green and brown plant on water

การขอขมากรรม ขออโหสิกรรม

เวลาอ่าน : 3 นาที

เสียงธรรมจากห้อง  “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”

วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม 2567

เรื่อง การขอขมากรรม ขออโหสิกรรม

โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค

กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ผ่อนคลายทั่วร่างกาย ปล่อยวางความรู้สึกที่เกาะที่ยึดในขันธ์ 5 ทั้งหมดออกไป ปล่อยวางความห่วงความกังวล ภาระทั้งหลายปลดไปจากใจให้หมด จดจ่อแต่เพียงสติที่รู้ในลมตลอดสายตลอดทั้งกองลม เห็นลมหายใจของเราเป็นเหมือนกับแพรวไหมพลิ้วผ่านเข้าออกในกาย  ลมหายใจละเอียดราบรื่นผ่องใส

จดจ่อทรงอารมณ์ในความสงบ จดจ่ออยู่กับลมหายใจสบาย จดจ่ออยู่กับอารมณ์จิตที่ผ่องใส สงบ เบา ทรงอารมณ์แห่งความสงบ ละเอียด สว่าง ผ่องใสไว้ ใจเอิบอิ่มเบิกบาน แย้มยิ้มจากภายใน

จากนั้นกำหนดจิต นิ่งหยุดสงบ ในจุดที่นิ่งที่หยุดที่สงบ เรากำหนดใจของเรา จินตภาพเป็นดวงแก้วดวงจิต ใสสว่าง

จิตคือกสิณ กสิณคือจิต กำหนดให้เห็นจิตเป็นเพชรประกายพรึก เป็นปฏิภาคนิมิต ทรงอารมณ์จิตที่สว่าง มีเส้นแสงรัศมี จากจิตสว่างแพรวพราวระยิบระยับ ทรงอารมณ์ในสภาวะที่เข้าถึงจิตเดิมแท้อันเป็นประภัสสร ยิ่งใสยิ่งสว่างยิ่งเป็นสุข ยิ่งเข้าถึงสภาวะความเป็นทิพย์ของจิต  เปล่งประกายแผ่กระแสแห่งความเป็นทิพย์ กระแสแห่งเมตตา กระแสแห่งความสงบเย็น ทรงอารมณ์ ทรงสภาวะไว้

จากนั้นกำหนดจิตต่อไป ตั้งจิตน้อมรำลึกถึงพระคุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า กำหนดน้อมนึกในจิต เห็นภาพพระพุทธองค์ปรากฏอยู่กลางดวงจิตดวงแก้วสว่างขึ้นใสขึ้น ภาพพุทธนิมิตปรากฏพุทธบารมีของพระพุทธองค์เสด็จมาเป็นหนึ่งเดียวกับพุทธนิมิตในจิตของเรา

จากนั้นน้อมใจของเราแผ่กระแสแห่งพระพุทธเมตตาสว่างกระจายออกไปจากดวงจิตจากองค์พระสว่าง กระแสเมตตา กระแสแห่งกุศล กระแสแห่งพุทธานุภาพ แผ่สว่างกระจายโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เต็มอาณาบริเวณที่เรานั่งสมาธิกันอยู่ ทรงอารมณ์ทรงสภาวะ จากนั้นอาราธนาบารมีพระพุทธองค์ ขอปรากฏภาพพระสามฐาน คือภายในดวงแก้วที่อยู่ภายในท้อง บริเวณหน้าอก ภายในศีรษะและก็บริเวณเหนือเศียรเกล้า กำหนดทรงอารมณ์ ภาพพระสามฐานทาบทับอยู่กับกายเนื้อกายหยาบของเรา ทรงอารมณ์ทรงสภาวะไว้

อธิษฐานจิตขอบารมีพุทธานุภาพมาสถิตรักษาเป็นพระภายใน  ให้จิตข้าพเจ้าบันทึกจดจำ ทรงภาพพุทธนิมิต พระสามฐานพร้อมเต็มเปี่ยมด้วยกำลังแห่งพุทธานุภาพ พุทธบารมีและกระแสแห่งพระพุทธเมตตาเต็มกำลังทุกครั้งที่ข้าพเจ้าทรงอารมณ์จิตในการทรงภาพพระสามฐานด้วยเถิด

กำหนดน้อมนึก ให้เห็นองค์พระอยู่กับเราทั้งสามฐานสามจุด มีกระแสแสงสว่างพุทธบารมีสว่างกระจาย คุ้มครองป้องกันเราจากอันตรายทั้งหลาย ภัยพิบัติทั้งหลาย อกุศลอวิชชาทั้งหลาย ขอกำลังพุทธานุภาพปกปักรักษาจิตของเราจากมิจฉาทิฐิทั้งหลาย

จากนั้นน้อมจิตอาราธนาขอบารมีพระพุทธองค์ทรงสงเคราะห์ ขอยกจิตอาทิสมานกายของข้าพเจ้าขึ้นไปบนพระนิพพาน กำหนดจิตเห็นกายทิพย์ของเรา อยู่บนพระนิพพาน อยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐม พรั่งพร้อมด้วยมหาสมาคมคือ พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ ครูบาอาจารย์ผู้เป็นพระอริยเจ้า พระอริยสงฆ์ทุกๆพระองค์ พระโพธิสัตว์ พระมหาโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ น้อมจิตใช้กายแห่งพระวิสุทธิเทพกราบทุกท่านทุกๆพระองค์ด้วยความเคารพด้วยความนอบน้อม กายพระวิสุทธิเทพของเราแต่ละบุคคลยังอยู่ในสภาวะที่นั่งกระโหย่งคุกเข่าประนมมือ 

