริญมรณานุสติและมีคติที่ไปว่าตายไปแล้วเราจะไปที่ไหน เราพิจารณาได้ดังนี้แล้ว ก็ตั้งจิตว่าเราขอตั้งใจปิดอบายภูมิ ขอทรงอารมณ์ใจในขั้นพื้นฐาน กำลังสำคัญแห่งความเป็นพระอริยะเจ้าคืออารมณ์แห่งพระโสดาบัน คือตัดสังโยชน์สามประการเบื้องต้น อันเป็นสิ่งที่กระทำได้ไม่เกินวิสัยที่เราจะกระทำ คือ หนึ่ง ตัดสักยะทิฐิ ความหลงในร่างกาย หลงในภพ หลงในชีวิต พิจารณาไว้เสมอว่าเราเกิดมา มนุษย์โลกเกิดมา เกิดมาเท่าไหร่ตายเท่ากัน เกิดมาอย่างไรก็ไม่พ้นความตายไปได้ ตัวเราเองก็ต้องตายในวันหนึ่งวันใด เพียงแต่จุดสำคัญที่สุดก็คือในข้อของมรณานุสตินี้ นั่นก็คือตายไปเมื่อไหร่เราขอไปพระนิพพาน สักยะทิฐิก็สิ้นไปขาดไป สังโยชน์ข้อนี้ก็สิ้นไปจากจิตของเรา

พิจารณากำหนดดูกำหนดรู้ในอดีตก่อนที่เราจะได้ธรรม ก่อนที่เราจะได้มีความเข้าใจในธรรม บุคคลที่เป็นปุถุชนคนธรรมดาพูดถึงความตายก็มีความหวาดกลัวความตาย เพราะไม่รู้ว่าตายแล้วไปไหน ตายไปแล้วสวรรค์นรกมีจริงหรือเปล่า ตายไปแล้วจะไปอยู่ที่ใด ตายไปแล้วจะต้องพลัดพรากจากของรัก จากสมมุติ ตายไปแล้วต้องพลัดพรากจากสมบัติพัสถานตำแหน่งหน้าที่การงานของตน ตายไปแล้วต้องพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รัก มีบิดามารดา มีสามีภรรยา มีบุตรมีหลานเป็นต้น พิจารณาดูว่าด้วยความไม่รู้ ความหลงเหล่านี้ และยิ่งไม่รู้ในธรรมว่าเหตุใดจึงทำให้ไปจุติไปเกิดในภพใดภูมิใด ยิ่งทำให้เป็นความมืดบอดเหมือนกับการเดินทางในสังสารวัฏ ด้วยการที่เป็นคนตาบอดไม่รู้จะไปที่ไหน ไม่รู้จะไปที่ใด ไม่รู้จะไปที่ไหนได้ยังไง ไม่รู้ทั้งจุดหมายปลายทาง ไม่รู้ทั้งวิถีทางหรือหนทางที่จะไป เราพิจารณาว่าโอ้หนอ หากแม้นพระพุทธองค์ไม่ทรงปรากฏแสดงธรรม และหมู่พระอริยะสาวก คือพระอริยะสงฆ์ไม่ทรงปรากฏ พระพุทธ พระธรรม พระอริยะสงฆ์ไม่ได้ทรงปรากฏในโลก เราก็คงเป็นบุคคลเฉกเช่นคนทั้งหลายที่ยังมืดบอด หลงมัวเมา หลงเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ หลงเพลิดเพลินในสังสารวัฏ โดยไม่รู้จุดหมายปลายทาง บางคนคิดว่าไปอยู่สวรรค์แล้วจบ ได้กลับขึ้นสวรรค์ ได้กลับดาวถือว่าจบ