จากนั้นตั้งจิตอธิษฐาน ขอความเป็นทิพย์จงปรากฏธูปแพเทียนแพขอขมา เป็นพานธูปแพเทียนแพที่เป็นเพชรประกายพรึกสว่าง อันเกิดขึ้นจากบุญฤทธิ์ น้อมจิตรำลึกนึกถึงทุกครั้งทุกหนนับตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันที่ข้าพเจ้าได้กราบขมาลาโทษต่อพระรัตนตรัย ขอกระแสจิตตานุภาพ กระแสความนอบน้อมอ่อนโยน กระแสแห่งจิตที่สำนึกรู้ในความประมาทพลาดพลั้งที่เราเคยล่วงเกิน ตั้งจิตอธิษฐานกราบขมาลาโทษต่อพระรัตนตรัย คือพระพุทธเจ้า ขมาลาโทษต่อพระธรรม กราบขมาลาโทษต่อพระสงฆ์ นับตั้งแต่พระอรหันต์ พระอนาคามี พระสกิทาคามี พระโสดาบัน พระอริยเจ้าทั้งหลาย รวมถึงหมู่สงฆ์ทั้งหลาย ทั้งท่านที่เป็นพระสุปฏิปันโนก็ดี หรือแม้แต่พระที่เป็นสมมุติสงฆ์ก็ดี หรือแม้กระทั่งบุคคลที่มาสวมใส่ผ้าเหลืองผ้ากาสาวะพักตร์อยู่ในเพศของสงฆ์ก็ดี ข้าพเจ้าขอกราบขมาลาโทษ ต่อพระรัตนตรัย ต่อพุทธ ธรรมมะ สังฆะทั้งปวง สิ่งใดที่เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกิน ทางกายวาจา ใจ จะด้วยเจตนาไม่เจตนา รำลึกได้รำลึกไม่ได้ ทำในอดีตหรือปัจจุบัน ทำด้วยกระแสความโมโหขัดเคือง หรือแม้แต่สิ่งที่เราทำด้วยเจตนาดีหวังดี แต่เป็นการปรามาสล่วงเกิน ก็ขอให้พระรัตนตรัย คือพระพุทธเจ้ามีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน ได้โปรดงดเว้นโทษที่จะพึงบังเกิดแก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ 

จากนั้นประนมมือถวายธูปแพเทียนแพตรงกับสมเด็จองค์ปฐม จากนั้นก้มลงกราบแทบเบื้องพระบาทของพระองค์ท่าน จากนั้นขอให้ญาณความเป็นทิพย์จงปรากฏภาพ พระก็ตาม สงฆ์ก็ตาม บุคคลทั้งหลายก็ตาม ที่เราเคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ท่านเป็นพระสงฆ์ ไม่ว่าจะถูกจริตไม่ถูกจริตในธรรมคำสอน ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เราทำด้วยอารมณ์ ทำด้วยความไม่รู้ หรือทำด้วยความรู้แต่มีอารมณ์มีอคติ มีกระแสที่เป็นอกุศล ก็ขอขมาลาโทษต่อทุกท่าน ขอกระแสแห่งอกุศล กระแสแห่งความขุ่นเคือง กระแสแห่งความขัดใจ กระแสแห่งการกระทบทั้งปวงจากจิตข้าพเจ้า ขอจงสลายล้างดับไปจากจิตข้าพเจ้า ขอขมาและอโหสิกรรม แม้กระแสนั้นเป็นเพราะมีบุคคลที่มาล่วงเกินพระสุปฏิปันโน มาล่วงเกินครูบาอาจารย์ มาล่วงเกินพระอริยเจ้า เราน้อมจิตสลายล้างกระแสแห่งความขัดเคืองในจิตเรา เป็นอุเบกขารมณ์ จิตอุเบกขาแม้กระทั่งต่อกรรมของบุคคลเหล่านั้น บุคคลเหล่าใดที่อยู่ในวิสัยที่ล่วงละเมิดต่อพระอริยเจ้า พระอริยสงฆ์ พระสุปฏิปันโน พระโพธิสัตว์ ต้องเสวยวิบากผลกรรมเช่นไร เรากำหนดรู้ด้วยใจอุเบกขา ปราศจากความรู้สึกสะใจ ปราศจากความรู้สึกสมน้ำหน้า ปราศจากความรู้สึกยินดีกับวิบากกรรมที่เขาได้รับ แต่จิตเราพิจารณามองให้เป็น เห็นในธรรมว่า โอ้นี่ละหนอ ตราบที่ยังอยู่ในสังสารวัฏ เราก็ยังมีการกระทบกัน อุตส่าห์เข้ามาพบเข้ามาอยู่ในเขตพระพุทธศาสนาแล้ว ก็ยังมีวิบาก ก็ยังมีอกุศล ให้เราได้พบเห็น ได้เห็นคนที่ปรามาสจาบจ้วงต่อพระพุทธเจ้าก็ดี จาบจ้วงต่อพระธรรมต่อพระวินัยก็ดี จาบจ้วงต่อพระอรหันต์ พระสุปฏิปันโน พระอริยเจ้า พระโพธิสัตว์ก็ดี กระแสทั้งหลายเหล่านั้น แม้จะมีสิ่งที่เป็นกระแสของโลกลากไปให้คนหมู่มากมีความเห็นผิดจากอรรถจากธรรมะที่พึงเป็น จิตของเราในขณะนี้เราก็กำหนดดูกำหนดตัวรู้ว่า เรามั่นคงในพระรัตนตรัยไหม หรือจิตของเรามีความหวั่นไหวไป คล้อยตามไป หลงไปกับธรรมะที่มันฉาบเจือกับสิ่งที่ยังเป็นสิ่งที่เป็นมิจฉาทิฐิ 

การเข้ามาพบเข้ามาอยู่ในเขตพระพุทธศาสนา สิ่งสำคัญที่สุดก็คือสัมมาทิฐิ

คำว่าสัมมาทิฐิก็คือ การมีทิฐิความเห็นชอบ

ทิฐิที่สำคัญที่สุดก็คือ มีความเห็นว่าคุณพระพุทธเจ้า คุณแห่งพระธรรม คุณแห่งพระอริยสงฆ์มีจริง มรรคผลทั้งหลายมีจริง ภพภูมิการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏมีจริง กรรมและกฎแห่งกรรมนั้นมีจริง การที่เราเข้าใจสิ่งต่างๆเหล่านี้มีความสำคัญต่อการสำเร็จการเข้าถึงมรรคผลพระนิพพาน 

ดังนั้นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญในสัมมาทิฐิ เนื่องกันกับในข้อสัมมาทิฐิที่นี้ก็คือ เราต้องอธิษฐานจิต

ฉลาดในการอธิษฐาน คือรู้จักใช้ปัญญาบารมีมาผนวกกันกับอธิษฐานบารมี ขอพบเจอแต่ครูบาอาจารย์ที่เป็นสัมมาทิฐิ พบเจอแต่กัลยาณมิตรที่เป็นสัมมาทิฐิ พบเจอแต่คำสอนกระแสธรรมที่เป็นธรรมตรง เป็นธรรมที่เป็นแก่นของพระพุทธศาสนาคือมรรคผลพระนิพพาน เป็นกระแสธรรมที่เป็นกระแสแห่งโลกุตระ กระแสที่เป็นไปแห่งการสิ้นอาสวะกิเลสทั้งปวง 

จงอธิษฐานให้จิตเราตรงในสัมมาทิฐิ 

ความลุ่มลึกของพระพุทธศาสนานั้นมีหลากหลายระดับอย่างยิ่ง เอาเฉพาะความครอบคลุมในวิสัยแห่งการบรรลุธรรมของสาวกภูมิ ก็มีตั้งแต่สุกขวิปัสสโกไม่มีอภิญญาใดๆ วิชชา 3 ได้ทิพย์จักษุญาณ อภิญญา 6 ได้อภิญญาใหญ่มโนมยิทธิ อิทธิวิธีแสดงฤทธิ์ ปฏิสัมภิทาญาณมีปัญญารู้แจ้งกระจ่างพิสดารลึกซึ้งในธรรมะ ทรงพระไตรปิฎกได้ทั้งหมดโดยไม่จำเป็นจะต้องไปเรียนเปรียญธรรมใดๆ รู้ภาษาทุกภาษา ทรงอภิญญาสมาบัติ จะเห็นได้ว่าความครอบคลุมในวิสัยนั้น 3 ใน 4 ก็เป็นอภิญญาหมดแล้ว ส่วนเล็กๆมีเพียงแค่สุกขวิปัสสโกที่ไม่รู้ไม่เห็นอะไร ดังนั้นบางครั้งการที่ไม่รู้ไม่เห็นอะไรนี่แหละกลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เราจำแนกแยกแยะไม่ได้ในเรื่องของธรรมะว่าตรงไม่ตรง ลึกซึ้งถึงแก่นธรรมหรือเป็นเพียงเปลือกกระพี้ของธรรม 

คำว่าเปลือกกระพี้ของธรรมก็คือ คำสอนของพระพุทธองค์นั้น ผู้คนมุ่งหวังที่จะเข้าถึงแก่นธรรม แต่กลับไปคว้าเอาเปลือกบ้าง กระพี้บ้าง ไปคว้าเอาใบบ้าง ไปคว้าเอารากไม้บ้าง ไม่ถึงแก่นก็คือไม่ถึงพระนิพพาน ยิ่งธรรมะที่กล่าวเพียงแต่ว่าเป็นพุทธปรัชญา แนวคิดพุทธปรัชญา ถ้าเป็นแค่แนวคิดนั้นก็ถือว่าตื้นเขินอย่างยิ่ง ศัพท์ของคำว่าปรัชญามันดูลึกซึ้ง แต่อันที่จริงคำว่าปรัชญานั้นมันเป็นเพียงแค่แนวคิด ความลึกซึ้งในธรรมะมันไม่เท่ากับธรรมะที่เป็นโลกุตระธรรม ระดับความละเอียดของจิตผู้เข้าถึงธรรมก็มีความลุ่มลึกแตกต่างกัน

เอาแค่เรื่องของพระพุทธรูป เรื่องของพระพุทธเจ้า เรื่องของพระพุทธองค์ คนที่ผิวเผินมองแต่เปลือกมองแต่วัตถุภายนอก ก็จะมองเห็นว่าพระพุทธรูปก็ดีก็เป็นเพียงแค่พระอิฐพระปูน แต่คนที่เข้าถึงไตรสรณคมน์อย่างแท้จริง เราจะรู้สึกได้ว่าเมื่อไหร่ที่เราเห็นพระพุทธรูปเรานึกถึงพระพุทธองค์ เรานึกถึงพระพุทธรูปถึงแม้ว่าจะเป็นอิฐปูนแต่เรากราบด้วยความเคารพได้สุดหัวจิตหัวใจ อันนี้ก็คืออารมณ์ของผู้ที่เข้าถึงไตรสรณคมน์ที่มีความแตกต่างกัน คนที่มองเห็นเป็นแค่อิฐปูนไม่กราบไหว้บูชา มองว่าคนไปกราบไหว้นั้นงมงาย อันนี้ก็เป็นความเขลาของคนที่เขาคิดเพียงแค่วัตถุภายนอกเพียงแค่เปลือก ส่วนคนที่เขาเข้าถึงไตรสรณคมน์มีตั้งแต่ 

1_เห็นพระพุทธรูปนึกถึงพระพุทธเจ้า เห็นพระพุทธรูปได้สติ จิตสงบ งดเว้นจากอกุศลจากบาปจากความคิดชั่วคิดร้ายในใจของตน เห็นพระพุทธรูปพิจารณาถึงพระคุณทั้ง 9 ประการของพระพุทธเจ้า ความบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ ส่วนสูงขึ้นไปอีกเห็นพระพุทธรูป จิตก็รู้สึกว่าประดุจได้เห็นพระพุทธองค์เห็นพระพุทธเจ้า สูงขึ้นไปอีก จิตเห็นพระพุทธรูปจิตถึงพระพุทธองค์บนพระนิพพาน 

ดังนั้นความลุ่มลึกของแต่ละคนต่างกัน ความเข้าใจของแต่ละคนก็ต่างกัน ถ้าเราไปพูดว่าเราเห็นพระพุทธเจ้าเห็นพระพุทธรูปจิตเรานึกถึงพระพุทธเจ้าบนพระนิพพาน รู้สึกถึงว่าเราอยู่กับพระพุทธองค์ คนที่เขาเห็นพระพุทธรูปเป็นแค่พระอิฐพระปูนก็เป็นธรรมดาที่เขาจะว่าเรางมงาย เพราะเขาเข้าไม่ถึงเข้าไม่ถึงกำลังของพุทธานุภาพ เข้าไม่ถึงอารมณ์จิตที่ละเอียดลึกในไตรสรณคมน์ ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าหลายองค์ เวลากล่าวถึงแค่พระพุทธเจ้า ท่านจะยกมือพนมขึ้นเหนือเศียรเหนือเกล้า ความรู้สึกถ้าเห็นด้วยเจโตปริยญาณก็จะเห็นว่าเมื่อท่านกล่าวถึงพระพุทธเจ้า ท่านก็ยกจิตกราบพระพุทธองค์บนพระนิพพานไปพร้อมกันในขณะที่กายเนื้อยกมือขึ้นประนม ดังนั้นความละเอียดลึกซึ้งของแต่ละบุคคลนั้นต่างกัน เราก็จำเป็นที่จะต้องอุเบกขาปล่อยวาง วาระกรรม ช่วงนี้เป็นวาระที่เรียกว่าการคัดกรองโดยละเอียด การคัดกรองหยาบก็คือคัดกรองคนดีกับคนชั่ว คนทำบาปอกุศลกับคนที่สร้างกุศลผลบุญ พอคัดกรองละเอียดขึ้นก็กลายเป็นว่าคนบุญคนเข้าวัด แต่คนที่มาทำบุญมาเข้าวัดนั้น ไปถูกที่หรือไปผิดที่ ไปในกระแสที่เป็นกระแสธรรมที่ยังเป็นมิจฉาทิฐิ หรือตรงอยู่ในสัมมาทิฐิ ถ้าบอกว่าสังสารวัฏเทวดาพรหมนั้นไม่มี ถ้าไม่มีสังสารวัฏก็ไม่มีความจำเป็นต้องไปนิพพาน ถ้าไม่มีสังสารวัฏก็แปลว่าตายแล้วสูญ