แต่ความที่จริงแล้วยังมีภาคต่อ ยังมีการเวียนว่ายตายเกิด ยังมีการหมดบุญ หมดวาระ ยังมีการเกิดแก่เจ็บตายอีกมากมายนับไม่ถ้วน เราพิจารณาแล้วยิ่งเห็นคุณเห็นพระรัตนตรัย ยิ่งเกิดปัญญาพิจารณาในความเป็นสัมมาทิฐิ เข้าใจในเรื่องกรรมและกฎของกรรม กฎของกรรมที่เป็นข้อสำคัญในเรื่องสังสารวัฏก็คือทำกรรมเช่นไรก็ย่อมเป็นเหตุให้ไปจุติยังภพนั้นภูมินั้น กรรมจึงเป็นเครื่องจำแนกเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลาย กรรมจึงเป็นเครื่องนำพาดวงจิตของสัตว์ทั้งหลายไปยังภพภูมิต่างๆ กรรมเป็นเครื่องนำพาให้มาพบกันเจอกัน ไม่ว่าจะเป็นกรรมดีอันได้แก่กุศลผลบุญทั้งหลาย การเจริญพระกรรมฐาน การปฏิบัติสมาธิ การพิจารณาธรรมด้วยปัญญา หรือกรรมอันเป็นวิบากกรรมเป็นอกุศลกรรม กรรมอันเป็นเครื่องนำพาไปสู่อบายภูมิ กรรมอันเป็นเครื่องดึงดูดความทุกข์ กรรมอันเป็นเครื่องดึงดูดเจ้ากรรมนายเวรความอาฆาตความพยาบาทให้มาเกิดให้มาประสบให้มาพบเจอ

เมื่อเข้าใจเรื่องกรรมก็จงพิจารณาว่ากรรมทั้งหลายไม่สามารถที่จะทำบุญไถ่โทษได้ กรรมทั้งหลายจะหมดสิ้นไปเพียงแค่ 2 กรณีเท่านั้น คือการอโหสิกรรม การขมากรรม จนกรรมทั้งหลายนั้นวิบากทั้งหลายเป็นโมฆะกรรม นั่นก็ถือว่าเป็นการตัดกรรม แต่คนที่จะเป็นผู้ตัดกรรมได้ก็คือจิตของเราเอง การตัดก็คือการตัดกรรมที่มีต่อดวงจิตอื่นบุคคลอื่น อโหสิกรรมให้อภัยทาน ให้อภัยทานเพื่อไม่ให้กรรมที่จิตเราไปดึงดูดกับบุคคลที่เรามีความแค้นเคืองกับเขาให้มาพบมาเจอกันอีก อภัยทานอโหสิกรรมต่อกันเพื่อให้ตัวเราไม่กลายเป็นเจ้ากรรมนายเวรของผู้หนึ่งผู้ใด หากโลกนี้ จักรวาลนี้ สังสารวัฏนี้ มีผู้ให้อภัยทาน มีผู้ที่อโหสิกรรมกันมากเท่าไหร่ จำนวนเจ้ากรรมนายเวร กระแสกรรม กระแสวิบากทั้งหลายก็ลดเพลาบรรเทาเบาบางลงไปมากเท่านั้น พลังงานที่เป็นลบ พลังงานที่เป็นความอาฆาตแค้น พลังงานที่เป็นความอาฆาตพยาบาท พลังงานที่นำพาเอาภัยพิบัติมาเกิดขึ้นกับคนหมู่มาก พลังงานที่สะสมตัวก็บรรเทาเบาบางลง อันนี้เกิดขึ้นจากการขมากรรม ดับที่เรา เบาที่สุด