ดังนั้นผู้ใดที่กล่าวว่าเทวดาพรหมไม่มี สวรรค์ในอกนรกอยู่ในใจ สวรรค์นรกเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อให้คนมีศีลมีธรรมกลัวบาป ถ้าเป็นเช่นนั้นก็เป็นบุคคลที่ยังเป็นมิจฉาทิฐิ ไม่ว่าจะอยู่ในเครื่องแบบใดก็ตาม ตรงนี้ต่างหากที่เป็นเรื่องน่ากลัว เพราะถ้าเค้าไม่เข้าใจในเรื่องสังสารวัฏก็จะไม่รู้ถึงประโยชน์ว่าจะไปพระนิพพานทำไม ดังนั้นธรรมะในกลุ่มคนเหล่านี้ก็จะมีความเข้าใจเพียงแต่ว่า ไม่เบียดเบียนผู้อื่นแค่นี้ก็พอแล้ว รักษาใจเราให้สงบได้เป็นสุขได้สบายใจได้ก็พอแล้ว แต่ธรรมะในการปฏิบัติในระดับของโลกุตระมีสูง มีละเอียดขึ้นไปอีกมากกว่าคนทั่วไป เอาแค่ศีล เมื่อไหร่อารมณ์จิตเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้าค่อยๆสูงขึ้น จากศีลก็จะมีกุศลกรรมบถ 10 ร่วมกันกับศีล มีเมตตาพรหมวิหาร 4 ร่วมกันกับศีลขึ้นไปอีก พอจิตเข้าสู่กระแสโลกุตระสูงขึ้นไปอีก จิตก็จะละความพยาบาทการจองเวร เพราะเห็นแล้วว่าเป็นความเร่าร้อน เป็นความทุกข์ เป็นการแผดเผาใจของเราเอง แล้วก็เป็นเครื่องผูกให้จิตเราไปเวียนว่ายตายเกิดพบเจอคนที่เราอาฆาตพยาบาทจองเวรด้วย ดังนั้นอารมณ์จิตในการละก็จะสูงขึ้น  ละเอียดขึ้น พิจารณาเห็นละเอียดขึ้น 

อย่างคนที่เขามีความเคารพในพระรัตนตรัย หรือบางทีเราไปที่บ้านสายลมก็ดี วัดท่าซุงก็ดี เราจะพบว่าหนังสือที่มีรูปพระจะถูกลูกศิษย์บางท่านปรามว่าห้ามวางกับพื้นเด็ดขาด บางคนก็จะเคยพบ สมัยใหม่ๆเราก็อาจจะสงสัยว่าก็ไม่เห็นเป็นไร แต่สำหรับคนที่เขาปฏิบัติมีความเคารพอย่างยิ่ง เขามีความละเอียด ความละเอียดที่ว่าก็คือพอมีรูปพระแล้วเราไปวางต่ำไม่ได้ พื้นมีคนเหยียบย่ำ ต้องวางสูง มีคนก้าวผ่านเดินผ่านคร่อมเดินผ่านเดินคร่อมยืนคร่อม เขามองว่าเพียงแค่นี้ก็ถือว่าเป็นการปรามาสพระรัตนตรัยแล้ว

ดังนั้นถึงบอกว่ายิ่งปฏิบัติจิตยิ่งละเอียดประณีต แต่พอละเอียดประณีตเราก็ยิ่งต้องมีสติระมัดระวัง บางทีเราต้องดูวิสัยของคน บางทีเราอุเบกขาเพราะว่าถ้าเราไปปรามไปบอกในสิ่งที่ละเอียดกับคนที่เขาหยาบ เขายิ่งปรามาสเพิ่มยิ่งด่าเราในใจเพิ่ม คราวนี้เลยยิ่งกลายเป็นว่าพาให้เขาตกนรก

ดังนั้นถึงเวลาจริงๆ ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า พระพุทธเจ้าท่านมีพระพุทธประสงค์ปรารถนารื้อขนมวลสรรพสัตว์เข้าถึงซึ่งพระนิพพาน ถ้าไปไม่ได้ก็ขอให้เสวยสุคติ คือสวรรค์ พรหมเป็นต้น แต่ท่านไม่ปรารถนาให้ผู้ใดเลยตกนรก หรือไปจุติไปเกิดยังอบายภูมิ บุคคลที่พลาดพลั้งไปเกิดในทุคติภูมิอบายภูมิจนกระทั่งถึงนรกนั้น อันที่จริงแล้วล้วนแล้วแต่เป็นวิบากเป็นอกุศล เป็นสิ่งที่บุคคลนั้นทำ ถึงเวลาถ้าเตือนได้ท่านก็เตือน ถึงขนาดอย่างครูบาอาจารย์ที่ท่านเมตตาออกมาเตือน ก็ยังมีคนประมาทจาบจ้วง ท่านก็ปล่อยวาง เหตุผลเพราะว่ามันก็เป็นกรรมของบุคคลนั้น สิ่งที่ท่านเตือนท่านเตือนเฉพาะบุคคลที่อยู่ในวิสัยที่เตือนได้

อย่างที่อาจารย์พูดนี่ก็เตือนในฐานะบุคคลที่เป็นศิษย์ที่อยู่ในวิสัยที่อาจารย์พอเตือนได้ ช่วงนี้เป็นช่วงที่คัดกรองธรรม จงพยายามพิจารณาด้วยปัญญาในธรรม ให้จิตเรามีหลักมีเกณฑ์ในการพิจารณา คนที่เป็นสัมมาทิฐิมีลักษณะอย่างไร สัมมาทิฐิมีสติพิจารณาปัญญาความเชื่ออย่างไร ตรงนี้เป็นสิ่งสำคัญ ที่ไหนเขาสอนนิพพานสูญ ถอย ไม่ต้องไปอีกต่อไป สวรรค์ในอกนรกในใจไม่มี ถอย ไม่ต้องเข้าไป การปฏิบัติในเรื่องของศีลไม่เป็นไรกินเหล้าได้ ปฏิบัติธรรมอันนี้ก็ต้องถอย ไม่ต้องไป ครูบาอาจารย์สายเรายังบอกว่าแค่มีปนมีเหล้าปนแม้ในอาหารก็ยังงดเว้นไม่กินไม่ฉัน อาหารที่ใส่สุราใส่เหล้า ดังนั้นถึงบอกว่าความละเอียดความยหยาบมันต่างกัน เราละเอียดแล้ว เราอย่าถอยไปในเรื่องที่มันหยาบ ธรรมะเราเป็นสัมมาแล้วเราอย่าถอยไปมิจฉา ตั้งมั่นมั่นคงในสัมมาทิฐิไว้ เป็นผู้ที่ปราศจากการเบียดเบียน แล้วก็เห็นก็จงกำหนดรู้ว่าช่วงนี้เป็นช่วงคัดกรอง ขนาดอาจารย์เองก็ยังสะดุ้งตกใจว่าการคัดกรองนี้มันสาหัสสากรรจ์อย่างยิ่ง ไม่ใช่เพียงแค่การคัดกรองออกจากภพ คือตายจากความเป็นมนุษย์อย่างเดียว แต่นี่การคัดกรองนี่ก็คือแยกคนดีคนชั่ว คนที่ไม่ใช่ คนที่เป็นมิจฉารุนแรงเขาลากลงลึกจนน่าตกใจ คนที่ไปเชื่อคนที่ไปสะใจคนที่ไปฟังคนที่ไปเข้าร่วมด้วยก็เรียบร้อย ไปกันอีกหมู่มากชนิดที่เรียกว่าน่าเสียดาย

ดังนั้นเราทั้งหลายเป็นคนที่มีบุญ ได้มาพบครูบาอาจารย์โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลวงพ่อพระราชพรหมญาณ เหตุการณ์ในช่วงนี้ที่เป็นช่วงคัดกรองกระแสธรรมละเอียด แม้ตัวอาจารย์เองก็ยิ่งสำนึกขอบคุณในธรรมะในข้อธรรมที่ท่านสั่งสอนมาตลอด ว่ามีความตรง มีความละเอียดลึกซึ้ง มีความอัศจรรย์คือเป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ จากคนที่เป็นปุถุชนไม่มีความเป็นทิพย์ไม่มีอภิญญาใดๆ พอมาปฏิบัติแล้วก็ได้ทิพย์จักษุญาณ ได้มโนมยิทธิ ได้ความเป็นทิพย์เครื่องรู้ ได้รู้เห็นเข้าใจลึกซึ้งในกระแสธรรมของพระพุทธองค์ ดังนั้นจริงๆแล้วเมื่อเราพบของดี พบครูบาอาจารย์ที่ใช่ เราอย่าถูกกระแสของวิบากกรรม อย่าถูกกระแสของสังคม อย่าถูกกระแสของโซเชียลดึงดูดไป คนที่เขาแสดงธรรมผ่านทาง Social แต่มีคนติดตามเป็นหมื่นเป็นแสน มันไม่ได้เป็นตัวชี้วัดว่าธรรมะที่เขาพูดที่เขาบอกที่เขาสอนจะเป็นสัมมาทิฐิ บางครั้งครูบาอาจารย์ท่านเคยเตือนอาจารย์ไว้ บอกว่ายิ่งดังก็ยิ่งดับ เราทำไปพอสมน้ำสมเนื้อ ทำไปปฏิบัติไปแนะนำธรรมะไป ตามวาระตามวาสนาบารมีของคนที่เราเคยผูกพัน เคยเป็นครูเคยเป็นศิษย์กันมา เคยสร้างบุญสร้างกุศลร่วมกันมา ไม่ต้องไปดิ้นรนที่จะดังมีชื่อเสียง ยิ่งดังมากก็ยิ่งดับ อย่างที่เห็น 

ดังนั้นเราทุกคนนั้น เมื่อพบครูบาอาจารย์ที่เป็นสัมมาทิฐิแล้ว เราก็จงชัดเจนในจิตของเราว่า เราปฏิบัติธรรมเพื่อชื่อเสียงเกียรติยศ ปฏิบัติธรรมเพื่อให้คนมาสรรเสริญ ปฏิบัติธรรมเพื่ออวดภูมิ หรืออันที่จริงแล้วเราปฏิบัติธรรมเพื่อมรรคผลพระนิพพาน ยิ่งชัดเจนในจิตของเรามากเท่าไหร่ การปฏิบัติของเราก็ยิ่งตรงยังมรรคผลพระนิพพานมากเพียงนั้น เรื่องอื่นวัตถุประสงค์อื่นเราวางไปให้หมด หรือแม้แต่กระทั่งความอยากได้อภิญญา อภิญญาสมาบัติ ญาณทั้ง 8 มีไว้อย่างที่พูดย้ำเสมอคือ มีเพื่อเป็นเครื่องมือประกอบการปฏิบัติธรรมเพื่อมรรคผล ได้รู้เหตุและผล กฎของกรรม อดีตชาติรู้เพื่อนละ รู้เพื่ออโหสิกรรม รู้เพื่อให้เข้าใจเหตุของกฎแห่งกรรม เมื่อเราเข้าใจชัดเจน เราก็จะยิ่งเห็นภัยในสังสารวัฏชัดเจนขึ้น เห็นความไม่เที่ยงชัดเจนขึ้น เห็นความแปรปรวนแม้กระทั่งในกระแสของผู้ปฏิบัติธรรม บางคนปฏิบัติมาดีๆตรงๆ ปฏิบัติได้ดีแล้วก็ยังพลิกใจไปเป็นมิจฉาทิฐิได้ อันนี้เป็นเรื่องที่น่าสลดใจ แต่หากจะมีเรื่องที่น่าสรรเสริญก็คือ บุคคลที่เคยเป็นมิจฉาทิฐิ แต่พลิกจิตเห็นธรรมมาเป็นสัมมาทิฐิ มุ่งตรงสู่มรรคผลพระนิพพาน มืดมาแล้วก็สว่างไป เราทั้งหลาย ณ บัดนี้เราสว่าง เราอย่ากลับไปมืด อย่าไปคลอนแคลนลังเลสงสัยต่อคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ มรรคผลพระนิพพานมีจริง การปฏิบัติจนเข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้า