เรากำหนดพิจารณาได้ดังนี้แล้วก็ตั้งจิตขอให้มหาอภัยทาน อภัยต่อทุกดวงจิตทั่วสังสารวัฏ สิ่งใดที่เคยสาปแช่ง เคยเคียดแค้น เคยอาฆาต เคยพยาบาท เคยจองเวรผูกเวรก่อกรรม เคยตั้งจิตเคียดแค้นริษยาอาฆาตเป็นเจ้ากรรมนายเวร จิตเราสลายล้างอารมณ์ทั้งหลายเหล่านี้ สลายเป็นความว่าง ภาพจำ ภาพที่บันทึกในจิต ภาพเหตุการณ์ทั้งหลายจงสลายเป็นความว่างด้วยกำลังแห่งอรูปฌานบนพระนิพพาน สลายล้างอโหสิกรรม ให้วิบากเบาลงสิ้นลง กระแสคลื่น กระแสจิต กระแสความอาฆาตพยาบาทจากจิตเราจงสลายไปจนหมด ให้อภัยต่อทุกดวงจิตทุกเหตุการณ์ทุกชาติภพ ไม่ว่าเขาจะกระทำเลวร้ายกับเราเพียงใดหนักหนาเพียงใด ทำต่อบุคคลที่เรารักแค่ไหนประเทศชาติที่เรารักแค่ไหน สลายล้างเป็นความว่างเวิ้งว้างไปจนหมด ยิ่งให้อภัยยิ่งวางยิ่งเบา ให้มหาอภัยทานต่อมวลสรรพสัตว์ จิตเรายิ่งยกขึ้น สว่างขึ้น อาทิสมานกายยิ่งสว่างขึ้น กำหนดน้อมนึกนะ ญาณหยั่งรู้ไปถึงบุคคลที่เราเคยอาฆาตพยาบาท เมื่อเราปลดวางสลายความเป็นเจ้ากรรมนายเวรตัวเขาก็เบาลง วิบากทั้งหลายของเขาก็เบาลง กรรมทั้งหลายก็กลายเป็นโมฆะกรรม การตัดกรรมทำได้ด้วยการอโหสิกรรม

พิจารณาในอารมณ์ที่สูงขึ้นไปอีก เมื่อเราตั้งจิตไปบนพระนิพพานแล้วกรรมทั้งหลายก็เป็นโมฆะกรรมเช่นกัน นับตั้งแต่อารมณ์เข้าสู่ความเป็นพระโสดาบันปิดอบายภูมิ กรรมอันเป็นเหตุที่มาจ่อรอให้เราตกนรก กรรมที่ตกค้างที่ยังทำให้เราตกนรกตกอบายภูมิ อบายภูมินั้นนับรวมมาตั้งแต่การตกไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน การไปเป็นโอปปาติกะสัมภเวสี การไปเกิดไปจุติเป็นเปรตอสูรกายหรือแม้แต่ตกนรกในทุกขุม เมื่อจิตของเราตัดเข้าสู่ความเป็นพระโสดาบันปิดอบายภูมิทั้งปวง นั่นก็แปลว่ากรรมที่ทำให้ไปจุติในภพทั้งหลายที่กล่าวมาอันเป็นอบายภูมิไม่ปรากฏขึ้นกับเราอีก นี่ก็ถือว่าเป็นการตัดกรรม สูงขึ้นไปกว่านี้อารมณ์จิตเราพิจารณาในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพบนพระนิพพาน เมื่อจิตเราปรารถนาพระนิพพานถ้าตายแล้วจิตเรามาพระนิพพานถึงจุดเดียว การที่เรามาพระนิพพานจุดเดียว เราไม่เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอีก เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่เขาเคยผูกเวรจองกรรมกับเรา เขาก็ไม่อาจที่จะติดตามหาติดตามพบหรือจะไปอาฆาตพยาบาทจองเวรใครได้อีก จิตเขาก็หลุดจากพันธนาการที่มาผูกโยงกับจิตเราไว้ กลายเป็นว่าเขาก็เป็นอิสระจากความอาฆาตแค้นของจิตใจเขาเอง