การปฏิบัติแม้เป็นฆราวาสแต่ปฏิบัติจนเข้าถึงซึ่งพระนิพพานชาตินี้ได้มีจริง คนที่เขาไม่เชื่อเพราะเขายังไม่เคยปฏิบัติ หรือมีทิฐิที่บังเอิญยังไม่เป็นสัมมาทิฐิ หรือมีจิตที่ยังมีความลังเลสงสัยเป็นวิจิกิจฉามากจนเกินไป ของเราที่เรามาปฏิบัติกันเราลองถามจิตเราดูว่า ที่เราปฏิบัติมาถึงจุดนี้ ความมั่นคงในพระรัตนตรัยเรามีกี่เปอร์เซ็นต์ เรามีความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัยไหม จิตถึงพระพุทธองค์บนพระนิพพานไหม จุดนี้ต่างหากเป็นเครื่องชี้วัดระดับความลุ่มลึกความละเอียดในการปฏิบัติธรรมของเรา เห็นพระพุทธรูปทุกครั้ง จิตถึงพระพุทธองค์บนพระนิพพานทุกครั้ง บุคคลที่ทำนุบำรุงซ่อมแซมพระพุทธรูป ปิดทองพระพุทธรูป หลวงพ่อท่านถึงสอนว่า ปิดทองพระพุทธรูปนี้อุปมาเหมือนกับการที่เราถวายทองคำต่อพระพุทธองค์โดยตรง ดังนั้นจำไว้ว่าปฏิบัติมาถึงขั้นนี้ จิตเราถึงพระพุทธองค์เสมอ ทำสมาธิฝึกสมาธิเราถือว่าเราปฏิบัติบูชา บูชาคุณพระพุทธเจ้าโดยตรงเสมอ เจริญสมถะเจริญวิปัสสนากรรมฐานเป็นไปเพื่อมรรคผลพระนิพพาน อารมณ์ใจเราตรงมากเท่าไหร่ ใช้มโนมยิทธิเพื่อมรรคผลพระนิพพานมากเท่าไหร่ ก็อย่างที่อาจารย์บอก อารมณ์จิตมันจะไม่อยากไปเที่ยวที่อื่น ไม่อยากจะไปที่ไหน อยากขึ้นมาอยู่กับพระพุทธองค์บนพระนิพพานอย่างเดียว อยากที่จะเข้าเฝ้าอยู่ใกล้ชิดพระพุทธองค์อย่างเดียว เพราะจิตแนบมั่นคงอยู่กับพระพุทธองค์ซะแล้ว จิตเป็นหนึ่งเดียวกับพระนิพพาน จิตมั่นคงอยู่กับพระพุทธองค์ 

นั่นก็คือการปฏิบัติธรรมของเรานั้น เป็นนิตยธรรม คือเป็นธรรมที่เที่ยง ธรรมที่แท้ ธรรมที่ทำให้จิตเราตายเมื่อไหร่ถึงพระนิพพานได้อย่างแน่นอน อารมณ์จิตเช่นนี้ก็ให้เราสำรวจตรวจสอบใจของเรา ยิ่งคนที่มีความสม่ำเสมอ มีความมั่นคงในการปฏิบัติ อันนี้ถือว่าเป็นอุปนิสัยแห่งการปฏิบัติเพื่อมรรคผลพระนิพพาน เป็นสัจจะอธิษฐานบารมี เป็นวิริยะบารมี เป็นขันติบารมี บารมีทั้ง 30 ทัศก็เต็มพอดี ปัญญาพิจารณาในธรรมอย่างกระจ่าง ปัญญาพิจารณามองเห็น ใช้เจโตปริยญาณพิจารณาดูจิตของเรา ดูจิตของคนที่เป็นมิจฉาทิฐิ เราก็จะพอรู้ว่ามิจฉาทิฐิ เขาคิดพิจารณาธรรมว่าทำตามใจฉัน ฉันว่าแบบนี้ ฉันเอาแบบนี้ฉันชอบแบบนี้ ฉันมีอคติแบบนี้ฉันก็จะเอาแบบนี้ มิจฉาทิฐิก็เป็นแบบนี้ ฉันไม่รู้ไม่เห็นอะไร ในเมื่อฉันไม่รู้ไม่เห็นอะไรมันก็แปลว่ามันไม่มี สวรรค์นรกไม่มี นิพพานไม่มี ก็เพราะฉันไม่เห็น ฉันไปไม่ได้ ฉันก็ว่าเป็นเรื่องที่มันไม่มี มิจฉาทิฐิเขาก็คิดกันแบบนี้

โชคดีที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนให้เราได้มโนมยิทธิกัน พิสูจน์สวรรค์นรก พิสูจน์พรหม พิสูจน์ว่าพระนิพพานมีจริง พิสูจน์ว่ากรรมและกฎของกรรมมีจริง คนที่ปฏิบัติถึง เอาแค่มีเหตุการณ์สิ่งที่ประสบ ฉันโดนมีดบาด ป่วยตรงนั้นตรงนี้ ถึงเวลาจิตเขาก็รู้ทันทีแล้วว่า อ๋อเป็นกรรมจากอดีตชาติที่เราเคยไปทำตรงนี้ กรรมในอดีตชาติที่เราไปทำชาตินั้นกับบุคคลนี้

ไม่เชื่อลองดูตัวอย่าง อย่างครูบาอาจารย์ หลวงพ่อจรัญท่านก็บอกว่าท่านรถคว่ำเพราะกรรมอะไร คอหักเพราะกรรมหักคอไก่ จริงๆสุดท้ายพอเราปฏิบัติ ญาณเครื่องรู้เราก็เห็นเราก็รู้เราก็ถึง ดังนั้นจึงรู้ว่ากรรมมันเป็นแบบนี้ เราเลยยิ่งต้องหนีกรรม

วิธีตัดกรรมที่ดีที่สุดคือตัดเข้าพระนิพพาน กรรมทั้งหลายมันจบ กรรมทั้งหลายจะตัดจะให้มันเบาลงก็อโหสิกรรมขอขมากรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอโหสิกรรมต่อกัน ขออโหสิกรรมทั้งสองฝ่าย กรรมมันก็ตัดเป็นโมฆะกรรม

ดังนั้นตัดกรรมถามว่ามีไหม มันก็มีแค่ 2 วิธีคืออโหสิกรรมกับตัดเข้าพระนิพพาน จะบอกว่าไม่มีก็ไม่ได้ มีแค่ 2 ประการ 

ส่วนเศษกรรมหรือกรรมใหญ่ที่เจ้ากรรมนายเวรเขาไม่อโหสิกรรม มันปรากฏมาเราก็จำเป็นที่ต้องยอมรับ อุเบกขาวางเฉย ไม่ขุ่นเคือง ไม่ต้องถามว่าทำไม ทุกอย่างเป็นเพราะกรรมที่เราทำ แต่คราวนี้หากเราทำกุศลเป็นกรรมใหม่สะสมเพิ่มพูนมากขึ้นสูงขึ้นเจริญพระกรรมฐานแผ่เมตตาไม่มีประมาณมากขึ้นสูงขึ้นพิจารณาตัดละวางความยึดมั่นถือมั่นให้มากขึ้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆระดับความบริสุทธิ์ของเรายิ่งสูงขึ้นบริสุทธิ์ขึ้นมากเท่าไหร่ ชีวิตเราก็ยิ่งมีแต่สิ่งที่เป็นกุศลมีแต่สิ่งที่สบายใจ ความทุกข์มันก็เบาบาง การกระทบมันเท่าเดิมแต่ความทุกข์มันน้อยลง ยามวิบากเข้าก็แคล้วคลาดหรือบรรเทาเบาบางหรือไม่เจอหรือเจอก็เบา อันนี้ก็คือสิ่งที่กุศลผลบุญเขาช่วย ทานยังจำเป็นต้องทำไหมจะไปพระนิพพานแล้ว ผลอานิสงส์ที่ทำให้เกิดทิพยสมบัติ เกิดมนุษย์สมบัติ เกิดความเป็นทิพย์ต่างๆ เราไม่ต้องใช้แล้วแต่เราไม่ต้องทำทานเราก็ยังต้องทำเป็นปกติ ทำทั้งในส่วนที่เป็นประโยชน์เป็นบุญกุศล ทำเพราะทานนั้นเป็นเครื่องให้ความสุขกับบุคคลอื่น ทำทานเพราะเป็นเครื่องกำจัดความตระหนี่เป็นจาคะ เป็นจาคานุสสติการสละละออก ทำทานเพราะว่าทานนั้นเช่น วิหารทาน การสร้างพระพุทธรูป การทำธรรมทาน ทานนั้นเป็นทานที่ทํานุบํารุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองตราบห้าพันปีให้บุคคลอนุชนภายหลังได้มาพบเจอพระพุทธศาสนาเราจึงทำทาน

ดังนั้นถามทานเลิกทำได้ไหม ไม่ได้ ต้องทำต่อไป กุศลยังต้องทำต่อไป ศีลต้องรักษาไหม หลวงพ่อท่านสอนว่าศีลมีความสำคัญอย่างยิ่งถ้าไม่มีศีลก็ยังจำเป็นที่จะต้องตกนรก

ดังนั้นศีลก็ต้องรักษาการเจริญสมถะจำเป็นไหมจำเป็นอย่างยิ่ง ถ้าจิตเราไม่ละนิวรณ์ 5 ประการ จิตไม่เข้าถึงอุเบกขารมณ์ วิปัสสนาญาณธรรมะที่เราพิจารณามันก็เป็นธรรมตามใจฉัน มีอคติมาปน มีทิฐิมาปน มีความคิดที่เป็นกิเลสของตนมาปน จิตต้องนิ่งหยุดเป็นอุเบกขารมณ์ เป็นกลางอย่างแท้จริง พิจารณาจึงจะเข้าใจธรรมตามความเป็นจริงทุกประการ

ดังนั้นทาน ศีล ภาวนา อย่างไรก็ตาม เป็นแก่นของการปฏิบัติธรรม เป็นแก่นของพระพุทธศาสนา เป็นแก่นของการหลุดพ้น ก็ขอให้เรารักษาความดี ทาน ศีล ภาวนา ให้มั่นคงกันในทุกดวงจิตด้วยเถิด

จากนั้นตั้งจิตอธิษฐานในวาระที่วันพรุ่งนี้เป็นวันครบรอบวันเสด็จสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 9 เรากำหนดจิตขอบารมีพระพุทธองค์ไปที่ชั้นดุสิต ตั้งจิตไปกราบในหลวงรัชกาลที่ 9 ด้วยกัน ไปถึงแล้วก็ขอให้ท่านแสดงองค์ แผ่พระบารมีสว่างมายังกายทิพย์ของเรา ตั้งจิตอธิษฐานว่าการปฏิบัติธรรมของเราคุณความดีที่เราทำต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ท่านรับรู้รับทราบความดีที่เราทำแต่ละคนไหม ความจงรักภักดีต่อชาติ ต่อบ้านเมือง ต่อแผ่นดิน ต่อในหลวงรัชกาลที่ 10 ท่านรับรู้รับทราบในสิ่งที่เราทำไหม น้อมจิตกราบท่านตั้งใจว่าการปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ทาน ศีล ภาวนาทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบูชาคุณความดีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในหลวงในดวงใจของพสกนิกรทั้งปวง ขอพระองค์ทรงแผ่พระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อมปกพื้นแผ่นดินไทยสยามประเทศให้รอดพ้นจากภัยพิบัติทั้งปวง จากการทำลายล้างเอารัดเอาเปรียบขายชาติของนักการเมืองทั้งปวง ขอคนดีคนมีศีลมีธรรมมีจิตเจตนาบริสุทธิ์ เสียสละเพื่อชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริงได้ขึ้นมามีอำนาจ ขึ้นมาเป็นใหญ่ปกครองประชาชนให้มีความสุข ขอด้วยกำลังของพระองค์ท่านแผ่บารมีให้ดินแดนสยามประเทศเข้าสู่ยุคชาววิไลโดยเร็วด้วยเถิด

จากนั้นน้อมจิตกราบท่านด้วยความเคารพ กราบด้วยความนอบน้อม บุญกุศล ความอิ่มใจเต็มหัวจิตหัวใจของเรา