และสิ่งทั้งหลายที่ภาษาธรรมภาษาการปฏิบัติขั้นสูงที่ท่านเรียกว่า ถ้าหากจะพระนิพพานแล้ว ปรารถนาพระนิพพานต้องทิ้งทั้งบุญทิ้งทั้งบาป บาปเราตั้งใจทิ้ง แต่บุญที่ว่าทิ้งนั้นหมายความว่า บุญกุศลที่มารอเราจากการที่เราสร้างบุญสร้างกุศล ถวายสังฆทาน สร้างพระ อันเป็นเหตุที่ทำให้เราไปเกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิราชทำให้เราเกิดไปเป็นพระราชา ธรรมที่ทำที่ให้เราไปเกิดเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี กุศลที่ทำให้เราไปจุติเป็นเทวดานางฟ้ามีวิมาน กรรมฐานที่เป็นเหตุให้เราไปจุติเป็นพรหมเป็นอรูปพรหม เราก็ทิ้ง ทิ้งคือทิ้งก่อนตาย แต่ตราบที่เรายังมีชีวิตอยู่บนโลกมนุษย์ ตราบที่เรายังไม่นิพพาน เราต้องไม่ทิ้งคือสร้างกุศลสร้างความดีเพาะบ่มบุญบารมีไว้ แต่ทิ้งคือเราไม่เอาแล้ว เราไม่เกิดเป็นมนุษย์อีกแล้ว เราไม่เกิดเป็นเทวดาอีกแล้ว เราไม่เกิดเป็นพรหมอีกแล้ว เราเกิดที่ไหน เราไม่เกิดอีก เราจุติ เราพ้นจากสังสารวัฏ เราขอไปพระนิพพานเพียงจุดเดียว การเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิเราไม่เอา อันนี้ก็คือทิ้งความดีทิ้งกุศล แต่กุศลนั้นยังเป็นเหตุให้เรายังต้องเวียนว่ายตายเกิดเราเอาไหมเราไม่เอา เมื่อทิ้งได้ทั้งหมดคือทิ้งภพภูมิ ทิ้งสังสารวัฏ อยู่พระนิพพานจุดเดียว ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด

ใจเราจิตเรายังสามารถรู้ รับรู้ถึงลูกหลานพ่อแม่คนที่เขายังเวียนว่ายตายเกิด ถามว่าเรารู้ไหม เรารู้ เราเห็น เราเอาใจช่วย พิจารณาอย่างอุเบกขารมณ์ คือช่วยตามเหตุตามปัจจัย มีวาระวาสนาที่เขาอธิษฐานถึงเรานึกถึงเรา เราอยู่ในวิสัยพระพุทธเจ้าอนุญาต เราช่วยได้เราก็ช่วย แต่ความเดือดร้อนความดิ้นรนความทุกข์ว่าเขามาได้มาไม่ได้ เขาตกนรกขึ้นสวรรค์ ใจเราอุเบกขาหมด ใจเราเห็นทุกอย่างเป็นไปตามวาระของกรรม เคารพตามเหตุของกรรม ช่วยเฉพาะในเหตุในปัจจัยที่เขาอธิษฐานถึง อันนี้เป็นเรื่องที่อารมณ์จิตของพระอรหันต์บนพระนิพพาน ท่านวางอารมณ์ไว้เช่นนี้ จิตเข้าถึงอุเบกขารมณ์บนพระนิพพาน พิจารณาเห็นว่าสัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม เห็นว่าผลไม้ทั้งหลายมีความสุกไม่พร้อมกัน บุคคลดวงจิตมีวิสัยระยะเวลาแห่งการบรรลุธรรมไม่พร้อมกันฉันใด เราก็กำหนดรู้ยอมรับไปฉันนั้น แต่ในที่สุดเราพิจารณากำหนดรู้ว่าในที่สุดจิตทุกดวงล้วนต้องเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ตราบจนจิตสุดท้ายซึ่งก็จะมีพระมหาโพธิสัตว์ที่ขอเข้าพระนิพพานเป็นองค์สุดท้ายอยู่ในวิสัยที่ช่วยพึงผลักดันรื้อขนมวลสัตว์ สรรพสัตว์ ทุกดวงจิตเข้าสู่พระนิพพานก่อน 

เราก็กำหนดรู้ กำหนดพิจารณาได้ดังนี้ ความกระจ่างแจ้งในธรรม ความกระจ่างแจ้งในพระนิพพานเราก็ปรากฏ ตัด ละ วาง ความยึดมั่นถือมั่น ตัด ละ วาง อโหสิกรรม จิตยิ่งยกขึ้น บริสุทธิ์ขึ้น สว่างขึ้น พิจารณาในอารมณ์พระนิพพาน น้อมกระแสจากพระนิพพานลงมา ปรารถนาให้ทุกดวงจิตเข้าถึงซึ่งความสุข เข้าถึงพระนิพพาน เข้าถึงทั้งมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พรหมสมบัติ นิพพานสมบัติ น้อมกระแสอาราธนาบารมีน้อมกระแสจากพระนิพพานลงมายังอรูปพรหมทั้ง 4 ชั้น น้อมกระแสแผ่เมตตาน้อมกระแสพระนิพพานลงมายังพรหมโลกทั้ง 16 ชั้น น้อมกระแสแผ่เมตตาลงมายังสวรรค์ทั้ง 6 รุกขเทวดาภุมมเทวดาทั่วอนัตตจักรวาล น้อมกระแสจากพระนิพพานลงมายังโลกจักรวาล ยังดวงจิตของมนุษย์และสัตว์ที่มีกายหยาบกายเนื้อ