จากนั้นน้อมจิต ลาจากสวรรค์ชั้นดุสิตขึ้นไปยังพระนิพพาน น้อมกระแสจากพระนิพพานแผ่เมตตาลงมายังสังสารวัฏ อรูปพรหมทั้ง 4 ชั้น พรหมโลกทั้ง 16 ชั้น สวรรค์อากาศเทวดาทั้ง 6 ภูมิเทวดารุกขเทวดาทั่วอนันตจักรวาลทุกดวงดาว

แผ่เมตตายังมนุษย์และสัตว์ที่มีกายเนื้อทั่วจักรวาล

แผ่เมตตาให้โอปปาติกะสัมภเวสีดวงจิตมิติทับซ้อนเมืองบังบดลับแลทั่วอนันตาจักรวาล

แผ่เมตตาต่อไปยังภพภูมิของเปรตอสุรกาย

แผ่เมตตาต่อไปยังภพภูมิของสัตว์นรกทั้งปวง

กำหนดกายทิพย์ของเราสว่าง แผ่เมตตาลงไปยังทุกภพภูมิ กายทิพย์เราสว่างผ่องใสอย่างยิ่ง กายแสง กายสว่าง กายผ่องใส รัศมีกายของเรามีแต่กระแสเมตตาแผ่ออกมาเป็นธรรมชาติเป็นปกติตลอดเวลา

บุญกุศล กำลังแห่งจิตตานุภาพ กระแสความบริสุทธิ์ของจิตเพิ่มพูนขึ้น สว่างขึ้น ผ่องใสขึ้น 

จากนั้นน้อมจิตกราบลาพระพุทธองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย

จากนั้นพุ่งจิตกลับลงมายังกายเนื้อเป็นแสงสว่าง กายเนื้อพลอยสว่างผ่องใส อาราธนาน้อมกระแสบุญศักดิ์สิทธิ์จากพระนิพพานลงมาเป็นลำแสงสว่าง ชำระล้างฟอกธาตุขันธ์ทั่วร่างกาย ผมขนเล็บฟันหนังกลายเป็นแก้วใสสว่าง โครงกระดูก เส้นเอ็น หลอดเลือด สะอาดใสสว่าง กล้ามเนื้อทุกส่วนอาการ 32 สะอาดใสสว่าง กระแสบุญศักดิ์สิทธิ์จากพระนิพพาน กระแสธรรมธาตุฟอกธาตุขันธ์ชำระล้างโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวงจากขันธ์ 5 ของข้าพเจ้าทุกคน เซลล์ที่ผิดปกติจงสลายตัวไป กายเนื้อของข้าพเจ้าจงมีแต่แสงสว่างแห่งบุญหล่อเลี้ยง จิตข้าพเจ้าจงมีแต่กระแสแห่งบุญกระแสแห่งธรรม กระแสแห่งโลกุตรธรรมหล่อเลี้ยง กาย จิตผ่องใสเบิกบานอย่างยิ่ง บุญกุศลครอบคลุมคุ้มครองบ้านเรือนเคหะสถาน คนใกล้ตัว กัลยาณมิตร ญาติธรรมของข้าพเจ้าทุกคนให้ปลอดภัยจากภัยพิบัติ ปลอดภัยจากอกุศล ปลอดภัยจากอวิชชา ปลอดภัยจากมิจฉาทิฐิทั้งปวง

แผ่เมตตาสว่าง น้อมจิตโมทนาสาธุกับกัลยาณมิตร เพื่อนที่ปฏิบัติธรรมด้วยกันในกลุ่มเมตตาสมาธิทุกคนทุกดวงจิต

แผ่เมตตาโมทนาสาธุกับผู้ที่มาฟังในภายหลัง ใจของเรารวมเป็นอภิจิตเป็นกำลังบุญใหญ่ เป็นสมาธิหมู่ เป็นกำลังบุญที่คุ้มครองชาติบ้านเมือง ขอกระแสบุญคุ้มครองบุคคลที่อยู่ในวิสัยมีหน้าที่ต่อไปในยุคชาววิไล ขอกระแสแห่งบุญทั้งหลายปกปักรักษาท่านทั้งหลายให้รอดพ้นจากภัยพิบัติทั้งปวงด้วยเทอญ

น้อมจิตพิจารณาในอุเบกขารมณ์ บุคคลที่ไม่อยู่ในวิสัยเราก็อุเบกขาไม่ยินดียินร้ายกับกรรมวาระกรรมผลกรรมของเขาเหล่านั้น บุคคลใดที่อยู่ในวิสัยที่สงเคราะห์ได้ ช่วยเหลือได้ ตักเตือนได้ ก็ขอให้เทวดาพรหมดลจิตดลใจให้เขาเชื่อให้เขาฟัง บุคคลใดที่เป็นมิจฉาทิฐิแน่นหนาเราก็ต้องปล่อยวาง 

ขอบุญจงรักษา ขอโลกนี้จงกลับฟื้นคืนสู่ความบริสุทธิ์หมดจด เข้าสู่ยุคชาววิไล มนุษย์มีแต่ผู้ที่มีจิตใจสูง มีเมตตา รู้หน้าที่ว่าจะต้องทำบำรุงโลกใบนี้ ทรัพยากรของโลกใบนี้ ดูแลสรรพสัตว์ทั้งหลาย อยู่ร่วมกันอย่างสุขสงบสันติร่มเย็น ยุคชาววิไลเริ่มขึ้นจากคุณธรรมในจิตใจ เมตตาจงเป็นธรรมค้ำจุนโลก จงเกิดความสว่างของเมตตา การสวดมนต์สวดบทพระจักรพรรดิช่วยกันทั่วโลก แผ่กระแสเมตตาทั่วโลก ขอจงก่อให้เกิดกระแสพลังงานแห่งเมตตาครอบคลุมโลก ก็ให้การเจริญพระกรรมฐานของเราทุกคนนี้ ยังประโยชน์สุข เป็นปฏิปทาสาธารณประโยชน์ต่อโลกใบนี้ ต่อสรรพสัตว์ ต่อสังสารวัฏ ต่อทุกภพภูมิ ขอให้ผู้ที่ฝึกผู้ที่ปฏิบัติธรรมมีความสม่ำเสมอ มีความเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า ขอให้มีความเจริญในธรรมพบกันใหม่สัปดาห์หน้า

สำหรับวันนี้ขอโมทนาสาธุกับทุกคนสวัสดีครับ

ถอดความและเรียบเรียงโดย : คุณ Be Vilawan

You cannot copy content of this page