น้อมกระแสจากพระนิพพานลงมายังโอปปาติกะสัมภเวสี เมืองบาดาล ภพแห่งพญานาค ภพของเมืองบังบดลับแลทั่วจักรวาล น้อมกระแสจากพระนิพพานไปยังภพของเปรตอสุรกายและสัตว์นรกทุกขุม จากนั้นอาราธนาบารมีพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน น้อมกระแสจากพระนิพพานลงมายังพุทธบริษัทสี่ทั้งปวง น้อมกระแสจากพระนิพพานลงมาอย่างวัดวาอารามสถานปฏิบัติธรรม ขอกระแสแห่งมรรคผลพระนิพพาน กระแสแห่งพุทธานุภาพ กระแสแห่งธรรมานุภาพ กระแสแห่งสังฆานุภาพ กระแสแห่งมรรคผลพระนิพพาน ความเป็นสัมมาทิฐิ ธรรมอันมุ่งลัดตัดตรงสู่พระนิพพานจงปรากฏในดวงจิตของพุทธบริษัทสี่ทั้งปวง กระแสธรรม กระแสพุทธานุภาพจงสถิตอยู่ในวัดวาอารามทั้งหลาย สถานปฏิบัติธรรมทั้งหลายจงสะอาดบริสุทธิ์ปราศจากมลทิน

ขอกำลังแห่งพุทธานุภาพกระแสพระนิพพานจงส่งตรงลงมายังพระพุทธรูป วัตถุมงคล พระธาตุ พระบรมธาตุเจดีย์ พระบรมสารีริกธาตุทุกพระองค์ วัตถุมงคล ตะกรุดผ้ายันต์ทั้งหลายจงปรากฏกำลังแห่งพุทธานุภาพ กำลังแห่งความบริสุทธิ์ ขอกระแสแห่งความวิมุตหมดจด กระแสพระนิพพานจงส่งตรงลงมายังกายเนื้อฟอกชำระล้างฟอกธาตุขันธ์ ฟอกกายหยาบ ฟอกวาจา ฟอกจิตใจ ฟอกดวงจิตของเราทุกคน กระแสจากพระนิพพาน กระแสบุญสายสมบัติจงส่งตรงลงมายังชีวิต ยังกายเนื้อ ยังบ้านเคหะสถาน ยังสถานที่ทำงาน เกิดสายบุญสายทรัพย์สายสมบัติ เกิดความคล่องตัว เกิดความเป็นสวัสดิมงคล เกิดความสุข เกิดความเจริญ เกิดกระแสแห่งเทวดาพรหมที่ปกปักรักษาคุ้มครอง เกิดเทพฤทธิ์ เกิดพรหมฤทธิ์ เกิดความศักดิ์สิทธิ์ เกิดความรุ่งเรือง กระแสบุญกระแสกุศลพร่างพรายรายรอบบ้านเรือนเคหะสถาน รายรอบชีวิต ป้องกันเป็นเกาะแก้วคุ้มครองเราจากภยันอันตรายจากโรคระบาด จากศึกสงคราม จากภัยธรรมชาติ จากวิบากอกุศลทั้งปวง ขอจงสลายออกไปด้วยกำลังแห่งพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ กำลังบุญฤทธิ์ เทพฤทธิ์ อิทธิฤทธิ์ มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางโลกทางธรรม 

จากนั้นกำหนดจิตนะ แยกอาทิสมานกายของเรากราบพระพุทธเจ้ากราบทุกท่านบนพระนิพพาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเนื่องในวาระโอกาสครบรอบ 30 ปีมรณภาพหลวงพ่อฤาษีพระราชพรหมญาณ ตั้งจิตว่าการเจริญกรรมฐานในกำลังสูงสุด ดันกำลังตั้งแต่ฌานสี่ กสิณ อรูปสมาบัติ การเจริญวิปัสสนาญาณ อารมณ์พระนิพพาน ขอน้อมเป็นการปฏิบัติบูชา เป็นเครื่องสักการะบูชาสูงสุดแก่ครูบาอาจารย์คือหลวงพ่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมญาณ ให้สมกับการที่เราเป็นศิษย์ของท่าน ยกกำลังขึ้นมากราบท่าน สักการะปฏิบัติบูชาด้วยกำลังแห่งมโนมยิทธิ ด้วยอำนาจแห่งความกตัญญูกตเวทิตาและสัจจะวาจานี้ ขอให้ท่านเมตตาคุ้มครองรักษาให้เรามีแต่ความเจริญรุ่งเรืองสมบูรณ์พูนผลในทุกสิ่งทุกอย่างตราบชั่วชีวิตตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเถิด ขอให้หลุดพ้นจากอุปสรรคจากวิบากจากคราวเคราะห์ทั้งหลาย ขอให้รอดพ้นจากภยันอันตรายทั้งหลาย ขอให้มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ประตูแห่งโชคลาภ ประตูแห่งบารมี ประตูแห่งขุมทรัพย์ ประตูแห่งอริยทรัพย์ ประตูแห่งมรรคผลพระนิพพานเปิดกว้างพร้อมรับเราทุกคน 

จากนั้นน้อมจิตกราบทุกท่านทุกพระองค์อีกครั้งหนึ่งด้วยความเคารพ ความรู้สึกในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพชัดเจน จิตเอิบอิ่ม ปีติ นอบน้อมผ่องใส

จากนั้นเราจึงโมทนาสาธุกับกัลยาณมิตรทุกคนที่ปฏิบัติธรรมร่วมกัน กุศลที่สร้างที่บำเพ็ญเชื่อมโยงสอดประสานรวมเป็นอภิจิต ทุกสิ่งสำเร็จสัมฤทธิ์เกิดความเจริญรุ่งเรืองทุกคน

จากนั้นจึงหายใจเข้าลึกๆช้าๆหายใจเข้าพุท ออกโธ ครั้งที่ 2 ธัมโม ครั้งที่ 3 สังโฆ

จากนั้นจึงลืมตาขึ้นช้าๆด้วยจิตอันเป็นสุข เอิบอิ่ม ผ่องใส มีแต่ความสุข มีแต่ความเจริญรุ่งเรืองนะ

แล้วก็ตั้งใจว่าให้เราตั้งจิตตั้งใจนะช่วยกันเขียนแผ่นทองอธิษฐาน แผ่นทองอธิษฐานยกจิตไปพระนิพพาน

คนไหนเพิ่งเข้ามาใหม่ก็ตั้งจิตเขียน เขียนทุกครั้งที่ยกจิตขึ้นพระนิพพาน ร้อยแผ่นพันแผ่น ช่วยกัน เพื่อให้ครบแสนแผ่น แสนคำอธิษฐานพระนิพพาน เพื่อสร้างพระพุทธรูป ให้เราทุกคนนะตั้งใจ 

สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคนด้วย ให้ทุกคนจงมีแต่ความสุขความเจริญ มีแต่ความก้าวหน้าในธรรม ญาณทั้งหลายจงกระจ่างแจ้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิมุตติ ญาณทัสสนะ ความรู้เหตุความรู้แจ้งในธรรมทั้งปวงจนก่อให้เกิดอภิญญาจนเข้าถึงอภิญญาใหญ่ มีสัมมาทิฐิ สัมมาสมาธิเป็นเครื่องกำกับ

สำหรับวันนี้สวัสดี พบกันใหม่สัปดาห์หน้าครับ

ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย คุณ Be Vilawan

You cannot copy content of this page